บทที่ 3 รอข้าได้หรือไม่ ?
ท้องพระโรง
หลังจากที่องค์ชายเซียวอี้เดินออกไป ฝ่าบาทได้ถามใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางที่เขาเข้ามาหาในยามนี้เพราะมีเรื่องอะไร
"ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางท่านมาเข้าเฝ้าข้าเพราะเรื่องอันใดกัน "
"ทูลฝ่าบาทขออภัยที่กระหม่อมบุ่มบ่ามเข้ามาโดยไม่ได้ให้ขันทีแจ้งฝ่าบาทแถมยังเข้ามาในยามที่ฝ่าบาทกำลังสั่งสอนองค์ชายเซียวอี้แต่ทว่ากระหม่อมมีเรื่องสำคัญที่ต้องรีบมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่ทูลเรื่องสำคัญด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ" ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางคุกเข่าลงมือประสานกันอยู่กลางอกก้มหน้าเพื่อกราบทูลเรื่องที่ตนมา
"ลุกขึ้นมาเถิดแล้วรีบแจ้งเรื่องที่เร่งด่วนให้ข้าฟัง"
"เรื่องของชายแดนฝั่งทิศเหนือพ่ะย่ะค่ะ บัดนี้ทหารได้เข้ามาแจ้งว่าฝั่งตรงข้ามกำลังก่อสงครามเพื่อแย่งชิงพื้นดินที่ทำกินและอยากขยายอาณาเขตของตนเอง เรื่องนี้เราจะชักช้ามิได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นเราอาจะเสียต้นน้ำได้และอาจจะทำให้ชาวบ้านที่ทำนาและพืชผักรับผลกระทบพ่ะย่ะค่ะ " ทันทีที่ได้ยินคิ้วของฝ่าบาทขมวดเข้าหากันอย่างกังวลเพราะหากเสียพื้นที่ตรงนั้นไปจริง ๆ แคว้นของเขาต้องรับความทุกข์ยากเป็นแน่
"เฮ้อ! เพราะข้าเห็นว่าทั้งสองแคว้นยังพอมีทางปรองดองกันแต่ในเมื่อฝั่งนั้นริเริ่มก่อสงครามข้าเองก็คงไม่ปล่อยไว้ เช่นนั้นเจ้าจงสั่งให้แม่ทัพเซ่อเจาหยางรีบเดินทางไปช่วยทหารที่อยู่ทิศเหนือรับมือ หากครั้งนี้แม่ทัพสามารถพาชัยชนะกลับมาข้าจะมอบรางวัลและจัดงานเลี้ยงฉลองให้อย่างยิ่งใหญ่ " สิ้นเสียงของฝ่าบาทใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางยิ้มอย่างดีใจ
"น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ " หลังจากหารือและรับคำสั่งของฝ่าบาทใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางได้เดินทางกลับเรือนเพื่อนำพระราชโองการคำสั่งของฝ่าบาทมามอบให้แก่เจาหยางบุตรชายของเขา
ย๊าก! ย๊าก! เสียงการประลองฝีมือของเซ่อเจาหยางกับเหล่าทหารนับสิบคนที่กำลังรุมเขาเพียงผู้เดียวแต่ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ จนการต่อสู้จบลงเซ่อเจาหยางยื่นมือให้ทหารของตนลุกขึ้นพร้อมตำหนิเล็กน้อย
"ฝีมือพวกเจ้าตกต่ำกว่าเมื่อก่อนยิ่งนักหากเป็นเช่นนี้จะชนะศัตรูได้อย่างไร ขนาดข้าเพียงผู้เดียวพวกเจ้ายังล้มข้ามิได้ "
"ท่านแม่ทัพนั้นเก่งกาจไม่ว่าผู้ใดในใต้หล้าคงมิอาจจะประลองฝีมือกับท่านได้ เช่นนั้นต่อให้พวกข้าทั้งสิบก็คงล้มท่านมิลงแต่ทว่ากับข้าศึกฝ่ายตรงข้ามนั้นพวกข้าขอสู้มิยอมแพ้ขอรับ" ท่านรองแม่ทัพได้เอ่ยขึ้น
"ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าจงอย่าได้ประมาท เอาละไปพักเถิดวันนี้ฝึกกันมานานมากแล้ว" เซ่อเจาหยางบอกกับทหารทุกคนก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้ศาลาที่ตั้งอยู่ในจวน
"เจ้าแข็งแกร่งสมเป็นบุตรชายของข้าเสียจริง"
"ท่านพ่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ขอรับ "
"ข้าพึ่งกลับมาจากวังหลวงเมื่อครู่ และมีสิ่งหนึ่งที่ข้าจะมอบให้เจ้า" ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางยื่นพระราชโองการให้กับเจาหยางเขานั่งลงคุกเขาลงกับพื้นหนึ่งข้างน้อมรับพระราชโองการก่อนจะเปิดอ่าน เมื่อได้อ่านพระราชโองการจึงได้หันไปมองใบหน้าท่านพ่อด้วยความสงสัย
"เกิดสงครามหรือ? เหตุใดทหารของข้าถึงไม่ส่งข่าวมา"
"เพราะคนของเจ้าน่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามจัดการเสียแล้วล่ะ โชคดีที่ข้ายังพอมีเส้นมีสายฝั่งนั้นคงวางแผนมิให้เรื่องนี้มาถึงหูของฮ่องเต้เพื่อจะได้ยึดครองโดยง่าย เจ้ารีบเรียกกองกำลังของเจ้าเดินทางไปรับมือช่วยเหลือเถิด หากเจ้ารับชัยชนะกลับมาฝ่าบาทจะประทานรางวัลให้แก่เจ้าและจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองให้อย่างสมเกียรติ " เจาหยางยิ้มกริ่มพร้อมเอ่ยถามผู้เป็นบิดา
"หากข้าชนะกลับมารางวัลที่ข้าอยากได้คืออะไรก็ได้หรือขอรับ"
"ใช่นะสิ! เจ้าทำคุณงามความดีไม่ว่าอันใดที่เจ้าต้องการฝ่าบาทประทานให้เจ้าได้ทุกอย่าง " เจาหยางยามนี้คิดถึงเพียงใบหน้าหวานหยดย้อยของสตรีที่อยู่ในใจของเขา หากเขาชนะศึกมาครานี้เขาจะทูลขอฝ่าบาทให้ประทานขอนางเพื่อมาเป็นฮูหยินของตน
"เช่นนั้นข้าจะเรียกกองกำลังเพื่อเดินทางโดยเร็วที่สุดท่านพ่อไม่ได้เป็นห่วงศึกครานี้ข้าจะทำให้ท่านภูมิใจอีกครา" เอ่ยจบเจาหยางหันหลังเดินกึ่งวิ่งไปหาเหล่ากองกำลังเพื่อจัดเตรียมออกเดินทางเมื่อเขาแจ้งทุกคนเสร็จสิ้นก่อนจะออกเดินทางจึงไปหาสตรีที่เขาจะทูลเป็นของรางวัลเพื่อขอกำลังใจและให้คำมั่นสัญญาแก่นาง
เรือนใต้เท้าหวังอี้เฉิน
สตรีงามใบหน้าขนาดเท่าฝ่ามือ คิ้ววาดคล้ายจันทร์ครึ่งเสี้ยว ดวงตาหงส์เนินแก้มอ่อนช้อยนับเป็นโฉมสะครวญหยาดฟ้ามาดินผู้หนึ่ง ผิวขาวผ่องดุจหิมะตัดกับเส้นผมดำสนิทราวน้ำหมึก ยื่นมือเรียวงามไปด้านหน้ายืนนิ่งรอใบไม้ที่กำลังเคลื่อนไหวตามแรงลมกำลังล่วงสู่พื้นกระทบมือของนาง สาวใช้ข้างกายที่คอยตามรับใช้มองดูคุณหนูของตนอย่างชื่นชมไม่ว่าจะมองมุมใดช่างเป็นสตรีที่งดงามไร้ที่ติ
"จื่อหลินวันนี้ลมกำลังดี ข้าอยากออกไปเดินเล่นที่สวนหลังเรือน" น้ำเสียงกังวานใสราวธารน้ำเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มอย่างนุ่มนวล
"ได้เจ้าค่ะ ข้าจะไปนำร่มมากางให้คุณหนูนะคะแม้ว่าลมเย็นแต่แสงแดดก็แรงเช่นกัน "
"เช่นนั้นข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่แล้วกันเจ้ารีบไปนำร่มมาเถิด "
"เจ้าค่ะ " จื่อหลินกล่าวบอกพลางหันหลังเดินกลับไปที่ห้องของคุณหนูเพื่อไปนำร่ม
สตรีที่งดงามนางนี้คือหวังลั่วเออร์ บุตรสาวเพียงผู้เดียวของใต้เท้าหวังอี้เฉินมีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน ถูกสอนสั่งมาเป็นอย่างดีและนางเองก็คือสตรีเจ้าของหัวใจของท่านแม่ทัพเจาหยาง ทั้งสองครองรักกันมาถึงสองปี เพื่อทำตัวให้คู่ควรกับท่านแม่ทัพอย่างเจาหยาง แต่ละวันลั่วเออร์ต้องเรียนรู้การเป็นฮูหยินและหน้าที่ต่าง ๆ เพื่อให้เพรียบพร้อม
"คุณหนูขอรับ ยามนี้ท่านแม่ทัพมาขอเข้าพบคุณหนูอยู่ที่หน้าเรือนขอรับ ท่านใต้เท้าไม่อยู่คุณหนูให้ท่านแม่ทัพเข้าพบหรือไม่ขอรับ?" บ่าวรับใช้ที่คอยยืนเป็นยามหน้าเรือนรีบวิ่งเข้ามาถามคุณหนูเพื่อขอความเห็น ลั่วเออร์ได้ยินว่าผู้ใดมาหารอยยิ้มของนางปรากฎขึ้นบนใบหน้า
"เจ้าไปเรียนท่านแม่ทัพให้เข้ามาเถิดแล้วบอกให้มาหาข้าที่นี่ ข้ากำลังจะไปเดินรับลมที่สวนหลังเรือนพอดี "
'ขอรับคุณหนู " บ่าวรับใช้น้อมรับคำสั่งก่อนจะหันหลังเดินกึ่งวิ่งไปแจ้งท่านแม่ทัพอย่างเร่งรีบ
ไม่นานนักเจาหยางได้เดินเข้ามาในเรือนเพื่อตรงไปหาสตรีที่เขาหวนคำนึงหาทุกคืนวัน เพียงแค่เห็นใบหน้าของนางใจของเขาก็เต้นระรัว รอยยิ้มของนางยังคงสดใสเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
"ลั่วเออร์คารวะท่านแม่ทัพ"
"เจ้าไม่เห็นต้องทำถึงเพียงนี้ข้าหาใช่คนอื่นคนไกล "
"นานเท่าไหร่แล้วนะที่ลั่วเออร์ไม่ได้พบหน้าท่าน ใบหน้าท่านดูซูบผอมไปนะเจ้าคะ" ลั่วเออร์เห็นใบหน้าของคนรักที่ไม่เหมือนเดิมจึงเกิดเป็นห่วง
"เพราะช่วงนี้ข้าต้องฝึกทหารทุกวัน ลั่วเออร์ข้ามีเรื่องมาแจ้งแก่เจ้าขอเวลาเพียงไม่นานเพราะข้าไม่มีเวลามากแล้ว ที่ข้ามาหาเจ้าวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญจะมาแจ้งเจ้า" เจาหยางคว้ามือของลั่วเออร์มาจับไว้ดวงตาของเขาจ้องนางพร้อมเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ จนลั่วเออร์ต้องคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย
"ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดจะแจ้งหรือเจ้าคะ เหตุใดใบหน้าของท่านถึงได้จริงจังเช่นนี้"
"ลั่วเออร์ฟังข้าให้ดี วันนี้ข้าจะออกเดินทางไปช่วยทหารที่อยู่ชายแดนทิศเหนือ คงต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะกลับมาหาเจ้า แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลหากเมื่อไหร่ที่ข้ากลับมาครานั้นข้าจะทูลขอให้ฝ่าบาทประทานงานมงคลให้เราทั้งสอง และฝ่าบาทเองก็ทรงรับปากหากข้ารับชัยชนะกลับมาไม่ว่าข้าต้องการสิ่งใดฝ่าบาทย่อมประทานให้ข้าทุกอย่าง เจ้าช่วยรอข้าได้หรือไม่?" ลั่วเออร์ยืนนิ่งราวกับทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว เจาหยางเพิ่งจะกลับมาจากสนามรบไม่เท่าไหร่ต้องกลับไปอีกแล้วจะไม่ให้นางอดเป็นห่วงได้อย่างไร ทุกครั้งที่เจาหยางออกไปสนามรบไม่มีคืนใดที่นางจะนอนหลับสนิทเพียงหลับตาก็หวนคิดถึงใบหน้าของเจาหยางที่เต็มไปด้วยเลือดในสนามรบ
"ทำไมเจ้าคะ ท่านไม่ไปไม่ได้หรือ "
"ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่ว่าข้ามิอาจขัดพระราชโองการของฝ่าบาทได้ ข้าเป็นท่านแม่ทัพที่แข็งแกร่งเจ้าเองก็รู้มิต้องเป็นกังวล ข้าสัญญาว่าจะไม่ให้ตนเองได้รับบาดเจ็บและจะพยายามทำให้สนามรบครั้งนี้สิ้นสุดในเร็ววัน ข้าจะได้กลับมาหาเจ้าเร็ว ๆ " ลั่วเออร์สั่นไหวไปทั้งร่างกาย การออกรบเสมือนพาชีวิตวิ่งเข้าหาสู่ความตายจะไม่ให้นางเป็นห่วงเขาได้อย่างไร
บทที่ 4 คำสัญญาเจาหยางรับรู้หัวใจของนางว่าสตรีที่เขารักนั้นเป็นห่วงตนเองเพียงใดเขาคว้าร่างนางเข้ามากอดแน่นโดยไม่ได้สนใจสายตาของสาวใช้ที่กำลังเดินตรงเข้ามาใกล้ พร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา"ลั่วเออร์ข้ารักเจ้า เจ้าคือสตรีนางเดียวที่ข้าจะรับมาเป็นฮูหยินศึกครานี้ข้าทำเพื่อเจ้า " ร่างบางสั่นเทาอยู่ในออมกอดของเขาเริ่มสะอื้นไห้ออกมา"ข้าจะไม่เป็นห่วงท่านได้อย่างไร แต่ในเมื่อมันคือหน้าที่ของท่านหากว่าวันหนึ่งข้าเป็นฮูหยินของท่านจริง ๆ ข้าคงต้องทำใจเรื่องนี้ ข้าจะรอนะเจ้าคะ ท่านอย่าได้อย่ารับบาดเจ็บกลับมาอย่างที่สัญญาไว้กับข้านะเจ้าคะ""ได้สิข้าสัญญา ดูสิใบหน้าที่งดงามของเจ้าเต็มไปด้วยรอยน้ำตาเช่นนี้ได้อย่างไร " เจาหยางผละนางออกจากอ้อมกอดก่อนจะล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่สลักชื่อของเขาอยู่ด้านขวาของผ้า เช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้าของลั่วเออร์อย่างเบามือ ลั่วเออร์เงยหน้าจ้องมองเขาด้วยความห่วงใย"ข้าจะรอนะเจ้าคะวันที่เราจะได้ร่วมเข้าหอเคียงข้างกันจนกว่าจะแก่เฒ่า ""ได้สิ! ข้าไม่ทำให้เจ้าผิดหวังหรอกนะเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไว้ข้างกายเจ้าเปรียบเสมือนของแทนกายข้า ข้ากลับมาเมื่อไหร่ข้าจะขอคืน ยามนี้ข้าจะต้อ
บทที่ 5 ข้าจะแย่งทุกอย่างที่เป็นของเจ้าตำหนักหนานฉียามเฉิน (08.00)เซียวอี้นั่งอยู่ในห้องของตนเพื่อทำการอ่านตำราขงจื้อที่องค์รัชทายาทต้องทำ เพราะเขาได้รับปากท่านพี่จึงอยากทำให้ท่านพี่สบายใจแม้ว่าตัวของเขาเองมิใช่คนที่ดีแต่เขาจะทำหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายให้ท่านพี่ไม่ผิดหวังที่เชื่อมั่นในตัวของเขาก๊อก ๆ "" เสียงดังมาจากหน้าต่างห้องเซียวอี้วางตำราลงที่โต๊ะพร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพื่อไม่ให้ผู้อื่นที่อยู่ด้านหน้าตำหนักได้ยิน"เข้ามา" ทันใดนั้นเองหน้าต่างถูกเปิดออกพร้อมร่างบุรุษบึกบึนสวมชุดสีดำเพื่ออำพรางร่างกายพร้อมปกปิดใบหน้ารีบกระโดดเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว เสียงหายใจเหนื่อยหอบดังออกมาอย่างต่อเนื่อง"ปกติเจ้ามิได้เข้ามาหาข้ายามนี้มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือทำให้เจ้าเร่งรีบมาหาข้าเช่นนี้" เซียวอี้จ้องมองไปยังร่างใหญ่ เขารีบคุกเข่าลงหนึ่งข้างและตั้งชันเข่าอีกข้างขึ้นพร้อมเปิดใบหน้าให้องค์ชายเซียวอี้ได้เห็น"ทูลองค์ชายที่กระหม่อมเร่งรีบมาเช่นนี้เพราะมีเรื่องสำคัญจะมาแจ้งพ่ะย่ะค่ะ" เซียวอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงเข้ามาใกล้อย่างสงสัย"เรื่องอันใดกันถึงทำให้เจ้ารอให้ฟ้ามืดไม่ได้รี
บทที่ 6 ข้อแม้ที่ข้าจะรับตำแหน่งหลังจากที่ลั่วเออร์สวดมนต์ขอพรเพื่อให้คุ้มครองคนรักของนางเรียบร้อยแล้วได้พากันกลับเรือน เมื่อนางขึ้นรถม้าสายตาของลั่วเออร์ได้หันไปเห็นนักพรตคนเดิมอีกครั้งเขาจ้องมองนางจนรถม้าเคลื่อนตัวออกไป"คุณหนูครั้งหน้าเราอย่ามาที่นี่อีกเลยนะเจ้าคะ ข้ารู้สึกว่าที่นี่แปลก ๆ จนน่ากลัวดูนักพรตผู้นั้นที่มาเอ่ยวาจาแปลก ๆ กับคุณหนูสิเจ้าคะจ้องมองเสียจนข้ารู้สึกกลัวไปหมด ""เจ้าเองก็เห็นใช่หรือไม่สายตาของนักพรตที่จ้องมองเราเมื่อครู่ ""เจ้าค่ะ " ลั่วเออร์เองก็รู้สึกไม่ต่างกันจนพ้นสำนักสงฆ์ความรู้สึกของลั่วเออร์ยังคงอยู่ฝั่งด้านไป๋เหลียนที่ตามดูลั่วเออร์ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายเขาได้ยินทุกคำพูดที่นักพรตเอ่ยกับลั่วเออร์จึงได้เข้าไปถามหลังจากที่เห็นรถม้าของนางเคลื่อนขบวนออกไปไกล"ท่านนักพรตเรื่องที่ท่านเอ่ยมาเมื่อครู่กับแม่นางผู้นั้นหมายความว่าอย่างไรกันขอรับ เช่นนี้ท่านก็สามารถดูให้ข้าได้ด้วยหรือไม่ขอรับ ""ข้าเป็นเพียงนักพรตที่เข้ามาปฎิบัติธรรมเท่านั้นมิได้มีความสามารถทำนายอนาคตผู้ใดได้ " น้ำเสียงตอบกลับมาอย่างเรียบเฉย"แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินเต็มสองหูเรื่องที่ท่านเอ่ยกับแ
บทที่ 7 พระราชโองการของฝ่าบาทเรือนตระกูลหวังเช้าวันนี้อากาศดีเช่นทุกวันลั่วเออร์ไปหาท่านแม่ของนางที่ห้อง ท่านแม่ของนางนั้นมักเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อยครั้งจึงไม่ค่อยได้ออกไปที่ใด โชคดีที่ท่านใต้เท้าหวังเป็นบุรุษที่รักครอบครัว ไม่มีอนุเข้ามาเพิ่มจึงไม่มีเรื่องให้ฮูหยินได้ทุกข์ใจ“ท่านแม่วันนี้ข้าทำขนมที่ท่านแม่ชอบมาให้ด้วยเจ้าค่ะ จื่อหลินยกสำรับมาให้ข้า ข้าจะป้อนท่านแม่เอง” ฮูหยินมองบุตรสาวของตนด้วยความเอ็นดู“ลั่วเออร์เจ้าเป็นบุตรสาวที่ข้าภูมิใจยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ข้าไม่ค่อยมีเวลาอบรมสั่งสอนเจ้าแต่ทว่าเจ้ากลับเป็นเด็กดีเรียนรู้ทุกอย่าง อย่างง่ายดาย”“เป็นเพราะท่านพ่อกับท่านแม่มอบความรักให้ข้ามากเพียงพออย่างไรเจ้าคะ ท่านพ่อกับท่านแม่เองก็เป็นคนดีข้าจึงเป็นคนดีอย่างท่านทั้งสองเจ้าค่ะ ว่าแต่ช่วงนี้ร่างกายของท่านแม่เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”“ร่างกายของหญิงชราเช่นข้าก็เป็นเช่นเดิมเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่รู้จะอยู่บนโลกนี้อีกนานเพียงใดมีสิ่งเดียวที่ข้ายังคงเป็นห่วงก็คือเจ้า ยามนี้ลั่วเออร์ของข้าก็ถึงวัยออกเรือนแล้วเจ้ามีใจกับแม่ทัพเจาหยางมานานเมื่อไหร่ทางนั้นจะมาสู่ขอเจ้ากันนะ แค่ก ๆ ” มารดาของลั่วเออ
บทที่ 8 ถูกชะตาฮองเฮาไม่ได้ถือโกรธนางแต่กลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน"เจ้าช่างอาจหาญต่างจากใบหน้าของเจ้ายิ่งนัก เป็นเช่นนี้ข้ายิ่งชอบเจ้ามากกว่าเดิม ช่างเป็นสตรีที่ดีเสียจริงข้านับถือน้ำใจเจ้าที่มีใจซื่อตรง แม้ข้าจะรู้ว่าการที่พรากเจ้ามาจากคนที่เจ้ารักมันผิด แต่เจ้ารู้หรือไม่โทษของการฝ่าฝืนพระราชโองการเป็นเช่นไร ตระกูลของจะถูกลงโทษแถมยังจะถูกเนรเทศออกไปอยู่ที่แคว้นอื่นอำนาจบารมีที่ท่านพ่อเจ้ามีก็สูญหาย ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินท่านแม่ของเจ้าไม่สบายอยู่มิใช่หรือ?" ลั่วเออร์กำมือแน่นแม้คำพูดของฮองเฮาจะบอกว่าไม่อยากพรากนางจากคนที่นางรักแต่เอ่ยออกมาเช่นนี้ราวกับบีบคั้นให้นางทำตามพระราชโองการโดยการใช้อำนาจข่มขู่ ลั่วเออร์หันไปมองใบหน้าของบิดาที่ยามนี้ซีดเซียวหากนางไม่รับราชโองการและทำตาม ท่านพ่อกับท่านแม่ของนางต้องได้รับความเดือดร้อนในคราวนี้ ลั่วเออร์หมดหนทางที่จะหลีกเลี่ยงเหตุใดต้องเกิดเรื่องเช่นนี้กับนางด้วย"ฮองเฮาเพคะที่ทรงเอ่ยมาเพราะจะข่มขู่ให้หม่อมฉันรับพระราชโองการหรือเพคะ ฮองเฮาเป็นมารดาของแผ่นดินและเป็นมารดาขององค์ชายทำเช่นนี้ไม่ทำร้ายจิตใจของหม่อมฉันเกินไปหรอกหรือเพคะ " ลั่วเออร์เอ่ยว
บทที่ 9 ใจที่แตกสลายสองวันถัดมา"คุณหนูวันนี้ท่านงดงามเหลือเกิน หากว่างานมงคลวันนี้เป็นงานมงคลของคุณหนูกับท่านแม่ทัพคงจะดีกว่านี้ " จื่อหลินจ้องมองลั่วเออร์ผ่านกระจกหลังจากที่ปักเครื่องประดับบนศีรษะเสร็จสิ้น"ข้าเองก็คิดเช่นเจ้า หากวันนี้ผู้ที่จับมือข้าเดินเข้างานพิธีเป็นท่านแม่ทัพคงจะดี ไม่รู้ว่ายามนี้ท่านแม่ทัพจะเป็นเช่นไรบ้างหากกลับมาพบว่าข้าเข้าพิธีมงคลกับผู้อื่นหัวใจของเขาจะแตกสลายมากเพียงใดนะ เป็นข้าเองที่รักษาสัญญาไม่ได้จื่อหลินข้าฝากจดหมายพร้อมกับผ้าผืนนี้ให้แก่ท่านแม่ทัพด้วยในวันที่เขากลับมา " จื่อหลินมิอาจห้ามน้ำตาของตนได้เพราะเห็นว่ายามนี้คุณหนูของนางพยายามซ้อนความเจ็บปวดเอาไว้ หัวใจของลั่วเออร์เองก็แตกสลายไปหมดสองวันที่ผ่านมานางเอาแต่เก็บตัวเงียบในห้องและออกไปพบฮูหยินที่ห้องพักของนางเมื่อนางเห็นมารดาน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำได้ไหลรินออกมาราวกับสายฝน มารดาของนางสงสารนางมากเช่นกัน แต่ทว่าตนเองกลับทำอันใดให้บุตรสาวไม่ได้แม้แต่น้อย จึงเอ่ยบอกให้นางใช้ชีวิตในวังหลวงอย่างระมัดระวังเพราะวังหลังนั้นมีแต่ภัยอันตรายล้อมตัว"อึก อึก ....ฮื้อ ๆ คุณหนูข้าสงสารท่านเหลือเกินเราหนีกันดีมั้ยเจ
บทที่ 10 ไม่มีทางได้ใจองค์ชายสามเซียวอี้เดินมาที่ลานพิธีพร้อมตั้งขบวนรอพระชายาที่กำลังเดินทางมาในยามนี้มีฝ่าบาทที่นั่งอยู่เคียงข้างฮองเฮาใบหน้าชื่นบานอย่างมีความสุข บุตรชายที่เสเพลวัน ๆ เอาแต่เที่ยวเล่นในวันนี้เขากลับเปลี่ยนแปลงตนเองและเลือกพระชายาด้วยตนเอง ฝ่าบาทเบาพระทัยคิดว่าตอนนี้องค์ชายสามเซียวอี้คิดได้แล้ว ถัดจากเก้าอี้ของฮองเฮามีองค์ชายใหญ่มาร่วมยินดีกับองค์ชายสามด้วยอีกคนแต่ทว่าเหล่าเสนาบดีกลับมีใบหน้าบูดบึ้ง เพราะไม่คิดเลยว่าองค์ชายเซียวอี้จะเป็นผู้เป็นคนแถมยังจัดงานมงคลขึ้นอีก ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางยืนจ้องมองไปยังองค์ชายเซียวอี้ด้วยใบหน้าที่เคียดแค้น เพราะเขารู้ดีว่าสตรีที่จะเข้าพิธีมงคลในวันนี้คือสตรีที่เป็นคนรักของบุตรชายตนเอง ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้นก่อนที่บุตรชายจะออกไปสนามรบได้บอกกล่าวเขาเรื่องการสู่ขอลั่วเออร์บุตรสาวตระกูลหวัง แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่บุตรชายของเขาออกไปสนามรบไม่ถึงห้าวันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางมิได้คิดโกรธแค้นใต้เท้าตระกูลหวังเพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท ที่พระราชทานงานมงคลนี้ขึ้นมาและเขารู้มาว่าองค์ชายเซียวอี้เป็นคนท
บทที่ 11 หม่อมฉันเกลียดองค์ชายมือเรียวประท้วงด้วยการทุบตีอกแกร่งจนเขาต้องใช้มือขวาจับมือของนางเอาไว้พร้อมผลักให้นางนอนราบลงบนเตียงนอนก่อนจะถอดริมฝีปากออกมาจ้องมองร่างบางที่กำลังโกรธเขาอยู่พรางหายใจเหนื่อยหอบ“ประท้วงข้าไปก็เท่านั้นอย่างไรเจ้าก็เป็นของข้า”“หม่อมฉันเกลียด เกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวกับองค์ชายการกระทำของท่านไม่ต่างกับทาสชั้นต่ำ” ลั่วเออร์จ้องมองเขม็งแม้จะหวาดกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่ตอนนี้นางเองทั้งโกรธทั้งเกลียดชายที่อยู่ตรงหน้าเหลือเกิน“ฮึ ฮึ ทาสชั้นต่ำเช่นนั้น? หรือได้ข้าจะแสดงให้เจ้าได้ดูเอง” เซียวอี้ขึ้นบนเตียงคร่อมร่างของลั่วเออร์ใช้มือทั้งสองข้างจับแขนของนางให้แนบลงกับที่นอนเพื่อไม่ให้นางใช้มือมาปัดป้องพร้อมก้มลงใช้จมูกฝังลงซอกคอเนียนขาวซุกไซร้คออย่างหื่นกระหาย ร่างบางบิดเร่าดิ้นหนีแต่มีหรือที่นางจะหนีได้เพราะยามนี้ไม่ว่าส่วนใดของร่างกายถูกเขาตราตรึงไว้จนหมดสิ้น“ปล่อยนะ! หม่อมฉันบอกให้ปล่อยอย่างไรเพคะ” นางสั่นกลัวเปล่งเสียงสะอึกสะอื้นให้เซียวอี้หยุดการกระทำแต่ทว่าเซียวอี้นั้นกลับถวิลหาร่างกายของลั่วเออร์จนหยุดตนเองไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของนางก่อน
บทที่ 44 ข้ารักท่านใต้เท้าเซ่อรู้สึกอับอายที่บุตรชายได้รับความพ่ายแพ้ต่อองค์รัชทายาท ตระกูลเซ่อทุกคนต่างได้รับโทษและใต้เท้าที่รวมตัวกันวางแผนก็ถูกลงโทษด้วยเช่นกัน โทษของเจาหยางคือการถูกโบยตีก่อนจะนำไปแคว้นคอประจานให้แก่ราษฎรได้เห็นถึงการก่อกบฏและประสงค์ร้ายต่อราชวงศ์จะถูกลงโทษเช่นไร แม้จะมีคุณงามความดีต่อแผ่นดินแต่ถ้าหากคิดร้ายก็ไม่ละเว้นก่อนจะนำร่างไปโยนให้แร้งกิน สนมตระกูลเซ่อถูกปลดให้เป็นเพียงสาวใช้และองค์ชายห้าถูกตัดขาดกับราชวงศ์มิอาจจะเข้ามาในวังหลวงได้อีกต่อไปใต้เท้าเซ่อถูกรุมประชาทัณฑ์ชาวบ้านหรือผู้ที่เคยถูกเขาข่มเหงรังแกขว้างหินขว้างดินใส่จนเขาถึงแก่ความตายภายในวังหลวงกลับมาสุขสงบอีกครั้ง แม้ลั่วเออร์จะเห็นชอบการลงโทษแต่ทว่าในใจของนางลึก ๆ ยังคงคิดถึงใบหน้ารอยยิ้มของเจาหยางแต่มิใช่เพราะนางคิดถึงเพราะความรักแต่ทว่านางกลับเสียดาย หากเขาเลือกเดินทางถูกต้องและคอยช่วยเหลือองค์รัชทายาทอาจจะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ที่ทุกคนนับหน้าถือตา"พระชายาเพคะ วันนี้หม่อมฉันจะออกไปอยู่ที่ตำหนักของนางในแล้วจะได้พบพระชายาอีกไม่เพคะ" หนิงเอ๋อเดินเข้ามาหาลั่วเออร์ที่ศาลารับลม นางได้เข้ามาเป็นนางในฝึกหัด
บทที่ 43 ลงโทษอย่างสาสม"ใครบอกเป็นเพราะเจ้าที่เป็นองค์ชายไม่เอาไหนต่างหาก ข้าจงรักภักดีต่อแผ่นดิน หวังว่าวันหนึ่งจะเป็นแม่ทัพที่ดีและเป็นกองกำลังให้ฮ่องเต้เช่นเจ้าในภายภาคหน้าแต่เจ้าทำลายทุกอย่าง เจ้าทำร้ายหัวใจของข้า ทำให้ข้าต้องแย่งชิงคืนมาเช่นนี้อย่างไรเล่า " เจาหยางตั้งท่าได้สู้กับเซียวอี้อีกครั้ง จนทั้งสองทะลุกำแพงห้องพังทลายล้มลง เสียงดังจึงถึงห้องของลั่วเออร์ตึง!"นั่นเสียงอะไรกัน ทำไมถึงดังอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้หรือว่าแม่ทัพเจาหยางบุกมาที่ตำหนักนี้แล้ว " ลั่วเออร์ไม่รีรอนางร้อนใจจึงเปิดประตูออกไปด้านนอกเพื่อดู แต่ก็ต้องถูกองครักษ์เข้ามาห้ามไม่ให้ออกไปเสียก่อน"พระชายาจะออกไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ""ข้าได้ยินเสียงดังที่ตำหนักนี้ข้าเป็นห่วงองค์รัชทายาทกลัวว่าเขาจะรับมือแม่ทัพเจาหยางไม่ได้ ""พระชายาอย่าร้อนใจไปพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้องครักษ์ไป๋เหลียนก็อยู่กับองค์รัชทายาท พระชายาเข้าไปอยู่ในห้องดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ " ลั่วเออร์มองลอดใต้แขนขององครักษ์ที่ยืนบังนางเห็นแม่ทัพเจาหยางกำลังจะใช้ดาบจัดการกับเซียวอี้ที่ล้มลงกับแผ่นไม้ฝาผนังที่เสียงดังเมื่อครู่ นางคือต้นเหตุทุกอย่างที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นและเ
บทที่ 42 ก่อกบฏรุ่งเช้าวันต่อมาไป๋เหลียนที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของแม่ทัพเจาหยางได้เข้ามารายงานต่อเซียวอี้ที่กำลังนั่งหน้าเคร่งเครียดเพื่อรับมือจากแม่ทัพ"ทูลองค์รัชทายาท ยามนี้กองทัพของแม่ทัพเจาหยางจะเคลื่อนขบวนในยามวิกาลพ่ะย่ะค่ะ ข้าได้ยินมาว่าเขาบอกกล่าวกองกำลังเพื่ออ้อมล้อมวังหลวงในคืนนี้ในเวลายามที่ทุกคนต่างหลับใหล จำนวนทหารของแม่ทัพมีประมาณสี่ร้อยนายจะรับมือเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ""ทหารของเจาหยางมีสี่ร้อยนายหรือ? เช่นนั้นกองกำลังของเราก็มีไม่น้อยไปกว่าเขาเพราะความช่วยเหลือของท่านแม่ ข้าจะวางแผนตลบหลัง ขันทีลี่เว่ยไปแจ้งกองกำลังมาหาข้าที่นี่""พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย ""ส่วนเจ้าค่ำคืนนี้ทำตามแผนของข้า ส่วนพระชายาข้าจะให้องครักษ์เงาอีกกลุ่มไปเฝ้านางเอง มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถรับมือแม่ทัพเจาหยางได้ จงทำตามนี้" เซียวอี้บอกแผนการให้ไป๋เหลียนได้รับรู้ จากนั้นเมื่อกองกำลังมาถึงเขาได้บอกแผนการในการรับมือครั้งนี้ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและทุกคนต่างพากันหลบซ่อนจนกว่ากองกำลังของแม่ทัพเจาหยางจะล้อมวังหลวงจากนั้นค่อยให้ทหารออกมาล้อมกองทัพของแม่ทัพเจาหยาง เซียวอี้ครุ่นคิดมาทั้งคืนเขาจะไม่ให้เกิดการ
บทที่ 41 วางแผนรับมือฝั่งด้านแม่ทัพเซ่อเจาหยางเขากลับมาจากตำหนักหนานฉี มาปรึกษาหารือท่านพ่อคิดจะก่อกบฏท่านใต้เท้าเซ่อไม่ห้ามแถมยังให้ความสนับสนุนเซ่อเจาหยางอีกด้วย เขาจึงตระเวนออกไปหาใต้เท้าที่อยู่ภายใต้ความควบคุมท่านพ่อเพื่อขอความร่วมมือในการชิงบัลลังก์ในครั้งนี้ ข้ากลับจากเรือนใต้เท้าท่านหนึ่งเห็นองค์รัชทายาทกำลังพาลั่วเออร์ออกจากวังหลวงเพียงลำพังจึงได้แอบตามไป ได้เห็นหมู่บ้านในหุบเขาที่เซียวอี้แอบซ่อนไว้ รอยยิ้มของลั่วเออร์ที่เคยเป็นของเขายามนี้ถูกเซียวอี้ครอบครองจนหมดสิ้นไม่ว่าจะเป็นใจหรือกายของนาง ดวงตาร้อนระอุในอกเต็มไปด้วยความเคลียดแค้น ยิ่งเห็นชาวบ้านที่นี่รักและเทิดทูลเขายิ่งไม่พึงพอใจ เมื่อเห็นว่าเซียวอี้พาลั่วเออร์กลับวังหลวงความคิดชั่วร้ายของเจาหยางที่ก่อเกิดจึงสั่งการให้ทหารของตนไปจัดการสอบถามชาวบ้านแต่เมื่อชาวบ้านตอบคำถามไม่ตรงความคิดของเขาจึงสั่งให้ทหารจัดการฆ่าทิ้งให้หมดทุกคนไม่ละเว้น เขาอยากเห็นความเจ็บปวดของเซียวอี้ที่พรากคนรักของเขาไป หากเขารู้ว่าหมู่บ้านและชาวบ้านที่เขาให้การช่วยเหลือตายกันหมดคงจะเจ็บปวดเจียนตายเมื่อตรวจสอบแล้วไม่เหลือผู้เหลือรอดเขาจึงจุดไฟเผาให้
บทที่ 40 เป็นฝีมือเขาในห้องของลั่วเออร์มีจื่อหลินที่แต่งกายให้อยู่นางเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามผู้เป็นนาย"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันเพคะพระชายาถึงได้พากันกลับวังหลวงจนท้องฟ้ามืดมิดเช่นนี้แล้วเด็กนั้นคือใครกันเพคะ" ลั่วเออร์หันไปมองหน้าของนางกำนัลเสมือนพวกนางรู้พากันเดินออกจากห้องเหลือเพียงจื่อหลิน"เด็กนั่นเป็นเด็กที่องค์รัชทายาทช่วยเหลือเอาไว้ ข้างนอกวังเกิดเรื่องขึ้นทำให้ข้ากับองค์รัชทายาทกลับมาล่วงเวลาเช่นนี้ วันนี้ข้าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินจนไม่มีเรี่ยวแรงจะเอ่ยแล้วเจ้าไปพักเถิดนะ รุ่งสางข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง ""เพคะพระชายา " จื่อหลินวางแปรงผมลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง เดินออกไปด้านนอกไม่นานเซียวอี้ได้เสด็จมาหาลั่วเออร์เพื่อมฟังคำพูดของนางเหตุใดนางถึงรู้ว่าเป็นแม่ทัพเจาหยางและเขามาพบนางเพราะการใด"มาแล้วหรือเพคะ ""ข้ารู้ว่าเจ้าตกใจและเสียใจเพียงใดแต่เรื่องที่ข้าต้องการจะรู้จากปากเจ้าในวันนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ "ลั่วเออร์ลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้พรางสูดลมหายใจให้ทั่วท้องและเล่าเรื่่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แก่เซียวอี้ฟัง"อะไรกันเจาหยางคิดทำลายข้าจนถึงขั้นจะให้เจ้าปลงพระชนม์ข้าอย่างนั้นห
บทที่ 39 ช่างโหดร้ายลั่วเออร์ปาดน้ำตาลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่มกำมือแน่นภาวนาให้ยังพอมีคนเหลือรอด นางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้รีบหันไปมองเห็นเซียวอี้อุ้มหนิงเอ๋อกลับมา ลั่วเออร์ดีใจราวกับคำอ้อนวอนของนางเป็นจริง นางวิ่งเข้าหาหาทั้งสองทันที“สวรรค์หนิงเอ๋อเจ้าปลอดภัย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้าเพียงใด” เซียวอี้วางหนิงเอ๋อหลงจากอ้อมแขน นางวิ่งเข้าไปโอบกอดลั่วเออร์แน่น“พี่ลั่วเออร์ข้ากลัว กลัวเหลือเกินเจ้าค่ะพวกเขาช่างโหดร้ายเพื่อน ๆ ของข้าท่านแม่ของข้าต่างพากันอ้อนวอนพวกเขาไม่มีความเมตตาสักนิด ท่านแม่ก้มลงเพื่อวอนขอชีวิตแต่เขากลับใช้ดาบบั่นคอท่านแม่ชั่วพริบตา อึก อึก ข้ากลัวเจ้าค่ะ เพื่อน ๆ ของข้าหนีไม่ทันถูกคนใจร้ายจัดการจนไม่เหลือ พี่ลั่วเออร์ท่านอย่าทิ้งข้าไปอีกคนนะเจ้าคะ ข้าไม่เหลือใครแล้ว” เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของหลินเอ๋อต่างพากันสงสาร ร่างเล็กสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ฝืนใจข่มความกลัวเพื่อบอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่ ลั่วเออร์กอดนางแน่นพรางร้องไห้เด็กตัวเล็กเพียงนี้ต้องมาพบเจอเรื่องโหดร้ายแถมยังต้องเสียทุกคนไปคงสะเทือนใจไม่น้อย“ข้าอยู่นี่แล้ว ข้าไม่มีท
บทที่ 38 เปลวไฟแห่งความสูญเสียระหว่างทางกลับวังหลวงเซียวอี้ได้พาลั่วเออร์ควบม้าขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อพานางไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ตรงที่เขาพานางมาเป็นหน้าผาสูงชันมองเห็นด้านล่างที่เป็นแผ่นดินกว้างใหญ่มองเห็นหมู่บ้านที่นางเพิ่มจะกลับมาเมื่อครู่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ เท่านั้น“องค์ชายพาหม่อมฉันมาที่นี่ทำไมกันเพคะ”“ข้าอยากให้เจ้าเห็นที่ที่งดงามยากนักที่จะได้มาที่เช่นนี้เพราะต่อจากนี้ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าเองก็ไม่ค่อยมีเวลาให้เจ้าต้องคอยดูแลฝ่าบาทและทำงาน วันนี้เป็นโอกาสดีที่พาเจ้าออกมาอยากให้เจ้าได้รับบรรยายกาศดี ๆ ก่อนกลับวังหลวง” เขากระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะยื่นมือให้นางจับเพื่อลงมา ลั่วเออร์จับมืออย่างไม่ลังเลลงมายืนใกล้หน้าผากวาดตามองไปจนทั่ว ลมเย็นสบายฝูงนกบินว่อนเต็มท้องฟ้าพากันโผบินกลับรังกันเป็นฝูง ท้องฟ้าเริ่มทอประกายแสงสีทองอร่ามกระทบใบหน้างามอย่างผ่องใส“งดงามเหลือเกิน” เซียวอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของลั่วเออร์ได้เอ่ยออกมา นางคิดว่าเขาชมดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า นางจึงเอ่ยตอบกลับเขา“หม่อมฉันก็ว่าเช่นนั้นเพคะ”“ข้าไม่ได้หมายถึงดวงอาทิตย์แต่เป็นเจ้าต่างหากที่งดงาม” ไม่ร
บทที่ 37 ใจเจ้าเปลี่ยนไปใบหน้าของเจาหยางเริ่มเปลี่ยนสีคล้ายรู้แล้วว่าลั่วเออร์กำลังจะทำอะไรต่อจากนี้"ของพวกนี้ข้าขอคือท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ ข้ามิอาจจะทำเรื่องที่ท่านแม่ทัพต้องการได้และต่อจากนี้เราอย่ามาเจอกันดีกว่าและเลิกเรียกข้าว่าลั่วเออร์สักที เพราะยามนี้ข้าคือพระชายาขององค์รัชทายาทมิใช่ลั่วเออร์ของท่านอีกต่อไป "น้ำเสียงเย็นชาบาดจิตผู้ที่ได้ยินสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจราวกับถูกสายฟ้าผ่าลงกลางใจ"เกิดอะไรขึ้น! ทำไมเจ้าถึงเอ่ยมาเช่นนี้เจ้ายังรักข้าอยู่มิใช่หรือแล้วเรื่องที่ข้าให้เจ้าทำล้วนแต่เป็นประโยชน์ของเจ้าที่จะได้มาอยู่กับข้า ""เลิกพูดว่าเป็นผลประโยชน์ของข้าเสียที คำว่ารักของท่านนั้นท่านไม่รักข้า แต่ท่านรักตนเองต่างหากท่านแม่ทัพไตร่ตรองให้ดีว่าสิ่งที่ทำให้ข้าทำนั้นทำเพื่อผู้ใด ทุกอย่างล้วนทำเพื่อท่านเท่านั้นนี่มิใช่ความรัก แต่เป็นความเห็นแก่ตัววันที่ท่านมอบยานี้ให้ข้าเสมือนท่านยื่นความตายให้กับข้า วันนี้ข้าขอคืนผ้าเช็ดหน้ากับหัวใจคืนให้ท่านอย่าได้มาเกี่ยวข้องกันอีกเลย เพราะลั่วเออร์ได้ตายจากท่านในวันที่ท่านส่งมอบยาให้ข้าแล้ว" คำพูดของลั่วเออร์ทำให้เจาหยางสะอึกและไม่สามารถเอ่ยปากพูดอะ
บทที่ 36 ตัดสินใจท้องพระโรงเสนาบดีที่ได้รับสารจากฝ่าบาทพากันมายืนรอฝ่าบาทที่ท้องพระโรงเพื่อรับฟังเรื่องอาการเจ็บป่วย ทุกคนตางพากันพูดคุยหารือเสียงดัง ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางเริ่มเป็นกังวลหากเรื่องที่ฝ่าบาทประชวรเป็นเรื่องจริงอีกไม่นานบัลลังก์ต้องตกเป็นขององค์รัชทายาท เขาจ้องมองไปยังเจาหยางที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นักเจาหยางจึงเดินเข้ามาหาท่านพ่อของตน"เรื่องที่เจ้าไปทำถึงขั้นไหนแล้วเหตุใดถึงได้ชักช้าเช่นนี้""ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันหลังจากที่แยกย้ายข้าจะไปหาลั่วเออร์เพื่อถามนางอีกครั้งขอรับ ""เราจะรอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว เจ้ารีบไปคาดคั้นให้นางเร่งมือหน่อย""ขอรับท่านพ่อ" ทั้งสองพูดคุยกันเสร็จได้แยกย้ายประจำที่เพราะบัดนี้ฝ่าบาทได้เสด็จมาแล้ว ภายใต้สายตาของเหล่าเสนาบดีหลายคนเห็นใบหน้าของฝ่าบาทก็รับรู้ได้ทันทีว่าเรื่องข่าวลือเป็นความจริง เพราะฝ่าบาทถูกขันทีกับองค์รัชทายาทประคองออกมา เพียงไม่กี่วันอาการของฝ่าบาททรุดลงอย่างรวดเร็ว"ฝ่าบาทเสด็จ" เสียงขันทีแจ้งบอกทุกคนเสนาบดีโค้งคำนับลงพร้อมเพียงกัน"ถวายบังคมฝ่าบาทขอให้พระองค์มีพระกรกายแข็งแรงหมื่นปีหมื่น ๆ ปี" ฝ่าบาทนั่งลงบนบัลลังก์กวาดตาม