ตอนนี้ลูกศิษย์ระดับล่างคนนี้มีวาสนาได้พบ ก็ตกตะลึงจนพูดมิออกเมื่อหานฉีเห็นลูกศิษย์เหม่อมองซ่างกวนอวิ๋นซีอย่างว่างเปล่า เขาก็ก้าวเข้าไปขวางตรงหน้าพร้อมกับส่งสายตาดุศิษย์คนนั้นตกใจจนหัวใจเต้นแรง พลันรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหวาดกลัวหานฉีถามอย่างรำคาญ "มีเรื่องอันใด?"ศิษย์รายงานด้วยเสียงสั่นเครือ "เรียน… เรียนท่านผู้อาวุโสสาม มีผู้เฒ่าสองคนมาจากต้าเหยียน บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องการพบท่านเจ้าสำนัก”หานฉีแค่นเสียงเย็นชาและเอ่ยตำหนิ "บังอาจ! เจ้าคิดว่าใครก็จะมาพบท่านเจ้าสำนักหอดารารักษ์ของเราก็ได้ตามใจเช่นนั้นรึ? บอกพวกมันให้ไสหัวไป!”ศิษย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเพิ่มเติมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ "ทั้งสองคนอ้างว่ามาจากต้าเหยียน และมีของสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์แทนตัวมิตรสหายของท่านเจ้าสำนัก..."เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานฉีและทุกคนในห้องต่างตกตะลึงซ่างกวนอวิ๋นซีเองก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว ก่อนพยักหน้าให้หานฉีเมื่อเห็นดังนั้น หานฉีจึงสั่งศิษย์ด้วยน้ำเสียงเรียบ "พาบุคคลนั้นไปยังเรือนปีกข้าง แล้วบอกว่าท่านเจ้าสำนักจะไปพบในมิช้า“ขอรับ ศิษย์จะรีบไปแจ้ง!”ศิษย์ผู้นั้นโค้งคำนับอย่างนอบน้อม แล้ว
ซ่างกวนอวิ๋นซีมองพินิจคูมู่และเย่ชางสิง ความประหลาดใจฉายผ่านดวงตาอันงดงามภายใต้ผ้าคลุม!คูมู่และเย่ชางสิงเองก็มองไปยังซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง!เย่ชางสิงอดถามมิได้ว่า "ท่านคือเจ้าสำนักหอดารารักษ์จริงหรือ? เป็นไปมิได้กระมัง?"แม้ว่าในเวลานี้ซ่างกวนอวิ๋นซีจะสวมผ้าคลุมอยู่จนมิอาจมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางได้ชัดเจนแต่จากรูปร่างที่อ่อนช้อยสง่างาม และเสียงที่ไพเราะราวดนตรีสวรรค์ของนางก็สามารถบอกได้ชัดเจนแล้วว่านางเป็นสตรีเยาว์วัย!เจ้าสำนักของหอดารารักษ์ กลับกลายเป็นหญิงสาวอายุน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร?!พวกเขามิเคยคาดคิดมาก่อน!เพียะ!เย่ชางสิงถูกฝ่ามือของหานฉีตบจนลอยกระเด็นออกไปร่างของเขายังมิทันตกลงพื้นก็สำลักเลือดข้นสีแดงสดออกมาเต็มปาก ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษทันที!เมื่อเห็นเช่นนั้น คูมู่ก็รีบโค้งคำนับและกล่าวอย่างนอบน้อม "ท่านผู้อาวุโส โปรดยกโทษให้ด้วย เย่ชางสิงผู้นี้หยาบคาย หากมีสิ่งใดล่วงเกิน ขอท่านโปรดเมตตาให้อภัยด้วยเถิด"“ฮึ่ม เขาเป็นใคร? เป็นแค่มดปลวก กล้าดีอย่างไรมาตั้งคำถามกับเจ้าสำนักของเรา?”คูมู่รีบตะโกนบอกเย่ชางสิง "เย่ชางสิง หากเจ้าย
“จิวโม๋คงคืออาจารย์อาของเจ้าหรือ?”เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนอวิ๋นซี คูมู่ชะงักไปครู่หนึ่งชื่อเดิมของอาจารย์อาเขาคือจิวโม๋คงจริง ๆ แต่ตั้งแต่เขาเข้าอารามลอยฟ้าเสวียนคงและปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี ไม่มีใครกล้าเรียกชื่ออาจารย์อาโดยตรง ต่างเรียกด้วยนามทางธรรมทั้งสิ้นซ่างกวนอวิ๋นซีถือเป็นคนแรกที่กล้าเรียกเช่นนี้!หลังจากได้สติกลับมา คูมู่รีบพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านเจ้าสำนัก อาจารย์อาท่านนั้นของข้าชื่อจิวโม๋คงจริง ๆ”“เห็นแก่เขา เรื่องยุ่งยากในร่างของพวกเจ้า ข้าจะช่วยสักครั้ง”ขณะที่พูด ซ่างกวนอวิ๋นซีก็สะบัดมือเบา ๆคูมู่และเย่ชางสิงพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่จุดตันเถียนในทันทีจากนั้น มวลพลังใสโปร่งแสงก็หลุดออกจากร่างและลอยไปที่ฝ่ามือของซ่างกวนอวิ๋นซีในพริบตาเดียวเมื่อเห็นภาพนี้ คูมู่และเย่ชางสิงก็ต่างตกตะลึงจนพูดอะไรมิออก!โดยเฉพาะคูมู่ เขารู้ดีถึงพลังของอาจารย์อาของตน แต่ท่านผู้นั้นก็ยังมิสามารถจัดการกับพลังลี้ลับนี้ได้ทว่าบัดนี้ เพียงแค่ซ่างกวนอวิ๋นซีขยับนิ้วเบา ๆ พลังปราณอันยุ่งยากนี้ก็ถูกดูดออกมาได้ นี่มันวิชาเซียนอันใดกัน!ซ่างกวนอวิ๋นซีเพียงจ้องมองมวลพลังสองสายตรงหน้า ก่อ
คูมู่พูดอย่างช้า ๆ "หากท่านพูดเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้มาก เพราะทุกคนในเมืองหลงเฉิงต่างก็พูดกันว่า เบื้องหลังรัชทายาทไร้ค่ามียอดฝีมือคอยช่วยเหลืออยู่"เย่ชางสิงพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง "ถูกต้อง คงเป็นยอดฝีมือคนนั้นปลอมตัวเป็นเขาเพื่อกระทำการแทน และด้วยวิธีนี้ เขาก็สามารถยืมอำนาจจากผู้อื่นมาใช้อวดเบ่งได้"“หากมียอดฝีมือระดับสวรรค์อยู่เบื้องหลังรัชทายาทไร้ค่านั่นจริง ๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่… ผู้ที่สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์กับผู้อาวุโสซือคงคือยอดฝีมือระดับสวรรค์คนนั้น?”คำพูดของหานฉีดึงดูดความสนใจของทุกคนในหอดารารักษ์คูมู่และเย่ชางสิงมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง!เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังมิรู้เรื่องนี้เมื่อเห็นดังนั้นซ่างกวนอวิ๋นซีจึงเลิกคิ้วถามว่า "พวกเจ้าสองคนมาจากต้าเหยียน แต่กลับมิรู้เรื่องนี้เลยงั้นรึ?"เย่ชางสิงรีบอธิบายว่า "ท่านเจ้าสำนัก เราสองคนเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน ช่วงหลายวันที่ผ่านมาแทบมิได้พักผ่อนเลย ดังนั้นจึงมิได้ยินเรื่องนี้จริง ๆ ขอรับ"คูมู่พูดอย่างระมัดระวัง "แต่อย่างไรก็ตาม หากเบื้องหลังรัชทายาทไร้ค่ามีจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อยู่จริง ๆ บุตรแห่งนักปราชญ์และผู้อาวุโสซือค
หลังจากนั้น ทั้งสองถูกพาออกไปจากห้องเมื่อไปถึงข้างนอก พวกเขาถูกบังคับให้กลืนยาเม็ดหนึ่งนั่นคือโอสถเซียวเหยาสูตรลับของหอดารารักษ์ ซึ่งต้องกินยาแก้พิษทุกๆ เดือน มิเช่นนั้นปราณบริสุทธิ์ทั่วกายจะมลายหายสิ้น และกลายเป็นคนที่ไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิงคูมู่และเย่ชางสิงอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาพลังปราณที่ถูกฉินซูฝังเข้าในร่างเพิ่งถูกกำจัดออกไป เพียงพริบตาเดียวก็ถูกบังคับให้ทำงานที่หอดารารักษ์แทนเพิ่งหลุดจากปากเสือ ก็เข้าถ้ำหมาป่าจริง ๆ!หลังจากนั้นมินานซ่างกวนอวิ๋นซีก็เดินออกมาจากหอดารารักษ์ สายตาที่มองไปนั้นมุ่งหน้าไปสู่เมืองหลงเฉิงแห่งต้าเหยียน!……ลานหินแตกนอกเมืองอำเภอเหรากู่ในเวลานี้ ฉินซูได้กลับไปนานแล้วทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็พุ่งลงมาจากที่สูง!ชายผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีดำทั้งตัว ในมือถือตลับที่ฝังด้วยอัญมณีเจ็ดเม็ดเรียงกันเป็นรูปกลุ่มดาวหมีใหญ่เขาก็คือคนจากสำนักหอดูดาวหลวง!เมื่อเขามาถึงลานหินแตก สายตาคมดุจเหยี่ยวก็กวาดไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็วจากนั้นสายตาก็หยุดลงที่แอ่งเลือดแห่งหนึ่งที่อยู่มิไกลเขาเดินเข้าไป ยื่นมือไปแตะมันเบา แล้วพึมพำ "เลือดยังมิแข็งตัวดี กา
ใบหน้าของฉินซูเต็มไปด้วยความประหลาดใจจากนั้นเขาก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถามด้วยความสงสัย "กู้เสวี่ยเจี้ยน เจ้าคงมิได้พูดเกินจริงไปใช่ไหม? เรื่องที่หนานกงจื่อชินตายด้วยน้ำมือข้า ข้าบอกเจ้าคนเดียวเท่านั้น ส่วนซือคงเหยียนก็ตายไปแล้ว เขาไม่มีทางเอาเรื่องนี้ไปแพร่งพรายได้"“พูดเช่นนี้ แปลว่าท่านคิดว่าเป็นหม่อมฉันที่ปล่อยข่าวนี้งั้นหรือ?" กู้เสวี่ยเจี้ยนสีหน้าบูดบึ้ง รู้สึกมิพอใจเล็กน้อยฉินซูพึมพำ "คนที่รู้เรื่องนี้ นอกจากตัวข้าก็มีแค่เจ้า หากมิใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า"“หึ หากหม่อมฉันเป็นคนปล่อยข่าวจริง เรื่องนี้จะกระจายไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร? จากที่พ่อค้าและคนใช้บอกมา ตั้งแต่เมืองหลงเฉิงจนถึงเหลียงโจว เรื่องนี้ถูกเล่าขานกันจนทุกคนรู้กันหมดแล้ว”“เจ้าแน่ใจรึ? มิได้พูดเกินจริงไปใช่หรือไม่?”จนถึงตอนนี้ ฉินซูยังคงมิอยากจะเชื่อเพราะถึงอย่างไรเขาก็มั่นใจมากว่า ตอนที่สังหารหนานกงจื่อชิน ไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เลยดังนั้นหากเขามิพูดเรื่องนี้ ย่อมไม่มีใครรู้แต่ตอนนี้กู้เสวี่ยเจี้ยนกลับบอกว่า เรื่องนี้แพร่กระจายออกไปแล้ว เขาจะมิตกใจได้อย่างไรกู้เสวี่ยเจี้ยนกล่าวด้วยสีหน้าจร
กู้เสวี่ยเจี้ยนแค่นหัวเราะเบา ๆ "หึ ท่านก็พูดง่ายสิ ถานเหวยกับเซี่ยหลานมีพระราชโองการติดตัว จะกลับหลงเฉิงก่อนท่านได้อย่างไร หากองค์จักรพรรดิพิโรธขึ้นมา พวกเขาจะชี้แจงอย่างไร อย่างไรเสียท่านจะทำตามวิธีของหม่อมฉัน หรือพวกเราจะไปเป่ยเซียงด้วยกันทั้งแบบนี้ ท่านก็ตัดสินใจเอาแล้วกัน”เมื่อเห็นว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนยืนกรานเช่นนี้ ฉินซูจึงจำต้องยอม“ก็ได้ ทำตามที่เจ้าว่า เจ้าส่งพวกเขากลับเหลียงโจวก่อน แล้ววันพรุ่งเราค่อยไปเป่ยเซียงด้วยกัน”เมื่อเห็นฉินชูตอบตกลง กู้เสวี่ยเจี้ยนจึงพยักหน้าอย่างพอใจ“เช่นนั้นก็มิควรรอช้า หม่อมฉันจะกลับไปแจ้งพวกเขาเดี๋ยวนี้”กู้เสวี่ยเจี้ยนกระโดดขึ้นหลังม้าและเตรียมจะจากไปฉินซูก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน "เจ้าไม่มีอะไรจะถามข้าอีกแล้วหรือ?"กู้เสวี่ยเจี้ยนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนนึกอะไรบางอย่างได้ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เรื่องวุ่นวายระหว่างท่านกับเซี่ยหลาน หม่อมฉันไม่มีความสนใจจะรู้"พูดจบ นางก็ขี่ม้าจากไปโดยมิเหลียวหลังเมื่อนึกถึงตอนที่ฉินซูยอมรับออกมาที่ลานหินแตกว่าเซี่ยหลานเป็นผู้หญิงของเขา ในใจของกู้เสวี่ยเจี้ยนก็รู้สึกขมขื่นยิ่งนางมิเคยคาดคิดเลยว่า ทั้งส
สวีหลายเอ่ยถาม “มีเรื่องอันใด?”เฉิงผิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ตอบ “มินานมานี้ทั้งในและนอกราชสำนักต่างร่ำลือกันว่า องค์จักรพรรดิจะทรงปลดองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่งหลังจากวันชุนเฟินปีหน้า ข่าวลือนี้เป็นจริงหรือเท็จ?”“จริงแท้แน่นอน”“แต่ข้ามิเข้าใจ หากองค์รัชทายาทจะถูกปลดในปีหน้า เหตุใดอ๋องฉีและอ๋องซิ่นต้องเสียเวลาหาเรื่องใส่ร้ายองค์รัชทายาทด้วย? แค่รอให้ถึงวันชุนเฟินปีหน้าก็พอแล้วมิใช่หรือ?”เฉิงอิงกล่าว “คงเป็นเพราะช่วงนี้องค์รัชทายาททรงโดดเด่นขึ้นมา พวกเขาจึงอยู่เฉยมิได้กระมัง”สวีหลายพยักหน้าเล็กน้อย “ถูกต้อง สถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในพริบตา แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัยปลดองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่งรัชทายาทหลังจากวันชุนเฟินปีหน้า ทว่าตราบใดที่วันนั้นยังมิมาถึง ทุกอย่างย่อมมีโอกาสพลิกผัน อ๋องซิ่นและอ๋องฉีจะร้อนใจก็เป็นเรื่องปกติ”เฉิงผิงขมวดคิ้วบ่นพึมพำ “แต่ข้ายังสงสัยอยู่ดี เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงตัดสินพระทัยปลดองค์รัชทายาทในวันชุนเฟินปีหน้า? ในเมื่อทรงมีพระประสงค์เช่นนั้นแล้ว เหตุใดต้องรอถึงปีหน้า?”“ความคิดในพระทัยขององค์จักรพรรดิ ใครเลยจะคาดเดาได้”สวีหลายเ
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ