ฉินซูมองไปที่เฉินจางด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ “ใต้เท้าเฉิน พวกเจ้ายืนงงอะไรกัน คงมิได้อยากให้ข้ากล่าวคำขอโทษพวกเจ้าหรอกใช่หรือไม่?”เฉินจางรีบพยักหน้าและโค้งคำนับแล้วพูดว่า “หามิได้ ๆ หามิได้พ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าจะกล้าถือโทษโกรธท่านได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท เหตุที่ทรงเข้าพระทัยผิดก็เพราะท่านทรงคำนึงถึงความรู้สึกของราษฎร นี่คือโชคดีของราษฎรพ่ะย่ะค่ะ”“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ หากราษฎรในพื้นที่ภัยพิบัติได้รู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องร้องเพลงสรรเสริญ และพระนามขององค์รัชทายาทก็จะเป็นที่จดจำตลอดไปอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”โจวเซินและขุนนางคนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มประจบประแจงเขาฉินซูแกล้งทำเป็นสนุกและพูดคุยไร้สาระกับพวกเขากู้เสวี่ยเจี้ยนที่อยู่อีกด้านคิ้วแทบจะขมวดเข้าหากัน นางคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกสายตาของฉินซูห้ามเอาไว้เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น นางจึงจำต้องทิ้งตัวลงนั่งลงข้าง ๆ ฉินซู จากนั้นก็รินสุรามาหนึ่งจอกแล้วยกซดหมดในอึกเดียวฉินซูกระซิบ “เจ้าจะทำท่าทางหดหู่เช่นนี้ไปไย?”“ยังจะกล้าถามอีกนะเพคะ ท่านจะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้หรือ?”
ในห้องรับรองของจวนผู้ว่าการมณฑล เฉินจางและคนอื่น ๆ ยังคงผลัดกันแลกจอกเหล้ากับฉินซูดื่มสุราและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน.หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็ม งานเลี้ยงอาหารค่ำก็สิ้นสุดลงในเวลานี้ สวี่โย่วไฉและขุนนางคนอื่น ๆ ต่างเมาจนฟุบคาโต๊ะแม้แต่ฉินซูก็ดูเหมือนจะเมาแล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น เซี่ยหลานก็ไปช่วยประคองฉินซูฉินซูโบกมือแล้วพูดว่า “ข้ามิเมา พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้า… อึก ข้าจะสอนคุณหนูเฉินท่องบทกวี!”ขณะที่พูดเขาก็สะอึกออกมาด้วยฤทธิ์น้ำเมา จากนั้นก็มองเฉินหว่านเอ๋อร์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาเมื่อเห็นเช่นนั้น เฉินจางก็ดีใจมากหากองค์รัชทายาทที่ดื่มจนเมามายใช้เวลายามค่ำคืนกับบุตรีของเขา เขาก็จะกลายเป็นพ่อตาขององค์รัชทายาทมิใช่หรือ?เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็รีบส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เฉินหว่านเอ๋อร์จากนั้นเจ้าตัวก็ตอบสนองด้วยการไปช่วยประคองฉินซูพร้อมรอยยิ้ม“องค์รัชทายาท ให้หม่อมฉันประคองไปที่ห้องรับรองด้านหลังเพื่อช่วยทำให้ท่านสร่างเมาเถิดเพคะ”ฉินซูพูดอย่างเมามาย “ก็… ก็ได้ รบกวนด้วย”เมื่อเห็นเฉินหว่านเอ๋อร์กอดแขนของฉินซูอย่างเสน่หา เซี่ยหลานก็หึงขึ้นมาและกำลังจะระเ
หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็นำหนังสือบัญชีวางกลับไปที่เดิมใจที่เป็นกังวลก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน“หึ ๆ ใช้หนังสือบัญชีปลอมมาหลอกข้าจริง ๆ ด้วย ฉินซูหนอฉินซู หากข้าใจมินิ่งพอก็คงจะตกหลุมพรางของเจ้าไปแล้ว!”หลังจากที่เขาพูดกับตัวเองจบก็หันหลังเดินออกไปเมื่อเขามาถึงประตูห้องโถงด้านข้าง เขาก็ถามสาวใช้ที่อยู่ตรงนั้นว่า “ตอนนี้หว่านเอ๋อร์กับองค์รัชทายาทกำลังทำอะไรอยู่?”“เรียนนายท่าน ดูเหมือนว่าคุณหนูกำลังล้างพระพักตร์ให้องค์รัชทายาทอยู่เจ้าค่ะ”“เจ้าจงไปบอกหว่านเอ๋อร์ให้นางคว้าโอกาสนี้ไว้ เพราะโอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง มิควรปล่อยให้หลุดมือไป”“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปแจ้งเดี๋ยวนี้”สาวใช้หันหลังเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วขณะนี้ ห้องรับรองด้านหลังเฉินหว่านเอ๋อร์กำลังเช็ดใบหน้าของฉินซูขณะที่นางล้างหน้าให้ฉินซู นางจงใจโน้มตัวเข้าใกล้เขามากจนหน้าอกหน้าใจอันใหญ่โตของนางแทบจะแนบแก้มของฉินซูอยู่รอมร่อฉินซูดื่มไปมิน้อย แม้เขาจะมิได้เมา แต่เลือดของเขาก็ยังคงเดือดพล่านอยู่ภายใต้อิทธิพลของฤทธิ์น้ำเมาหลังจากสังเกตเห็นสายตาที่เร่าร้อนของฉินซู เฉินหว่านเอ๋อร์ก็ดีใจมากดวงตาของนางกลอกไปมาพลางคิ
ฉินซูได้ยินแค่เสียงก็รู้ว่าใครเป็นผู้พูดเขาพูดอย่างมิสบอารมณ์ “ข้ามิใช่คนประเภทที่กินมิเลือก ทว่าหากคนที่นอนอยู่บนเตียงในยามนี้คือเจ้า นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง”กู้เสวี่ยเจี้ยนหน้าแดง แต่ฉับพลันก็เอ่ยเสียงเย็น “ฝันไปเถิดเพคะ แม้บุรุษในใต้หล้านี้จะตายกันไปหมด หม่อมฉันก็มิเลือกท่าน”ฉินซูยักไหล่ “ข้าแค่ล้อเล่นเอง เจ้าจะจริงจังอะไรปานนั้น!”“เลิกพูดนอกเรื่องเถิด ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปหรือเพคะ?”กู้เสวี่ยเจี้ยนเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วฉินซูพูดอยางมิลังเล “ตอนนี้ยังมิดึกมาก รอให้ทุกคนในจวนผู้ว่าการเข้านอนกันหมดก่อนค่อยลงมือ เช่นนี้จะทำอะไรได้จะสะดวกกว่า”“นึกว่าท่านจะให้หม่อมฉันไปค้นคลังสมบัติของเฉินจางเพียงลำพังเสียแล้ว ท่านยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างสินะเพคะ”“ปกติข้าก็มิใช่คนใจแข็งหรอก ยิ่งไปกว่านั้น เฉินจางก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อยื้อให้ข้าอยู่ที่นี่ หากข้าหาคลังสมบัติของเขามิเจอ มันจะถือเป็นการละเลยเจตนาดีของเขามิใช่หรือไร?”กู้เสวี่ยเจี้ยนกลอกตาใส่เขา “หากเฉินจางรู้จุดประสงค์ของท่าน เขาคงจะโมโหเป็นบ้าเป็นหลัง”ฉินซูยิ้มและมิพูดอะไรขณะนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากนอกป
ในขณะนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของพวกเขาเบิกกว้าง และดูเหมือนว่าลมหายใจของพวกเขาจะหยุดลงหลังจากที่กู้เสวี่ยเจี้ยนได้สติ ใบหน้าที่งดงามของนางก็แดงมากนางกำลังจะลุกขึ้นด้วยสีหน้าเขินอายแต่ทันใดนั้น ฉินซูก็เอื้อมมือออกไปและกอดรัดเอวบางของนางเอาไว้!กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ตัวสั่นและคิดจะระเบิดอารมณ์โมโหออกมาฉินซูอดมิได้ที่จะจูบนางกู้เสวี่ยเจี้ยนตัวแข็งทื่อในทันทีและลืมต่อต้านไปโดยสิ้นเชิงการรุกเร้าของฉินซูทำให้ในหัวของนางเกิดความสับสนวุ่นวาย และสุดท้ายก็ค่อย ๆ สูญสิ้นสติไปมินานหลังจากนั้น เสื้อผ้าของพวกเขาก็กระจัดกระจายอยู่บนพื้นเสียงที่แต่เดิมตั้งใจสร้างขึ้นกลับกลายเป็นการแสร้งทำที่กลายเป็นจริงขึ้นมามิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ทั้งคู่ต่างนอนเงียบ ๆ อยู่บนเตียงโดยไม่มีใครพูดอะไรตอนนี้ เฉินจางได้ไปจากหน้าประตูแล้วส่วนเฉินหว่านเอ๋อร์ซึ่งเดิมนอนอยู่บนเตียงก็ถูกกู้เสวี่ยเจี้ยนถีบลงไปอยู่บนพื้นฉินซูมองไปเรือนร่างบอบบางนวลเนียนขาวใสของกู้เสวี่ยเจี้ยน สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่บ่งบอกว่ายังมิเสร็จสมอารมณ์หมายเขาอดมิได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสร่างกายอันงดงามของกู้เสวี่ยเจี้ยน
หลังจากนั้นมินานประตูห้องนอนของเฉินหว่านเอ๋อร์ก็เปิดออกมีเงาร่างสองเงาเดินออกมาจากความมืดนั่นคือฉินซูและกู้เสวี่ยเจี้ยน!ในตอนแรก กู้เสวี่ยเจี้ยนคิดจะปล่อยให้ฉินซูอยู่ในห้องนอนของเฉินหว่านเอ๋อร์และไปที่คลังสมบัติของเฉินจางเพียงลำพังแต่นางมิรู้ว่าเป็นเพราะนางกลายเป็นสตรีของฉินซูแล้วหรือไม่ ตอนนี้นางจึงทนมิได้ที่ต้องเห็นสตรีอื่นอยู่รอบกายฉินซูยิ่งไปกว่านั้น เฉินหว่านเอ๋อร์ก็แต่งตัวได้น่าดึงดูดและงดงามนัก ดังนั้นนางจึงกังวลยิ่งกว่าเดิมที่จะปล่อยให้ฉินซูอยู่ที่นี่หากฉินซูมีความปรารถนาขึ้นมาอีกครั้งและมีสัมพันธ์กับเฉินหว่านเอ๋อร์ เช่นนั้นจะมิทำให้นางโกรธมากหรอกหรือไรดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพาฉินซูไปค้นหาความลับของเฉินจางด้วยกันพวกเขาทั้งสองเดินไปที่ประตูหลังของห้องโถงด้านข้าง และกู้เสวี่ยเจี้ยนก็กอดเอวของฉินซูเอาไว้จากนั้นนางก็ใช้เท้าแตะพื้นเบา ๆ เพื่อใช้วิชาตัวเบาพาฉินซูมายังเรือนหลังอย่างเงียบ ๆฉินซูถามเสียงต่ำ “มาทำอะไรที่เรือนหลัง? ทางเข้าคลังสมบัติลับของเฉินจางน่าจะอยู่ในห้องตำราหรือห้องของเขานี่”“หม่อมฉันได้ตรวจค้นห้องตำราและห้องนอนของเขาแล้ว และ
นางขมวดคิ้วและถามว่า “ห้ามหม่อมฉันหาปะไรเล่า ประตูหินนี่มันหนักมากถึงเพียงนี้ หรือว่าท่านเปิดเองได้?”ฉินซูกลอกตาใส่นางแล้วถามว่า “เจ้ามิกังวลเลยหรือว่าที่ประตูหินอาจจะเต็มไปด้วยพิษ?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของกู้เสวี่ยเจี้ยนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางหยิบเข็มเงินออกมาแล้วถูไปที่ประตูหินหลายครั้งเข็มเงินในมือของนางเปลี่ยนเป็นสีดำทันที!“มีพิษจริง ๆ หรือนี่?!”ใบหน้าของกู้เสวี่ยเจี้ยนเต็มไปด้วยความมิอยากเชื่อ “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าที่ประตูหินมีพิษ?”ฉินซูพูดอย่างจริงจัง “ตาแก่เฉินจางนั่นเป็นคนเจ้าเล่ห์ หากนี่คือคลังสมบัติของเขาจริง เขาจะมิเตรียมการอะไรไว้เลยหรือไร ดังนั้นต่อจากนี้มิว่าเจ้าจะท่องยุทธภพหรือจัดการคดีต่าง ๆ เจ้าจะต้องระมัดระวังและอย่าได้ประมาทเด็ดขาด”กู้เสวี่ยเจี้ยนมองฉินซูอย่างลึกซึ้งพลางสงสัยว่า เหตุใดฉินซูถึงดูมีประสบการณ์ชีวิตมากราวกับคนแก่ที่ผ่านโลกมามากก็มิปานขณะนั้นเอง ฉินซูที่ใช้มือคลำกำแพงอยู่ครู่หนึ่งก็พบกลไกเขากดก้อนหินที่ปูดออกมาบนผนังเบา ๆ และแล้วประตูหินแผ่นหนาทั้งสองบานก็เปิดออกอย่างช้า ๆเมื่อทั้งสองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูหิน ทั้งคู่ต่างก็ตก
ฉินซูพูดโดยมิต้องคิด “แน่นอนว่าต้องกลับไปยังที่ว่าการมณฑลสิ!”“ทว่าหากเช้าวันพรุ่งเฉินจางมิเห็นท่าน เขาจะมิสงสัยเอาหรือเพคะ?”“ในสายตาของเขา ข้าได้มีสัมพันธ์กับลูกสาวของเขาไปแล้ว ด้วยสถานะของข้า หากออกมากลางดึกหลังจากสร่างเมาก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว”กู้เสวี่ยเจี้ยนพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินไปที่ประตูหลังพร้อมกับฉินซูทันทีที่นางออกมาจากประตูหลัง นางก็อุทานด้วยความประหลาดใจ “หืม? แล้วคนที่นอนคว่ำอยู่ตรงนี้ด้วยอาวุธลับของท่านไปไหนเสียแล้วเพคะ?”“คงจะถูกตงฟางโซ่วเอาตัวไปแล้วกระมัง ข้าสั่งให้เขาคอยจับตาดูอยู่ในที่มืด”เมื่อได้ยินเช่นนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนก็มิสงสัยอะไรและแล้วทั้งสองก็จากไปอย่างเงียบ ๆระหว่างทางกลับไปยังที่ว่าการมณฑล ฉินซูอยากจะจับมือกู้เสวี่ยเจี้ยนหลายครั้งแต่กลับถูกกู้เสวี่ยเจี้ยนสะบัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยทุกครั้งไปสุดท้ายเมื่อเห็นว่าฉินซูยังมิลดละความพยายาม กู้เสวี่ยเจี้ยนก็โมโหขึ้นมา!“หากท่านกล้าแตะต้องหม่อมฉันอีก หม่อมฉันจะดึงเล็บของท่านออก เชื่อหรือไม่เพคะ?”ฉินซูมิมีทางเลือกนอกจากต้องดึงมือของตัวเองออกอย่างมิสบอารมณ์เขามิเข้าใจว่าเหตุใดจู่ ๆ กู้เสวี่ยเจี้ยนถ
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม
“นึกมิถึงว่าเขาจะหนีรอดไปได้ เขาก็มีฝีมือเหมือนกันนี่ ดูท่าทางจะเตรียมการมาอย่างดีเชียว”“องค์รัชทายาท เมื่อกลับถึงหลงเฉิงแล้วเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะทูลเรื่องที่อ๋องฉู่สมคบคิดก่อกบฏหรือไม่เพคะ?”“ทูลสิ ต้องทูลอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเรามีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ ยิ่งกว่านั้นการที่เขาสมคบคิดก่อกบฏก็เป็นความจริง อย่างไรก็ต้องทูล”“แต่ยามนี้อ๋องฉู่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยนิสัยระแวดระวังของฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะมิทรงเชื่อพวกเราเต็มร้อยกระมังเพคะ”ฉินซูกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หลังจากเรื่องของอ๋องฉู่แดงขึ้นมา เขาก็หายตัวไป นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการหนีความผิด พวกเรากราบทูลตามความจริง บวกกับคำให้การของเหล่าคนสนิทของอ๋องฉู่และทหารห้าหมื่นนายที่ไม่มีรายชื่อในทะเบียน ก็เพียงพอที่จะตัดสินความผิดของอ๋องฉู่ได้แล้ว”“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นคนนั้น หม่อมฉันให้พวกตงฟางไป๋นำทางกลับหลงเฉิงล่วงหน้าไปแล้วเพคะ”ฉงชูโม่พูดพลางรู้สึกกระวนกระวายใจแปลก ๆจากนั้น พวกเขาก็พักค้างคืนที่เมืองหลงโย่วก่อนนอน ฉินซูสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากห้องฝั่งตรงข้ามที่นั่นคือห้องของจีอันด้วยคว
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ