ล้อรถหมุนไปเรื่อยๆตู้เหวินยวนถูกมัดไพล่หลังรั้งคอ ถูกปิดตา นอนอยู่บนรถม้า ในใจเต็มไปด้วยความกังวลองค์ชายเก้าคิดจะทำอะไรกันแน่?เขากำลังจะพาข้าไปไหน?หรือว่าเขาต้องการฆ่าข้าจริงๆ?เป็นไปไม่ได้!เขาเป็นองค์ชาย ไม่ใช่จอมยุทธพเนจรที่บ่อนทำลายกฎเกณฑ์ถ้าเขาแตะต้องเส้นขนข้าแม้เพียงเส้นเดียว ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยเขาไปเด็ดขาด!ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเส้นทางที่โคลงเคลงนี้ เกือบทำให้ตู้เหวินยวนอาเจียนออกมาในที่สุดรถม้าก็หยุดลง“ลงจากรถ!” ซูเฟิ่งหลิงเอาตัวตู้เหวินยวนลงจากรถ แล้วแก้เชือกออกตู้เหวินยวนแทบรอไม่ไหว รีบถอดผ้าปิดตาออก“เขาทิศประจิม?”ตู้เหวินยวนจำได้ในทันที ที่นี่คือเขาทิศประจิมสถานที่ห่างไกลบริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยป่าเขียวชอุ่ม มีชาวบ้านผ่านไปผ่านมาไม่มากนักด้านหน้าเป็นถ้ำที่ดูเหมือนเพิ่งจะถูกขุดออกมาตู้เหวินยวนสับสน “องค์ชายเก้า เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม?”หลี่หลงหลินยิ้มบาง “ตู้เหวินยวน เจ้ายังมีโอกาสสุดท้ายที่จะสารภาพผิดและคายเงินที่เจ้ายักยอกไปออกมา! ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้าอยู่อย่างตายทั้งเป็น!”ใบหน้าของตู้เหวินยวนซีดขาว เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้า... เจ้
แม้แต่ซูเฟิ่งหลิง หญิงสาวรูปร่างอรชรเดินเข้าไป ก็ยังยืนตัวตรงไม่ได้ ทำได้แค่ม้วนตัวเอนกายครึ่งหนึ่งบนพื้นซูเฟิ่งหลิงเข้าไปสัมผัสกับประสบการณ์ ก็ตะลึงงัน “นี่...นี่คืออะไร?”หลี่หลงหลินยิ้ม “นี่เป็นการลงโทษที่น่ากลัวที่สุดในโลก...ห้องมืดเล็กๆ!”ซูเฟิ่งหลิงมีสีหน้าสับสนก็แค่ห้องเล็กๆ คับแคบเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ?ต่างจากห้องขังอย่างไร?มีนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกใหญ่กรมอาญากี่คน?ผู้ที่ทำความผิดร้ายแรงถูกจำคุกตลอดชีวิต ไม่ใช่ว่าเอาตัวรอดไปวันๆ เหมือนกันหรือ?เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว!“ฮ่าๆๆ...”ตู้เหวินยวนเงยหน้าขึ้นหัวเราะ น้ำตาแตก “องค์ชายเก้า เจ้านี่ช่างพูดอะไรน่าขันนัก! ก็แค่ถูกขังไม่ใช่หรือ? มีอะไรให้น่ากลัว? แล้วการลงโทษที่น่ากลัวที่สุดในโลกคืออะไร? ขู่ให้กลัวมากกว่าสิไม่ว่า!”หลี่หลงหลินขี้เกียจจะพูดเรื่องไร้สาระ ผลักตู้เหวินยวนเข้าไปห้องมืด“เฮอะ!”“ต่างจากคุกตรงไหน?”ตู้เหวินยวนแค่นเสียงเย็นชา กว่าจะหาท่านั่งสบายๆ พบไม่ใช่ง่ายๆ ก่อนจะนั่งลงบนพื้น“โอ้!”“แถมยังนุ่มสบายด้วย!”เมื่อตู้เหวินยวนสัมผัส เขาก็พบว่าพื้นและผนังของห้องมืดเล็กๆ นี้ถูกปูด้วยผ้าฝ้ายดูเ
ตำแหน่งที่ตั้งของห้องมืดเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนทหารซีซานเวลาเดินทางก็ใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้นหลี่หลงหลินสั่งให้คนย้ายโต๊ะและเก้าอี้ ตักน้ำพุบนภูเขามาต้มน้ำชา และดื่มชาพูดคุยกับสตรีที่ยอดเยี่ยมทั้งสองคนอย่างซูเฟิ่งหลิงและกงซูหว่าน ชื่นชมพระจันทร์และสายลมที่พัดผ่านป่าไม้ มีความสุขยิ่งนักในเวลานี้ เสียงทุบประตูและเสียงร้องไห้ก็ดังมาจากถ้ำ ทำลายภาพอันงดงามนี้ลงซูเฟิ่งหลิงวางถ้วยชาลงแล้วถามด้วยความไม่เข้าใจ “นี่เกิดอะไรขึ้น?”หลี่หลงหลินยิ้มบาง “สติหลุดแล้ว”ซูเฟิ่งหลิงและกงซูหว่านต่างก็มองไปที่หลี่หลงหลินด้วยความประหลาดใจในเวลาเพียงครึ่งวัน ตู้เหวินยวนก็สติหลุดแล้วหรือ?”ห้องมืดเล็กๆ น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?หรือว่าภายในนั้นจะมีปีศาจอะไรซ่อนอยู่จริงๆ?หลี่หลงหลินเม้มปากจิบชา “ข้าเคยพูดเอาไว้แล้ว ห้องมืดเล็กๆ นี่เป็นหนึ่งในการลงโทษที่น่ากลัวที่สุดในโลก! พวกเจ้าไม่เชื่อ! ตอนนี้เชื่อแล้วใช่หรือไม่! อย่างไรก็ตาม ตู้เหวินยวน สุนัขแก่ตัวนี้ ช่างไม่มีอนาคตเลยจริงๆ อดทนได้แค่ครึ่งวันเท่านั้น...”คำพูดเหล่านี้ ไม่ใช่คำพูดที่พูดไปเรื่อยของหลี่หลงหลิน แต่เป็นเรื่องจริงคนก
ในตอนแรก ตู้เหวินยวนยังร้องไห้โวยวายอยู่ในห้องมืดเล็กๆ นั่นต่อมา ตู้เหวินยวนเริ่มใช้สิ่งที่เรียนรู้มาตลอดชีวิต สาปแช่งหลี่หลงหลินจากนั้น ตู้เหวินยวนก็เริ่มขอร้องให้หลี่หลงหลินปล่อยเขาออกไปสุดท้าย ในห้องมืดเล็กๆ กลับไม่มีเสียงใดๆ แม้แต่น้อย มันเงียบสงัดหากไม่ใช่ว่าได้ยินเสียงหายใจอันหนักอึ้งของตู้เหวินยวนจากภายนอก ก็คงคิดว่าเขาตายไปแล้ว!พระราชวังต้องห้ามภายในห้องหนังสือเจ้ากรมกรมอาญา เสนาบดีศาลต้าหลี่และผู้ตรวจการราชสำนักราวกับเด็กที่ทำผิดพลาด ยืนก้มหน้าอยู่หน้าฮ่องเต้หวู่เพลียะ!ฮ่องเต้หวู่ขว้างฎีกาใส่หน้าพวกเขา พร้อมตะคอก “พวกเจ้ามันเลี้ยงเสียข้าวสุก! ตู้เหวินยวนถูกลักพาตัวมาสามวันแล้ว แต่ก็เพิ่งมาบอกข้าเอาป่านนี้!”ฟรึ่บ!ขุนนางใหญ่ทั้งสามรีบคุกเข่าลง โขกศีรษะราวโขกกระเทียม “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”เสนาบดีศาลต้าหลี่ก้มศีรษะลง พร้อมกับพูดเสียงแหบแห้ง “ฝ่าบาท กระหม่อมนึกไม่ถึงเลยว่าองค์ชายเก้าจะกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ถึงขนาดลักพาตัวนักโทษไปจากหน้าประตูศาลต้าหลี่! นี่เป็นความประมาทเลินเล่อของกระหม่อม ฝ่าบาทโปรดลงโทษกระหม่อมด้วย!”ฮ่องเต้หวู่โกรธมาก อกของเ
“สหาย!”ใบหน้าของฮ่องเต้หวู่เย็นชา สั่งเว่ยซวินว่า “รวบรวมทหารม้าหนึ่งร้อยนาย! ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเก้ากำลังเล่นอะไรอยู่!”เว่ยซวินตกใจจนเหงื่อแตกคราวนี้ฮ่องเต้หวู่โกรธมากจริงๆ!แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาชัดๆ ก็ตามแต่ในใจของเขาคิดว่า องค์ชายเก้าทำผิด!ไม่อย่างนั้นเหตุใดฮ่องเต้หวู่ถึงอยากรวบรวมทหารม้า?ด้านหนึ่งเพื่อปิดข่าวอีกด้านหนึ่งเพื่อกดดันองค์ชายเก้า“กระหม่อมรับบัญชา!”เว่ยซวินโค้งตัวทำความเคารพ ไปรวบรวมทหารม้าหลังจากนั้นครึ่งชั่วยามฮ่องเต้หวู่ขี่เกี้ยวมังกร มีทหารม้านับร้อยคุ้มกัน มุ่งหน้าไปทางเขาทิศประจิมอย่างยิ่งใหญ่ขุนนางใหญ่สามศาลนั่งเกี้ยวตามไปด้านหลังแม้ว่าเขาทิศประจิมจะเป็นพื้นที่ทางทหารที่สำคัญ ห้ามคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปแต่เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาด้วยตนเองเช่นนี้ ใครจะกล้าหยุดเขา?ขบวนเสด็จมาถึงโรงเรียนทหารซีซาน ฮ่องเต้หวู่ลงจากรถ ตรัสด้วยความโกรธ “เจ้าเก้าล่ะ? ออกมาเดี๋ยวนี้!”เหล่านักเรียนในโรงเรียนทหารซีซานก็มองหน้ากันองค์ชายเก้าทำอะไร?ถึงได้ทำให้ฮ่องเต้พิโรธถึงเพียงนี้?ดูจากท่าทางของฮ่องเต้ เกรงว่าคงต้องการรื้อเขาทิศประจิม ถึงจะระงับความพิโร
ตราบใดที่หลี่หลงหลินคุกเข่ายอมรับผิดอย่างมากฮ่องเต้ก็ตำหนิเขาเท่านั้น หลังจากคิดไปได้สักพักหนึ่ง เรื่องใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กพูดตามตรงสิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการนั้น มีเพียงทัศนคติหนึ่งของหลี่หลงหลิน!หลี่หลงหลินขมวดคิ้ว “เว่ยกงกง ข้าทำอะไรผิด เหตุใดต้องยอมรับผิดด้วย?”เว่ยซวินก็สำลักความโกรธครู่หนึ่งองค์ชายเก้า เจ้าฉลาดมาเป็นชาติ แต่กลับเลอะเลือนชั่วขณะหนึ่ง!เจ้าลักพาตัวตู้เหวินยวนไป ขังเอาไว้ในเขาทิศประจิมมาสามวัน หากไม่ลงโทษเองโดยพลการก็แปลกแล้ว!นี่เป็นความผิดอันร้ายแรง!เจ้ายังไม่ยอมรับผิดอีกหรือ?ก็ได้!คนรนหาที่ตายก็จะได้ตาย!ข้าอุตส่าห์มีความเมตตาต่อเจ้ามาก ก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว!เมื่อฮ่องเต้หวู่เห็นว่าหลี่หลงหลินไม่ยอมรับผิด สีหน้าก็มืดมนมาก “เจ้าเก้า เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับผิดอีกหรือ?”หลี่หลงหลินโค้งคำนับ “เสด็จพ่อ ลูกผิดอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้หวู่มีใบหน้าเคร่งขรึม พูดกับขุนนางใหญ่ทั้งสามศาลว่า “พวกเจ้าสามคน ตอบเจ้าเก้า ให้เขายอมรับผิด!”ขุนนางใหญ่ทั้งสามจึงโค้งคำนับ “กระหม่อมรับบัญชา!”ขุนนางศาลต้าหลี่เป็นคนแรกที่เดินออกมาแล้วกล่าวว่า “
“ใต้เท้าตู้ เจ้า...”ฮ่องเต้หวู่มองหน้าตาของตู้เหวินยวน ในใจก็รู้สึกขนลุกอยู่บ้างบนร่างกายของเขา ไม่เห็นรอยแผลชัดเจนนักแต่หน้าเขียวและซีด แววตาฟุ้งซ่าน เห็นได้ชัดว่าต้องทนทุกข์ทรมานมากจึงได้กลายเป็นแบบนี้ชั่วขณะหนึ่ง ฮ่องเต้หวู่ก็อดรนทนไม่ไหวอย่างไรตู้เหวินยวนก็เป็นขุนนางในราชสำนักมาหลายปี แม้ไม่มีความสำเร็จ แต่ก็ทำงานหนักและที่ทำให้ฮ่องเต้หวู่ตกใจก็คือคำว่าปีศาจคำนี้เจ้าเก้าทำอะไรกันแน่ถึงได้ทำให้ตู้เหวินยวนหวาดกลัวเพียงนี้?ฮ่องเต้กลืนน้ำลายลง “เจ้าพูดมาสิ เจ้าเก้าทำอะไรเจ้ากันแน่?”ตู้เหวินยวนกัดฟัน “เขา... เขาทารุณกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่ถามว่า “ตีเจ้าหรือ?”ตู้เหวินยวนส่ายหัว “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่ถามอีกว่า “ด่าเจ้าหรือ?”ตู้เหวินยวนส่ายหัว “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วกล่าวว่า “หรือว่าไม่ให้เจ้ากินข้าวกินน้ำ?”ตู้เหวินยวนยังคงส่ายหัว “ก็ไม่ใช่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่สับสนแล้ว สีหน้าของเขาดูงุนงง “แล้วเขาทารุณเจ้าอย่างไร?”ตู้เหวินยวนคิดอยู่นานก่อนจะตอบว่า “เขาขังกระหม่อมไว้ในห้องมืดเล็กๆ ไม่คุยกับกระหม่อม...”คราวนี้ไม่ใช่เพียงฮ่องเต
ในตอนนั้นเอง หลี่หลงหลินก็เอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า: “เสด็จพ่อ ลูกไม่เหมือนพวกไร้ค่าพวกนั้นหรอก!” ฮ่องเต้หวู่ถึงกับชะงัก มองหลี่หลงหลินพลางถาม: “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลี่หลงหลินยิ้มเย็นชา ก่อนกล่าวด้วยคำพูดที่ทำให้ทุกคนตะลึง: “คดีที่สามศาลไม่สามารถสืบได้ ข้าจะสืบเอง! เงินสกปรกที่สามศาลหาไม่เจอ ข้าจะหาเอง!” เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนในที่นั้นถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก ทำยังไง? ในเมื่อทุกคนช่วยกันสืบยังสืบไม่ได้ แล้วองค์ชายเก้าจะมาดูแคลนสามศาลได้ยังไง? เจ้ากรมอาญาเอ่ยด้วยความไม่พอใจ: “องค์ชายเก้า ท่านไม่กลัวว่าจะทำไม่ได้ตามที่พูดหรือ?” เจ้ากรมศาลต้าหลี่หัวเราะเยาะ: “ข้าจะให้เวลาท่านอีกเดือนหนึ่ง ถ้าท่านทำให้ตู้เหวินยวนยอมรับสารภาพได้ ข้าจะยอมลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับบ้านเกิดไปเลย!” ผู้ตรวจการราชสำนักเพียงแต่ส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจ: “องค์ชายเก้า ท่านยังอ่อนประสบการณ์เกินไป การสอบสวนมันคือศิลปะ ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างนั้น...” ฮ่องเต้หวู่เองก็เอ่ยเช่นกัน: “เจ้าเก้า เจ้าเป็นดาบที่อายจนไม่กล้าคืนฝักหรือไง? ฟังคำเราเถิด ช่างมันเถอะ! ค่อย ๆ สืบไป สุดท้ายก็ต้องมีผลออกมาเอง!”
คนคำนวณ มิอาจสู้ฟ้าลิขิต องค์รัชทายาทก่อกบฏ เป็นเรื่องร้ายแรง ด้วยเหตุบังเอิญหลายประการ แผนการกบฏของหลี่เทียนฉี่ล้มเหลว เสิ่นชิงโจวในฐานะราชครู เป็นอาจารย์ของหลี่เทียนฉี่ ย่อมได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม เสิ่นชิงโจวเตรียมการไว้ ใช้ทรัพยากรมหาศาล ไม่เพียงแต่รักษาชีวิตตนเอง ยังรักษาชีวิตหลี่เทียนฉี่ และฮองเฮาหลู่พระมารดาเอาไว้ได้ และจากเหตุการณ์นี้เอง... ความผิดหวังของเสิ่นชิงโจวที่มีต่อฮ่องเต้หวู่ ก็ถึงขีดสุด มีข่าวลือว่า ฮ่องเต้หวู่ทรงเย็นชา ไร้หัวใจ เหลวไหล! ผู้เป็นจักรพรรดิ ต้องเด็ดขาด ฮ่องเต้หวู่ทรงมีพระทัยอ่อนโยน เป็นคนดี แต่ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ดี! ทว่า... เสิ่นชิงโจวไม่คาดคิดว่า ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในคุกหลวง นิสัยของฮ่องเต้หวู่ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป เป็นแข็งกร้าวขึ้นกว่าเดิม? ต้องรู้ว่า... ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้หวู่มีความเคารพตนอย่างมาก ไม่มีทางตะโกนใส่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตำหนิต่อหน้าธารกำนัล ให้ตนเองหุบปากด้วย สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก ฮ่องเต้หวู่อายุมากแล้ว นิสัยไม่อาจเปลี่ยนได้ในทันที นี่มันตะวันขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ? “กระหม่อม ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”
เสิ่นชิงโจวสองมือไพล่หลัง ท่าทางหยิ่งผยอง พยักหน้าเล็กน้อย ถือว่าเป็นการตอบรับ สมกับเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้! สง่าผ่าเผย! ประชาชนนับไม่ถ้วนต่างก็รู้สึกทึ่งในใจ หลี่เทียนฉี่และกลุ่มข้าราชการ ก็มีสีหน้าฮึกเหิม ข้าราชการหลายคนยังคงกังวล เสิ่นชิงโจวถูกขังอยู่ในคุกหลวงเป็นเวลานาน ไม่มีข่าวคราว ถึงจะไม่ตาย ก็อาจจะถูกทรมานจนปางตาย ไร้ซึ่งความเฉียบคม ไม่อาจใช้งานได้ วันนี้ได้เห็น เสิ่นชิงโจวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงแต่มีอารมณ์แจ่มใส แต่ยังคงไว้ซึ่งความหยิ่งทระนง องค์รัชทายาท คราวนี้ ท่านเดินหมากพลาดแล้ว! ท่านจัดการฉินฮั่นหยางและคนอื่นๆ ก็ยังพอมีหวังอยู่บ้าง แต่ท่านกลับให้อาจารย์ของฮ่องเต้ออกจากคุกมาด้วย? ศึกนี้ ท่านแพ้แน่นอน! “หึหึ...” หลี่หลงหลินเผชิญหน้ากับข้อสงสัย ก็หัวเราะเยาะในใจ เสิ่นชิงโจว เจ้าแสร้งทำตัวเป็นผู้สูงส่งเพื่อปลุกขวัญกำลังใจ สร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีน่าเกรงขาม ช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจได้จริงๆ! ทุกสิ่งมีราคา เจ้าโอหัง ไม่เห็นใครในสายตา ราคาของมันคืออะไร? หลี่หลงหลินเงยหน้า มองฮ่องเต้หวู่ เป็นไปตามคาด สีหน้าของฮ่องเต้หวู่ มืดครึ้มราวกับฝน ในดวงต
บนลานหยกขาว เกิดความโกลาหล ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึง มองหลี่หลงหลินอย่างประหลาดใจ เจ้าเก้าจะไต่สวนบัณฑิตสิบคนที่นำโดยฉินฮั่นหยางนั้น ยังอยู่ในการคาดการณ์ของฮ่องเต้หวู่ แต่คาดไม่ถึงว่า... บัณฑิตสิบคนยังไม่พอ หลี่หลงหลินยังจะเพิ่มเสิ่นชิงโจว อาจารย์ของฮ่องเต้เข้ามาอีกคน? เขาละโมบเกินไปแล้ว! ต้องรู้ว่า... อาจารย์ของฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ แม้ว่าเสิ่นชิงโจวจะถูกจับเข้าคุกหลวงเพราะข้อหากบฏ แต่เพราะไม่มีหลักฐาน จะไต่สวนก็ไม่ได้ จะปล่อยก็ไม่ได้ ทำได้เพียงขังไว้! ฮ่องเต้หวู่สีหน้าลังเล มองหลี่หลงหลิน: “เจ้าเก้า เจ้าต้องการไต่สวนเสิ่นชิงโจวจริงๆ หรือ?” บัณฑิตทรงคุณวุฒิสิบคน ก็ยุ่งยากพอแล้ว ยังเพิ่มเสิ่นชิงโจว อาจารย์ของฮ่องเต้เข้ามา เขาคืออดีตราชครูผู้มีอำนาจล้นฟ้า ฮ่องเต้หวู่กลัวว่าหลี่หลงหลินจะรับมือไม่ไหว จึงให้ทางลงแก่เขา หลี่หลงหลินไม่สนใจความหวังดีของฮ่องเต้หวู่ เพียงพยักหน้าอย่างหนักแน่น: “เสด็จพ่อ ครั้งนี้หากไม่กำจัดเสิ่นชิงโจว เกรงว่าจะมีภัยตามมา...” เขาไม่หลีกเลี่ยง สายตาจับจ้องไปที่หลี่เทียนฉี่ หลี่เ
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้...” หลี่หลงหลินส่ายหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น: “เสด็จพ่อ ลูกยังเยาว์วัย รอได้! แต่ต้าเซี่ยรอได้หรือ? ชาวบ้านที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก รอได้หรือ?” ฮือ! ประชาชนแตกตื่น! ดังที่ฮ่องเต้หวู่เอ่ย หลี่หลงหลินเป็นองค์รัชทายาท ถูกกำหนดให้สืบทอดราชบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ เขาจะรีบร้อนไปไย? เหตุใดเขาจึงต้องกำจัดสำนักปราชญ์? เหตุใดต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งใต้หล้า? หลี่หลงหลินไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่เพื่อพวกเรา ประชาชนทุกคน! ใบหน้าแต่ละคนต่างตกตะลึง ดวงตาแต่ละคู่ เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและตื้นตัน ผู้มีอำนาจมักเห็นแก่ตัว ผู้สูงศักดิ์ ล้วนมีนิสัยเหมือนกัน มักจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองก่อน ใครจะมาเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน แม้แต่ขุนนางที่เรียกตัวเองว่าขุนนางตงฉิน อ้างตนว่าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต มักจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ประชาชน แท้จริงแล้ว พวกเขาก็ทำเพื่อตนเอง คนเราเกิดมา ก็หนีไม่พ้นชื่อเสียงและลาภยศ ขุนนางตงฉินเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการลาภยศ แต่ต้องการชื่อเสียง กล่าวโดยสรุป... ประชาชนสำหรับพวกเขา เป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาชื่อเสียงและลาภยศ เมื่อผลประ
“เสด็จพ่อ!” หลี่หลงหลินถอนหายใจ: “ลูก ตีกลองร้องทุกข์ เป็นเรื่องที่จำใจต้องทำ! เพราะผู้ที่ลูกจะร้องฎีกานั้น แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่อาจทำอะไรได้ ยากจะรับมือ” คำพูดนี้ ทำให้ทั่วทั้งลานหยกขาวเกิดความโกลาหล สีหน้าของฮ่องเต้หวู่มืดครึ้ม อัปลักษณ์ถึงขีดสุด เป็นผู้ใด? ที่ทำให้ข้าไม่อาจทำอะไรได้? เจ้าเก้า เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าประชาชน และเหล่าขุนนาง!ฮ่องเต้หวู่สูดลมหายใจลึก: “องค์รัชทายาท! เจ้าพูดให้ชัดเจน ว่าจะร้องฎีกาผู้ใด และข้าจะรับมือไม่ได้อย่างไร!” หลี่หลงหลินพูดอย่างหนักแน่น: “ผู้ที่ลูกจะร้องฎีกา คือสำนักปราชญ์!” สำนักปราชญ์? ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองหลี่หลงหลินพูดชัดเจน เขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนหนึ่งหรือสองคน ไม่ใช่เสิ่นชิงโจว ไม่ใช่บัณฑิตทรงคุณวุฒิที่นำโดยฉินฮั่นหยาง แต่เป็นทั้งสำนักปราชญ์ กล่าวคือ... หลี่หลงหลินต้องการสั่นคลอนรากฐานของสำนักปราชญ์! นี่คือการเป็นศัตรูกับบัณฑิตทั้งใต้ทั่วหล้า เป็นศัตรูกับวิถีแห่งปราชญ์! เขาเสียสติไปแล้วหรือ? ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว: “องค์รัชทายาท เจ้า...เจ้าพูดให้ชัดเจน! เจ้าจะร้องฎีกาบั
เหตุใดเขาจึงตีกลองร้องทุกข์ และเหตุใดจึงพาประชาชนมากมายขนาดนี้เข้ามา หรือว่า... ในสมองของหลายคน ปรากฏภาพที่คุ้นเคย ภาพและบรรยากาศตรงหน้า เหมือนกับตอนที่องค์ชายหกหลี่เซวียนนำทหารก่อกบฏ บุกเข้าวังหลวง ต่างกันตรงที่... ตอนที่หลี่เซวียนก่อกบฏ ยังมีหลี่หลงหลิน ซูเฟิ่งหลิง นำทหารพ่ายศึกของตระกูลซูมาพลิกสถานการณ์! แต่ตอนนี้... หลี่หลงหลินกลับพาชาวบ้านบุกเข้าวังหลวง หมายจะก่อกบฏ! ผู้พิชิตมังกร ในที่สุดก็กลายเป็นมังกรเสียเอง! หลี่เทียนฉี่เป็นคนแรกที่ตอบสนอง จึงตะโกนด่า: “องค์รัชทายาท นี่จะก่อกบฏ! เสด็จพ่อ นี่เป็นการกบฏ ถือเป็นความผิดร้ายแรง ไม่อาจให้อภัยได้! ขอเสด็จพ่อทรงมีราชโองการ ปลดหลี่หลงหลินจากตำแหน่งองค์รัชทายาท!” ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างเห็นพ้อง: “ฝ่าบาท การกระทำขององค์รัชทายาท เกินไปแล้ว!” “ที่องค์รัชทายาทเหิมเกริมเช่นนี้ เป็นเพราะฝ่าบาททรงโปรดปรานและตามใจ จนเกิดเรื่องในวันนี้!” “ใช่แล้ว ฝ่าบาท! ครั้งนี้ ต้องลงโทษองค์รัชทายาทอย่างหนัก!” ฮ่องเต้หวู่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงดังกึกก้อง: “พวกเจ้าทุกคนจงเงียบ! พวกเจ้านี่ช่างด่วนส
ประตูอู่เหมิน ข้างกลองร้องทุกข์ ภายใต้สายตาของชาวบ้านนับพันนับหมื่น หลี่หลงหลินส่งไม้ตีกลองให้ซูเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ สองมือไพล่หลัง เอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งผยอง: “เว่ยกงกง พูดอะไรเช่นนี้ ชาวบ้านตีกลองร้องทุกข์ได้ เหตุใดองค์รัชทายาทจะตีไม่ได้?” เว่ยซวินพูดไม่ออก ยืนงงในสายลม จู่ๆ เขาก็คิดถึงองค์ชายเก้าในอดีต กินดื่มเที่ยวเล่น ฟังดนตรีในหอนางโลม ซ่อนคมอย่างสงบ เป็นขยะที่รอวันตาย แล้วตอนนี้ล่ะ? เรื่องที่หลี่หลงหลินทำ ช่างถี่กระชั้น! จากงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผาในคืนส่งท้ายปีเก่า ถึงพิธีสักการะฟ้าดินในวันขึ้นปีใหม่ ช่วงปียังไม่ทันผ่านพ้น หลี่หลงหลินก็มาตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา! นี่จะไม่ให้ใครได้พักผ่อนกันสักวันเลยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น... จุดประสงค์แรกเริ่มของการตั้งกลองร้องทุกข์นี้ ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงตั้งไว้ให้ชาวบ้านที่สิ้นไร้หนทาง ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท จะมีเรื่องอยุติธรรมใด? พระองค์จะมาสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร! แม้ในใจเว่ยซวินจะบ่นพึมพำ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม: “องค์รัชทายาท บ่าวพูดผิดไป! กลองร้องทุกข์นี้ ชาวบ้านตีได้ พระองค์ก็ย่อมตีได้ บ่าวจะกลับ
เจิ้งถูฮู่ดวงตาเป็นประกาย หัวเราะเสียงดัง: “ไม่มีประโยชน์หรือ? เจ้าจะไปรู้อะไร! พิธีสักการะฟ้าดิน ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ แต่ตอนนี้มีคนตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา!” “เจ้ารู้กฎของกลองร้องทุกข์หรือไม่?” เจิ้งเทียนฉินส่ายหน้า สีหน้ามึนงง พูดตามตรง เขาไม่รู้จริงๆ ในสำนักศึกษา สอนแต่สี่ตำราห้าคัมภีร์ เรียงความของนักปราชญ์ ไม่สอนเรื่องพวกนี้เลย ที่จริง ตอนเด็กเจิ้งเทียนฉินก็เคยถามอาจารย์ว่า กลองร้องทุกข์มีไว้ทำอะไร ผลก็คือ อาจารย์สีหน้ามืดมน แล้วเอาไม้เรียวมาตีมือเขา การตีกลองร้องทุกข์ ในสายตาของสำนักปราชญ์ คือการที่ไพร่ก่อเรื่อง ในสำนักศึกษา สอนวิถีแห่งปราชญ์ ไม่ใช่สอนให้คนเป็นไพร่ เจิ้งถูฮู่ยิ้มพลางอธิบาย: “ตามกฎที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยตั้งไว้! ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง!” “ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านมีสิทธิ์เข้าไปในพระราชวังต้องห้าม เพื่อชมการไต่สวน เป็นการแสดงถึงความยุติธรรม!” เจิ้งเทียนฉินตกตะลึง พระราชวังต้องห้าม สำหรับชาวบ้านทุกคนแล้ว เป็นสถานที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เช่นกัน ตอนเด็ก เจิ้งเทียนฉ
กลองร้องทุกข์ กลองนี้คือกลองที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงประดิษฐานไว้หน้าประตูอู่เหมิน หากชาวบ้านได้รับความอยุติธรรม ก็สามารถมาตีกลองร้องทุกข์นี้ เพื่อเป็นการยื่นฎีกา ให้เรื่องราวไปถึงเบื้องพระยุคลบาทได้ ทว่า... นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าเซี่ยมา จำนวนครั้งที่กลองร้องทุกข์ถูกตีนั้น แทบนับครั้งได้ และล้วนเกิดขึ้นในช่วงต้นของการก่อตั้งอาณาจักร ร้อยปีให้หลังมานี้ กลองร้องทุกข์ไม่เคยถูกตีแม้แต่ครั้งเดียว กลายเป็นเพียงของประดับ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? สาเหตุก็แสนง่ายดาย ทุกครั้งที่กลองร้องทุกข์ดังขึ้น หมายความว่ามีคดีใหญ่สะเทือนฟ้าดินอุบัติขึ้น ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง ทั้งยังมีชาวบ้านและขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อแสดงถึงความยุติธรรม นั่นก็หมายความว่า... เมื่อใดก็ตามที่กลองร้องทุกข์ถูกตี ไม่รู้ว่าจะมีขุนนางกี่คนที่ต้องหัวหลุดจากบ่า เลือดนองแผ่นดิน ดังนั้น... เหล่าขุนนางจึงคิดหาวิธี โดยอ้างว่ากลองร้องทุกข์จะรบกวนเบื้องพระยุคลบาท ไม่เพียงแต่ส่งคนไปเฝ้ากลอง ยังซ่อนไม้ตีกลองเอาไว้ นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข