เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว ไม่มีทางปิดบังฮ่องเต้หวู่ได้ดังนั้นหลี่หลงหลินจึงไม่ออกจากวัง รอจนกระทั่งฮ่องเต้หวู่ทรงตื่นบรรทมขึ้นมาในตอนเช้า คิดที่จะอธิบายด้วยตัวเองฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “ให้เขาเข้ามา!”ทันทีที่หลี่หลงหลินเดินเข้ามาในตำหนักหยั่งซิน ก็ทักทายฮ่องเต้หวู่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างหน้าพักหนึ่งเห็นองค์ชายสี่หลี่จือ และเสนาบดีตู้เหวินยวนรวมถึงขุนนางฝ่ายบุ๋นกลุ่มหนึ่งที่รีบเร่งเข้ามา!หลี่จือสวมเสื้อผ้าสีขาวไว้ทุกข์ เขารู้ดีถึงสาเหตุการตายของฉินกุ้ยเฟย ต้องการสร้างปัญหากับ หลี่หลงหลิน!ตุบ!ไม่รอให้หลี่หลงหลินเอ่ยปาก หลี่จือก็เป็นฝ่ายคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้หวู่ น้ำตาไหลอาบหน้า “เสด็จพ่อ! ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้านะ! เจ้าเก้าสารเลวผู้นี้ฆ่าเสด็จแม่!”“เสด็จแม่ของข้าตายอย่างอนาถ!”ฮ่องเต้หวู่ตกใจมาก “ฉินกุ้ยเฟยตายในกองเพลิงที่ตำหนักเย็นอย่างนั้นหรือ? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้าเก้า?”หลี่จือกัดฟันพูด “ท่านพ่อ ขณะที่ไฟไหม้อยู่! เจ้าเก้าก็อยู่ในตำหนักเย็น! เรื่องนี้อย่างไรก็เกี่ยวกับเขาพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดเสด็จแม่ถึงต้องไปปรากฏตัวอยู่ที่
ฮ่องเต้หวู่รีบก้าวไปข้างหน้า ช่วยพยุงฮองเฮาหลู่นั่งลงบนเก้าอี้ และพูดด้วยความประหลาดใจ “ฮองเฮา เจ้าบอกข้าว่าอย่าไปสืบ”ฮองเฮาหลู่ส่ายหัว “หม่อมฉันมาเปลี่ยนใจทีหลังเพคะ! แต่นั่นไม่ได้สำคัญ! สิ่งสำคัญคือ...เจ้าเก้าได้พบอะไรในตำหนักเย็น! ถึงได้ทำให้ฉินกุ้ยเฟยตื่นตระหนก จนถึงขั้นวางเพลิงฆ่าตัวตายเช่นนี้!”ทุกคนต่างอยากรู้ แม้แต่ฮองเฮาหลู่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นแต่เมื่อวานนี้นางเห็นการตายของฉินกุ้ยเฟย ชั่วขณะนั้นนางตื่นตระหนกจนไม่ได้ถามเนื่องจากองค์ชายสี่และตู้เหวินยวนต้องการสืบต่อ จึงให้หลี่หลงหลินพูดความจริงต่อหน้าทุกคนจะดีกว่าฮ่องเต้หวู่พยักหน้าและพูดว่า “เจ้าเก้า พูดมา!”หลี่หลงหลินพยักหน้า แล้วเล่าสิ่งที่ตนค้นพบเมื่อวานนี้ออกมาอย่างละเอียดยิ่งฮองเฮาหลู่ฟังมากเท่าไรก็ยิ่งตกใจมากเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่ามีบ่อเลือดอยู่ในคุกใต้ดินตำหนักเย็น ใบหน้าก็ซีดเผือดอย่างอดไม่ได้จริงๆ แล้วนางเองก็เตรียมใจเอาไว้แล้วแต่ไม่คิดเลยว่าฉินกุ้ยเฟยจะเสียใจจนเป็นบ้าได้ถึงขั้นนี้!ฮ่องเต้หวู่ก็ตกใจเช่นกันฉินกุ้ยเฟยใช้เลือดมนุษย์เป็นอาหารยุงและแพร่ระบาดโรคมาลาเรียอยู่ในตำหนักเย็น?
โทษเบาหน่อยก็ถูกกักบริเวณ หากโทษหนักก็ถูกประหารชีวิตฮองเฮาหลู่ส่ายหัวเบาๆ “ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเพคะ!”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “ทำไม?”ฮองเฮาหลู่เอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์เท่านั้น แต่มันยังเกี่ยวข้องกับโรคระบาดด้วย วันข้างหน้า ถ้าโรคมาลาเรียแพร่กระจายออกไป ราษฎรจะคิดว่านี่เป็นความผิดของฉินกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน!”“อย่างไรนางก็เป็นสนมของฝ่าบาท!”“เกรงว่าราษฎรจะเอาความโกรธแค้นนี้มาระบายกับฝ่าบาทและราชวงศ์เพคะ!”สีหน้าของฮ่องเต้หวู่โกรธเคืองความกังวลของฮองเฮาหลู่ กลับเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น เพราะมันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน“แล้วจะทำอย่างไรล่ะ?”ฮ่องเต้หวู่เดินไปกลับไปกลับมา ครุ่นคิดอย่างหนัก “หรือจะบอกว่าฉินกุ้ยเฟยตายเพราะอุบัติเหตุ ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก?”หลี่จือและตู้เหวินยวนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแย้มในทันที “ฝ่าบาททรงพระปรีชา...”“ฝันไปเถอะ!”สีหน้าของฮ่องเต้หวู่เปลี่ยนไปทันที ตำหนิอย่างโกรธเคือง “พวกเจ้าอย่าแม้แต่จะคิด! ฉินกุ้ยเฟยทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ หากว่าข้าไม่ลงโทษนาง สวรรค์คงไม่อาจทนได้! แล้วก็เจ้าเจ้าสี่ อย่
ฮ่องเต้หวู่โบกมือ ให้เว่ยซวินถอยออกไปในห้องโถงหยั่งซินขนาดใหญ่ เหลือเพียงฮ่องเต้หวู่และหลี่หลงหลินเท่านั้นฮ่องเต้หวู่ก้าวเท้าไปหาหลี่หลงหลิน ตบไหล่ของเขา “เจ้าเก้า ลำบากเจ้าแล้ว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าให้เจ้าอยู่ทำไม?”หลี่หลงหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อไม่วางพระทัย!”ฮ่องเต้หวู่พยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึม “ใช่! ตอนนี้ข้าไม่ไว้ใจใครเลย! รวมถึงฮองเฮาด้วย! มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้าเชื่อได้! ให้ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาทดีหรือไม่...”ครั้งนี้ ฮ่องเต้หวู่ไม่ได้หยั่งเชิงหลี่หลงหลิน แต่ตั้งใจที่จะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาทจริงๆต้าเซี่ยมีปัญหาทั้งภายในและภายนอก และความขัดแย้งก็เกิดขึ้นไม่หยุดฮ่องเต้หวู่รู้สึกว่าภาระที่เขาแบกรับนี้หนักเกินไป!เขาต้องการใครสักคนมาแบ่งปันความกดดันของตนอย่างเร่งด่วนหลี่หลงหลินคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังกตัญญูอีกด้วยถ้าหลี่หลงหลินได้ดูแลแคว้นในฐานะรัชทายาทฮ่องเต้หวู่ก็คงได้ผ่อนคลายลงบ้างหลี่หลงหลินส่ายหัว เอ่ยขัดจังหวะ “เสด็จพ่อ ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วตรัสด้วยความไม่พอใจ “อะไรนะ? เจ้าไม่อยากจะแบ่งเบ
“หากเจ้าได้เป็นองค์รัชทายาท...” หลี่หลงหลินส่ายหัว แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “เสด็จพ่อ หากลูกได้เป็นองค์รัชทายาท! รับรองว่าไม่เกินหนึ่งเดือน เหล่าเชื้อพระวงศ์จะต้องก่อกบฏ ราชวงศ์ต้าเซี่ยจะแตกแยก แคว้นจะต้องล่มสลายในพริบตา!” ฮ่องเต้หวู่หยุดชะงัก เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หลี่หลงหลินพยักหน้า และเอ่ยอย่างหนักแน่น “อาจจะร้ายแรงกว่านั้นด้วยซ้ำ! ต้าเซี่ยในตอนนี้ เปรียบเสมือนคนป่วยระยะสุดท้าย! ทนรับยาแรงของลูกไม่ได้หรอก!” ฮ่องเต้หวู่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “ถ้าอย่างนั้นควรจะทำเช่นไร? หรือว่า ต้าเซี่ยมีแค่หนทางเดียวคือล่มสลาย?” หลี่หลงหลินส่ายหัว “ไม่! ยังมีอีกทางหนึ่ง นั่นคือการขูดกระดูกเพื่อรักษาพิษ! ควบคุมอำนาจของราชสำนักและเหล่าขุนนางทีละขั้นตอน นำอำนาจของจักรพรรดิกลับมาอยู่ในมือเสด็จพ่ออีกครั้ง!” ฮ่องเต้หวู่ร่างกายสั่นสะท้าน และใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยเอ่ยว่า “วิสัยทัศน์ที่เจ้าวาดไว้นั้นไม่เลว! เพียงแต่ พูดนั้นง่ายกว่าทำ!” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ง่าย! แต่ว่า มีข้าคอยช่วยเหลือท่าน ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้!” ฮ่องเต้หวู่ดวงตาเป็นประกาย “เ
ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วมุ่น “ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือต้องการทำอะไรกันแน่?” หลี่หลงหลินหัวเราะเยาะ “เสด็จพ่อ นี่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือสมคบคิดกับฉินกุ้ยเฟย ก่อความวุ่นวายในวังหลวงก่อน จากนั้นก็ก่อความวุ่นวายในราชสำนัก สุดท้ายก็ทำให้เมืองหลวงปั่นป่วน ทำให้ไม่มีเวลาไปสนับสนุนเมืองซั่วเป่ย!” “ทหารรักษาพระองค์หนึ่งแสนนายติดอยู่ในเมืองเดียวดาย กำลังใจตกต่ำ ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือโจมตีครั้งใหญ่ ยึดเมืองซั่วเป่ยได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ!” “เมื่อเสียเมืองซั่วเป่ยไป ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือก็สามารถบุกตรงเข้ายึดเมืองหลวงได้!” “ถึงตอนนั้น ไม่ว่าเสด็จพ่อจะเลือกปกป้องเมืองหลวง สู้ตายกับชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ หรือจะอพยพลงใต้ หลีกหนีภัยพิบัติ” “จุดจบของต้าเซี่ย ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว!” ฮ่องเต้หวู่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เอ่ยอย่างกัดฟันกรอด “ต้องการยึดเมืองซั่วเป่ย ต้องก่อความวุ่นวายในเมืองหลวงก่อน! แผนร้ายกาจจริง ๆ! ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือไปเรียนรู้กลอุบายเช่นนี้มาจากไหนกัน!” ชาวต้าเซี่ยเป็นชนชาติที่หยิ่งทะนง ในสายตาของฮ่องเต้หวู่ นอกจากต้าเซี่ยแล้ว ที่อ
โชคดีที่แม้ฮ่องเต้หวู่จะยังดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่ก็ทรงเชื่อใจตน และรับฟังคำพูดของตน ต้าเซี่ยกำลังสั่นคลอน ราวกับอาคารที่ใกล้พังทลาย ไม่สามารถทนต่อพายุฝนได้อีกต่อไป! หากเกิดเหตุวุ่นวายจากเรื่องไสยศาสตร์ขึ้น ตั้งแต่วังหลัง ราชสำนัก ไปจนถึงประชาชน ไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่คนที่ต้องเดือดร้อน และสูญเสียชีวิต ที่สำคัญที่สุดคือ จะทำให้ประชาชนโกรธแค้น สูญเสียความเชื่อมั่น! ใจประชาชนคือใจสวรรค์ เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์! หากเสียความไว้ใจของประชาชนไป ต้าเซี่ยก็คงล่มสลาย! ต่อให้เป็นเทพเซียนมา ก็ช่วยอะไรไม่ได้! “ผู้ที่เก่งในการต่อสู้ จะโจมตีที่จิตใจเป็นหลัก!” “ในชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ มีผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?” หลี่หลงหลินเดินอยู่ในพระราชวัง พลางขมวดคิ้วเป็นปม ไม่ว่าอย่างไร ต้าเซี่ยจำเป็นต้องรักษาสถานการณ์ให้มั่นคง จึงจะรับมือกับการโจมตีของเผ่าหมานในครั้งต่อไปได้! ฮ่องเต้หวู่รับปากว่าจะโน้มน้าวฮองเฮา ไม่ให้เกิดเหตุวุ่นวายจากเรื่องไสยศาสตร์ขึ้นมา เช่นนั้นวังหลังต้องสงบสุขแน่ ฉินกุ้ยเฟยตายอย่างน่าอนาถ องค์ชายสี่ก็ถูกกักบริเวณ ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่นำโดยตู้เหวินยวนเสียหาย
สตรีในจวนตระกูลซูต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด หรือว่า เรื่องสำคัญที่หลี่หลงหลินจะประกาศ คือฮ่องเต้หวู่ทรงตำหนิ และตระกูลซูจะต้องรับเคราะห์ด้วยหรือ? หลี่หลงหลินส่ายหัว “เสด็จพ่อตรัสว่า จะไม่ติดใจเอาความเรื่องการตายของฉินกุ้ยเฟยอีกต่อไป!” คำพูดของเขาหมายความว่า ฮ่องเต้หวู่ไม่ต้องการให้เรื่องบานปลาย ไม่ต้องการไล่ล่าลูกสมุนที่เหลืออยู่ของฉินกุ้ยเฟย และไม่เอาผิดองค์ชายสี่ แต่สตรีในตระกูลซูกลับเข้าใจผิดแล้ว พวกนางคิดว่า ฮ่องเต้หวู่ไม่เอาผิดหลี่หลงหลิน จึงพากันอุทานออกมา “อิทธิพลขององค์ชายเก้า ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!” “ไม่เอาความ ฉินกุ้ยเฟยก็ตายเปล่าๆสิ!” “ฮ่าฮ่าฮ่า คราวนี้องค์ชายสี่กับตู้เหวินยวนคงแค้นใจจนอกแตกตาย!” หลี่หลงหลินเผยยิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าซูยิ้มอย่างอารมณ์ดี และถามว่า “องค์ชายเก้า ฮ่องเต้หวู่ได้ตรัสหรือไม่ว่า เจ้าจะได้แต่งงานกับเฟิ่งหลิงเมื่อไหร่?” ไม่แปลกที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูจะรีบร้อน อยากให้ซูเฟิ่งหลิงแต่งงานกับหลี่หลงหลิน หลี่หลงหลินในตอนนี้ กำลังรุ่งโรจน์ เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้หวู่ พิงต้นไม้ใหญ่แล้วร่มเย็น หากตระกูลซูต้องการกลับมารุ่งเ
เขาประจิมจดหมายนิรนามหลั่งไหลเข้ามาดั่งหิมะหนิงชิงโหวและเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสกำลังจัดการกับจดหมายเหล่านี้ จนแทบไม่มีเวลาพักแต่จดหมายมีมากเกินไปจริงๆถึงจะพยายามแล้ว พวกเขาก็ยังจัดการไม่ทันจนสุดท้าย หนิงชิงโหวต้องขอความช่วยเหลือจากหลี่หลงหลินแต่หลี่หลงหลินไม่ได้มา มีแต่ซูเฟิ่งหลิง ลั่วอวี้จู๋ และหลิ่วหรูเยียนที่เดินทางมายังเขาประจิม“รัชทายาทล่ะขอรับ?”หนิงชิงโหวไม่เห็นหลี่หลงหลิน ก็รู้สึกแปลกใจซูเฟิ่งหลิงมุ้ยปาก “เจ้าสุนัขนั่น โรคขี้เกียจกำเริบอีกแล้ว! ซ่อนตัวอยู่ในห้องของ ไม่ยอมออกมา ให้พวกเรามาช่วยแทน!”ตอนนี้ภาพลักษณ์ของหลี่หลงหลินในสายตาชาวบ้านสูงส่งราวกับเทพเจ้าอาจจะมีแค่ซูเฟิ่งหลิงที่กล้าเรียกเขาแบบนั้นนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่หลิ่วหรูเยียนรู้สึกไม่สบายใจ จึงแย้งว่า “น้องหญิง เจ้าเข้าใจองค์รัชทายาทผิดแล้ว! เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่กำลังทำสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งอยู่ต่างหาก”ซูเฟิ่งหลิงรู้สึกหึงหวง “เรื่องสำคัญ? ข้าไม่เห็นรู้เลย? แล้วพี่สะใภ้สี่รู้ได้อย่างไร?”ใบหน้าสวยของหลิ่วหรูเยียนแดงก่ำ รีบแก้ตัว “องค์รัชทายาทขังตัวเองอยู่ในห้อง
เขาตกใจสะดุ้งโหยง รีบคว้ากระดานประตูขึ้นมาปิดร้านอย่างรวดเร็ว“ท่านแม่!”“ท่านพ่อหนีออกจากคุกมาแล้ว!”“พวกเราเก็บข้าวของ เงินทองของมีค่า แล้วหนีไปเถิด...”เจิ้งเทียนฉินยังเยาว์วัย ไม่เคยประสบเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษในชั่วพริบตามารดาของเขาก็ปาดน้ำตาไปพลางบ่นไปพลาง “ดูสิ! เรื่องวุ่นวายอะไรเช่นนี้? แต่เดิมพวกเราก็อยู่กันดีๆ เหตุใดจู่ๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”เจิ้งถูฮู่เกาศีรษะพลางเอ่ย “เจ้าลูกชาย เมียข้า เจ้าสองคนพูดอะไรกัน? ใครบอกว่าข้าหนีออกจากคุกมา? ข้าน่ะเดินออกจากคุกใหญ่กรมอาญาทางประตูใหญ่เชียวนะ!”เมื่อได้ยินดังนั้น สองแม่ลูกกลับยิ่งแตกตื่นมากกว่าเดิมเดินออกมาทางประตูใหญ่หรือ!?หรือว่าภายในคุกเกิดการจลาจล? เหล่านักโทษลุกฮือขึ้นสังหารผู้คุม ก่อนจะแหกคุกออกมากันหมด!?คุกใหญ่กรมอาญานั้นเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่เพียงมีกองทหารคอยดูแล ยังมีองครักษ์เสื้อแพรประจำการอีกด้วย กล่าวได้ว่าปลอดภัยราวกำแพงเหล็ก!ทว่าได้ยินมาว่าครานี้ในคุกมีนักโทษอยู่แน่นขนัด ถูกกักขังไว้นับหมื่นคน เกินขีดจำกัดที่คุกสามารถรองรับได้ไปมากโข!เมื่อคนมากเกินควบคุม ข้อผิดพลาดก็ย่อมเก
เจิ้งถูฮู่เพิ่งหลุดพ้นจากคุกของกรมอาญาได้ ก็รีบเร่งกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นลูกชายของเขา เจิ้งเทียนฉิน กำลังปรึกษากับมารดาอยู่ “ท่านแม่ ต่อให้เราต้องขายหม้อขายกระทะก็ต้องช่วยท่านพ่อออกมาจากคุกให้ได้! ที่นั่นข้าเคยไปมาแล้ว มันไม่ใช่ที่ที่คนจะอยู่ได้เลย!”เจิ้งเทียนฉินมีท่าทางสุภาพเรียบร้อย ดูไม่เหมือนลูกชายของคนขายเนื้อ แต่กลับดูเหมือนบัณฑิตเสียมากกว่าความจริงแล้วเจิ้งเทียนฉินเคยเข้าศึกษาเล่าเรียน และมีพรสวรรค์ไม่เลว เขาขยันเรียนมาก จนสามารถสอบผ่านเป็นทงเซิงได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเจิ้งถูฮู่ดีใจมาก จัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเพื่อนบ้านมาร่วมฉลองกินเลี้ยงหมูย่างติดต่อกันถึงสามวันความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่เขาคิดว่าในที่สุดตระกูลเจิ้งของตนก็จะได้บัณฑิตสืบสกุล นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลเสียทีแต่ใครจะคาดคิดว่านั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายเจิ้งเทียนฉินเรียนหนังสือเก่ง ไม่เพียงแต่เจิ้งถูฮู่เท่านั้น แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ฝากความหวังไว้กับเขาอย่างมากทว่า...ครั้งแรกที่เขาเข้าสอบมณฑล ไม่เพียงแต่สอบตกหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง แต่ยังถูกจับขังคุกอีกด้วยข้อหาคือทุจริตในการสอบ!เจิ้งถูฮู่
หลี่หลงหลินมองใบหน้างดงามของซูเฟิ่งหลิงก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “วีรบุรุษยิ่งใหญ่ ข้าเป็นไม่ได้หรอก งั้นเป็นพ่อของวีรบุรุษยิ่งใหญ่แทนดีไหม เจ้าคิดว่าอย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”หลี่หลงหลินถอนหายใจ “เสด็จพ่ออยากให้ข้าเป็นรัชทายาทสำเร็จราชการแทน ก็ชัดเจนว่าอยากพึ่งลูกกิน! แต่สิ่งที่เขาทำนี้ กลับทำให้ข้านึกอะไรบางอย่างออก!”“เสด็จพ่อพึ่งพาไม่ได้ พวกเราต้องรีบมีลูกให้เร็วที่สุด แล้วทุ่มเททุกอย่างเพื่อฝึกเขาให้เก่งกาจ จากนั้นส่งต่อบัลลังก์ให้เขา ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติบ้านเมือง!”“ข้าจะได้เป็นพ่อของวีรบุรุษ!”“ฮ่าๆ บนพึ่งพาพ่อ ล่างพึ่งพาลูก ข้านี่มันอัจฉริยะจริง ๆ!”ซูเฟิ่งหลิงเบิกตากว้าง จ้องเขาด้วยความตกตะลึงถึงขีดสุดพึ่งพาพ่อก็ว่าน่าละอายแล้ว!หลี่หลงหลิน ไอ้เจ้าหมานี่ คิดจะพึ่งพาลูกตัวเองด้วยงั้นหรือ?ซูเฟิ่งหลิงก้มมองหน้าท้องแบนราบของตนเอง พลันรู้สึกเศร้าใจ “ลูกน้อยของแม่ เจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง ยังไม่ทันได้เกิด ก็ต้องเจอพ่อแบบนี้เข้าเสียแล้ว...”เดี๋ยวก่อน!ซูเฟิ่งหลิงฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที ใบหน้างามแดงระเรื่อ น
ในที่สุดจางอี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดหลี่หลงหลินจึงจับผิดสำนักปราชญ์ไม่ปล่อย จับบัณฑิตขังคุกทีละคนสำนักปราชญ์อาจมีอำนาจทางวาจา แต่กลับไร้ซึ่งกำลังทหารคนธรรมดาไร้ความผิด แต่หากมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าติดตัว ก็อาจนำภัยมาสู่ตนนี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นโตแล้วจะเป็นอะไร?หลี่หลงหลินยิ้ม “เงินแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ไป! ตามข้าไปพบฉินฮั่นหยางกันอีกครั้ง!”เมื่อพูดจบแล้วหลี่หลงหลินจึงพาซูเฟิ่งหลิงและจางอี้ไปยังห้องขังของฉินฮั่นหยางอีกครั้ง“รัชทายาท!”“ท่านช่างใจร้ายนัก!”ฉินฮั่นหยางจ้องหลี่หลงหลินเขม็ง ดวงตาลุกโชนราวกับเปลวไฟความเจ้าเล่ห์ขององค์รัชทายาทผู้นี้ ช่างน่ากลัวจนทำให้ผู้คนโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดหลี่หลงหลินโบกมือ “ข้าขี้เกียจพูดมาก! ราคาเดียว หนึ่งล้านตำลึง ขาดแม้แต่ตำลึงเดียวก็ไม่ได้!”ฉินฮั่นหยางส่ายหน้า “ไม่มีทาง!”หลี่หลงหลินแสยะยิ้ม “ดี! ข้าชี้ทางสว่างให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมเดิน เลือกที่จะเดินบนสะพานไม้ซุง! อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน! ไป!”เมื่อสิ้นเสียงหลี่หลงหลินไม่รอให้ฉินฮั่นหยางได้ตอบโต้ใดๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป“???”ฉินฮั่นหยางมองตามหลังหลี่หลงหลินด้วย
“ขออภัยด้วย!”“ศิษย์ขอไปก่อน หากออกไปได้ ข้าจะหาทางช่วยอาจารย์ออกมาให้ได้ขอรับ!”เหล่าบัณฑิตรีบเขียนจดหมายให้คนทางบ้านส่งเงินมาให้ เมื่อจะจากไปยังไม่ลืมคำนับคารวะต่อหน้าบัณฑิตเช่นฉินฮั่นหยางฉินฮั่นหยางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธพวกเจ้าช่างทรยศนัก!ทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?พวกเจ้ารู้จักคำว่าเคารพครูบาอาจารย์หรือไม่? จิตใจของพวกเจ้าเหี่ยวเฉาเสียจนสิ้นดีแล้วหรือ?ตำราที่พวกเจ้าอ่านมา หรือว่าลงกระเพาะสุนัขไปแล้วงั้นรึ?สิ่งที่ฉินฮั่นหยางไม่อาจรับได้ยิ่งกว่าคือแม้แต่อาจารย์วัยชราหลายคนก็ทนไม่ไหว ต่างหยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาแล้วออกจากคุกไป“ช่าง...”“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”“สำนักปราชญ์เลี้ยงคนเหล่านี้ไว้เสียข้าวสุกจริงๆ!”“ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมต้านทานไม่ได้!”เหล่าบัณฑิตโดยมีฉินฮั่นหยางเป็นผู้นำ มองไปยังบัณฑิตและอาจารย์ที่จากไปด้วยความอิจฉาความจริงแล้ว พวกเขาก็อยากจากไปเช่นกันคุกเป็นสถานที่เช่นไร ใครที่เคยอยู่ย่อมรู้ซึ้งมันไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้อีกอย่าง ฉินฮั่นหยางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานาน ย่อมไม่อาจทนทุกข์เช่นนี้ได้ปัญหาคือเงินหนึ่งล้านตำลึงมันมากมายเกินไป
จางอี้มีสีหน้างุนงงเงินไถ่ชีวิตราษฎรเพียงหนึ่งอีแปะบัณฑิตต่ำที่สุดหนึ่งร้อยตำลึงสูงที่สุดหนึ่งล้านตำลึงความแตกต่างนี้ช่างราวกับฟ้าและเหวโดยแท้นี่เห็นได้ชัดว่าหลี่หลงหลินต้องการลงมือกับสำนักปราชญ์!ฉินฮั่นหยางโมโหตัวสั่น จับจ้องหลี่หลงหลิน “ผู้สูงศักดิ์ราคาแพง? คนจนราคาถูก? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น พูดเย้ยหยัน “เรายังอยากถามเจ้า เกิดและเติบโตโดยพ่อแม่เฉกเดียวกัน ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าบัณฑิตสูงส่งกว่าหนึ่งขั้น? นี่ถือสิทธิ์อะไร?”ฉินฮั่นหยางชะงักไป ไม่พูดอีกหลี่หลงหลินคร้านจะพูดไร้สาระ หันหน้าหาจางอี้ ออกคำสั่ง “ทำตามที่เราบอก!”จางอี้พยักหน้า มาที่ด้านหน้าคุก ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ของหลี่หลงหลินหนึ่งรอบเหล่าราษฎรฮือฮา ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าเปี่ยมความรู้สึกเหลือจะเชื่อหนึ่งอีแปะ ก็สามารถแลกกับอิสระได้แล้วหรือ?จริงหรือนี่?ทว่า เหล่าราษฎรกลับกังวลประการแรกคือตนเองออกมารับชมความครึกครื้น บนตัวไม่มีเงินแม้อีแปะเดียวประการที่สองคือรัชทายาทมิได้หลอกคนเพียงครั้งเดียวหากเขาหลอกตนจะทำเช่นไร?เจิ้งถูฮู่กลับดีใจมาก ยื่นเงินหนึ่งก้อนออกไป “นี่คือเงินหนึ่งตำลึง
จางอี้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทางหนึ่งสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ ใช้ปลอกดาบเคาะตีที่กรงเหล็ก ตะคอกนักโทษภายในคุก ทางหนึ่งคุ้มกันหลี่หลงหลิน ก้าวเท้าฉับไวเข้าไปยังส่วนลึกที่สุด ชี้ประตูห้องขังแห่งหนึ่ง “องค์ชาย ฉินฮั่นหยางอยู่ข้างในนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินฮั่นหยางอยู่ห้องขังเดี่ยวไม่ใช่เพราะเขาเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ มีสิทธิพิเศษอะไรแต่เพราะมีตัวอย่างของซ่งชิงหลวน หากฉินฮั่นหยางอยู่ที่คุกด้านนอก ตายไปอย่างคลุมเครือ จางอี้ก็ยากจะหาข้อแก้ตัว รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรนี้เขาก็ไม่ต้องทำแล้วเพราะเหตุนี้ฉินฮั่นหยางไม่เพียงขังอยู่ในห้องขังเดี่ยว ประตูยังมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอีกสองคน รับรองไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหลี่หลงหลินผลักเปิดประตูเข้าห้องขัง ได้เห็นฉินฮั่นหยางกำลังนั่งขัดสมาธิ“ฮึๆ รัชทายาท เจ้ามาหาข้าว่องไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“อะไรกัน?”“เจ้ามาเชิญข้าออกไปหรือ?”“บอกเจ้า ข้าอยู่ที่นี่สบายมากนัก! เว้นเสียแต่เจ้าคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะสามครั้ง ขอร้องให้ข้าออกไป! หาไม่แล้ว ชาตินี้ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”เสียงฉินฮั่นหยางแหบพร่า ใบหน้าประดับยิ้มเย็นหลายวันมานี้ เขาด่าอย่างหยาบคาย เสียงแห
หลี่หลงหลินลูบจมูก สบมองหนิงชิงโหวอย่างพูดไม่ออก “สหายร่วมสำนักศึกษาของเจ้านี้คิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เพียงแค่ตัวอักษรของจดหมายนิรนามก็สามารถหาตัวเขาได้แล้วกระนั้น?”หนิงชิงโหวยิ้มแห้ง “องค์ชาย ท่านยังไม่รู้ คนบนโลกล้วนพูดว่าท่านฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่ามนุษย์ เป็นปีศาจ...”หลี่หลงหลินยิ้มขมปร่าตนเองให้เสด็จพ่อยกเว้นเก็บภาษีราษฎรสามปี พวกเขายังพูดว่าตนเป็นปีศาจอีกนะคนดี เป็นได้ยากยิ่ง!“ในเมื่อเป็นเช่นนี้...”หลี่หลงหลินใคร่ครวญ พูดกับหนิงชิงโหว “เจ้าไปบอกให้ซูเฟิ่งหลิงเตรียมรถม้า ไปที่คุกใหญ่กับข้า”หนิงชิงโหวค้อมตัว “น้อมรับคำสั่ง”ครู่ต่อมารถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาทิศประจิม มุ่งหน้าไปสู่คุกใหญ่กรมอาญาบัดนี้คุกใหญ่กรมอาญามีคนเนืองแน่น ภายในถูกยัดไว้แน่นเอียด เสียงโอดครวญดังระงมผู้คุมเรือนจำต้องควบคุมนักโทษมากถึงเพียงนี้ ยุ่งแทบตายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยเสียจนพูดไม่ออกหากไม่ใช่เพราะจางอี้พาองครักษ์เสื้อแพรมาคุมเชิง พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอันใด ป่านนี้คงหนีหายไม่ทำแล้วเห็นหลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงลงจากรถม้า จางอี้รีบเข้าไปต้อนรับ โค้งคำนั