ครู่ต่อมา ร่างของซ่างกวนอวิ๋นซีก็ปรากฏตัวขึ้นในหอวิญญาณนางจ้องมองไปยังตะเกียงวิญญาณที่มืดดับไร้แสงบนแท่น ดวงตาคู่งามของนางเต็มไปด้วยความมิอยากจะเชื่อ!ในเวลานี้ หลายคนก็พากันเร่งรุดเข้ามาคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่อายุเกินหกสิบปีไปแล้ว พวกเขาสวมชุดคลุมยาวที่มีลวดลายคล้ายคลึงกับของซือคงเหยียนน่าประหลาดใจที่พวกเขาล้วนเป็นผู้อาวุโสแห่งหอดารารักษ์!สายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องไปที่โคมวิญญาณของซือคงเหยียนเป็นจุดเดียวกัน จากนั้นสีหน้าของแต่ละคนก็เผยแววตกตะลึง!“ท่านเจ้าสำนัก เหตุใดตะเกียงวิญญาณของท่านผู้อาวุโสซือคงถึง...”ผู้พูดมีนามว่าหลัวชาง เป็นผู้อาวุโสลำดับที่สี่ของหอดารารักษ์แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบก็หยุดไป เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าตะเกียงวิญญาณที่ดับลงหมายถึงอะไรซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยแววตาสั่นไหว "ผู้อาวุโสซือคงเดินทางลงใต้ไปยังแคว้นต้าเหยียนเมื่อมิกี่วันก่อน เพื่อตามหาผู้ที่สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ มิคาดคิดว่าฝีมือของอีกฝ่ายจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสซือคงก็ยัง… เฮ้อ!"หานฉีผู้อาวุโสลำดับที่สามกล่าวด้วยความสงสัยว่า "ท่านเจ้าสำนัก ตอนที่ผู้อาวุโสซือคงเดินทางไป ท่านมิ
ตอนนี้ลูกศิษย์ระดับล่างคนนี้มีวาสนาได้พบ ก็ตกตะลึงจนพูดมิออกเมื่อหานฉีเห็นลูกศิษย์เหม่อมองซ่างกวนอวิ๋นซีอย่างว่างเปล่า เขาก็ก้าวเข้าไปขวางตรงหน้าพร้อมกับส่งสายตาดุศิษย์คนนั้นตกใจจนหัวใจเต้นแรง พลันรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหวาดกลัวหานฉีถามอย่างรำคาญ "มีเรื่องอันใด?"ศิษย์รายงานด้วยเสียงสั่นเครือ "เรียน… เรียนท่านผู้อาวุโสสาม มีผู้เฒ่าสองคนมาจากต้าเหยียน บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องการพบท่านเจ้าสำนัก”หานฉีแค่นเสียงเย็นชาและเอ่ยตำหนิ "บังอาจ! เจ้าคิดว่าใครก็จะมาพบท่านเจ้าสำนักหอดารารักษ์ของเราก็ได้ตามใจเช่นนั้นรึ? บอกพวกมันให้ไสหัวไป!”ศิษย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเพิ่มเติมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ "ทั้งสองคนอ้างว่ามาจากต้าเหยียน และมีของสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์แทนตัวมิตรสหายของท่านเจ้าสำนัก..."เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานฉีและทุกคนในห้องต่างตกตะลึงซ่างกวนอวิ๋นซีเองก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว ก่อนพยักหน้าให้หานฉีเมื่อเห็นดังนั้น หานฉีจึงสั่งศิษย์ด้วยน้ำเสียงเรียบ "พาบุคคลนั้นไปยังเรือนปีกข้าง แล้วบอกว่าท่านเจ้าสำนักจะไปพบในมิช้า“ขอรับ ศิษย์จะรีบไปแจ้ง!”ศิษย์ผู้นั้นโค้งคำนับอย่างนอบน้อม แล้ว
ซ่างกวนอวิ๋นซีมองพินิจคูมู่และเย่ชางสิง ความประหลาดใจฉายผ่านดวงตาอันงดงามภายใต้ผ้าคลุม!คูมู่และเย่ชางสิงเองก็มองไปยังซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง!เย่ชางสิงอดถามมิได้ว่า "ท่านคือเจ้าสำนักหอดารารักษ์จริงหรือ? เป็นไปมิได้กระมัง?"แม้ว่าในเวลานี้ซ่างกวนอวิ๋นซีจะสวมผ้าคลุมอยู่จนมิอาจมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางได้ชัดเจนแต่จากรูปร่างที่อ่อนช้อยสง่างาม และเสียงที่ไพเราะราวดนตรีสวรรค์ของนางก็สามารถบอกได้ชัดเจนแล้วว่านางเป็นสตรีเยาว์วัย!เจ้าสำนักของหอดารารักษ์ กลับกลายเป็นหญิงสาวอายุน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร?!พวกเขามิเคยคาดคิดมาก่อน!เพียะ!เย่ชางสิงถูกฝ่ามือของหานฉีตบจนลอยกระเด็นออกไปร่างของเขายังมิทันตกลงพื้นก็สำลักเลือดข้นสีแดงสดออกมาเต็มปาก ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษทันที!เมื่อเห็นเช่นนั้น คูมู่ก็รีบโค้งคำนับและกล่าวอย่างนอบน้อม "ท่านผู้อาวุโส โปรดยกโทษให้ด้วย เย่ชางสิงผู้นี้หยาบคาย หากมีสิ่งใดล่วงเกิน ขอท่านโปรดเมตตาให้อภัยด้วยเถิด"“ฮึ่ม เขาเป็นใคร? เป็นแค่มดปลวก กล้าดีอย่างไรมาตั้งคำถามกับเจ้าสำนักของเรา?”คูมู่รีบตะโกนบอกเย่ชางสิง "เย่ชางสิง หากเจ้าย
“จิวโม๋คงคืออาจารย์อาของเจ้าหรือ?”เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนอวิ๋นซี คูมู่ชะงักไปครู่หนึ่งชื่อเดิมของอาจารย์อาเขาคือจิวโม๋คงจริง ๆ แต่ตั้งแต่เขาเข้าอารามลอยฟ้าเสวียนคงและปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี ไม่มีใครกล้าเรียกชื่ออาจารย์อาโดยตรง ต่างเรียกด้วยนามทางธรรมทั้งสิ้นซ่างกวนอวิ๋นซีถือเป็นคนแรกที่กล้าเรียกเช่นนี้!หลังจากได้สติกลับมา คูมู่รีบพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านเจ้าสำนัก อาจารย์อาท่านนั้นของข้าชื่อจิวโม๋คงจริง ๆ”“เห็นแก่เขา เรื่องยุ่งยากในร่างของพวกเจ้า ข้าจะช่วยสักครั้ง”ขณะที่พูด ซ่างกวนอวิ๋นซีก็สะบัดมือเบา ๆคูมู่และเย่ชางสิงพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่จุดตันเถียนในทันทีจากนั้น มวลพลังใสโปร่งแสงก็หลุดออกจากร่างและลอยไปที่ฝ่ามือของซ่างกวนอวิ๋นซีในพริบตาเดียวเมื่อเห็นภาพนี้ คูมู่และเย่ชางสิงก็ต่างตกตะลึงจนพูดอะไรมิออก!โดยเฉพาะคูมู่ เขารู้ดีถึงพลังของอาจารย์อาของตน แต่ท่านผู้นั้นก็ยังมิสามารถจัดการกับพลังลี้ลับนี้ได้ทว่าบัดนี้ เพียงแค่ซ่างกวนอวิ๋นซีขยับนิ้วเบา ๆ พลังปราณอันยุ่งยากนี้ก็ถูกดูดออกมาได้ นี่มันวิชาเซียนอันใดกัน!ซ่างกวนอวิ๋นซีเพียงจ้องมองมวลพลังสองสายตรงหน้า ก่อ
คูมู่พูดอย่างช้า ๆ "หากท่านพูดเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้มาก เพราะทุกคนในเมืองหลงเฉิงต่างก็พูดกันว่า เบื้องหลังรัชทายาทไร้ค่ามียอดฝีมือคอยช่วยเหลืออยู่"เย่ชางสิงพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง "ถูกต้อง คงเป็นยอดฝีมือคนนั้นปลอมตัวเป็นเขาเพื่อกระทำการแทน และด้วยวิธีนี้ เขาก็สามารถยืมอำนาจจากผู้อื่นมาใช้อวดเบ่งได้"“หากมียอดฝีมือระดับสวรรค์อยู่เบื้องหลังรัชทายาทไร้ค่านั่นจริง ๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่… ผู้ที่สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์กับผู้อาวุโสซือคงคือยอดฝีมือระดับสวรรค์คนนั้น?”คำพูดของหานฉีดึงดูดความสนใจของทุกคนในหอดารารักษ์คูมู่และเย่ชางสิงมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง!เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังมิรู้เรื่องนี้เมื่อเห็นดังนั้นซ่างกวนอวิ๋นซีจึงเลิกคิ้วถามว่า "พวกเจ้าสองคนมาจากต้าเหยียน แต่กลับมิรู้เรื่องนี้เลยงั้นรึ?"เย่ชางสิงรีบอธิบายว่า "ท่านเจ้าสำนัก เราสองคนเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน ช่วงหลายวันที่ผ่านมาแทบมิได้พักผ่อนเลย ดังนั้นจึงมิได้ยินเรื่องนี้จริง ๆ ขอรับ"คูมู่พูดอย่างระมัดระวัง "แต่อย่างไรก็ตาม หากเบื้องหลังรัชทายาทไร้ค่ามีจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อยู่จริง ๆ บุตรแห่งนักปราชญ์และผู้อาวุโสซือค
หลังจากนั้น ทั้งสองถูกพาออกไปจากห้องเมื่อไปถึงข้างนอก พวกเขาถูกบังคับให้กลืนยาเม็ดหนึ่งนั่นคือโอสถเซียวเหยาสูตรลับของหอดารารักษ์ ซึ่งต้องกินยาแก้พิษทุกๆ เดือน มิเช่นนั้นปราณบริสุทธิ์ทั่วกายจะมลายหายสิ้น และกลายเป็นคนที่ไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิงคูมู่และเย่ชางสิงอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาพลังปราณที่ถูกฉินซูฝังเข้าในร่างเพิ่งถูกกำจัดออกไป เพียงพริบตาเดียวก็ถูกบังคับให้ทำงานที่หอดารารักษ์แทนเพิ่งหลุดจากปากเสือ ก็เข้าถ้ำหมาป่าจริง ๆ!หลังจากนั้นมินานซ่างกวนอวิ๋นซีก็เดินออกมาจากหอดารารักษ์ สายตาที่มองไปนั้นมุ่งหน้าไปสู่เมืองหลงเฉิงแห่งต้าเหยียน!……ลานหินแตกนอกเมืองอำเภอเหรากู่ในเวลานี้ ฉินซูได้กลับไปนานแล้วทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็พุ่งลงมาจากที่สูง!ชายผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีดำทั้งตัว ในมือถือตลับที่ฝังด้วยอัญมณีเจ็ดเม็ดเรียงกันเป็นรูปกลุ่มดาวหมีใหญ่เขาก็คือคนจากสำนักหอดูดาวหลวง!เมื่อเขามาถึงลานหินแตก สายตาคมดุจเหยี่ยวก็กวาดไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็วจากนั้นสายตาก็หยุดลงที่แอ่งเลือดแห่งหนึ่งที่อยู่มิไกลเขาเดินเข้าไป ยื่นมือไปแตะมันเบา แล้วพึมพำ "เลือดยังมิแข็งตัวดี กา
ใบหน้าของฉินซูเต็มไปด้วยความประหลาดใจจากนั้นเขาก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถามด้วยความสงสัย "กู้เสวี่ยเจี้ยน เจ้าคงมิได้พูดเกินจริงไปใช่ไหม? เรื่องที่หนานกงจื่อชินตายด้วยน้ำมือข้า ข้าบอกเจ้าคนเดียวเท่านั้น ส่วนซือคงเหยียนก็ตายไปแล้ว เขาไม่มีทางเอาเรื่องนี้ไปแพร่งพรายได้"“พูดเช่นนี้ แปลว่าท่านคิดว่าเป็นหม่อมฉันที่ปล่อยข่าวนี้งั้นหรือ?" กู้เสวี่ยเจี้ยนสีหน้าบูดบึ้ง รู้สึกมิพอใจเล็กน้อยฉินซูพึมพำ "คนที่รู้เรื่องนี้ นอกจากตัวข้าก็มีแค่เจ้า หากมิใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า"“หึ หากหม่อมฉันเป็นคนปล่อยข่าวจริง เรื่องนี้จะกระจายไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร? จากที่พ่อค้าและคนใช้บอกมา ตั้งแต่เมืองหลงเฉิงจนถึงเหลียงโจว เรื่องนี้ถูกเล่าขานกันจนทุกคนรู้กันหมดแล้ว”“เจ้าแน่ใจรึ? มิได้พูดเกินจริงไปใช่หรือไม่?”จนถึงตอนนี้ ฉินซูยังคงมิอยากจะเชื่อเพราะถึงอย่างไรเขาก็มั่นใจมากว่า ตอนที่สังหารหนานกงจื่อชิน ไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เลยดังนั้นหากเขามิพูดเรื่องนี้ ย่อมไม่มีใครรู้แต่ตอนนี้กู้เสวี่ยเจี้ยนกลับบอกว่า เรื่องนี้แพร่กระจายออกไปแล้ว เขาจะมิตกใจได้อย่างไรกู้เสวี่ยเจี้ยนกล่าวด้วยสีหน้าจร
กู้เสวี่ยเจี้ยนแค่นหัวเราะเบา ๆ "หึ ท่านก็พูดง่ายสิ ถานเหวยกับเซี่ยหลานมีพระราชโองการติดตัว จะกลับหลงเฉิงก่อนท่านได้อย่างไร หากองค์จักรพรรดิพิโรธขึ้นมา พวกเขาจะชี้แจงอย่างไร อย่างไรเสียท่านจะทำตามวิธีของหม่อมฉัน หรือพวกเราจะไปเป่ยเซียงด้วยกันทั้งแบบนี้ ท่านก็ตัดสินใจเอาแล้วกัน”เมื่อเห็นว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนยืนกรานเช่นนี้ ฉินซูจึงจำต้องยอม“ก็ได้ ทำตามที่เจ้าว่า เจ้าส่งพวกเขากลับเหลียงโจวก่อน แล้ววันพรุ่งเราค่อยไปเป่ยเซียงด้วยกัน”เมื่อเห็นฉินชูตอบตกลง กู้เสวี่ยเจี้ยนจึงพยักหน้าอย่างพอใจ“เช่นนั้นก็มิควรรอช้า หม่อมฉันจะกลับไปแจ้งพวกเขาเดี๋ยวนี้”กู้เสวี่ยเจี้ยนกระโดดขึ้นหลังม้าและเตรียมจะจากไปฉินซูก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน "เจ้าไม่มีอะไรจะถามข้าอีกแล้วหรือ?"กู้เสวี่ยเจี้ยนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนนึกอะไรบางอย่างได้ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เรื่องวุ่นวายระหว่างท่านกับเซี่ยหลาน หม่อมฉันไม่มีความสนใจจะรู้"พูดจบ นางก็ขี่ม้าจากไปโดยมิเหลียวหลังเมื่อนึกถึงตอนที่ฉินซูยอมรับออกมาที่ลานหินแตกว่าเซี่ยหลานเป็นผู้หญิงของเขา ในใจของกู้เสวี่ยเจี้ยนก็รู้สึกขมขื่นยิ่งนางมิเคยคาดคิดเลยว่า ทั้งส
ฉงชูโม่มองซ้ายขวาแล้วกล่าว “บางทีอาจจะกลับค่ายทหารไปแล้วกระมัง เขาเป็นคนของอ๋องฉู่ การที่เห็นท่านสร้างความดีความชอบ คงรู้สึกมิพอใจอยู่บ้าง มิใช่เรื่องแปลกเพคะ”“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”ฉินซูเหลือบมองเหล่าทหารที่กำลังกินดื่มอย่างสำราญ จึงเอ่ยถาม “เจ้าคงมิได้ให้ทหารทั้งหมดเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยกระมัง?”“มิได้เพคะ นี่เป็นเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือล้วนเตรียมพร้อมอยู่แล้ว”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่ป่านนี้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีข่าวคราวมาจากทางคลังอาวุธเล่า?”ฉินซูขมวดคิ้ว รู้สึกถึงความผิดปกติฉงชูโม่จึงสั่งทหารข้างกาย “เจ้าจงไปดูลาดเลาที่คลังอาวุธทีว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่”“ขอรับ!”ทหารผู้นั้นรีบเร่งไปยังทิศทางคลังอาวุธมินานนัก เขาก็กลับมา“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ที่คลังอาวุธเป็นปกติดีขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่จึงอดมิได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น“แปลกจริง เป็นไปได้อย่างไรที่เติ้งหม่างจะอดทนได้ถึงขั้นนี้ มิส่งคนมาขโมยธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า?”“เป็นไปมิได้ เขารู้ว่าคืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย การป้องกันเมืองจึงหย่อนยานลง หากเขามิมาในคืนนี้ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้แ
หูก่วงเซิงหัวเราะเยาะ “ลำพังพวกเจ้าเพียงหยิบมือนี้น่ะหรือ? หึ ๆ ช่างประมาณตนสูงเสียจริง!”กำแพงเมืองเจียวโจวสูงหกถึงเจ็ดจั้ง เขามิคิดว่าหม่าเวยและคนเหล่านี้จะสามารถปีนขึ้นไปได้หม่าเวยกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “อย่างน้อยก่อนที่จะปะทะเข้ากับพวกเจ้า พวกเราก็ยังคงมั่นใจมากทีเดียว”“ฮ่า ๆ พวกโง่เขลาเอ๋ย เอาเถอะ ในเมื่อความดีความชอบมาประเคนให้ถึงปากประตูแล้ว มิรับไว้คงน่าเสียดายแย่ ใครก็ได้!”“ขอรับ!”“ปิดปากพวกมันทั้งหมด แล้วส่งคนสองสามคนไปเฝ้าพวกมันในป่าให้ดี!”“ท่านแม่ทัพหู ในเมื่อพวกมันเป็นสายสืบของหนานเยวี่ย ไฉนมิควบคุมตัวพวกมันกลับเมือง ไปส่งให้ท่านแม่ทัพใหญ่จัดการเล่าขอรับ?”หูก่วงเซิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “นำคนกลับไปยามนี้ แล้วพวกเราจะลอบโจมตีกองทัพหนานเยวี่ยต่อหรือไม่?”“จริงด้วย พวกมันถูกพวกเรามัดไว้แล้ว ไม่มีทางหลบหนีไปได้ ส่งคนไปเฝ้าพวกมันไว้ก็พอ รอจนกระทั่งพวกเราได้ชัยกลับมา ค่อยคุมตัวคนพวกนี้กลับเมือง เช่นนี้จะได้ความดีความชอบเพิ่มขึ้นอีกอย่างไรเล่า!”ดวงตาของหม่าเวยกลอกไปมา เอ่ยปากกล่าว “ท่าน… ท่านแม่ทัพหู ท่านแน่ใจหรือว่าจะลอบโจมตีกองทัพหนานเยวี่ยของพวกเรา?”“หากเป็นเช่
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี