บรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้ ตึงเครียดขึ้นมากะทันหันมีเพียงหลี่หลงหลินเท่านั้นที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเดิม ไม่ได้ยืนขึ้นทำความเคารพ เขายกยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สี่ ท่านมาสายนะขอรับ ต้องดื่มลงโทษสามจอก!”ทุกคนต่างก็ตกใจ!องค์ชายเก้าเสียสติไปแล้วหรือ?เขามองไม่ออกหรือไร องค์ชายสี่มาที่นี่เพื่อซักไซ้เอาความเขาไม่ลุกขึ้นมาคารวะ ก็ผิดต่อมารยาทแล้ว แถมยังให้องค์ชายสี่ดื่มสุราเป็นการลงโทษ?ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า ไร้เหตุผลสิ้นดี!เมื่อหลี่จือได้ยินดังนั้น มุมปากก็กระตุกเล็กน้อยในเวลาปกติ หากเจ้าเก้ากล้ากำเริบถึงเพียงนี้ เขาก็คงจะตบอีกฝ่ายสักฉาดแล้ว!สูงต่ำมีแตกต่าง ผู้ใหญ่ผู้น้อยมีลำดับไม่เข้าใจหรืออย่างไร?เจ้าเก้าเช่นเจ้า มีสิทธิ์อันใดมากร่างกร้าวอยู่ตรงนี้?แต่วันนี้ต่างออกไปในสายตาของหลี่จือ หลี่หลงหลินในมือถือไพ่เด็ด ทั้งยังมั่นใจอย่างยิ่ง!ไพ่เด็ดอันใด?แน่นอนว่าในจวนของเจ้าหก ต้องซุกซ่อนความมั่งคั่งไว้มากมายอยู่แน่แล้ว!และหลี่หลงหลินทำตามรับสั่งของเสด็จพ่อ สามารถตัดสินผู้ที่จะเป็นเจ้าของเงินล้านตำลึงนี้ได้!ตนจะร่ำรวยล้นฟ้าหรือจะมีความสุขอย่างฝันเฟื่อง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสิน
คนตระกูลซูจ้องมองไปที่ตั๋วเงินกองใหญ่บนโต๊ะด้วยแววตาเป็นประกาย โดยเฉพาะลั่วอวี้จู๋ ที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่องค์ชายสี่ก็หยิบเงินจำนวนมหาศาลถึงห้าแสนตำลึงออกมาจริงๆ ด้วยเงินจํานวนนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเงินบํานาญของกองทัพตระกูลซูได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเงินที่สามารถสร้างกองทัพตระกูลซูขึ้นใหม่ได้อีกด้วย! ตระกูลซูมีทางรอดแล้ว! ทว่าหลี่หลงหลินกลับไม่ขยับเขยื้อนเลย เขามองไปที่ตั๋วเงินบนโต๊ะ ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “พี่สี่ แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะหรือไม่” หลี่จือตกตะลึง: “ไม่เหมาะหรือ? มีอะไรไหมเหมาะ? เจ้าเสนอราคาห้าแสนตำลึงเองมิใช่หรือ? ทำไมเล่า? หรือเจ้านึกเสียดายภายหลัง และไม่อยากจะขายแล้ว?” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: “ย่อมไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ข้าเพียงรู้สึกว่า ในเมื่อพี่สี่ก็มาแล้ว เสด็จพี่พระองค์อื่นย่อมกำลังมา อีกประเดี๋ยวคงถึงแล้ว! หากว่าพวกเขาก็ชื่นชอบเรือนของพี่หกเช่นกัน เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า?” “ไม่สู้พี่สี่อดทนรอสักหน่อย รอเสด็จพี่พระองค์อื่นมาถึงแล้ว ในพวกเราใครเสนอราคาสูงย่อมได้รับมันไป แบบนี้ถึงจะยุติธรรม!” “หากข้าขายให้พี่สี่ไปเลยเช่นนี้ เกรง
“ดึกมากแล้ว!” “ส่งแขก!” เมื่อหลี่หลงหลินได้รับเงิน ก็ออกคำสั่งไล่แขกออกไปอย่างไม่ลังเล หลี่จือมีความสุขมากและรีบร้อนจากไป จนไม่รู้ว่าตนเองถูกโกง เขาแทบรอไม่ไหวแล้ว ที่จะไปยังจวนขององค์ชายหก เพื่อตามหาสมบัติ เถ้าแก่คนอื่นๆก็พากันทยอยกลับไป ทันทีที่พวกเขาออกจากประตู ก็ได้พบกับองค์ชายคนอื่น ๆ ที่เพิ่งมาถึง หลี่จือใบหน้าภาคภูมิใจมาก เขายกโฉนดที่ดินในมือของเขาขึ้นมา: “เหล่าพี่น้ององค์ชายทุกท่าน ขออภัยด้วย พวกท่านมาช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า...” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะลั่น แล้วหลี่จือก็เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย หลังจากที่เหล่าองค์ชายคนอื่นๆ รู้ความจริงจากพวกเถ้าแก่ ก็ต่างพากันทุบหน้าอก จนมีแต่ความรู้สึกเสียดายอยู่เต็มท้อง! จวนเจ้าหก อย่างน้อยก็ต้องมีเงินซ่อนอยู่เก้าแสนตำลึงเงิน หลี่จือใช้เงินเจ็ดแสนตำลึงเงินเอาไปได้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นราคาที่สูงมาก แต่จริงๆ แล้ว เขายังทําเงินได้อีกสองแสนตำลึงเงินโดยไม่ออกแรง! นั่นคือเงินสองแสนตำลึงเงินเลยนะ! ตนเองต้องปล้นเลือดเนื้อของประชาชนอีกมากแค่ไหน? โถ่! เนื้อไขมันชิ้นใหญ่เช่นนี้ องค์ชายสี่กลับได้ไปในราคาถูก! ภายใต้อำนาจที
แม้แต่เจ็ดล้านตำลึงเงินก็อาจจะไม่พอ! นอกจากนี้ยังมีหญิงม่ายและเด็กกําพร้าเหล่านั้นอีก คิดว่าให้เงินบํานาญแก่พวกนางก้อนหนึ่ง แล้วจะแก้ปัญหาได้ตลอดไปหรือ? หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี พอใช้เงินบํานาญหมดแล้ว เด็กกําพร้าและหญิงม่ายเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่อย่างไร? ซูเฟิ่งหลิงมองหลี่หลงหลินด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ : “ เช่นนั้นท่านว่าควรทำเช่นไร?” หลี่หลงหลินเผยยิ้มเล็กน้อย: “ มันง่ายมาก! ใช้เงินนี้เป็นเงินทุนสร้างธุรกิจ! ตราบใดที่ทําธุรกิจสำเร็จ ย่อมเป็นแหล่งเงินได้ เมื่อมีเงินแล้วไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็จัดการได้ง่าย” ฮูหยินผู้เฒ่าซูอายุมากแล้ว ซูเฟิ่งหลิงรู้เพียงวิธีรำกระบี่ใช้กระบองเท่านั้น สายตาของทั้งสองจึงจับจ้องไปที่ลั่วอวี้จู๋ ในการทำธุรกิจ ลั่วอวี้จู๋รู้ดีที่สุด ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วมุ่น และถามว่า “ไม่ทราบว่าองค์ชายเก้ามีแผนจะทำธุรกิจเช่นไร? ตอนนี้สงครามอยู่ในความโกลาหล ธุรกิจในเมืองหลวงใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ...” หลี่หลงหลินยิ้ม: “ สิ่งที่ต้องการก็คือความโกลาหล! ยิ่งวุ่นวายเท่าไหร่ยิ่งดี! ในเวลานี้ ผู้คนกําลังตื่นตระหนก ทุกคนต่างนำร้านค้ามาขายเลหลัง! ข้าวางแผนว่าจะนําเงินห้าแสนตำลึงเงิน
วันต่อมา ฮ่องเต้หวู่เสด็จไปที่ท้องพระโรงแต่เช้า เมื่อกลับมาถึงพระที่นั่งหย่างซิน ก็เตรียมจะพักผ่อนสักหน่อย เว่ยซวินรินชาให้ และคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ฮ่องเต้หวู่ไถ่ถามเรื่อยเปื่อย: “มีข่าวของเจ้าเก้าหรือไม่? ขายจวนไปหรือยัง?” เว่ยซวินกระตุกมุมปากเล็กน้อย “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยเพิ่งจะได้รับข่าว เมื่อคืนวานองค์ชายเก้าได้ขายจวนไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “หืม?” ฮ่องเต้หวู่เลิกคิ้ว พลางค่อย ๆ หยิบถ้วยชาขึ้นมา แล้วจิบเบาๆ: “ ขายเร็วเช่นนี้เลยหรือ? ช่างใจร้อนเสียจริง น่าจะขายได้ราคาไม่สูงนักใช่หรือไม่?” เว่ยซวินเอ่ยเสียงต่ำ: “ได้ยินมาว่าเจ็ดแสนตำลึงพ่ะย่ะค่ะ...” พู่... ชาในปากของฮ่องเต้หวู่พุ่งออกมาทันควัน จนเต็มใบหน้าเว่ยซวิน “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเท่าไหร่นะ?” ฮ่องเต้หวู่คิดว่าตนเองจะได้ยินผิดไป เว่ยซวินเช็ดน้ำชาบนใบหน้าแล้วเอ่ย: “ฝ่าบาท พระองค์ได้ยินไม่ผิด เจ็ดแสนตำลึงจริงๆ” ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงอย่างมาก จวนทรุดโทรมของเจ้าหกหลังนั้น ขายได้เงินเจ็ดแสนตำลึงเงินหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? เว่ยซวินเห็นว่าฮ่องเต้หวู่ไม่เชื่อ จึงเอ่ยอีกว่า: “ อย่าว่าแต่ฝ่าบาทไม่เชื่อเลย ตอนแรกกระหม่อมเองก
“แต่...” ฮ่องเต้หวู่ถอนหายใจครั้งหนึ่ง: “ ข่าวการพ่ายแพ้ในดินแดนเหนือ ไม่นานก็จะแพร่ไปทั่วเมืองหลวง เมื่อถึงเวลานั้น ผู้คนก็จะยิ่งตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น ราคาร้านค้าก็จะลดลง ไร้ราคา เงินเจ็ดแสนตำลึงเงินของเจ้าเก้า ก็จะเปล่าประโยชน์ทั้งหมด ...” “เฮ้ นี่มันคือเงินของข้าทั้งหมด!” “ดูเหมือนว่าเจ้าเก้าคนนี้ ก็เหมือนกับองค์ชายคนอื่น ๆ ไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน!” ฮ่องเต้หวู่รู้สึกผิดหวังอย่างมาก ดับสลายความคิดที่จะแต่งตั้งให้หลี่หลงหลินเป็นองค์รัชทายาทไปโดยสิ้นเชิง ตามที่ฮ่องเต้หวู่คาดไว้ ข่าวความพ่ายแพ้ทางดินแดนเหนือแพร่ไปในเมืองหลวงทันทีรวดเร็วราวพายุพัด ผู้คนทั้งเมืองหลวงที่ตื่นตระหนกอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็เป็นเหมือนการเติมไฟลงในเชื้อเพลิง โกลาหลกันไปหมด เศรษฐีนับไม่ถ้วนรีบขายทรัพย์สิน หอบครอบครัวหนีไป ราคาของร้านค้าลดลงถึงจุดต่ำสุด ร้านค้าซึ่งเดิมมีมูลค่าเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ลดลงเหลือเท่าราคากะหลำปลี เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินก็สามารถซื้อได้หนึ่งร้าน เมื่อลั่วอวี้จู๋เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล หากเผ่าหมานบุกเมืองหลวงจริงๆ ร้านค้าก็จะไร้ค่า! ในช่วงหัวเลี้
ซูเฟิ่งหลิงอุ้มต้นไม้ใหญ่เข้าไปในลานเรือนตระกูลซูเพียงลําพัง โดยเพิกเฉยต่อสายตาตกตะลึงของผู้สัญจรไปมา ปัง! นางทุ่มต้นไม้ใหญ่ลงจนเกิดเสียงดัง สั่นสะเทือนไปทั้งพื้น “แบกมันกลับจากภูเขาทิศประจิม กระหายน้ำจะตายแล้ว!” ซูเฟิ่งหลิงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วพบว่าหลี่หลงหลินที่ถือชาอยู่ในมือ กำลังมองมาที่ตน ทันใดนั้นในใจก็มีความสุขขึ้นมา “นับว่าท่านปรับตัวได้เหมาะสม!” “ยังรู้จักที่จะยกชาให้ข้า!” ซูเฟิ่งหลิงไม่ได้คิดอะไรมาก นางเพียงยื่นมือไปคว้ากาน้ำชามา แล้วเงยหน้า รินลงในปากตนเองทันที ชาหนึ่งกาลงไปในท้องแล้ว นางยังเรอออกมา โดยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดเลย หลี่หลงหลินมองไปที่สาวแกร่งตรงหน้า แล้วพึมพําในใจ: “ใครว่าจะเอาชามาให้เจ้าล่ะ! ชานี้เป็นของข้า และข้าก็จิบมันไปแล้วด้วย...” เฮ้ย! จูบแรกทางอ้อมของตนเอง ถูกหญิงพาลผู้นี้พรากไปแล้ว! แต่หลี่หลงหลินไม่สนใจมากนัก เพราะอย่างไรก็ตามเสด็จพ่อได้พระราชทานสมรสนี้มาให้แล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าหอ แต่ช้าเร็วซูเฟิ่งหลิงก็ต้องเป็นภรรยาของตน ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก “ต้นไม้ต้นนี้ไม่เลว...” หลี่หลงหลิ
ซูเฟิ่งหลิงหัวเราะ:" สะใภ้รองพักอยู่ที่นี่!สะใภ้รองก็คือเป็นช่างไม้ที่ดีที่สุดของเมืองหลวง อาจจะดีที่สุดในใต้หล้า! เพราะนางมีแซ่ว่ากงซู ชื่ออักษรเดียวว่าหว่าน! ” กงซูหว่าน? เป็นชื่อที่ดี แต่หลี่หลงหลินไม่เข้าใจว่าแซ่กงซู เกี่ยวข้องอะไรช่างไม้ที่ดีที่สุดในใต้หล้า แต่สิ่งที่ทําให้หลี่หลงหลินประหลาดใจขึ้นไปอีกคือ เดิมทีสะใภ้รองก็อยู่ที่เรือน ตนมาที่บ้านตระกูลซูก็หลายวันแล้ว ทำไมถึงไม่เคยเห็นเลย? ซูเฟิ่งหลิงอธิบายต่อ: "สะใภ้รองมีบุคลิกแปลก ๆ และไม่ชอบสุงสิงกับใคร ” "อ่อ ไม่เข้าสังคม!" หลี่หลงหลินพยักหน้า ในหัวของเขา ย่อมมีภาพของหญิงสาวร่างอ้วนท้วน ดวงตาหมองคล้ำ ผมเผ้ารุงรังปรากฏขึ้น ดูเหมือนว่าตระกูลซู ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนสวยทั้งหมดสินะ ซูเฟิ่งหลิงตะโกนเรียก:" สะใภ้รอง เจ้าอยู่หรือไม่? ข้าเอง เฟิ่งหลิง! ” ครู่ต่อมา ก็มีเสียงเย็นรื่นหูดังมาจากภายในห้อง:"น้องสาว เข้ามาเถอะ!” ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยเตือน:"อีกเดี๋ยวอย่าพูดอะไรไร้สาระนะ!ถ้าทำให้สะใภ้รองโกรธ เหล่าทวยเทพก็ช่วยท่านไม่ได้..." หลี่หลงหลินพยักหน้า ในใจยิ่งอยากรู้จักกงซูหว่านคนนี้มากเข้าไปอีก เพราะท้ายที่ส
เช้าวันรุ่งขึ้นทะเลคราม ฟ้าสีฟ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ ไกลสุดสายตาเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นออกจากท่าเรือตงไห่อย่างโอ่อ่า ท่วงทีองอาจไม่ธรรมดาการออกทะเลครั้งนี้ หลี่หลงหลินไม่เพียงแต่พาเหล่าพี่สะใภ้มาด้วยหลายคน แต่ยังคัดเลือกทหารยอดฝีมือของตระกูลซูมาเป็นพิเศษอีกสามร้อยนายซูเฟิ่งหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ผืนน้ำจรดกับผืนฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ลมทะเลพัดผ่าน ผ้าคลุมสีแดงสดด้านหลังนางปลิวสะบัดพลิ้วไหว!หลี่หลงหลินบิดขี้เกียจ กระทืบเท้าลงบนดาดฟ้าเรือเบาๆเรือของเมืองตงไห่แข็งแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มากตอนนี้หลี่หลงหลินทำได้เพียง มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นไปก่อนแม้จะเทียบไม่ได้กับเรือประมงหมื่นตันในจินตนาการแต่แค่จับปลาหลายพันชั่งขึ้นมาก็ยังถือว่าสบายมากหลี่หลงหลินหยิบคันเบ็ดออกมานั่งลงข้างๆ ซูเฟิ่งหลิง ด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงาม กล่าวเสียงขรึม "รัชทายาท ท่านบอกว่าจะพาพวกเราออกมาจับปลา คงไม่ได้คิดจะใช้แค่คันเบ็ดนี่ตกปลาหรอกนะเพคะ?"เหล่าพี่สะใภ้ก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่บ้างอาศัยเพียงคันเบ็ดคันเดียวของหลี่หลงหลิน
ลั่วอวี้จู๋ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางส่ายหน้าไม่หยุดกล่าวว่า “ไม่ได้ น้องหญิง เจ้าอย่าพูดอะไรพล่อยๆ บัญชีมันไม่ได้คำนวณแบบนั้น! ตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนในตงไห่กำลังรอเสบียงอาหารอยู่ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เพียงแค่พึ่งพาการล่าสัตว์ อย่างไรก็ไม่พอ!”ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงค่ากินอยู่ใช้สอยของเหล่าทหารกองทัพตระกูลซูทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาความต้องการเสบียงอาหารของประชาชนตงไห่ทั้งหมดซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วเรียวงาม “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะนำกองทัพตระกูลซูไปปล้นยุ้งฉางของพวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียเลย! แบบนี้พวกเราก็จะมีเสบียงอาหารแล้วไม่ใช่รึ?”ลั่วอวี้จู๋ตกใจ รีบกล่าวว่า “น้องหญิง! เจ้าอย่าทำเรื่องเหลวไหล!”“เจ้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ แล้วชื่อเสียงของกองทัพตระกูลซูจะทำอย่างไร! ชื่อเสียงอันดีงามที่ตระกูลซูผู้จงรักภักดีสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจะถูกทำลายในพริบตาได้อย่างไร?”“อีกอย่าง ท่านย่าก็คงไม่อนุญาตให้เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้แน่!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง...”ตระกูลซูรับราชการทหารมาหลายชั่วอายุคน ทั้งตระกูลจงรักภักดี ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมใดๆ แม้กระทั
ตกเย็น จวนอ๋องตงไห่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟเหล่าพี่สะใภ้รวมตัวกันอยู่ในห้อง ใบหน้างดงามซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล ทุกคนต่างกลัดกลุ้มกับสถานการณ์ปัจจุบันของตงไห่ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี? ท่านสัญญาว่าจะทำให้ราษฎรตงไห่ทุกคนได้กินเนื้อสัตว์ภายในเจ็ดวัน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เนื้อเลย เกรงว่าแม้แต่การกินให้อิ่มท้องธรรมดาๆ ก็ยังยาก”เมื่อตอนเย็น ลั่วอวี้จู๋ได้ส่งคนไปสืบราคาเสบียงอาหารในตลาดแล้วและก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่ราษฎรตื่นตระหนก ราคาเสบียงอาหารก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่ว่าในตลาดตงไห่ไม่มีข้าวสารขายในทันทีแล้ว หากต้องการซื้อทันทีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ!เหล่าราษฎรต่างพากันส่งเสียงก่นด่าอย่างคับแค้น สถานการณ์เริ่มจะดำเนินไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้แล้วลั่วอวี้จู๋มองไปยังหลี่หลงหลิน ถอนหายใจกล่าวว่า “รัชทายาท ตอนนี้วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วนำเงินไปแลกเป็นเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย”“แต่ข้าคำนวณดูแล้ว ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลซู ก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
เหล่าราษฎรจ้องเขม็งไปยังหลี่หลงหลิน ต้องการคำอธิบายจากเขา หากไม่ได้ความในวันนี้ พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา!หลี่หลงหลินเชิดหน้าอกผาย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปากท้องของราษฎรคือเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อตงไห่เป็นดินแดนในอาณัติของข้า เช่นนั้นพวกท่านก็คือราษฎรของข้า หลี่หลงหลิน”“แม้จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ แต่ข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต้องอดอยากหิวโหยเป็นอันขาด เรื่องเสบียงอาหารนั้นขอให้ราษฎรวางใจ ภายในเจ็ดวัน ข้าจะทำให้พวกท่านได้กินอิ่มท้องอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงของหลี่หลงหลินทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้อยคำดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเหล่าราษฎรผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา“ขี้โม้!”“พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้หลงเชื่อคำโอ้อวดของเขาเลย! ดูสิ ยุ้งฉางเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า! จะเอาข้าวที่ไหนมาให้พวกเรา!”“หากวันนี้ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเรา แล้วอีกเจ็ดวันพวกเราจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับใคร!”“ใช่แล้ว!”“หากวันนี้ไม่ยอมมอบเสบียงอาหารออกมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวเท้าออกจากยุ้งฉางนี้ไปได้!”ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าโบกแขนตะโกนปลุกระดมเหล่าราษฎร ผู้คนต่างขานรับเป็นเสียงเดี
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านนอกยุ้งฉางต่างชูกำปั้นตะโกนก้อง เสียงดังสะท้อนไปทั่วฟ้า “แจกจ่ายเสบียง! แจกจ่ายเสบียง!”ข่าวราคาเสบียงอาหารในเมืองตงไห่พุ่งสูงขึ้นได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ราษฎรต่างตื่นตระหนกหวาดกลัว จึงนัดหมายกันมารวมตัวที่หน้ายุ้งฉางเพื่อเรียกร้องขอเสบียง ก่อเกิดเป็นพลังมหาศาลหากไม่ใช่เพราะเหล่าทหารที่คอยขัดขวางไว้ เกรงว่าป่านนี้เหล่าราษฎรคงบุกเข้าไปในยุ้งฉางแล้วลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “รัชทายาท เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ยังไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหารถึงที่สุด แต่ความโกรธแค้นของราษฎรก็รุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว หากมีวันใดที่เสบียงหมดลงจริงๆ...”ใบหน้างามของลั่วอวี้จู๋ซีดขาว ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ นางไม่อาจจินตนาการถึงภาพนั้นได้ราษฎรที่ก่อความวุ่นวายนอกยุ้งฉางมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆเหล่าทหารยามเริ่มชักดาบประจำกายออกมา แต่สำหรับเหล่าราษฎรแล้ว หากไม่มีเสบียงให้กิน ในภายภาคหน้าก็มีแต่ความตายสถานเดียว!ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย แววตาหงส์ฉายประกายดุดัน “รัชทายาท หากปล่อยให้พวกเขาอาละวาดต่อไปเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่เพค
ลั่วอวี้จู๋เดินเข้ามาก่อนสองก้าว กล่าวว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้แม้จะจัดการกับพวกพ่อค้าเศรษฐี แต่ก็ยังต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงอาหารก่อน มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลา ราษฎรอาจตื่นตระหนก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อพวกเราได้”หลี่หลงหลินเพียงแค่แย้มยิ้มบางเบาซูเฟิ่งหลิงกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถือเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของต้าเซี่ย ข้างในย่อมต้องมีเสบียงเก็บไว้แน่นอน ตอนนี้สามารถนำเสบียงในยุ้งฉางออกมาแจกจ่ายช่วยเหลือราษฎร เพื่อให้พวกเขาคลายกังวลได้แล้วเพคะ”ลั่วอวี้จู๋พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเพคะ องค์รัชทายาท ทำให้ราษฎรคลายกังวลลงก่อน แล้วค่อยว่ากันถึงแผนขั้นต่อไป”หลี่หลงหลินส่ายหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถูกขนย้ายไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ยุ้งฉางเปล่าๆ เท่านั้น”ทั้งสองคนตกตะลึง“เป็นไปได้อย่างไร? ยุ้งฉางนั้นเป็นเสบียงช่วยชีวิตที่ราชสำนักเก็บไว้ เพื่อรับประกันว่าราษฎรจะไม่อดตายในปีที่เกิดภัยพิบัติ จะมีคนกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ มาคิดการใหญ่กับมันได้อย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลี่หลงหลินหลี่
ตำหนักอ๋องตงไห่หลี่หลงหลินเดินออกจากห้องก็พบกับลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงที่รีบร้อนเข้ามาพอดีลั่วอวี้จู๋มีสีหน้าตื่นตระหนก รีบกล่าวว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”หลี่หลงหลินหาว กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ ไม่ต้องรีบร้อน มีอะไรค่อยๆ พูด”ลั่วอวี้จู๋หอบหายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากับน้องหญิงกำลังดูแลร้านค้าของตระกูลซูในตงไห่ที่ถนน ได้ยินเถ้าแก่บอกว่า ตอนนี้ราคาธัญพืชในตงไห่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันเดียวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!”“เรื่องผิดปกติย่อมมีเบื้องหลัง ดังนั้นจึงรีบกลับมารายงานองค์รัชทายาท”ปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดราคาธัญพืชเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร หากราคาธัญพืชผิดปกติ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก!ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า ตอบว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้เป็นปีแห่งภัยพิบัติอยู่แล้ว เกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี บ้านเรือนของราษฎรแทบไม่มีเสบียงสำรอง ต้องอาศัยการซื้อธัญพืชประทังชีวิตทั้งสิ้น”“แต่ตอนนี้ถ้าหากราคาธัญพืชพุ่งสูงขึ้น แล้วราษฎรในตงไห่เหล่านี้จะทำอย่างไร?”หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋ กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน
“แต่ทุกท่านกลับมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป นั่นคือโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาล”แววตาละโมบปรากฏขึ้นในดวงตาของหลู่จงหมิง“นั่นก็คือเสบียงอาหาร”พอหลู่จงหมิงกล่าวคำนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงฮือฮา พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่พ่อค้าร่ำรวยไม่อาจปิดบังความดีใจอย่างบ้าคลั่งในใจ “ท่านพระเชษฐภาดา ท่านหมายความว่าจะลงมือกับราคาธัญพืชหรือ?”หลู่จงหมิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ถูกต้อง”ปัจจุบันต้าเซี่ยประสบภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี แม้แต่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างตงไห่ ยุ้งฉางก็ร่อยหรอเต็มทีแล้วยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินนำกองทัพใหญ่มาปักหลักที่ตงไห่ ค่ากินอยู่ใช้สอยล้วนต้องเบิกจ่ายจากท้องพระคลังตงไห่แม้ว่ากบฏจะถูกปราบปรามจนสงบ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเสบียงอาหารให้กับตงไห่มากขึ้นเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น อาจมีสถานการณ์กบฏที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นได้อีกถึงตอนนั้น เสบียงอาหารของตงไห่ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆของยิ่งน้อยยิ่งมีค่า ราคาธัญพืชย่อมต้องถูกปั่นสูงขึ้นปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดพ่อค้าร่ำรวยย่อมรู้หนทางสู่ความร่ำรวยด้วยการกักตุนธัญพืช ปั่นราคา แต่ไม่มีใครกล
จวนตระกูลหลู่คานแกะสลัก เสากรอบวาดลวดลาย วิจิตรตระการตา ทองเหลืองเรืองรอง หลู่จงหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองเหล่าพ่อค้าที่มาถึง “มากันครบแล้วหรือ?”เงียบสงั ดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพ่อค้าเหล่านี้หูตาสว่าง รู้เรื่องที่พระเชษฐภาดาเจอในจวนอ๋องนานแล้ว ไม่กล้าราดน้ำมันบนกองไฟในจังหวะสำคัญนี้ พ่อค้าที่ปกติหยิ่งยโสโอหังต่างก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าหลู่จงหมิง ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะล่วงเกินแม้หลู่จงหมิงจะเสียหน้าอย่างหนักในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่คนที่พ่อค้าอย่างพวกเขาจะดูเบาได้พ่อบ้านจวนตระกูลหลู่เดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “นายท่าน ยังมีคนจากตระกูลซุนและตระกูลจ้าวที่ยังไม่มา ท่านจะว่าอย่างไร...”หลู่จงหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดว่า “ไม่มาก็ไม่ต้องมาแล้ว! กล้าดีอย่างไรไม่เห็นคำพูดของข้าผู้เป็นพระเชษฐภาดาอยู่ในสายตา”หลู่จงหมิงมองเหล่าพ่อค้ามั่งคั่งที่อยู่ ณ ที่นั้น กล่าวเสียงเย็นชา “นับแต่นี้ไป ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ห้ามทำการค้าใดๆ กับสองตระกูลนี้ หากข้าพบเข้า... หึหึ!”แววตาอำมหิตวาบผ่านดวงตาของหลู่จงหมิงนี่คือเขาต้องการแสดงอำนาจ สร้างบารมี กู้หน้าตาที่เสียไปกลับคืนมาพ่อค