ฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้ว แล้วกล่าว "ไหนอ๋องจิ้นบอกว่าหลังจากนี้จะมิยุ่งเรื่องราชสำนัก ตั้งใจจะเป็นเพียงอ๋องที่เที่ยวเล่นสำราญมิใช่หรือ? ตอนนี้มาทำกระไร?""ฝ่าบาท อ๋องจิ้นตรัสว่า เมื่อสองวันก่อนเขาบังเอิญช่วยคนสามคนไว้ นำไปสู่เรื่องใหญ่..."เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินอู๋ต้าวก็โบกมือ "ให้เขาเข้ามา""รับพระบัญชา!"หลังจากนั้นมินานฉินเหยี่ยนก็เดินเข้ามาเขามองฉินเซียวด้วยสายตาซ้ำเติม!เมื่อเห็นสายตานั้น ฉินเซียวก็ใจหายวาบ เกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นหลังจากที่ฉินเหยี่ยนทำความเคารพ ฉินอู๋ต้าวก็กล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย "ฉินเหยี่ยน บอกมาว่าเจ้ามาด้วยเหตุใด"ฉินเหยี่ยนกล่าวอย่างจริงจัง "เสด็จพ่อ เมื่อสองวันก่อนลูกพบองครักษ์จวนอ๋องหนิงกำลังจะสังหารอาจารย์สอนหนังสือสามคน ลูกจึงช่วยพวกเขาไว้เมื่อสอบถามจึงรู้ว่า คนทั้งสามถูกอ๋องหนิงบังคับให้เลียนแบบลายมือ เขียนจดหมายหมิ่นเบื้องสูง อ๋องหนิงจึงต้องการฆ่าปิดปาก!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเซียวก็ตกใจ รีบแก้ตัว "เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ความ ลูกถูกใส่ความ!""หึ อ๋องหนิง ผิดหรือไม่ รอข้านำพยานมาก็รู้!"ฉินเหยี่ยนกล่าวต่อ "เสด็จพ่อ อาจารย์สอนหนังสือทั้งสามคนกำลังรออยู่
ฉินเซียวเสียงสั่นเครือ “เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ความ ลูกถูกใส่ความจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ชั่วช้าสามานย์ ถึงที่ตายแล้วยังมิยอมรับผิด วันนี้ตัวข้ามิไว้ชีวิตเจ้าเป็นแน่!”ฉินอู๋ต้าวหยุดชะงัก แล้วกล่าวต่อด้วยโทสะ “อ๋องหนิงสมคบกับหัวหน้าชนเผ่าโครยอคิดก่อการกบฏ โทษประหาร ตัวข้าขอถอดตำแหน่งอ๋อง ลดบรรดาศักดิ์เป็นสามัญชน เข้าคุกแดนประหาร กำหนดวันตัดหัวประจาน!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง!ไม่มีใครคิดว่าฉินอู๋ต้าวจะจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดฉินเซียวเมื่อได้สติก็ร้องขอความเมตตา“ไม่นะ เสด็จพ่อ...”เขากลัวจนน้ำหูน้ำตาไหล พยายามคลานไปหาฉินอู๋ต้าวบนบันไดหยกแต่ก็ถูกทหารสองคนจับตัวไว้เว่ยเจิงประสานมือให้ฉินอู๋ต้าว กล่าวด้วยความใจร้อน “ฝ่าบาท แม้อ๋องหนิงจะมีความผิด แต่โทษก็ยังมิถึงขั้นประหาร ขอฝ่าบาททรงเมตตาให้โอกาสอ๋องหนิงอีกครั้งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“ขอฝ่าบาททรงเมตตา”ขุนนางคนอื่น ๆ ต่างส่งเสียงร้องขอความเมตตาฉินอู๋ต้าวตะโกน “หุบปาก ไม่มีอ๋องหนิง มีแต่ฉินเซียว!”“ฝ่าบาท ถึงอย่างไรฉินเซียวก็เป็นพระโอรสของพระองค์ เพียงเนรเทศเขาออกจากเมืองหลวงก็พอแล้ว ขอฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินซูยิ้มเยาะ “น่าขัน เป็นข้าหรือที่สั่งให้อ๋องหนิงสมคบกับทั่วป๋าชื่อ? ที่วันนี้เขาต้องเป็นเช่นก็เพราะเขาทำตัวเอง!”เผยหยวนต้องการพูดอะไรบางอย่าง ทว่าฉินอู๋ต้าวโบกมือ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “องค์รัชทายาท ท่านบอกว่าเสียนเฟยสมคบกับขันที มีหลักฐานหรือไม่? หากใส่ความโดยไร้หลักฐาน ข้าน้อยก็สามารถลงโทษท่านสถานหนักโดยมิละเว้นได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูกล่าวโดยมิเปลี่ยนสีหน้า “เสด็จพ่อ เมื่อลูกกล้ากล่าวหาเสียนเฟยในท้องพระโรง ย่อมมีหลักฐาน คนร้ายที่ลอบทำร้ายลูกถูกคุมตัวอยู่นอกประตูวัง เสด็จพ่อเรียกตัวมาสอบถามก็จะทราบได้พ่ะย่ะค่ะ”“ใครก็ได้ นำตัวมา!”“รับพระบัญชา!”ฉินอู๋ต้าวนั่งบนบัลลังก์มังกรพร้อมสีหน้ามืดครึ้ม ดวงตาลุกโชนด้วยความโกรธา!วันนี้เขาจะได้เห็นว่าองค์รัชทายาทปั้นเรื่องใส่ความคน หรือคนในวังกล้าสมคบกับขันทีกันแน่!คนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าต่างกัน ส่วนใหญ่มีท่าทีเฉยชา เพียงจ้องมองเพื่อความสำราญบันเทิงเท่านั้นถึงแม้เสียนเฟยจะถูกปลด ก็มิได้กระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขานักผ่านไปครู่หนึ่ง คนชุดดำก็ถูกนำตัวมาเมื่อเห็นหน้าคนที่เดินนำหน้ามา ฉินอู๋ต้าวก็ต้องประหลาดใจ!เขากล่าวเสียงเคร่งข
ขณะเดียวกันตำหนักอวี้จ้าวขันทีน้อยคนหนึ่งวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา นางกำนัลที่อยู่หน้าประตูพยายามห้ามแต่ก็มิสำเร็จเมื่อได้ยินเสียงดังจากภายนอก เสียนเฟยขมวดคิ้วพลันตะโกน “เอะอะโวยวายเรื่องอันใดกัน!”“พระสนม พระสนม เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากที่ขันทีน้อยกุลีกุจอเข้ามาก็รีบพูด “องค์รัชทายาทกล่าวหาพระสนมในท้องพระโรง อีกทั้งขันทีเกาและคนอื่น ๆ ต่างรับสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”“ว่ากระไรนะ!!!”เสียนเฟยตกใจจนหน้าซีด!นางไม่มีเวลาคิดมากและตัดสินใจในทันที “พวกเจ้าปิดประตูตำหนักอวี้จ้าวให้ดี รอข้าเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว ข้าจะไปเผชิญหน้ากับองค์รัชทายาทในท้องพระโรง!”เสียนเฟยพูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในห้องนอนหลังจากเข้าไปในห้องนอนนางก็รีบเปลี่ยนเป็นชุดนางกำนัล หลังจากปลอมตัวแล้วก็กลายเป็นนางกำนัลคนหนึ่ง!จากนั้นนางก็เปิดหน้าต่างตำหนักอวี้จ้าว กระโดดออกไปหลังจากปิดหน้าต่างแล้ว นางก็ออกจากประตูหลังนางเดินทางอย่างราบรื่นไปจนถึงกำแพงวัง ทหารรักษาการณ์ก็ขวางนางไว้เมื่อถูกสอบถาม เสียนเฟยก็กล่าวอย่างใจเย็น “ไทฮองไทเฮารับสั่งให้ออกไปทำธุระนอกวัง นี่ป้ายอาญาสิทธิ์ของไทฮองไทเฮา”นางยื่น
“ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่มีนางกำนัลถือป้ายอาญาสิทธิ์ของไทฮองไทเฮาออกจากวังหลัง ว่ากันว่านางกำนัลผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเสียนเฟยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็ดำมืดราวกับก้นหม้อ!เดิมทีเขาคิดว่าหากเสียนเฟยยอมรับผิดแต่โดยดี ก็จะลงโทษเพียงกักบริเวณในตำหนักอวี้จ้าวเท่านั้นแต่คิดมิถึงว่าอีกฝ่ายจะหนีความผิด ซ้ำยังออกจากวังหลังในเวลาอันสั้น นี่มิเรียกว่าไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วจะเรียกว่ากระไร!“หน่วยตรวจตรารับคำสั่ง!”สวีเซี่ยงเฉียนคุกเข่าลงทันทีฉินอู๋ต้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ปิดประตูเมืองทันที ค้นหาเสียนเฟยให้ทั่วเมือง ใครกล้าขัดขวาง จงสังหารเสีย!”“รับพระบัญชา!”สวีเซี่ยงเฉียนรับบัญชาแล้วนำทหารเหล่านั้นออกไป“คิดมิถึงว่าเสียนเฟยจะหนีความผิด”“ใช่แล้ว สมคบกับขันทีทำร้ายองค์รัชทายาท ช่างอาจหาญ!”“พูดเช่นนี้มิถูก หากเสียนเฟยบริสุทธิ์เล่า”“พูดเช่นนี้ผิดแล้ว หากพระนางไม่มีความผิด เหตุใดต้องหลบหนีเล่า!”“ใช่แล้ว เช่นนี้เขาเรียกว่ารับสารภาพโดยปริยาย!”“...”ขุนนางต่างกระซิบกระซาบกันเบา ๆฉินอู๋ต้าวโบกมือพลันตะโกน “ใครก็ได้ นำตัวเกาส่วงและพวกไปประหารเสีย!”
ฉินอู๋ต้าวมองเหลยเจิ้นหลังจากที่อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อย เขาก็กล่าว “พาตัวเข้ามา”ครู่ต่อมา ชายชราสองคนก็เดินเข้ามาคนหนึ่งอายุประมาณหกสิบกว่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง ถือไม้เท้าหัวมังกรอีกคนอายุไล่เลี่ยกัน เป็นพระธุดงค์หน้าตาอมทุกข์ ถือไม้เท้าปราบมารดูน่าเกรงขามคือเย่ชางสิงและคูมู่!เมื่อเห็นคนทั้งสอง ฉินหยางและฉินหงก็สบตากัน ในแววตาเต็มไปด้วยความตกใจเย่ชางสิงและคูมู่ทำความเคารพฉินอู๋ต้าวฉินอู๋ต้าวหรี่ตามอง แล้วเอ่ยถาม “พวกเจ้าสองคนมาจากหอดารารักษ์หรือ?”“ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยและพระอาจารย์คูมู่เพิ่งเข้าร่วมหอดารารักษ์ได้มินาน ได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนักมาพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูกล่าวยิ้ม ๆ “คิดมิถึงว่าซ่างกวนอวิ๋นซีจะรับพวกเจ้าไว้ ทำเอาข้าประหลาดใจเสียจริง มิน่า ข้ากลับมาเมืองหลวงแล้วหาตัวพวกเจ้ามิพบ”เย่ชางสิงและคูมู่ยิ้มขื่นหากเลือกได้ พวกเขาคงมิอยากไปอยู่หอดารารักษ์ฉินอู๋ต้าวกล่าว “องค์รัชทายาท คนมาแล้ว คนที่ลอบทำร้ายเจ้าคือคนทั้งสองนี้หรือ?”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ คนทั้งสองลอบทำร้ายลูกระหว่างทางไปเป่ยเหลียง หากมิได้รับการคุ้มครองจากเสวี่ยเจี้ยน ลูกคง...”“บังอาจลอบทำร้ายองค์รัชทาย
เขาคุกเข่าลง กล่าวกับฉินอู๋ต้าว “เสด็จพ่อ คนทั้งสองนี้มาจากหอดารารักษ์ พวกเขามาเพื่อก่อกวนราชวงศ์ต้าเหยียน เสด็จพ่อทรงอย่าได้หลงกลพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”ฉินหยางเข้าใจทันทีหากโยงเรื่องนี้ไปถึงเป่ยเยี่ยนและหอดารารักษ์ วิกฤตนี้ย่อมคลี่คลายได้!เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็รีบพูด “น้องสี่พูดถูก เสด็จพ่อ หอดารารักษ์คือสุนัขรับใช้ของราชสำนักเป่ยเยี่ยน การส่งคนทั้งสองมาก็เพื่อยุแหย่ให้เราแตกแยก พวกเขาจะได้ฉวยโอกาส ขอเสด็จพ่อทรงโปรดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อย่าได้หลงกลคนชั่วพ่ะย่ะค่ะ”“องค์รัชทายาท ท่านช่างต่ำช้า สมคบกับหอดารารักษ์ ท่านกำลังทรยศแคว้น!”“ขอเสด็จพ่อโปรดถอดถอนองค์รัชทายาท จับขังคุก และนำคนของหอดารารักษ์ไปประหารด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินหยางและฉินหงพูดด้วยความลนลานฉินซูหัวเราะเย็นเยือก “พวกเจ้ามิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เย่ชางสิง เจ้านำจดหมายที่ติดต่อกับฉินหยางออกมาเสียสิ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินหยางก็หน้าซีด พลันเหงื่อผุดท่วมแผ่นหลังเย่ชางสิงมีสีหน้าลำบากใจ “องค์รัชทายาท จดหมายเหล่านั้นข้าน้อยมิได้นำมา หากกลับไปนำมาคงต้องใช้เวลาสองวันพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูหน้าแหยเย่ชางสิง
จูฟางตกใจ พลันรีบพูด “ฝ่าบาท ข้าน้อยเป็นหัวหน้าโจรสลัดที่เหยี่ยนโจว ก่อนหน้านี้ได้ยินคนบอกว่า มีเรือสินค้าจากเหลียงโจวขนเสบียงข้าวแปดพันต้านและเงินหกแสนตำลึงลงใต้เพื่อบรรเทาภัยพิบัติและเป็นคนกลุ่มนี้เองที่ส่งข่าวแก่สายลับกลุ่มผีพรายของเราในครานี้พ่ะย่ะค่ะพวกเขายังบอกใบ้แก่พวกข้าน้อยว่า เรือลำนั้นไม่มีทหารคุ้มกัน อีกทั้งยังบอกว่าทางการเหยี่ยนโจวจะมิยุ่ง ให้พวกเรากระทำการได้อย่างเต็มที่ภายหลังข้าน้อยสืบดู ก็เป็นเช่นที่พวกเขาว่า ข้าน้อยจึงคิดจะปล้นเรือลำนั้น ขอฝ่าบาททรงเมตตาข้าน้อยด้วยเถิด ข้าน้อยเพิ่งทำผิดเป็นครั้งแรกพ่ะย่ะค่ะ”เขาพูดจบก็ก้มหัวคนอื่น ๆ ต่างขอความเมตตา“ขอฝ่าบาททรงเมตตา ข้าน้อยเป็นคนสนิทของท่านอ๋องซิ่น เพียงแต่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ข้าน้อยหาได้มีความผิดไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋องฉี พวกเราแค่ทำตามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”ฉินหยางโกรธจัด “พวกเจ้าใส่ร้ายข้า ข้าสั่งพวกเจ้าไปปล้นเรือเมื่อใด พวกเจ้ามันชั่วช้าสามานย์ยิ่งกว่าหมูกว่าหมา มีหน้ามาใส่ร้ายข้า หรือพวกเจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่กันแล้ว!”ฉินอู๋ต้าวถามคนเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเ
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ