หวังฉือเพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จ กำลังจะกลับไปที่ห้องตำราในขณะนั้นคนรับใช้ก็มารายงานว่า "ใต้เท้าหวัง ท่านเสนาธิการหลิวมาขอพบ บอกว่ามีเรื่องด่วนขอรับ""หลิวเว่ยมาหรือ? เชิญเขาเข้ามาเร็ว""ขอรับ!"ครู่ต่อมา หลิวเว่ยก็เดินพรวดพราดเข้ามา "ใต้เท้าหวัง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เมื่อครู่ศาลต้าหลี่ของเราได้รับจดหมายนิรนาม เนื้อความดูหมิ่นเบื้องสูง ข้าน้อยมิกล้าตัดสินใจเอง จึงต้องมาปรึกษาท่าน"เขาพูดพลางยื่นจดหมายให้หวังฉือกวาดตาอ่านพร้อมด้วยสีหน้าตกตะลึง!"เหลวไหล เมืองหลวงอยู่ใต้พระบาทองค์จักรพรรดิ ยังมีคนกล้าพูดจาบจ้วงเช่นนี้ คนส่งจดหมายเป็นใครกัน?""มิเห็นตัวคน เพียงแต่ถ้อยความหมิ่นเบื้องสูงเช่นนี้ หากมิระวังอาจจะถูกบั่นคอได้ ใต้เท้าหวัง ท่านคิดว่าใครเป็นคนทำ?"หวังฉือหรี่ตาลง กล่าวว่า "ช่วงนี้ในราชสำนัก องค์รัชทายาทกำลังตกเป็นจุดสนใจ เกรงว่าจะมีคนใช้เรื่องนี้ใส่ร้ายพระองค์ มิได้การ ข้าต้องไปหาเนี่ยหงที่สำนักผู้ตรวจการ"พูดจบเขาก็รีบร้อนออกจากประตูไปแต่เมื่อถึงหน้าประตูจวน ก็เห็นเนี่ยหงเดินมาอย่างรีบร้อน"ใต้เท้าเนี่ย ข้ากำลังจะไปหาท่านพอดี ท่านมาได้อย่างไร?"เนี่ยหงกล่าวด้วยสีหน้าเค
หวังฉือกล่าวด้วยความจริงจัง "ข้ากังวลว่า หลังจากที่องค์รัชทายาทเสด็จกลับมา องค์จักรพรรดิจะทรงกดดันพระองค์หนักขึ้น!"เนี่ยหงโบกมือ "พูดตอนนี้ยังเร็วเกินไป บางทีช่วงนี้องค์รัชทายาทอาจจะสร้างความดีความชอบมากมาย จนองค์จักรพรรดิทรงพอพระทัยแล้วก็เป็นได้!""ที่พูดก็มีเหตุผล เอาเถิด คอยดูว่าองค์จักรพรรดิจะทรงมีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากที่องค์รัชทายาทเสด็จกลับมา"......ในขณะเดียวกันภายในจวนอ๋องหนิงฉินเซียวถามองครักษ์ข้างกาย "อวี๋เฟิงไปไหน เหตุใดยังมิกลับมา?"องครักษ์กล่าวอย่างนอบน้อม "ทูลท่านอ๋องหนิง อวี๋เฟิงลาพักผ่อนสองสามวัน บอกว่ามีธุระกลับบ้านเกิด ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว เกรงว่าเขาจะกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ""เช่นนั้นหรือ แล้วตอนนี้ข้างนอกมีความเคลื่อนไหวใดบ้าง?""ทูลท่านอ๋องหนิง บ่ายวันนี้ ถ้อยคำหมิ่นเบื้องสูงแพร่กระจายไปทั่วโรงเหล้า โรงน้ำชา บัดนี้ทุกที่ที่ผู้คนพลุกพล่านในหลงเฉิง ต่างก็พูดถึงเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ"ฉินเซียวเผยรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย "ดีมาก กลยุทธ์ของหมู่เฟยนั้นช่างเยี่ยมยอด ทำเช่นนี้ จดหมายขององค์รัชทายาทก็เป็นเพียงเศษกระดาษ มิอาจเป็นภัยต่อข้าได้อีก!"พูดจบก็สั่งองครักษ์ "เจ้าจงไ
ฉินอู๋ต้าวเปรียบเทียบจดหมายทั้งสองฉบับอย่างละเอียดแล้วโมโหหนัก!"อ๋องหนิงเอ๋ย กล้ามากที่พูดจาบจ้วงเช่นนี้ เฉาฉุน เรียกฉินเซียวเข้าวัง ข้าจะถามเขาต่อหน้าเอง!""รับพระบัญชา เรียกอ๋องหนิงเข้าเฝ้า!"หนึ่งชั่วยามต่อมาฉินเซียวก็เดินมาถึงเขากำลังจะคุกเข่าทำความเคารพ ฉินอู๋ต้าวก็ขยำจดหมายในมือแล้วปาใส่เขา"ลูกทรพี! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาวิจารณ์ข้า เจ้าคงปีกกล้าขาแข็งมากขึ้นแล้วงั้นสิ!"ฉินเซียวแสร้งทำเป็นตกใจ จากนั้นก็เปิดจดหมายอ่าน ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางบริสุทธิ์ใจ "เสด็จพ่อ ลูกมิผิด ลูกมิได้เขียนจดหมายนี้พ่ะย่ะค่ะ""หึ ๆ ท่านอ๋องหนิง ถึงตอนนี้ท่านยังจะปฏิเสธอีกหรือ? ข้าน้อยจำลายมือของท่านได้แม่นยำ อีกทั้งยังมีจดหมายของท่านเป็นหลักฐาน ท่านจะแก้ตัวกระไรอีก!""ใต้เท้าเผย ข้ากับเจ้าถือเป็นสหายสนิทชิดเชื้อ ไฉนเจ้าจึงใส่ร้ายข้าเช่นนี้เล่า..."ก่อนที่ฉินเซียวจะพูดจบ เผยหยวนก็กล่าวด้วยโทสะ "ก่อนหน้านี้ข้าน้อยดวงตามืดบอด จึงได้คบกับคนอกตัญญูเช่นท่าน""ก่อนหน้านี้เคยได้ยินท่านพูดถึงความผิดของฝ่าบาท ตอนนั้นข้าน้อยยังคิดว่าท่านเมาแล้วพูดจาเลอะเทอะ แต่คิดมิถึงว่าท่านจะบ้าคลั่งถึงขนาดนำคำพูดเหล่า
หวังฉือกล่าวด้วยความเคร่งขรึม "ข้ารู้สึกว่ามันผิดปกติไปหมดทุกอย่าง หากจดหมายเป็นของอ๋องหนิงจริง เหตุใดเขาจึงส่งจดหมายให้ข้ากับท่าน อีกทั้งยังให้เผยหยวนถวายฎีกาถอดถอนเขาต่อหน้าธารกำนัลอีก เขาทำเช่นนี้ก็เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเอง!"เนี่ยหงเองก็คิดมิตกเช่นกัน จึงกล่าวพึมพำ "หรือว่า… มีผู้อื่นใส่ร้ายอ๋องหนิง?"หวังฉือส่ายหน้าเล็กน้อย "ไม่มีทาง อ๋องหนิงเข้ากับคนในราชสำนักได้ทุกฝ่าย ไฉนจึงมีคนใส่ร้ายเขาเล่า"เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของหวังฉือก็มืดครึ้มลง กล่าวอย่างเคร่งขรึม "หรือว่านี่จะเป็นกับดักที่อ๋องหนิงสร้างขึ้นเอง เพื่อลากองค์รัชทายาทลงมาด้วย!"เนี่ยหงถามด้วยความสงสัย "ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?"หวังฉืออธิบาย "ข้าก็พูดมิถูก แต่ข้ารู้สึกว่าจุดประสงค์ของอ๋องหนิงต้องเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน"เนี่ยหงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าช้า ๆ"หากท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้ เพราะช่วงนี้อ๋องหนิงเสียท่าต่อองค์รัชทายาทหลายครั้งหลายครา คนที่เขาอยากจะแก้แค้นมากที่สุดก็คือองค์รัชทายาท""น่าเสียดายที่ยามนี้พวกเรายังมิรู้ว่าอ๋องหนิงจะทำการใดต่อไป ได้แต่คอยจับตาด
หลังจากมองอีกฝ่ายเดินออกไปจนลับสายตา สีหน้าของเสียนเฟยก็แปรปรวนนางมิคิดว่าฉินอู๋ต้าวจะสงสัย นี่มิใช่ลางดีนางครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็เผยสีหน้าเด็ดเดี่ยว!จากนั้นนางจึงกระซิบกับนางรับใช้ข้างกาย "ข้าจะออกจากวัง เจ้ารีบจัดการให้ข้าที!""บ่าวจะไปจัดการให้เพคะ พระสนมโปรดคอยสักครู่"นางรับใช้คำนับแล้วรีบเดินออกไปเสียนเฟยถอดชุดคลุมหงส์ออก และเปลี่ยนเป็นชุดนางกำนัลประมาณครึ่งชั่วยามต่อมาขันทีน้อยหลายคนก็แบกเกี้ยวมาที่หน้าประตูวังองครักษ์ที่เฝ้าประตูเห็นดังนั้นก็ยื่นมือออกมาขวาง"ท่านขันที ผู้ใดอยู่ในเกี้ยวหรือ?""เรียนรองหัวหน้าองครักษ์เฉิน ในเกี้ยวคือนางกำนัลคนสนิทของพระสนมเสียนเฟย นางมีธุระที่บ้าน พระสนมเสียนเฟยประทานอนุญาตให้นางออกจากวัง นี่คือป้ายประจำพระองค์ของพระสนมเสียนเฟย ขอรองหัวหน้าองครักษ์เฉินอำนวยความสะดวกด้วย"ขันทีน้อยคนหนึ่งพูดพลางยื่นป้ายประจำตัวของเสียนเฟยให้พร้อมกันนั้นก็ยัดเงินเล็กน้อยใส่มืออีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบองครักษ์มองดูแล้วก็เข้าใจความหมาย กล่าวว่า "เปิดม่านเกี้ยว ข้าจะตรวจตามระเบียบ""ขอรับ!"ขันทีน้อยเปิดม่านเกี้ยว ฝ่ายองครักษ์ก็มองเข้าไปพอเป็
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ฉางก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พลันมองไปที่นอกประตูเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร เขาก็กระซิบตำหนิ "เจ้าอยากจะฆ่าพวกเราหรือไร บอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว อย่าเอ่ยเรื่องนี้ออกมา!"เสียนเฟยสะอื้นไห้ สีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อเห็นดังนั้น ฉินอู๋ฉางก็ถอนหายใจเบา ๆ ดึงนางเข้ามาสวมกอดเสียนเฟยซบไหล่เขา ร้องไห้หนักกว่าเดิมฉินอู๋ฉางปลอบโยนสองสามคำ แล้วถามว่า "เจ้ายอมเสี่ยงโดนฝ่าบาทจับได้เพื่อมาถึงที่นี่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเซียวเอ๋อร์หรือ?""เขาถูกฝ่าบาทสั่งขังในคุกหลวง..."นางพูดยังมิทันจบ ฉินอู๋ฉางก็อุทาน "ว่ากระไรนะ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่!"เสียนเฟยก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหลังจากฟังนางเล่า ฉินอู๋ฉางก็ขมวดคิ้ว"ไฉนเซียวเอ๋อร์จึงได้โง่เขลาเช่นนี้ เขียนจดหมายถึงหัวหน้าชนเผ่าโครยอ เนื้อความในจดหมายยังบอกให้ลงมือกำจัดองค์รัชทายาท ซ้ำยังให้สัญญาว่าเมื่อขึ้นครองราชย์จะยกเมืองให้เขาเพื่อกอบกู้บ้านเมือง เขามิรู้หรือว่านี่เป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้นถูกประหารชีวิต!!""แล้วเจ้ายังคิดแผนกระไรเช่นนี้ ให้คนเลียนแบบลายมือของเซียวเอ๋อร์ เขียนถ้อยคำหมิ่นเบื้องสูง เจ้าคิดว่านี่จะหลอก
“ท่านฝึกฝนจนถึงขั้นได้ยอดฝีมือระดับสวรรค์แล้วหรือเพคะ?”ฉินอู๋ฉางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ถึงแม้จะพึ่งโอสถ แต่พลังของพวกเขาก็อยู่ในระดับสวรรค์จริง ๆ น่าเสียดายที่ฤทธิ์ยามิค่อยเสถียรนัก”“โอสถที่ถึงกับเพิ่มพลังถึงระดับสวรรค์ได้ ท่านได้มาจากที่ใดกัน?”เสียนเฟยตกใจมาก แม้นางจะมิเข้าใจวรยุทธ์ แต่ก็รู้ว่าระดับสวรรค์นั้นน่ากลัวเพียงใดฉินอู๋ฉางกล่าวอย่างภาคภูมิ “แน่นอนว่ามาจากเงื้อมมือของปราชญ์โอสถแห่งหุบเขาเทพโอสถ!”“ว่ากระไรนะ?! เทพโอสถก็อยู่ที่นี่กับท่านงั้นหรือ?”“ถูกต้อง ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน เขาก็ถูกข้าจับตัวมาปรุงยาเพิ่มพลังยุทธ์ให้กับข้าลับ ๆ”เสียนเฟยจึงเอ่ยพึมพำ “มิน่า ที่งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮา เทพโอสถจึงมิปรากฏตัว เมื่อต้นปีเขาเคยบอกว่าจะถวายโอสถอายุวัฒนะแก่ฝ่าบาทในงานเฉลิมพระชนมพรรษาของไทฮองไทเฮา ต่อมาฝ่าบาทส่งคนไปตามหาเขาก็หาได้มีข่าวคราวไม่ นึกมิถึงว่าจะถูกท่านจับตัวไว้!”“หึ ในใต้หล้านี้มีโอสถอายุวัฒนะเสียที่ไหน ข้าว่าฉินอู๋ต้าวเป็นจักรพรรดิจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว เมื่อข้าฝึกฝนยอดฝีมือระดับสวรรค์ได้มากพอ ข้าจะบุกเข้าวัง บีบให้ฉินอู๋ต้าวสละราชสมบัติ!
เห็นเพียงร่างทั้งสองที่พุ่งเข้ามาดุจลูกธนู แต่เมื่อมาถึงกลางทาง ร่างกายก็แข็งทื่อ ล้มลงมาจากอากาศเมื่อเห็นภาพนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง!เมื่อครู่พลังที่ระเบิดออกมาจากร่างทั้งสองนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งแต่บัดนี้พวกเขากลับล้มลงกับพื้น เกิดอันใดขึ้น?ท่ามกลางสายตาที่งุนงงของทุกคน ร่างกายของคนทั้งสองก็เริ่มพองตัวอย่างรุนแรง แม้แต่อาภรณ์ก็เริ่มขาดวิ่น!เมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูก็สั่ง “หลบ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ก็รู้สึกถึงลางร้าย รีบหลบหลังหินก้อนใหญ่ข้างทางหลังจากที่พวกเขาหลบได้ ก็ได้ยินเสียงระเบิดดัง ‘เปรี้ยง เปรี้ยง’ สองครั้ง!จากนั้นก็มีลมพายุพัดผ่านไป ฝุ่นและหินปลิวว่อนไปทั่วครู่ต่อมา ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ก็ออกมาจากหลังก้อนหินเห็นเพียงพื้นดินที่คนทั้งสองอยู่เมื่อครู่ ถูกระเบิดเป็นหลุมสองหลุมรอบ ๆ หลุมเต็มไปด้วยเศษเนื้อและแขนขา น่าสยดสยองถานเหวยและคนอื่น ๆ ที่มิเคยเห็นความโหดร้ายของสงคราม ก็พลันท้องไส้ปั่นป่วนและอาเจียนมิหยุดตงฟางโซ่วพึมพำอย่างเหลือเชื่อ "เมื่อครู่สองคนนั้นระเบิดตัวเองหรือ?!""วิธีการตายน่าสยดสยองเช่นนี้ ข้าเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก พวก
หลูเฟิงขมวดคิ้วกล่าว "ธนูพวกนี้รูปร่างประหลาดถึงเพียงนี้ จะใช้สังหารศัตรูได้หรือไม่ก็ยังมิรู้ ของพวกนี้คงปราบกองทัพหนานเยวี่ยแสนนายที่อยู่นอกประตูเมืองทิศเหนือมิได้หรอกกระมัง?""หึหึ ท่านแม่ทัพหลูยังมิทราบสินะ องค์รัชทายาทของเราตรัสว่า การมาเจียวโจวครั้งนี้ของพระองค์มิเพียงแต่จะปราบกองทัพหนานเยวี่ยแสนนายให้ราบคาบ แต่ยังจะบุกเข้าไปในใจกลางหนานเยวี่ยแล้วยึดครองหนานเยวี่ยทั้งแคว้นในคราเดียว!""กระไรนะ? ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งแคว้นในคราเดียว?!"สีหน้าของหลูเฟิงยิ่งทวีความประหลาดใจมากขึ้น จากนั้นจึงกล่าวอย่างเคลือบแคลง "ท่านรองแม่ทัพหู ท่านมิได้พูดจาเลื่อนลอยใช่หรือไม่ องค์รัชทายาทจะตรัสคำพูดไร้สาระเช่นนั้นได้อย่างไร?"หูก่วงเซิงหัวเราะน้อย ๆ "ข้าเป็นแค่รองแม่ทัพต่ำต้อย จะกล้ากุข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาทได้อย่างไรคำพูดเหล่านี้เป็นความจริงที่องค์รัชทายาทตรัสด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังตรัสในท้องพระโรงต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและขุนนางน้อยใหญ่ทั้งราชสำนัก"หลูเฟิงบ่นพึมพำอย่างอดมิได้ "องค์รัชทายาททรงเห็นเรื่องสนามรบเป็นเรื่องง่ายเกินไปกระมังพวกเราประจันหน้ากับกองทัพหนานเยวี่ยที่อยู่ด้านนอกมาน
มินานนัก ตี๋จิ่งก็ถีบเท้าออกจากอานม้า ร่างพุ่งทะยานออกไปราวกับลูกธนูเขาพลิกตัวกลางอากาศ ลงมายืนอยู่หน้ามู่หรงจื่อเยียนได้อย่างมั่นคงม้าของมู่หรงจื่อเยียนตกใจ รีบหยุดลงทันที"ท่านหญิง เจียวโจวเป็นสมรภูมิรบ ท่านจะไปที่นั่นมิได้พ่ะย่ะค่ะ!""ท่านลุงจิ่ง ข้าต้องไปเจียวโจวให้ได้ หากท่านขวางข้า ข้าจะตายต่อหน้าท่าน!"มู่หรงจื่อเยียนพูดจบก็หยิบกริชออกมาจ่อที่คอของตนเมื่อเห็นดังนั้น ตี๋จิ่งก็ตกใจหน้าซีด รีบโบกมือกล่าว "ท่านหญิงอย่าร้อนใจไปพ่ะย่ะค่ะ""เช่นนั้นท่านก็อย่าขวางทางข้า หากท่านกล้าสกัดจุดข้าแล้วพาข้ากลับไป ข้าหลุดพ้นเมื่อไร ข้าจะฆ่าตัวตายทันที!"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตี๋จิ่งและคนอื่น ๆ ก็เหงื่อแตกพลั่กทันใดพวกเขาเพิ่งรู้ว่ามู่หรงจื่อเยียนมีนิสัยแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ตี๋จิ่งถามอย่างระมัดระวัง "ท่านหญิง ที่ท่านหญิงไปเจียวโจว ก็เพื่อฉินซูผู้นั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?"มู่หรงจื่อเยียนเม้มริมฝีปากแดงระเรื่อ มิได้กล่าวสิ่งใดเมื่อเห็นมู่หรงจื่อเยียนยอมรับโดยนัย ตี๋จิ่งและพวกก็แสดงสีหน้าแตกต่างกันไปทว่าเวลานี้ หากคิดจะพามู่หรงจื่อเยียนกลับไปโดยใช้กำลัง เห็นทีคงเป็นไปมิได้เมื่อจนปัญญา
มู่หรงฟู่เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเกิดเรื่องขึ้นที่เป่ยเยี่ยนจริง ๆ มิฉะนั้นเสด็จพ่อของเขาคงมิส่งคนนำจดหมายฉบับนั้นมาให้เขาหรอกและคงมิปล่อยให้เขาพักพิงอยู่ในต้าเหยียนต่อไปเช่นนี้ตี๋จิ่งและคนอื่น ๆ ต่างแสดงสีหน้าขมขื่น กล่าวว่ามิกล้า ๆ ซ้ำ ๆมู่หรงฟู่แค่นเสียงในลำคอ "มิกล้าก็ดี วันนี้อากาศดีจริง ๆ จื่อเยียน พวกเราออกไปเดินเล่นกันดีกว่า"มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าแล้วเดินตามมู่หรงฟู่ออกจากโรงเตี๊ยมไปตี๋จิ่งและพรรคพวกมองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็เดินตามไปด้วยหน้าที่ของพวกเขาคือปกป้องมู่หรงจื่อเยียนเมื่อถึงตลาดมู่หรงจื่อเยียนก็ได้ยินจากชาวบ้านว่า ฉินซูนำทหารม้าหุ้มเกราะชั้นยอดลงใต้ไปช่วยเหลือเมืองเจียวโจวแล้ว!นางรีบหันไปถามมู่หรงฟู่ "เสด็จพี่ห้า กองทัพหนานเยวี่ยเก่งกาจมากหรือไม่เพคะ?"มู่หรงฟู่ยักไหล่ "หนานเยวี่ยอยู่ห่างจากเป่ยเยี่ยนของเราโดยมีต้าเหยียนขวางกั้น ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขามีกำลังพลเท่าไร"ตี๋จิ่งกล่าวเสริม "ท่านหญิง กองทัพหนานเยวี่ยเชี่ยวชาญการขี่ม้า ยิงธนู อีกทั้งเกราะหวายและโล่ยังทนทานต่อคมหอกคมดาบอย่างยิ่ง นับว่าเป็นศัตรูที่รับมือได้ยากอย่างแท้จริง กองทัพต้าเหยี
ระหว่างทางลงใต้สู่เมืองเจียวโจว ฉินซูและหูก่วงเซิงแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันมิใช่ว่าฉินซูอาศัยสถานะของตนแล้วแสร้งวางตัวสูงส่งกระไร แต่เป็นเพราะหูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ทำเหมือนมีตาอยู่กลางศีรษะ มิชายตามองฉินซูแม้แต่น้อยฉินซูรู้ดีแก่ใจ ลูกน้องของอ๋องฉู่พวกนี้มิได้คิดจะเหลียวแลตนตั้งแต่แรกถึงกระนั้นเขาก็มิได้คิดที่จะวางอำนาจข่มขู่หูก่วงเซิงและพวกพ้อง แต่กลับควบม้านำหน้าไปตามทางของตนถึงแม้เขาจะมิถือสา แต่สองพี่น้องตงฟางไป๋กลับนั่งมิติด เริ่มพึมพำออกมาเบา ๆ"ให้ตายสิ! ก็แค่ลูกน้องของอ๋องฉู่แท้ ๆ กลับวางท่าหยิ่งผยองต่อหน้าพระพักตร์องค์รัชทายาทถึงเพียงนี้ อยากจะตบหน้าสั่งสอนสักที!""ข้าก็เหมือนกัน โดยเฉพาะเจ้าหูก่วงเซิงนั่น องค์รัชทายาททรงอุตส่าห์รักษาท่าที มิอยากลดตัวไปถือสาหาความด้วย แต่เจ้านั่นกลับสำคัญตัวว่าเป็นบุคคลสำคัญไปได้ มองแล้วมันขึ้นจริง ๆ บ้าเอ๊ย!""แล้วอ๋องฉู่นั่นก็ท่าทางมิใช่คนดีกระไร ก่อนออกเดินทางก็เอาแต่กำชับนั่นนี่อยู่ได้..."ฉินซูเหลือบมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วตำหนิว่า "จะไปถือสาหาความกระไรกับพวกเขาเล่า ไปถึงเจียวโจว พวกเจ้าก็ตามข้าไประบายอารมณ์ในสนามรบก็สิ้นเรื่อง
สวี่จิ้นประสานมือกล่าว "องค์รัชทายาท ข้าน้อยจะกลับไปยังกรมโยธาธิการ ให้พวกเขารีบเร่งผลิตระเบิดสายฟ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พระองค์ทรงนำไปยังเจียวโจวได้มากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ!"ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย "ได้ พวกท่านไปทำธุระของตนเถิด"หวังฉือและคนอื่น ๆ ต่างทูลลาและจากไปเมื่อออกจากตำหนักบูรพา เหวินเยวี่ยนซานก็กล่าวด้วยใจกลัดกลุ้ม "การเดินทางครั้งนี้ขององค์รัชทายาทจะต้องอันตรายอย่างยิ่งเป็นแน่ หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับพระองค์ที่เจียวโจว ได้เป็นเรื่องใหญ่แน่""ใช่แล้ว อุตส่าห์โค่นอ๋องหนิงและพรรคพวกได้สำเร็จ ตอนนี้กลับขันอาสาไปออกรบเองเสียได้ มิเข้าใจเลยว่าพระองค์ทรงคิดกระไรอยู่"หวังฉือพูดเป็นเชิงปลอบโยน "ที่จริงพวกเรามิจำเป็นต้องหดหู่ถึงเพียงนี้ก็ได้ หากองค์รัชทายาททรงได้รับชัยชนะครั้งใหญ่กลับมา เรื่องราวในวันชุนเฟินปีหน้าก็จะถูกยกเลิกเป็นแน่ กล่าวได้ว่าองค์รัชทายาททรงกำลังต่อสู้เพื่อตัวพระองค์เองอยู่เช่นกัน!""ที่ท่านพูดมาก็ถูก ได้แต่หวังว่าองค์รัชทายาทจะทรงกลับมาโดยสวัสดิภาพ"......วันรุ่งขึ้นฉินซูพาพี่น้องตงฟางไป๋ไปยังกรมโยธาธิการหลังจากรถม้าสองสามคันที่บรรทุกธนูทดกำลังและระ
ฉินซูพยักหน้าจริงจัง "หากเป็นเพราะความผิดพลาดของลูก ทำให้การศึกที่เจียวโจวล่าช้า ลูกยินดีรับโทษตามกฎระเบียบของกองทัพพ่ะย่ะค่ะ!"ฉินอู๋ต้าวเคาะโต๊ะลงมติทันที "ดี! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมเถิด วันพรุ่งจงนำทหารม้าหุ้มเกราะที่อ๋องฉู่พากลับมาเคลื่อนทัพลงใต้ไปช่วยเหลือเจียวโจวเสีย!""ลูกน้อมรับพระบัญชา!"เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาแห่งชัยชนะก็วาบผ่านดวงตาของหม่าเถิงหลังเลิกประชุมราชสำนัก ฉินซูก้าวออกจากพระตำหนักจินหลวนด้วยท่าทีสงบและมั่นคงหวังฉือ เนี่ยหง และเหวินเยวี่ยนซานรีบตามไปเมื่อเห็นดังนั้น ฉินอวี่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "หึหึ ลมในราชสำนักเปลี่ยนทิศเร็วดีจริง ๆ เพียงสองสามเดือน จากองค์รัชทายาทชื่อเสียงฉาวโฉ่ก็ได้รับการสนับสนุนไปทั่วเสียแล้ว!""ได้รับการสนับสนุนไปทั่วกระไรกันพ่ะย่ะค่ะ ก็มีแต่หวังฉือกับพวกเท่านั้นที่พยายามประจบสอพลอ" หม่าเถิงแสดงท่าทีเหยียดหยามฉินอวี่เหลือบมองเขาผาดหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "เมื่อครู่เจ้าเพิ่งแอบช่วยข้า มิใช่ว่ากำลังประจบสอพลอเหมือนกันหรอกหรือไร?"หม่าเถิงกล่าวอย่างมีหลักการ "วิหคเลือกกิ่งไม้เพื่อเกาะพักฉันใด
เมื่อเห็นท่าทีที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยวของฉินซู หวังฉือและคนอื่น ๆ ก็ได้แต่กลืนคำพูดที่ติดค้างอยู่ที่ริมฝีปากกลับลงไป พร้อมทั้งส่ายหน้าถอนหายใจอย่างเงียบงันมิหยุดตอนนี้อ๋องฉีและพวกพ้องล่มจมแล้ว เช่นนั้นก็เป็นโอกาสดีที่จะเอาชนะใจผู้คนและเสริมสร้างอิทธิพลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นพวกเขามิเข้าใจเลยสักนิดว่า เหตุใดฉินซูจึงยืนกรานอาสานำทัพออกรบที่เมืองเจียวโจวในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้นี่มันเสียเวลาเปล่ามิใช่หรือในตอนนี้เองขุนนางวัยกลางคนในชุดสีแดงคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นมาเขาเอ่ยถามฉินซู "องค์รัชทายาททรงมีพระทัยเปี่ยมล้นด้วยความฮึกเหิม จิตวิญญาณนักสู้กล้าแกร่ง เห็นทีคงจะมีอาวุธลับเป็นแน่ หากเดินทางไปเมืองเจียวโจวครานี้มิสามารถขับไล่กองทัพหนานเยวี่ยได้ แต่กลับกลายเป็นภาระให้แม่ทัพฉงจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?"หวังฉือโต้กลับทันควัน "หม่าเถิง เจ้าเป็นเพียงผู้ดูแลจวนอ๋องฉีผู้ต่ำต้อย หาได้มีสิทธิ์พูดในที่แห่งนี้ไม่!"หม่าเถิงเองก็ตอบโต้อย่างวางตัวเหมาะสม "ใต้เท้าหวัง แม้ข้าน้อยผู้นี้จะเป็นเพียงผู้ดูแลจวนอ๋องฉี แต่เพราะบารมีขององค์รัชทายาท หลังจากสิ้นอำนาจอ๋องฉี ข้าน้อยก็ได้ถูกเลื่อนขั้นจากกรมขุนนางให้เป็นรอง
"เสด็จพี่ช่างมีความทะเยอทะยานนัก หรือท่านคิดอยากจะยึดครองทั้งแคว้นหนานเยวี่ยเล่า?"ฉินซูตอบโต้ด้วยคำพูดชวนให้ตะลึงงัน "หนานเยวี่ยเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ หากคิดจะยึดครองพวกมันทั้งหมด ก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปมิได้เสียทีเดียว""เป็นไปได้รึ นี่เสด็จพี่คิดจะทำสงครามยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยทั้งหมดจริง ๆ หรือ?!"ฉินอวี่ตกตะลึง แทบมิอยากเชื่อหูตนเองฉินซูพยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น "ถูกต้อง ก่อนหน้านี้เราไม่มีข้ออ้างดี ๆ การยกทัพไปโจมตีหนานเยวี่ยจึงขาดความชอบธรรม ทว่ายามนี้ หนานเยวี่ยรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของเราหลายครั้งแล้ว นี่เป็นโอกาสอันดีที่ทำให้เรามีเหตุผลในการโจมตีพวกมัน!"ได้ยินฉินซูกล่าวเช่นนั้น ขุนนางระดับสูงทั่วทั้งท้องพระโรงต่างส่งเสียงกระซิบกระซาบพึมพำกันเอง"เอ่อ องค์รัชทายาทถึงกับทรงคิดจะยกทัพโจมตีน่านเยวี่ยเลยหรือ? ความคิดนี้ดูจะรุนแรงเกินไปหน่อยกระมังพ่ะย่ะค่ะ?""นั่นสิ แคว้นหนานเยวี่ยเต็มไปด้วยเทือกเขาทอดยาวไร้สิ้นสุด ด่านป้องกันก็ล้วนตั้งอยู่บนเส้นทางสำคัญที่เป็นปราการธรรมชาติ ป้องกันง่ายแต่โจมตียาก การจะบุกฝ่าเข้าไปถึงใจกลางหนานเยวี่ยนั้น พูดง่ายแต่ทำยาก""พูดได้ถูกต้อง มิหนำ
ฉินอวี่เชิดคางขึ้นเล็กน้อย โต้ตอบอย่างมิเห็นด้วย "มันก็แค่ดอกไม้ไฟกับประทัดดัดแปลงเท่านั้น จะทรงพลังแค่ไหนกันเชียว?""อ๋องฉู่ ดอกไม้ไฟกับประทัดจะเทียบกับระเบิดสายฟ้าได้อย่างไร ระเบิดสายฟ้านั้น..."มิรอให้สวี่จิ้นพูดจบ ฉินอวี่ก็โบกมือปัด "ใต้เท้าสวี่มิจำเป็นต้องพูดให้มากความ ข้าทำศึกในสนามรบมาแปดเก้าปี เห็นคลื่นลมมาแล้วทุกรูปแบบ!"ได้ยินดังนั้น สวี่จิ้นก็ได้แต่กลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ปากลงคอไปฉินอวี่จึงหันไปประสานมือคารวะฉินอู๋ต้าวและกล่าวอีกครั้ง "เสด็จพ่อ สถานการณ์เมืองเจียวโจวมิอาจแก้ไขโดยง่าย ลูกนำทหารม้าหุ้มเกราะฝีมือชั้นยอดกลับมาจากการตรวจตราฝั่งตะวันออกแล้ว ขอเพียงเสด็จพ่อทรงอนุมัติ ลูกจะนำพวกเขาเร่งกรีธาทัพทั้งวันทั้งคืนเข้าช่วยเหลือเมืองเจียวโจวทันทีพ่ะย่ะค่ะ!""ท่านอ๋องฉู่ ข้าน้อยมิได้มีเจตนาจะดูหมิ่นพระองค์หรือทหารม้าหุ้มเกราะของพระองค์ ทว่ามีทหารทัพหนานเยวี่ยหนึ่งแสนนายปักหลักนอกเมืองเจียวโจว ท่านนำกองกำลังทหารม้าหุ้มเกราะเพียงน้อยนิดของท่านไป เกรงว่าคงเป็นการหยดน้ำดับไฟเท่านั้นกระมังพ่ะย่ะค่ะ?”เมื่อเผชิญกับความสงสัยของเหวินเยวี่ยนซาน ฉินอวี่ตอบกลับอย่างเย่อหยิ่ง "กองท