“จริงหรือ?”เซียวเม่ยเอ๋อร์ยิ้มพลางสะอื้นใบหน้างดงามไร้ผู้ใดเทียบเทียม ต่อให้มีรอยน้ำตาก็ตาม!นางเก่งกาจด้านวางแผน เห็นบุรุษเป็นของเล่น ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็สามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย?ชีวิตคนเหมือนละคร ทั้งหมดล้วนต้องพึ่งการแสดง!หลี่หลงหลินเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเซียวเม่ยเอ๋อร์ สายตาคมกริบดุจใบมีด “คำพูดหนักแน่นดุจทองพันชั่ง พูดไปแล้วก็ยากจะคืนคำ! ถ้อยคำที่ข้าเคยพูด ย่อมไม่ใช่ความเท็จ! แต่ ข้าไม่สามารถถอนหมั้นซูเฟิ่งหลิงได้!”เซียวเม่ยเอ๋อร์ไม่เข้าใจ กะพริบตา “ท่านไม่ถอนหมั้น เช่นนั้นจะแต่งงานกับข้าได้เยี่ยงไร?”หลี่หลงหลินเอ่ยปากเสียงเรียบ “นางเป็นใหญ่ ท่านเป็นน้อย! นางเป็นภรรยา ท่านเป็นอนุ!”เพียงถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนล้วนเงียบกริบทุกคนในราชสำนักล้วนลืมตาอ้าปากค้าง ไม่กล้าเชื่อหูของตนองค์หญิงเผ่าหมาน ฐานะสูงศักดิ์เพียงใด?นางไม่ใช่เพียงกิ่งทองใบหยกธรรมดาเพียงนั้น!ต้องรู้ว่า การรับสืบทอดของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ มิใช่ลูกชายสืบทอดต่อจากบิดาหากผู้นสูงสุดของชนเผ่าตายไปเซียวเม่ยเอ๋อร์ก็สามารถรับสืบทอดตำแหน่งผู้นสูงสุดของชนเผ่าได้ กลายเป็นฮ่องเต้หญิงของชนเผ่าป่า
ฮ่องเต้หวู่เลิกคิ้ว “ทหารม้าหุ้มเกราะยอดเยี่ยม? แต่ขี่ม้าจะตีเมืองเยี่ยงไรเล่า?”เซียวเซวียนเช่อยิ้มเย็น “ข้ามาเมืองหลวงครั้งนี้ มีอาวุธที่ยิ่งใหญ่หนึ่งอย่าง ต้องการแสดงให้ฝ่าบาทได้ทอดพระเนตร!”อาวุธที่ยิ่งใหญ่?ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วหรือว่าเผ่าหมานได้รับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ยังยโสโอหังเพียงนี้!ดูท่าแล้วอาวุธยิ่งใหญ่ของเซียวเซวียนเช่อก็คือไพ่ตายของเผ่าหมาน!ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึง “อาวุธยิ่งใหญ่ที่เจ้าพูดถึง อยู่แห่งใด?”เซียวเซวียนเช่อตอบ “อยู่นอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่พยักหน้า “ดี! ขุนนางทุกท่านออกจากวังพร้อมเรา! เรากลับอยากเห็น อาวุธยิ่งใหญ่อะไร สามารถตีเมืองซั่วเป่ยได้!”เหล่าขุนนางต่างแปลกใจ ตามหลังฮ่องเต้หวู่ ออกจากเมือง มาที่ชานเมืองเหยลวี่เกอเตรียมการพรักพร้อมตั้งแต่แรกแล้ว พาทหารเผ่าหมานมารอยังพื้นที่ว่างบนพื้นที่ว่างวางของสิ่งหนึ่งสองกงล้อใหญ่ ตรงกลางคือถังเหล็กเหล่าขุนนางต้าเซี่ยล้วนหันหน้ามองกัน ไม่เคยเห็นของเล่นแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนเว้นเสียแต่หลี่หลงหลินที่รูม่านตาหดลง จำได้แล้ว!ปืนใหญ่หงอี!แท้จริงแล้วเดิมทีเรียกว่า ‘ปืนให
ขุนนางขันทีล้วนเหมือนฮ่องเต้หวู่ คิดว่าเซียวเซวียนเช่อพูดเกินจริงไปมากอาวุธปืนมิใช่หรือ!ก็แค่คล้ายกับดอกไม้ไฟกระมัง?ท่าดีทีเหลว!เซียวเซวียนเช่อเองก็คร้านจะอธิบาย ออกคำสั่งเหยลวี่เกอ “จุดไฟ ปล่อยกระสุน!”เหยลวี่เกอหยิบพับไฟออกมา จุดสายชนวนปืนใหญ่ตูม...เสียงดังอื้ออึง แผ่นดินสะเทือน!ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงพรึงเพริด รู้สึกเพียงหูอื้อ เวียนศีรษะตาพร่ามัวทันใดนั้นมือสองข้างก็ปิดหูเขาไว้หันหน้าไปมองแวบหนึ่ง ก็คือหลี่หลงหลินฮ่องเต้หวู่ปลาบปลื้มใจ เอามือไพล่หลัง รับชมอย่างเย่อหยิ่งโอหังส่วนขุนนางบุ๋นบู๊ของต้าเซี่ย กลับตกใจจนฉี่ราด พากันหมอบบนพื้นโดยเฉพาะหัวหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋นตู้เหวินยวนราวกับฟ้าถล่มก็มิปาน มือสองข้างปิดศีรษะ ปล่อยก้นกระแทกพื้น ตกใจคล้ายนกกระทา ขายหน้าอย่างมากฮ่องเต้หวู่มองหลี่หลงหลินสายตาลุ่มลึกแวบหนึ่งเขาโชคดีมาก มีเจ้าเก้าลูกชายกตัญญูเช่นนี้!หาไม่แล้ว คาดว่าตนก็คล้ายขุนนางเหล่านั้น ตกใจจนหมดความกล้า อับอายขายหน้าโดยแท้!บึ้ม!เสียงดังสนั่นห่างออกไปไม่ไกลกำแพงดินถูกกระสุนปืนยิงใส่ พังทลายลงมาภาพนี้ ทำให้ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงอ้าปากค้าง พูดเสียงสั่
เซียวเซวียนเช่อถูกเปิดโปง โมโหแย่แล้ว “องค์ชายเก้า ท่านอย่าโอหังเกินไปนัก! นี่คือความเมตตาของเผ่าหมานอี๋ของพวกเรา...”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น “ฮึๆ? เผ่าหมานอี๋กินขนดื่มเลือด ต่างอันใดจากสัตว์ร้าย? ยังขวัญกล้าเรียกตนเองว่ามีเมตตา? เจ้าคงมิได้อ่านตำราของต้าเซี่ยจนโง่งมไปแล้วกระมัง!”เซียวเซวียนเช่อชะงักจริงเสียด้วย!ภายในตำราของต้าเซี่ย มักเขียนเรื่องใจดีมีเมตตาเกี่ยวอันใดกับเผ่าหมานอี๋กันเล่า?เดิมทีเผ่าหมานอี๋ก็เป็นเสือหมาป่า!เซียวเซวียนเช่อตะคอกเสียงต่ำ “ตอนนี้เผ่าหมานอี๋ไม่มี! ภายภาคหน้าก็ไม่แน่! รอพ่อค้าชาวเปอร์เซียนำปืนใหญ่หงอีมาส่ง ก็คือวันตายของพวกท่าน!”ฮ่องเต้หวู่หวั่นไหวแล้ว “เจ้าเก้า ปืนใหญ่หงอีนี้ยอดเยี่ยมมาก หากขัดแย้งกับเผ่าหมานอี๋พลิกฟ้าพลิกดินขึ้นมา น่ากลัวว่าภายภาคหน้า...”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “เสด็จพ่อ พระองค์อย่ายกระดับความทะเยอทะยานของผู้อื่น จนทำลายความน่าครั่นคร้ามของตนเลย! เผ่าหมานอี๋มีอาวุธปืน หรือว่าต้าเซี่ยไม่มี? อาวุธปืนของต้าเซี่ย มีอานุภาพยิ่งกว่าปืนใหญ่หงอีมากนับร้อยนับพันเท่า!”ฮ่องเต้หวู่ทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ “หา? เอาชนะอาวุธปืนอย่างปืนใหญ่หงอีได้?
ฮ่องเต้หวู่หน้าถอดสี พูดเสียงสั่น “ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ถึงขั้นจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงนี้?”ภายในความทรงจำของเขา ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเจริญรุ่งเรือง คิดอ่านเรียบง่าย แม้ว่าเชี่ยวชาญการต่อสู้ กลับไม่เชี่ยวชาญการวางกลยุทธ์ฝันไปก็คาดไม่ถึง ภายในคำพูดของหลี่หลงหลิน อุบายของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือโหดเหี้ยมถึงขั้นนี้?หลี่หลงหลินกระซิบเสียงค่อย “เสด็จพ่อ หากเป็นคนเผ่าหมานธรรมดา ย่อมไม่อำมหิตเพียงนี้! แต่ทั้งหมดนี้ หากเป็นแผนของเซียวเซวียนเช่อ...”ฮ่องเต้หวู่ใจสั่นงานชุมนุมวรรณกรรมต่อสู้กันด้วยตำราพิชัยสงคราม แม้ว่าเซียวเซวียนเช่อแพ้ไปหนึ่งครั้งแต่ตำราพิชัยสงครามสิบสองเล่มของเขา กลับกดดันบัณฑิตของต้าเซี่ยได้คนผู้นี้ล้ำลึกยิ่งนัก!หลี่หลงหลินกลับไม่ได้กังวลอย่างไร้เหตุผล สันนิษฐานไร้สาระไม่แน่ว่า เซียวเซวียนเช่ออาจวางแผนเช่นนี้จริง!“ซี้ด..”ฮ่องเต้หวู่หายใจเย็นเฮือกหนึ่ง ดวงตาสะท้อนแววอำมหิต “ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือหัวใจโหดเหี้ยมดุจหมาป่า มิสู้ เราทำลงไปแล้ว ก็ทำให้ถึงที่สุด...”หลี่หลงหลินส่ายหน้า พูดว่า “เสด็จพ่อ เรื่องยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นนี้พ่ะย่ะค่ะ! ยิ
.....หลี่หลงหลินก้าวเข้าสกุลซู ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารระลอกหนึ่ง!วันปกติสาวใช้มักแย้มยิ้มให้เขา สายตาล้วนแปลกไปบ้างเล็กน้อย“องค์ชายเก้า!”“ฮูหยินผู้เฒ่ารอท่านที่หอบรรพบุรุษนานมากแล้ว!”“ให้ท่านไปพบโดนพลัน!”สาวใช้ขยับขึ้นมาพูดกับหลี่หลงหลินหอบรรพบุรุษ?มิใช่วันเทศกาลอะไรเสียหน่อยหลี่หลงหลินบ่นงึมงำภายในใจ เดินเข้าหอบรรพบุรุษภายในหอบรรพบุรุษสกุลซู ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษสกุลซูดุจภูเขา ด้านหน้าวางของเซ่นไหว้ เปลวเทียนพลิ้วไหว!ชวนให้คนตกตะลึงคือไม่เพียงซูเฟิ่งหลิงสวมชุดเกราะ สะใภ้ทั้งสี่และฮูหยินผู้เฒ่าซู ก็ล้วนสวมชุดเกราะ คุกเข่าหน้าป้ายวิญญาณ!บรรยากาศตึงเครียดมาก!หลี่หลงหลินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ อึ้งงันอยู่กับที่ “ฮูหยินผู้เฒ่า เฟิ่งหลิง ยังมีพี่สะใภ้ พวกท่านนี่คือ...”ซูเฟิ่งหลิงไม่พูดจา เบือนหน้าไปสีหน้าสะใภ้ทั้งสี่ ทั้งหมดล้วนเยียบเย็นปานหิมะ!“ประคองข้าขึ้น!”ฮูหยินผู้เฒ่าซูโขกคำนับป้ายวิญญาณสามครั้ง ออกคำสั่งหลี่หลงหลินถลันขึ้นไป จะประคองฮูหยินผู้เฒ่าซูขึ้นมาเพียะ!มือของเขากลับถูกฮูหยินผู้เฒ่าซูตีตกไปที่ฝั่งหนึ่งหลี่หลงหลินตกตะลึงเหม่อไป!นับตั้ง
ถอนหมั้น!ฮูหยินผู้เฒ่าซูทำเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของสกุลซู!ถึงขั้นฝ่าฝืนพระราชโองการ ถอนหมั้นตน!หลี่หลงหลินกำหมัดแน่น เพลิงโทสะโชติช่วงภายในดวงตาทั้งสองข้าง!เขาไม่โกรธซูเฟิ่งหลิง!เด็กคนนี้ วันปกติล้วนโง่งม อุปนิสัยวู่วามแต่ยามเผชิญหน้ากับปัญหา แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยทำพลาด!ทั้งๆ ที่นางรู้ว่าฮูหยินผ้เฒ่าซูต้องการถอนหมั้น ยังยืนออกมาขอความเมตตาให้ตน!น้ำใจนี้ ทำให้หลี่หลงหลินซาบซึ้งใจสำหรับฮูหยินผู้เฒ่าซูหลี่หลงหลินเองก็โกรธไม่ลงคนอายุปูนนี้แล้ว มีความดื้อรั้น มีความเลอะเลือนฮูหยินผู้เฒ่าซูมีสติแจ่มชัดเพียงพอแล้ว!แต่ ภาระบนตัวนาง ช่างหนักหนาเกินไป!ซูเฟิ่งหลิงไม่แต่งงานหนึ่งวัน ฮูหยินผู้เฒ่าซูก็ต้องแบกความรับผิดชอบทำให้สกุลซูกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งไว้บนบ่ายิ่งไปกว่านั้นในตำแหน่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูยืน นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด!ครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซูจะต้องได้ยินเสียงเยาะหยันจากใคร ถึงเข้าใจตนผิดไป!หลี่หลงหลินโมโห เพราะพวกสร้างข่าวลือเหล่านั้น!คำพูดคนนั้นน่ากลัว สามารถมองเห็นด้วยตาได้!หากหลี่หลงหลินเป็นเด็กหนุ่ม ถูกปรักปรำเช่นนี้ อาจโกรธขึ้นมาในทันที ไม่อธิ
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าซูเลอะเลือนแล้ว เชื่อข่าวลือข้างนอกนั่นครุ่นคิดอย่างละเอียด มันไม่ถูกต้องฮูหยินผู้เฒ่าซูฉลาดมาก สามารถต่อกรกับจิ้งจอกเฒ่าในราชสำนักได้แบบที่ไม่เคยแพ้ด้วยเมืองที่นางอยู่ นางจะเชื่อข่าวลือข้างนอกนั่นง่ายๆ ได้ยังไง?วุ่นวายไปกว่าครึ่งวันฮูหยินผู้เฒ่าซูกำลังแสดงละครเพื่อให้สะใภ้สี่ได้แสดงความจริงใจหรือ?หญิงงามหรือหญิงชราใครจะเผ็ดร้อนกว่ากัน!ในหัวใจของหลี่หลงหลินปลาบปลื้มยิ่งนัก!สตรีห้าคนปรนนิบัติสามีคนเดียว?เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สตรีทั้งห้าคนหน้าแดงเรื่อ!พูดตามตรงอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ผู้ใดจะไม่หวั่นไหวบ้างล่ะ?ยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินยังเป็นบุรุษรูปงามเช่นนี้ด้วย!แต่ทว่า นอกจากซูเฟิ่งหลิงแล้ว ลั่วอวี้จู๋ หลิ่วหรูเยียน กงซูหว่านและซุนชิงไต้ล้วนเป็นพี่สะใภ้ของหลี่หลงหลิน!มารยาทด้านลำดับชั้น ยังคงหยั่งรากลึกเหนียวแน่น พวกนางไม่มีทางเลยเถิดเป็นอันขาด!ฮูหยินผู้เฒ่าซูกล่าวว่า “วันนี้ ข้าจะต้องไล่หลี่หลงหลินออกจากจวนตระกูลซูให้ได้! นอกเสียจากว่าพวกเจ้ายินดีจะให้เขาอยู่ต่อ!”เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ จริงๆ มันก็โจ่งแจ้งมากพอแ
บนลานหยกขาว เกิดความโกลาหล ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึง มองหลี่หลงหลินอย่างประหลาดใจ เจ้าเก้าจะไต่สวนบัณฑิตสิบคนที่นำโดยฉินฮั่นหยางนั้น ยังอยู่ในการคาดการณ์ของฮ่องเต้หวู่ แต่คาดไม่ถึงว่า... บัณฑิตสิบคนยังไม่พอ หลี่หลงหลินยังจะเพิ่มเสิ่นชิงโจว อาจารย์ของฮ่องเต้เข้ามาอีกคน? เขาละโมบเกินไปแล้ว! ต้องรู้ว่า... อาจารย์ของฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ แม้ว่าเสิ่นชิงโจวจะถูกจับเข้าคุกหลวงเพราะข้อหากบฏ แต่เพราะไม่มีหลักฐาน จะไต่สวนก็ไม่ได้ จะปล่อยก็ไม่ได้ ทำได้เพียงขังไว้! ฮ่องเต้หวู่สีหน้าลังเล มองหลี่หลงหลิน: “เจ้าเก้า เจ้าต้องการไต่สวนเสิ่นชิงโจวจริงๆ หรือ?” บัณฑิตทรงคุณวุฒิสิบคน ก็ยุ่งยากพอแล้ว ยังเพิ่มเสิ่นชิงโจว อาจารย์ของฮ่องเต้เข้ามา เขาคืออดีตราชครูผู้มีอำนาจล้นฟ้า ฮ่องเต้หวู่กลัวว่าหลี่หลงหลินจะรับมือไม่ไหว จึงให้ทางลงแก่เขา หลี่หลงหลินไม่สนใจความหวังดีของฮ่องเต้หวู่ เพียงพยักหน้าอย่างหนักแน่น: “เสด็จพ่อ ครั้งนี้หากไม่กำจัดเสิ่นชิงโจว เกรงว่าจะมีภัยตามมา...” เขาไม่หลีกเลี่ยง สายตาจับจ้องไปที่หลี่เทียนฉี่ หลี่เ
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้...” หลี่หลงหลินส่ายหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น: “เสด็จพ่อ ลูกยังเยาว์วัย รอได้! แต่ต้าเซี่ยรอได้หรือ? ชาวบ้านที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก รอได้หรือ?” ฮือ! ประชาชนแตกตื่น! ดังที่ฮ่องเต้หวู่เอ่ย หลี่หลงหลินเป็นองค์รัชทายาท ถูกกำหนดให้สืบทอดราชบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ เขาจะรีบร้อนไปไย? เหตุใดเขาจึงต้องกำจัดสำนักปราชญ์? เหตุใดต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งใต้หล้า? หลี่หลงหลินไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่เพื่อพวกเรา ประชาชนทุกคน! ใบหน้าแต่ละคนต่างตกตะลึง ดวงตาแต่ละคู่ เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและตื้นตัน ผู้มีอำนาจมักเห็นแก่ตัว ผู้สูงศักดิ์ ล้วนมีนิสัยเหมือนกัน มักจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองก่อน ใครจะมาเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน แม้แต่ขุนนางที่เรียกตัวเองว่าขุนนางตงฉิน อ้างตนว่าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต มักจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ประชาชน แท้จริงแล้ว พวกเขาก็ทำเพื่อตนเอง คนเราเกิดมา ก็หนีไม่พ้นชื่อเสียงและลาภยศ ขุนนางตงฉินเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการลาภยศ แต่ต้องการชื่อเสียง กล่าวโดยสรุป... ประชาชนสำหรับพวกเขา เป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาชื่อเสียงและลาภยศ เมื่อผลประ
“เสด็จพ่อ!” หลี่หลงหลินถอนหายใจ: “ลูก ตีกลองร้องทุกข์ เป็นเรื่องที่จำใจต้องทำ! เพราะผู้ที่ลูกจะร้องฎีกานั้น แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่อาจทำอะไรได้ ยากจะรับมือ” คำพูดนี้ ทำให้ทั่วทั้งลานหยกขาวเกิดความโกลาหล สีหน้าของฮ่องเต้หวู่มืดครึ้ม อัปลักษณ์ถึงขีดสุด เป็นผู้ใด? ที่ทำให้ข้าไม่อาจทำอะไรได้? เจ้าเก้า เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าประชาชน และเหล่าขุนนาง!ฮ่องเต้หวู่สูดลมหายใจลึก: “องค์รัชทายาท! เจ้าพูดให้ชัดเจน ว่าจะร้องฎีกาผู้ใด และข้าจะรับมือไม่ได้อย่างไร!” หลี่หลงหลินพูดอย่างหนักแน่น: “ผู้ที่ลูกจะร้องฎีกา คือสำนักปราชญ์!” สำนักปราชญ์? ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองหลี่หลงหลินพูดชัดเจน เขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนหนึ่งหรือสองคน ไม่ใช่เสิ่นชิงโจว ไม่ใช่บัณฑิตทรงคุณวุฒิที่นำโดยฉินฮั่นหยาง แต่เป็นทั้งสำนักปราชญ์ กล่าวคือ... หลี่หลงหลินต้องการสั่นคลอนรากฐานของสำนักปราชญ์! นี่คือการเป็นศัตรูกับบัณฑิตทั้งใต้ทั่วหล้า เป็นศัตรูกับวิถีแห่งปราชญ์! เขาเสียสติไปแล้วหรือ? ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว: “องค์รัชทายาท เจ้า...เจ้าพูดให้ชัดเจน! เจ้าจะร้องฎีกาบั
เหตุใดเขาจึงตีกลองร้องทุกข์ และเหตุใดจึงพาประชาชนมากมายขนาดนี้เข้ามา หรือว่า... ในสมองของหลายคน ปรากฏภาพที่คุ้นเคย ภาพและบรรยากาศตรงหน้า เหมือนกับตอนที่องค์ชายหกหลี่เซวียนนำทหารก่อกบฏ บุกเข้าวังหลวง ต่างกันตรงที่... ตอนที่หลี่เซวียนก่อกบฏ ยังมีหลี่หลงหลิน ซูเฟิ่งหลิง นำทหารพ่ายศึกของตระกูลซูมาพลิกสถานการณ์! แต่ตอนนี้... หลี่หลงหลินกลับพาชาวบ้านบุกเข้าวังหลวง หมายจะก่อกบฏ! ผู้พิชิตมังกร ในที่สุดก็กลายเป็นมังกรเสียเอง! หลี่เทียนฉี่เป็นคนแรกที่ตอบสนอง จึงตะโกนด่า: “องค์รัชทายาท นี่จะก่อกบฏ! เสด็จพ่อ นี่เป็นการกบฏ ถือเป็นความผิดร้ายแรง ไม่อาจให้อภัยได้! ขอเสด็จพ่อทรงมีราชโองการ ปลดหลี่หลงหลินจากตำแหน่งองค์รัชทายาท!” ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างเห็นพ้อง: “ฝ่าบาท การกระทำขององค์รัชทายาท เกินไปแล้ว!” “ที่องค์รัชทายาทเหิมเกริมเช่นนี้ เป็นเพราะฝ่าบาททรงโปรดปรานและตามใจ จนเกิดเรื่องในวันนี้!” “ใช่แล้ว ฝ่าบาท! ครั้งนี้ ต้องลงโทษองค์รัชทายาทอย่างหนัก!” ฮ่องเต้หวู่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงดังกึกก้อง: “พวกเจ้าทุกคนจงเงียบ! พวกเจ้านี่ช่างด่วนส
ประตูอู่เหมิน ข้างกลองร้องทุกข์ ภายใต้สายตาของชาวบ้านนับพันนับหมื่น หลี่หลงหลินส่งไม้ตีกลองให้ซูเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ สองมือไพล่หลัง เอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งผยอง: “เว่ยกงกง พูดอะไรเช่นนี้ ชาวบ้านตีกลองร้องทุกข์ได้ เหตุใดองค์รัชทายาทจะตีไม่ได้?” เว่ยซวินพูดไม่ออก ยืนงงในสายลม จู่ๆ เขาก็คิดถึงองค์ชายเก้าในอดีต กินดื่มเที่ยวเล่น ฟังดนตรีในหอนางโลม ซ่อนคมอย่างสงบ เป็นขยะที่รอวันตาย แล้วตอนนี้ล่ะ? เรื่องที่หลี่หลงหลินทำ ช่างถี่กระชั้น! จากงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผาในคืนส่งท้ายปีเก่า ถึงพิธีสักการะฟ้าดินในวันขึ้นปีใหม่ ช่วงปียังไม่ทันผ่านพ้น หลี่หลงหลินก็มาตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา! นี่จะไม่ให้ใครได้พักผ่อนกันสักวันเลยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น... จุดประสงค์แรกเริ่มของการตั้งกลองร้องทุกข์นี้ ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงตั้งไว้ให้ชาวบ้านที่สิ้นไร้หนทาง ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท จะมีเรื่องอยุติธรรมใด? พระองค์จะมาสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร! แม้ในใจเว่ยซวินจะบ่นพึมพำ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม: “องค์รัชทายาท บ่าวพูดผิดไป! กลองร้องทุกข์นี้ ชาวบ้านตีได้ พระองค์ก็ย่อมตีได้ บ่าวจะกลับ
เจิ้งถูฮู่ดวงตาเป็นประกาย หัวเราะเสียงดัง: “ไม่มีประโยชน์หรือ? เจ้าจะไปรู้อะไร! พิธีสักการะฟ้าดิน ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ แต่ตอนนี้มีคนตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา!” “เจ้ารู้กฎของกลองร้องทุกข์หรือไม่?” เจิ้งเทียนฉินส่ายหน้า สีหน้ามึนงง พูดตามตรง เขาไม่รู้จริงๆ ในสำนักศึกษา สอนแต่สี่ตำราห้าคัมภีร์ เรียงความของนักปราชญ์ ไม่สอนเรื่องพวกนี้เลย ที่จริง ตอนเด็กเจิ้งเทียนฉินก็เคยถามอาจารย์ว่า กลองร้องทุกข์มีไว้ทำอะไร ผลก็คือ อาจารย์สีหน้ามืดมน แล้วเอาไม้เรียวมาตีมือเขา การตีกลองร้องทุกข์ ในสายตาของสำนักปราชญ์ คือการที่ไพร่ก่อเรื่อง ในสำนักศึกษา สอนวิถีแห่งปราชญ์ ไม่ใช่สอนให้คนเป็นไพร่ เจิ้งถูฮู่ยิ้มพลางอธิบาย: “ตามกฎที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยตั้งไว้! ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง!” “ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านมีสิทธิ์เข้าไปในพระราชวังต้องห้าม เพื่อชมการไต่สวน เป็นการแสดงถึงความยุติธรรม!” เจิ้งเทียนฉินตกตะลึง พระราชวังต้องห้าม สำหรับชาวบ้านทุกคนแล้ว เป็นสถานที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เช่นกัน ตอนเด็ก เจิ้งเทียนฉ
กลองร้องทุกข์ กลองนี้คือกลองที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงประดิษฐานไว้หน้าประตูอู่เหมิน หากชาวบ้านได้รับความอยุติธรรม ก็สามารถมาตีกลองร้องทุกข์นี้ เพื่อเป็นการยื่นฎีกา ให้เรื่องราวไปถึงเบื้องพระยุคลบาทได้ ทว่า... นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าเซี่ยมา จำนวนครั้งที่กลองร้องทุกข์ถูกตีนั้น แทบนับครั้งได้ และล้วนเกิดขึ้นในช่วงต้นของการก่อตั้งอาณาจักร ร้อยปีให้หลังมานี้ กลองร้องทุกข์ไม่เคยถูกตีแม้แต่ครั้งเดียว กลายเป็นเพียงของประดับ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? สาเหตุก็แสนง่ายดาย ทุกครั้งที่กลองร้องทุกข์ดังขึ้น หมายความว่ามีคดีใหญ่สะเทือนฟ้าดินอุบัติขึ้น ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง ทั้งยังมีชาวบ้านและขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อแสดงถึงความยุติธรรม นั่นก็หมายความว่า... เมื่อใดก็ตามที่กลองร้องทุกข์ถูกตี ไม่รู้ว่าจะมีขุนนางกี่คนที่ต้องหัวหลุดจากบ่า เลือดนองแผ่นดิน ดังนั้น... เหล่าขุนนางจึงคิดหาวิธี โดยอ้างว่ากลองร้องทุกข์จะรบกวนเบื้องพระยุคลบาท ไม่เพียงแต่ส่งคนไปเฝ้ากลอง ยังซ่อนไม้ตีกลองเอาไว้ นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข
รากฐานอันลึกล้ำของสำนักปราชญ์ ยังคงมีพลังในการโต้กลับ เมื่อใดก็ตามที่หลี่หลงหลินเผยช่องโหว่ สำนักปราชญ์ก็จะกัดไม่ปล่อยแน่นอน หนิงชิงโหวเอ่ยอย่างลำบากใจ: “แต่ว่าองค์รัชทายาท คดีที่จดหมายนิรนามเหล่านี้กล่าวหานั้น ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่ยาวนาน ไม่ใช่ว่าไม่อาจพิสูจน์ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาและกำลังคนจำนวนมาก...” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยยิ้ม: “คนธรรมดาทั่วไป ตรวจสอบคดีเหล่านี้ ย่อมยากลำบาก! แต่อย่าลืมไปว่า ยังมีองครักษ์เสื้อแพร! ท่านเอาจดหมายเหล่านี้มอบให้ข้า ให้องครักษ์เสื้อแพรไปตรวจสอบ!” “รับรองว่าก่อนวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้าย จะต้องกระจ่างชัด” หนิงชิงโหวตาเป็นประกาย: “จริงด้วย ยังมีองครักษ์เสื้อแพร! ให้พวกเขาไปตรวจสอบ จะต้องได้ผลลัพธ์รวดเร็วแน่นอน” หลิ่วหรูเยียนถามด้วยดวงตาเป็นประกาย: “หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยฉบับต่อไป จะต้องเว้นหน้ากระดาษไว้ เพื่อตีพิมพ์เนื้อหาในจดหมายเหล่านี้หรือไม่?” หนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ย เป็นดั่งกระบี่วิเศษ! ที่หลี่หลงหลินกล้าต่อกรกับสำนักปราชญ์ ก็เพราะอาศัยหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยนี้ มิฉะนั้น... หลี่หลงหลินไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของสำนักป
หากเช้าตรู่ได้รู้แจ้งในวิถีแห่งเต๋า แม้ตายตอนเย็นก็ไม่เสียดายเพียงแค่ “รู้แล้วลงมือทำ” สี่คำนี้ ก็ทำให้หนิงชิงโหวมองเห็นมุมหนึ่งของวิถีแห่งนักปราชญ์ ในชั่วพริบตาราวกับช่วงเวลาที่ความโกลาหลเพิ่งแยกออกจากกัน สายฟ้าแรกได้พลันฟาดลงมาฉีกกระชากความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์“รัชทายาท...”“การรู้แล้วลงมือทำ จะทำได้อย่างไร?”“ในปรัชญาแห่งจิตใจ มีคำอธิบายหรือไม่?”หนิงชิงโหวสูดหายใจเข้าลึกๆ ถามอย่างระมัดระวังความรู้ส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนเป็นแบบแผนเช่นสี่ตำราห้าคัมภีร์ แก่นแท้อยู่ที่คำว่าเมตตา!แต่ทำไมต้องเมตตา?ในหนังสือไม่ได้บอกเจ้าต้องศึกษาเอง ค่อยๆ ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเองอ่านหนังสือร้อยรอบ ความหมายก็จะปรากฏเองถ้าตระหนักรู้ไม่ได้ล่ะ?แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคนหัวทึบ ความสำเร็จในชีวิตมีจำกัด อย่างมากก็เป็นได้แค่ทงเซิงเท่านั้นเปรียบเสมือนว่าหลักธรรมในสี่ตำราห้าคัมภีร์ คือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแต่ทำไมถึงเท่ากับสองในหนังสือไม่ได้บอก ต้องตระหนักรู้เองหากใครเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็สามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและรุ่งเรืองถึงขีดสุดบางคนตระหนักรู้ไม่ได้ ก็เสียเวลาไปตลอดชี