พูดตามหลักแล้ว องค์ชายและขุนนางเหล่านี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลซูซูเฟิ่งหลิงเป็นบุตรีคนเดียวของตระกูลซู และตอนนี้ก็เป็นชายาขององค์ชายเก้าแม้ว่าปากนางจะไร้หูรูด พูดจาหยาบคายแต่ในฐานะผู้อาวุโส ขุนนาง พวกเขาไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกับเด็กสาวเช่นนาง ด้วยเกรงว่าจะเสียเกียรติ!ทว่าเหล่าขุนนางไร้ความปรานี วิจารณ์ซูเฟิ่งหลิงทั้งทางวาจาและภาษากายและย่อมต้องมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง!ขุนนางผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ทำเช่นนี้ แท้จริงเพราะพยายามประจบประแจงหลี่หลงหลิน!ซูเฟิ่งหลิงเป็นชายาที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ไม่ใช่เรื่องเท็จแต่ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าถึงแม้หน้าตานางจะสะสวย ทว่าอารมณ์ร้ายอย่างยิ่ง เป็นเสือโคร่งจอมดุดัน!มีโอกาสคราวใด เป็นต้องทุบตีองค์ชายเก้าร่ำไป!ไม่รู้ว่าองค์ชายเก้าในตอนนี้ ต้องกดเก็บความโกรธไว้ในใจมากแค่ไหน!ดังนั้น พวกเขาจึงจงใจทำให้ซูเฟิ่งหลิงต้องอับอาย เพื่อให้หลี่หลงหลินพอใจ“องค์ชายเก้า นางหนูจากตระกูลซูคนนี้ ช่างโง่เขลาเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ!”“สงครามเป็นกิจการของบุรุษ นางที่เป็นสตรีผอมบาง เหตุใดถึงมีสิทธิ์มาชี้ไม้ชี้มือได้?”“องค์ชาย ท่านว่าใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หลี่หลงหลินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่ขอรับ!”จางเฉวียนตกตะลึง มองไปที่หลี่หลงหลินด้วยความตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ชัดเจน!”หลี่หลงหลินหัวเราะและพูดเบาๆ “ข้าบอกว่า ไม่ ขอรับ!”ดวงตาของจางเฉวียนเบิกกว้าง จ้องมองไปที่หลี่หลงหลิน “เพราะเหตุใด?”หลี่หลงหลินพูดอย่างองอาจ “ข้าทำงานใต้บังคับบัญชาของเสด็จพ่อ สร้างกองทัพตระกูลซูขึ้นใหม่ ย่อมต้องทำให้ดีที่สุด ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทุกข้ออย่างเคร่งครัด! ถ้าข้าเปิดประตูหลังให้ลูกชายของท่าน นั่นไม่ใช่ว่าฝ่าฝืนกฎ ผิดระเบียบเพื่อหาประโยชน์ส่วนตนหรอกหรือ?“อีกอย่าง ท่านน้าเองก็มีอำนาจในกองทัพ การจะจัดหาตำแหน่งให้ลูกชายไม่ใช่ว่าง่ายดายมากหรอกหรือ? เหตุใดท่านจึงต้องมาขอเอาจากข้าด้วย?”“พูดกันตามตรง นั่นเพราะเขาเป็นพวกไม่เอาอ่าว ไร้ความสามารถ!”คำพูดของหลี่หลงหลินไร้ซึ่งความสุภาพและนอบเคารพเขาในฐานะชายผู้เสเพลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง นอกจากจะรู้ว่าคณิกาคนไหนงาม โรงเตี๊ยมร้านไหนมึนเมาง่าย เขายังรู้อีกอย่างหนึ่งอีกด้วยนั่นคือชายเสเพลจากตระกูลใหญ่ เป็นคนไร้ประโยชน์ที่แท้จริงหรงกั๋วกง จางเฉวียน มีความสามารถไม่น้อย กิจการทางทหารก็บริหารได้อย่างยอดเย
รับสมัครผู้ลี้ภัยทางเหนือ?มีวิธีนี้อยู่จริง!ได้ยินเช่นนี้ ลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงก็ตกตะลึงดินแดนทางตอนเหนือหนาวเหน็บถึงกระดูก ผู้คนแข็งแกร่ง ตั้งแต่สมัยโบราณ คนใจบุญทำร้ายใจเหี้ยมได้มีมากมาย!ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาถูกพวกหม่านอี๋คุกคามมาหลายปี มีความบาดหมางไม่อาจล้างได้สิ้นกับพวกเขา!หากผู้ลี้ภัยจากทางเหนือ สามารถเข้าสู่กองทัพของตระกูลซูได้ ใช้เวลาสักหน่อย ย่อมต้องสามารถฝึกฝนจนหลักแหลมเก่งกาจได้อย่างแน่นอน!ประสิทธิภาพการรบ อาจไม่ด้อยไปกว่ากองทัพตระกูลซูในตอนนั้นก็ได้!ดวงตาคู่งามของลั่วอวี้จู๋กะพริบถี่ มองไปที่ใบหน้าของหลี่หลงหลินแล้วหายใจเข้าลึกๆ “ที่แท้องค์ชายเก้าก็เตรียมการไว้แล้ว...”หลี่หลงหลินต้องการรับสมัครทหาร นอกเหนือจากอุปสรรคอย่างกรมกลาโหมแล้ว ยังมีอีกหนึ่งก้างชิ้นใหญ่ชิ้นสำคัญนั่นก็คือชื่อเสียงที่เสื่อมเสียของหลี่หลงหลิน!โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทัพ หลี่หลงหลินคือการมีอยู่ที่ทุกคนแสนอับอาย!ทหาร รักเกียรติยิ่งชีพบังอาจถาม ผู้ใดจะกล้าติดตามขยะที่ส่งกลิ่นเหม็นอยู่ตลอดอย่างหลี่หลงหลินกัน?ไม่กลัวว่าจะอายคนหรือ?ทว่า ในบางเรื่องกลับตรงข้ามกัน ชื่อเสียงของหลี่ห
“ข้าโกรธเจ้าองค์ชายเก้านั่น แม้แต่หน้าข้าก็ยังไม่ไว้ให้!”“ส่วนเจ้าเด็กเวรนั่น ไร้ประโยชน์เสียจนแม้แต่หลี่หลงหลินก็ยังดูถูก...”จางเฉวียนระบายความโกรธทุกอย่างให้อวี่ชื่อได้ฟังอวี่ชื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยความสับสน “องค์ชายเก้าหลี่หลงลิน ไม่ใช่ว่าร่ำลือเรื่องไร้ประโยชน์หรอกหรือเจ้าคะ? ก่อนหน้าดีด่าใครไม่ได้ก็ไปด่าเขา องค์ชายเก้าไม่อาจเทียบท่านได้ด้วยซ้ำ!”“ทำไมเขาถึงกลับตัวกลับใจ กลายเป็นคนโดดเด่นประสบความสำเร็จขึ้นมาได้กัน?”จางเฉวียนจิบชาแล้วพูดว่า “ผีสิรู้!”อวี่ชื่อถามอีกครั้ง “แม้ว่าหลี่หลงหลินจะโบยบินขึ้นสู่จุดสูงสุดไป แต่เขาก็เป็นเพียงองค์ชายไร้อำนาจ! กล้าดีอย่างไรถึงได้จองหอง ทำให้นายท่านอับอายต่อหน้าคนมากมายได้?”“ใครคอยอยู่เบื้องหลังหลี่หลงหลิน คอยสนับสนุนเขากัน?”จางเฉวียนพึมพำ “ยังจะเป็นใครได้อีก ย่อมต้องเป็นฮ่องเต้อยู่แล้ว! ทั้งฮ่องเต้ยังมอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้เขาแล้วด้วย! แม้แต่ตู้เหวินยวนจิ้งจอกเฒ่าก็ยังถูกหลี่หลงหลินทำให้เสียหน้า เสียหายไปครั้งใหญ่!”อวี่ชื่อส่ายหัวเล็กน้อย ปิ่นปักผมของนางแกว่งไปมา “ข้าคิดว่า คนที่อยู่เบื้องหลังองค์ชายเก้า อาจไม่ใช่ฮ่องเต้
“ใต้เท้าตู้ ท่านมาสาย!”เว่ยซวินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา และยกยิ้มเบาๆตู้เหวินยวนหย่อนร่างนั่งลง มุมปากกระตุกเล็กน้อย แค่นเสียงว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะข้าแสร้งหมดสติ ก็คงยังคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักหยั่งซิน ทนทุกข์เหมือนขุนนางคนอื่นๆ อยู่แน่!”เว่ยซวินตกตะลึงจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้เป็นจักจั่นลอกคราบ[footnoteRef:1] หลุดออกจากเปลือกเพื่อมาตามนัดหมาย [1: หนึ่งในกลยุทธ์ติดพันของสามก๊ก หมายความถึงการหลบหลีกโดยมิให้ผู้ใดล่วงรู้ ซึ่งนับว่าเป็นกลยุทธ์ในการถอยทัพโดยไม่เกิดความกระโตกกระตาก] แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินกะโผลกกะเผลก คงเป็นเพราะคุกเข่าอยู่ทั้งคืน ข้อเข่าเลยอ่อนแอเว่ยซวินถอนหายใจ “คราวนี้ ฮ่องเต้ตั้งใจแน่วแน่ จะจัดการกับกลุ่มขุนนางของพวกท่านแล้ว!”เมื่อตู้เหวินยวนได้ยินก็ขมวดคิ้ว “ขันทีเว่ย ท่านหมายความว่าอย่างไร? ฮ่องเต้ไม่ใช่ว่ายืมมือพระเก้าพันปีของท่านมาจัดการกับกลุ่มขุนนางอยู่แล้วหรือ?”เว่ยซวินส่ายหัวเบาๆ “ผิดแล้ว! จิตใจของฮ่องเต้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความสมดุล! หลายปีที่ผ่านมาขันที ขุนนางและทหาร สามกองกำลังได้ต่อสู้กันทั้งที่ลับและที่แจ้ง เขม่นแดกดันกันอยู่ตลอด!”“ในสายตาคนนอก พวกเราวิ
เว่ยซวินจิบชา “ใต้เท้าตู้ไม่จำเป็นต้องทดสอบพวกเราหรอก! ท่านและข้าต่างก็ข้าราชบริพาร ทุกคนล้วนทำงานเพื่อฮ่องเต้! สำหรับศัตรูของท่านและข้า ย่อมต้องพวกทหารสูงศักดิ์...”ตู้เหวินยวนขมวดคิ้ว ถามด้วยความสับสน “ทหารสูงศักดิ์?”กองกำลังทั้งสาม ขุนที ขุนนางและทหาร ต่อหน้าและลับหลังราชสำนัก ล้วนแต่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แสดงให้เห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ผู้นำของทหารสูงศักดิ์คือตระกูลซูอย่างไม่ต้องสงสัยนับตั้งแต่สมาชิกผู้ภักดีของตระกูลซูตายไป ศพถูกฝังทางตอนเหนือ ตระกูลนี้ก็เริ่มมีสัญญาณของการเสื่อมโทรมสำหรับอำนาจของหรงกั๋วกง ก็เป็นเพียงลิงสวมหมวก[footnoteRef:1] ไม่มีทางกลายเป็นความจริงได้! [1: อุปมาว่า คางคกขึ้นวอ] เว่ยซวินต้องการร่วมมือกับขุนนาง เพื่อจัดการกับทหารสูงศักดิ์จริงๆ หรือ?หรือว่า เขาต้องการคนล้มแล้วเหยียบซ้ำ เอาชนะกลุ่มทหารให้ได้โดยสิ้นเชิง ยุติการเผชิญหน้าสามกองกำลังในราชสำนัก?เว่ยซวินพยักหน้าและพูดอย่างหนักแน่น “ใช่แล้ว ทหารสูงศักดิ์!”ตู้เหวินยวนส่ายหัว “ทหารสูงศักดิ์เสียบารี ไม่คู่ควรที่จะเป็นศัตรูของเรา ยิ่งไม่คู่ควรให้สองเราร่วมมือกัน!”เว่ยซวินเคาะนิ้วลงบนโต๊ะแล้วพู
แม้ว่าตู้เหวินยวนจะพูดไม่รักษาน้ำใจ แต่เขาก็ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ ไม่ได้ลุกขึ้นจากไปเว่ยซวินเป็นคนเช่นไร? จะไม่เข้าใจความหมายได้อย่างไร?จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ไม่เต็มใจร่วมมือเพียงอยากเจรจาเงื่อนไข!เว่ยซวินหายใจเข้าลึกๆ มองไปที่ตู้เหวินยวน “คนฉลาดไม่พูดมากความ! ใต้เท้าตู้ ต้องทำอย่างไร ท่านถึงจะยอมร่วมมือกับข้า จัดการกับองค์ชายเก้าและขุนนางที่อยู่ข้างหลังเขา?”ตู้เหวินยวนยิ้มเจ้าเล่ห์ ดุจสุนัขจิ้งจอก “ง่ายมาก! ข้าต้องการให้เว่ยกงรับปาก สนับสนุนองค์ชายสี่เป็นรัชทายาท!”เว่ยซวินเงียบไปเขาไม่แปลกใจกับคำขอนี้!ในบรรดาองค์ชายทั้งเก้า นอกจากหลี่หลงหลินที่เป็นคนไร้ประโยชน์องค์ชายอีกแปดพระองค์ ล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งอยู่เบื้องหลังและตู้เหวินยวน ก็สนับสนุนองค์ชายสี่ หลี่จื้อ!กลุ่มขันทีที่มีเว่ยซวินเป็นผู้นำ เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย จึงไม่เข้าใกล้องค์ชายพระองค์อื่นๆ มากเกินไป และยังคงวางตัวเป็นกลางการเคลื่อนไหวของตู้เหวินยวน คือการบังคับให้เว่ยซวินสนับสนุนองค์ชายสี่!การรวมกำลังของขันทีและขุนนางเข้าด้วยกัน ความแข็งแกร่งย่อมเกินกว่าจินตนาการได้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็แข็งแกร่
ตู้เหวินยวนส่ายหน้า สุ้มเสียงเยียบเย็น “หัวหน้าผู้ดูแลเว่ย เจ้าอย่าเสแสร้งอีกเลย! องค์ชายเก้าเป็นศัตรูกับขุนนางบุ๋น เป็นศัตรูกับชนชั้นสูง เพียงอย่างเดียวคือมิได้ประกาศเป็นศัตรูกับพรรคขันทีของเจ้า! คนลงแรงอยู่เบื้องหลัง มิใช่เจ้าผู้ดูแลเว่ย ยังเป็นใครอีกเล่า?”“องค์ชายเก้าอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่ ข้าไม่แน่ใจ!”“แต่ข้ากลับรู้ดี บางคนไร้ยางอายเกินไปแล้ว!”“เห็นได้ชัดว่าสนับสนุนองค์ชายเก้าอยู่เบื้องหลัง ไม่เพียงไม่ยอมรับ ยังแสร้งร่วมมือเป็นพันธมิตรกับข้า ยุแยงขุนนางซื่อตรงและชนชั้นสูงให้บาดหมางกัน ตนเองนั่งบนภูเขาดูเสือต่อสู้กัน รอตักตวงผลประโยชน์!”“ข้าพูดถูกหรือไม่?”เว่ยซวินเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหา ทั้งตัวคนลืมตาอ้าปากค้างเขาวางแผนเข้าร่วมกับขุนนางบุ๋นจริง ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับตู้เหวินยวนอีก!ส่วนข้อกล่าวหาของตู้เหวินยวน แม้เป็นเรื่องสมมุติ เว่ยซวินก็ไม่เคยคิดมาก่อน!“หัวหน้าผู้ดูแลเว่ย!”ตู้เหวินยวนเปิดปากเสียงเยียบเย็น “นับตั้งแต่วันนี้ไป ข้าและเจ้าเป็นศัตรูคู่อาฆาต มิอาจอยู่ร่วมกันได้! พวกเราจะได้เห็นดีกันในราชสำนัก!”พูดจบ สะบัดแขนเสื้อจากไป!เว่ยซวินนั่งบนเก้าอี้ สมองเต็มไ
เช้าวันรุ่งขึ้นทะเลคราม ฟ้าสีฟ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ ไกลสุดสายตาเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นออกจากท่าเรือตงไห่อย่างโอ่อ่า ท่วงทีองอาจไม่ธรรมดาการออกทะเลครั้งนี้ หลี่หลงหลินไม่เพียงแต่พาเหล่าพี่สะใภ้มาด้วยหลายคน แต่ยังคัดเลือกทหารยอดฝีมือของตระกูลซูมาเป็นพิเศษอีกสามร้อยนายซูเฟิ่งหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ผืนน้ำจรดกับผืนฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ลมทะเลพัดผ่าน ผ้าคลุมสีแดงสดด้านหลังนางปลิวสะบัดพลิ้วไหว!หลี่หลงหลินบิดขี้เกียจ กระทืบเท้าลงบนดาดฟ้าเรือเบาๆเรือของเมืองตงไห่แข็งแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มากตอนนี้หลี่หลงหลินทำได้เพียง มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นไปก่อนแม้จะเทียบไม่ได้กับเรือประมงหมื่นตันในจินตนาการแต่แค่จับปลาหลายพันชั่งขึ้นมาก็ยังถือว่าสบายมากหลี่หลงหลินหยิบคันเบ็ดออกมานั่งลงข้างๆ ซูเฟิ่งหลิง ด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงาม กล่าวเสียงขรึม "รัชทายาท ท่านบอกว่าจะพาพวกเราออกมาจับปลา คงไม่ได้คิดจะใช้แค่คันเบ็ดนี่ตกปลาหรอกนะเพคะ?"เหล่าพี่สะใภ้ก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่บ้างอาศัยเพียงคันเบ็ดคันเดียวของหลี่หลงหลิน
ลั่วอวี้จู๋ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางส่ายหน้าไม่หยุดกล่าวว่า “ไม่ได้ น้องหญิง เจ้าอย่าพูดอะไรพล่อยๆ บัญชีมันไม่ได้คำนวณแบบนั้น! ตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนในตงไห่กำลังรอเสบียงอาหารอยู่ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เพียงแค่พึ่งพาการล่าสัตว์ อย่างไรก็ไม่พอ!”ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงค่ากินอยู่ใช้สอยของเหล่าทหารกองทัพตระกูลซูทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาความต้องการเสบียงอาหารของประชาชนตงไห่ทั้งหมดซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วเรียวงาม “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะนำกองทัพตระกูลซูไปปล้นยุ้งฉางของพวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียเลย! แบบนี้พวกเราก็จะมีเสบียงอาหารแล้วไม่ใช่รึ?”ลั่วอวี้จู๋ตกใจ รีบกล่าวว่า “น้องหญิง! เจ้าอย่าทำเรื่องเหลวไหล!”“เจ้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ แล้วชื่อเสียงของกองทัพตระกูลซูจะทำอย่างไร! ชื่อเสียงอันดีงามที่ตระกูลซูผู้จงรักภักดีสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจะถูกทำลายในพริบตาได้อย่างไร?”“อีกอย่าง ท่านย่าก็คงไม่อนุญาตให้เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้แน่!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง...”ตระกูลซูรับราชการทหารมาหลายชั่วอายุคน ทั้งตระกูลจงรักภักดี ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมใดๆ แม้กระทั
ตกเย็น จวนอ๋องตงไห่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟเหล่าพี่สะใภ้รวมตัวกันอยู่ในห้อง ใบหน้างดงามซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล ทุกคนต่างกลัดกลุ้มกับสถานการณ์ปัจจุบันของตงไห่ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี? ท่านสัญญาว่าจะทำให้ราษฎรตงไห่ทุกคนได้กินเนื้อสัตว์ภายในเจ็ดวัน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เนื้อเลย เกรงว่าแม้แต่การกินให้อิ่มท้องธรรมดาๆ ก็ยังยาก”เมื่อตอนเย็น ลั่วอวี้จู๋ได้ส่งคนไปสืบราคาเสบียงอาหารในตลาดแล้วและก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่ราษฎรตื่นตระหนก ราคาเสบียงอาหารก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่ว่าในตลาดตงไห่ไม่มีข้าวสารขายในทันทีแล้ว หากต้องการซื้อทันทีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ!เหล่าราษฎรต่างพากันส่งเสียงก่นด่าอย่างคับแค้น สถานการณ์เริ่มจะดำเนินไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้แล้วลั่วอวี้จู๋มองไปยังหลี่หลงหลิน ถอนหายใจกล่าวว่า “รัชทายาท ตอนนี้วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วนำเงินไปแลกเป็นเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย”“แต่ข้าคำนวณดูแล้ว ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลซู ก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
เหล่าราษฎรจ้องเขม็งไปยังหลี่หลงหลิน ต้องการคำอธิบายจากเขา หากไม่ได้ความในวันนี้ พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา!หลี่หลงหลินเชิดหน้าอกผาย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปากท้องของราษฎรคือเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อตงไห่เป็นดินแดนในอาณัติของข้า เช่นนั้นพวกท่านก็คือราษฎรของข้า หลี่หลงหลิน”“แม้จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ แต่ข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต้องอดอยากหิวโหยเป็นอันขาด เรื่องเสบียงอาหารนั้นขอให้ราษฎรวางใจ ภายในเจ็ดวัน ข้าจะทำให้พวกท่านได้กินอิ่มท้องอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงของหลี่หลงหลินทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้อยคำดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเหล่าราษฎรผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา“ขี้โม้!”“พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้หลงเชื่อคำโอ้อวดของเขาเลย! ดูสิ ยุ้งฉางเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า! จะเอาข้าวที่ไหนมาให้พวกเรา!”“หากวันนี้ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเรา แล้วอีกเจ็ดวันพวกเราจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับใคร!”“ใช่แล้ว!”“หากวันนี้ไม่ยอมมอบเสบียงอาหารออกมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวเท้าออกจากยุ้งฉางนี้ไปได้!”ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าโบกแขนตะโกนปลุกระดมเหล่าราษฎร ผู้คนต่างขานรับเป็นเสียงเดี
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านนอกยุ้งฉางต่างชูกำปั้นตะโกนก้อง เสียงดังสะท้อนไปทั่วฟ้า “แจกจ่ายเสบียง! แจกจ่ายเสบียง!”ข่าวราคาเสบียงอาหารในเมืองตงไห่พุ่งสูงขึ้นได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ราษฎรต่างตื่นตระหนกหวาดกลัว จึงนัดหมายกันมารวมตัวที่หน้ายุ้งฉางเพื่อเรียกร้องขอเสบียง ก่อเกิดเป็นพลังมหาศาลหากไม่ใช่เพราะเหล่าทหารที่คอยขัดขวางไว้ เกรงว่าป่านนี้เหล่าราษฎรคงบุกเข้าไปในยุ้งฉางแล้วลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “รัชทายาท เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ยังไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหารถึงที่สุด แต่ความโกรธแค้นของราษฎรก็รุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว หากมีวันใดที่เสบียงหมดลงจริงๆ...”ใบหน้างามของลั่วอวี้จู๋ซีดขาว ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ นางไม่อาจจินตนาการถึงภาพนั้นได้ราษฎรที่ก่อความวุ่นวายนอกยุ้งฉางมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆเหล่าทหารยามเริ่มชักดาบประจำกายออกมา แต่สำหรับเหล่าราษฎรแล้ว หากไม่มีเสบียงให้กิน ในภายภาคหน้าก็มีแต่ความตายสถานเดียว!ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย แววตาหงส์ฉายประกายดุดัน “รัชทายาท หากปล่อยให้พวกเขาอาละวาดต่อไปเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่เพค
ลั่วอวี้จู๋เดินเข้ามาก่อนสองก้าว กล่าวว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้แม้จะจัดการกับพวกพ่อค้าเศรษฐี แต่ก็ยังต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงอาหารก่อน มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลา ราษฎรอาจตื่นตระหนก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อพวกเราได้”หลี่หลงหลินเพียงแค่แย้มยิ้มบางเบาซูเฟิ่งหลิงกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถือเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของต้าเซี่ย ข้างในย่อมต้องมีเสบียงเก็บไว้แน่นอน ตอนนี้สามารถนำเสบียงในยุ้งฉางออกมาแจกจ่ายช่วยเหลือราษฎร เพื่อให้พวกเขาคลายกังวลได้แล้วเพคะ”ลั่วอวี้จู๋พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเพคะ องค์รัชทายาท ทำให้ราษฎรคลายกังวลลงก่อน แล้วค่อยว่ากันถึงแผนขั้นต่อไป”หลี่หลงหลินส่ายหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถูกขนย้ายไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ยุ้งฉางเปล่าๆ เท่านั้น”ทั้งสองคนตกตะลึง“เป็นไปได้อย่างไร? ยุ้งฉางนั้นเป็นเสบียงช่วยชีวิตที่ราชสำนักเก็บไว้ เพื่อรับประกันว่าราษฎรจะไม่อดตายในปีที่เกิดภัยพิบัติ จะมีคนกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ มาคิดการใหญ่กับมันได้อย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลี่หลงหลินหลี่
ตำหนักอ๋องตงไห่หลี่หลงหลินเดินออกจากห้องก็พบกับลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงที่รีบร้อนเข้ามาพอดีลั่วอวี้จู๋มีสีหน้าตื่นตระหนก รีบกล่าวว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”หลี่หลงหลินหาว กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ ไม่ต้องรีบร้อน มีอะไรค่อยๆ พูด”ลั่วอวี้จู๋หอบหายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากับน้องหญิงกำลังดูแลร้านค้าของตระกูลซูในตงไห่ที่ถนน ได้ยินเถ้าแก่บอกว่า ตอนนี้ราคาธัญพืชในตงไห่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันเดียวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!”“เรื่องผิดปกติย่อมมีเบื้องหลัง ดังนั้นจึงรีบกลับมารายงานองค์รัชทายาท”ปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดราคาธัญพืชเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร หากราคาธัญพืชผิดปกติ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก!ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า ตอบว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้เป็นปีแห่งภัยพิบัติอยู่แล้ว เกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี บ้านเรือนของราษฎรแทบไม่มีเสบียงสำรอง ต้องอาศัยการซื้อธัญพืชประทังชีวิตทั้งสิ้น”“แต่ตอนนี้ถ้าหากราคาธัญพืชพุ่งสูงขึ้น แล้วราษฎรในตงไห่เหล่านี้จะทำอย่างไร?”หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋ กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน
“แต่ทุกท่านกลับมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป นั่นคือโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาล”แววตาละโมบปรากฏขึ้นในดวงตาของหลู่จงหมิง“นั่นก็คือเสบียงอาหาร”พอหลู่จงหมิงกล่าวคำนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงฮือฮา พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่พ่อค้าร่ำรวยไม่อาจปิดบังความดีใจอย่างบ้าคลั่งในใจ “ท่านพระเชษฐภาดา ท่านหมายความว่าจะลงมือกับราคาธัญพืชหรือ?”หลู่จงหมิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ถูกต้อง”ปัจจุบันต้าเซี่ยประสบภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี แม้แต่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างตงไห่ ยุ้งฉางก็ร่อยหรอเต็มทีแล้วยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินนำกองทัพใหญ่มาปักหลักที่ตงไห่ ค่ากินอยู่ใช้สอยล้วนต้องเบิกจ่ายจากท้องพระคลังตงไห่แม้ว่ากบฏจะถูกปราบปรามจนสงบ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเสบียงอาหารให้กับตงไห่มากขึ้นเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น อาจมีสถานการณ์กบฏที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นได้อีกถึงตอนนั้น เสบียงอาหารของตงไห่ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆของยิ่งน้อยยิ่งมีค่า ราคาธัญพืชย่อมต้องถูกปั่นสูงขึ้นปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดพ่อค้าร่ำรวยย่อมรู้หนทางสู่ความร่ำรวยด้วยการกักตุนธัญพืช ปั่นราคา แต่ไม่มีใครกล
จวนตระกูลหลู่คานแกะสลัก เสากรอบวาดลวดลาย วิจิตรตระการตา ทองเหลืองเรืองรอง หลู่จงหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองเหล่าพ่อค้าที่มาถึง “มากันครบแล้วหรือ?”เงียบสงั ดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพ่อค้าเหล่านี้หูตาสว่าง รู้เรื่องที่พระเชษฐภาดาเจอในจวนอ๋องนานแล้ว ไม่กล้าราดน้ำมันบนกองไฟในจังหวะสำคัญนี้ พ่อค้าที่ปกติหยิ่งยโสโอหังต่างก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าหลู่จงหมิง ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะล่วงเกินแม้หลู่จงหมิงจะเสียหน้าอย่างหนักในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่คนที่พ่อค้าอย่างพวกเขาจะดูเบาได้พ่อบ้านจวนตระกูลหลู่เดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “นายท่าน ยังมีคนจากตระกูลซุนและตระกูลจ้าวที่ยังไม่มา ท่านจะว่าอย่างไร...”หลู่จงหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดว่า “ไม่มาก็ไม่ต้องมาแล้ว! กล้าดีอย่างไรไม่เห็นคำพูดของข้าผู้เป็นพระเชษฐภาดาอยู่ในสายตา”หลู่จงหมิงมองเหล่าพ่อค้ามั่งคั่งที่อยู่ ณ ที่นั้น กล่าวเสียงเย็นชา “นับแต่นี้ไป ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ห้ามทำการค้าใดๆ กับสองตระกูลนี้ หากข้าพบเข้า... หึหึ!”แววตาอำมหิตวาบผ่านดวงตาของหลู่จงหมิงนี่คือเขาต้องการแสดงอำนาจ สร้างบารมี กู้หน้าตาที่เสียไปกลับคืนมาพ่อค