พูดตามหลักแล้ว องค์ชายและขุนนางเหล่านี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลซูซูเฟิ่งหลิงเป็นบุตรีคนเดียวของตระกูลซู และตอนนี้ก็เป็นชายาขององค์ชายเก้าแม้ว่าปากนางจะไร้หูรูด พูดจาหยาบคายแต่ในฐานะผู้อาวุโส ขุนนาง พวกเขาไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกับเด็กสาวเช่นนาง ด้วยเกรงว่าจะเสียเกียรติ!ทว่าเหล่าขุนนางไร้ความปรานี วิจารณ์ซูเฟิ่งหลิงทั้งทางวาจาและภาษากายและย่อมต้องมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง!ขุนนางผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ทำเช่นนี้ แท้จริงเพราะพยายามประจบประแจงหลี่หลงหลิน!ซูเฟิ่งหลิงเป็นชายาที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ไม่ใช่เรื่องเท็จแต่ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าถึงแม้หน้าตานางจะสะสวย ทว่าอารมณ์ร้ายอย่างยิ่ง เป็นเสือโคร่งจอมดุดัน!มีโอกาสคราวใด เป็นต้องทุบตีองค์ชายเก้าร่ำไป!ไม่รู้ว่าองค์ชายเก้าในตอนนี้ ต้องกดเก็บความโกรธไว้ในใจมากแค่ไหน!ดังนั้น พวกเขาจึงจงใจทำให้ซูเฟิ่งหลิงต้องอับอาย เพื่อให้หลี่หลงหลินพอใจ“องค์ชายเก้า นางหนูจากตระกูลซูคนนี้ ช่างโง่เขลาเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ!”“สงครามเป็นกิจการของบุรุษ นางที่เป็นสตรีผอมบาง เหตุใดถึงมีสิทธิ์มาชี้ไม้ชี้มือได้?”“องค์ชาย ท่านว่าใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หลี่หลงหลินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่ขอรับ!”จางเฉวียนตกตะลึง มองไปที่หลี่หลงหลินด้วยความตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ชัดเจน!”หลี่หลงหลินหัวเราะและพูดเบาๆ “ข้าบอกว่า ไม่ ขอรับ!”ดวงตาของจางเฉวียนเบิกกว้าง จ้องมองไปที่หลี่หลงหลิน “เพราะเหตุใด?”หลี่หลงหลินพูดอย่างองอาจ “ข้าทำงานใต้บังคับบัญชาของเสด็จพ่อ สร้างกองทัพตระกูลซูขึ้นใหม่ ย่อมต้องทำให้ดีที่สุด ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทุกข้ออย่างเคร่งครัด! ถ้าข้าเปิดประตูหลังให้ลูกชายของท่าน นั่นไม่ใช่ว่าฝ่าฝืนกฎ ผิดระเบียบเพื่อหาประโยชน์ส่วนตนหรอกหรือ?“อีกอย่าง ท่านน้าเองก็มีอำนาจในกองทัพ การจะจัดหาตำแหน่งให้ลูกชายไม่ใช่ว่าง่ายดายมากหรอกหรือ? เหตุใดท่านจึงต้องมาขอเอาจากข้าด้วย?”“พูดกันตามตรง นั่นเพราะเขาเป็นพวกไม่เอาอ่าว ไร้ความสามารถ!”คำพูดของหลี่หลงหลินไร้ซึ่งความสุภาพและนอบเคารพเขาในฐานะชายผู้เสเพลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง นอกจากจะรู้ว่าคณิกาคนไหนงาม โรงเตี๊ยมร้านไหนมึนเมาง่าย เขายังรู้อีกอย่างหนึ่งอีกด้วยนั่นคือชายเสเพลจากตระกูลใหญ่ เป็นคนไร้ประโยชน์ที่แท้จริงหรงกั๋วกง จางเฉวียน มีความสามารถไม่น้อย กิจการทางทหารก็บริหารได้อย่างยอดเย
รับสมัครผู้ลี้ภัยทางเหนือ?มีวิธีนี้อยู่จริง!ได้ยินเช่นนี้ ลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงก็ตกตะลึงดินแดนทางตอนเหนือหนาวเหน็บถึงกระดูก ผู้คนแข็งแกร่ง ตั้งแต่สมัยโบราณ คนใจบุญทำร้ายใจเหี้ยมได้มีมากมาย!ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาถูกพวกหม่านอี๋คุกคามมาหลายปี มีความบาดหมางไม่อาจล้างได้สิ้นกับพวกเขา!หากผู้ลี้ภัยจากทางเหนือ สามารถเข้าสู่กองทัพของตระกูลซูได้ ใช้เวลาสักหน่อย ย่อมต้องสามารถฝึกฝนจนหลักแหลมเก่งกาจได้อย่างแน่นอน!ประสิทธิภาพการรบ อาจไม่ด้อยไปกว่ากองทัพตระกูลซูในตอนนั้นก็ได้!ดวงตาคู่งามของลั่วอวี้จู๋กะพริบถี่ มองไปที่ใบหน้าของหลี่หลงหลินแล้วหายใจเข้าลึกๆ “ที่แท้องค์ชายเก้าก็เตรียมการไว้แล้ว...”หลี่หลงหลินต้องการรับสมัครทหาร นอกเหนือจากอุปสรรคอย่างกรมกลาโหมแล้ว ยังมีอีกหนึ่งก้างชิ้นใหญ่ชิ้นสำคัญนั่นก็คือชื่อเสียงที่เสื่อมเสียของหลี่หลงหลิน!โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทัพ หลี่หลงหลินคือการมีอยู่ที่ทุกคนแสนอับอาย!ทหาร รักเกียรติยิ่งชีพบังอาจถาม ผู้ใดจะกล้าติดตามขยะที่ส่งกลิ่นเหม็นอยู่ตลอดอย่างหลี่หลงหลินกัน?ไม่กลัวว่าจะอายคนหรือ?ทว่า ในบางเรื่องกลับตรงข้ามกัน ชื่อเสียงของหลี่ห
“ข้าโกรธเจ้าองค์ชายเก้านั่น แม้แต่หน้าข้าก็ยังไม่ไว้ให้!”“ส่วนเจ้าเด็กเวรนั่น ไร้ประโยชน์เสียจนแม้แต่หลี่หลงหลินก็ยังดูถูก...”จางเฉวียนระบายความโกรธทุกอย่างให้อวี่ชื่อได้ฟังอวี่ชื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยความสับสน “องค์ชายเก้าหลี่หลงลิน ไม่ใช่ว่าร่ำลือเรื่องไร้ประโยชน์หรอกหรือเจ้าคะ? ก่อนหน้าดีด่าใครไม่ได้ก็ไปด่าเขา องค์ชายเก้าไม่อาจเทียบท่านได้ด้วยซ้ำ!”“ทำไมเขาถึงกลับตัวกลับใจ กลายเป็นคนโดดเด่นประสบความสำเร็จขึ้นมาได้กัน?”จางเฉวียนจิบชาแล้วพูดว่า “ผีสิรู้!”อวี่ชื่อถามอีกครั้ง “แม้ว่าหลี่หลงหลินจะโบยบินขึ้นสู่จุดสูงสุดไป แต่เขาก็เป็นเพียงองค์ชายไร้อำนาจ! กล้าดีอย่างไรถึงได้จองหอง ทำให้นายท่านอับอายต่อหน้าคนมากมายได้?”“ใครคอยอยู่เบื้องหลังหลี่หลงหลิน คอยสนับสนุนเขากัน?”จางเฉวียนพึมพำ “ยังจะเป็นใครได้อีก ย่อมต้องเป็นฮ่องเต้อยู่แล้ว! ทั้งฮ่องเต้ยังมอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้เขาแล้วด้วย! แม้แต่ตู้เหวินยวนจิ้งจอกเฒ่าก็ยังถูกหลี่หลงหลินทำให้เสียหน้า เสียหายไปครั้งใหญ่!”อวี่ชื่อส่ายหัวเล็กน้อย ปิ่นปักผมของนางแกว่งไปมา “ข้าคิดว่า คนที่อยู่เบื้องหลังองค์ชายเก้า อาจไม่ใช่ฮ่องเต้
“ใต้เท้าตู้ ท่านมาสาย!”เว่ยซวินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา และยกยิ้มเบาๆตู้เหวินยวนหย่อนร่างนั่งลง มุมปากกระตุกเล็กน้อย แค่นเสียงว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะข้าแสร้งหมดสติ ก็คงยังคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักหยั่งซิน ทนทุกข์เหมือนขุนนางคนอื่นๆ อยู่แน่!”เว่ยซวินตกตะลึงจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้เป็นจักจั่นลอกคราบ[footnoteRef:1] หลุดออกจากเปลือกเพื่อมาตามนัดหมาย [1: หนึ่งในกลยุทธ์ติดพันของสามก๊ก หมายความถึงการหลบหลีกโดยมิให้ผู้ใดล่วงรู้ ซึ่งนับว่าเป็นกลยุทธ์ในการถอยทัพโดยไม่เกิดความกระโตกกระตาก] แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินกะโผลกกะเผลก คงเป็นเพราะคุกเข่าอยู่ทั้งคืน ข้อเข่าเลยอ่อนแอเว่ยซวินถอนหายใจ “คราวนี้ ฮ่องเต้ตั้งใจแน่วแน่ จะจัดการกับกลุ่มขุนนางของพวกท่านแล้ว!”เมื่อตู้เหวินยวนได้ยินก็ขมวดคิ้ว “ขันทีเว่ย ท่านหมายความว่าอย่างไร? ฮ่องเต้ไม่ใช่ว่ายืมมือพระเก้าพันปีของท่านมาจัดการกับกลุ่มขุนนางอยู่แล้วหรือ?”เว่ยซวินส่ายหัวเบาๆ “ผิดแล้ว! จิตใจของฮ่องเต้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความสมดุล! หลายปีที่ผ่านมาขันที ขุนนางและทหาร สามกองกำลังได้ต่อสู้กันทั้งที่ลับและที่แจ้ง เขม่นแดกดันกันอยู่ตลอด!”“ในสายตาคนนอก พวกเราวิ
เว่ยซวินจิบชา “ใต้เท้าตู้ไม่จำเป็นต้องทดสอบพวกเราหรอก! ท่านและข้าต่างก็ข้าราชบริพาร ทุกคนล้วนทำงานเพื่อฮ่องเต้! สำหรับศัตรูของท่านและข้า ย่อมต้องพวกทหารสูงศักดิ์...”ตู้เหวินยวนขมวดคิ้ว ถามด้วยความสับสน “ทหารสูงศักดิ์?”กองกำลังทั้งสาม ขุนที ขุนนางและทหาร ต่อหน้าและลับหลังราชสำนัก ล้วนแต่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แสดงให้เห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ผู้นำของทหารสูงศักดิ์คือตระกูลซูอย่างไม่ต้องสงสัยนับตั้งแต่สมาชิกผู้ภักดีของตระกูลซูตายไป ศพถูกฝังทางตอนเหนือ ตระกูลนี้ก็เริ่มมีสัญญาณของการเสื่อมโทรมสำหรับอำนาจของหรงกั๋วกง ก็เป็นเพียงลิงสวมหมวก[footnoteRef:1] ไม่มีทางกลายเป็นความจริงได้! [1: อุปมาว่า คางคกขึ้นวอ] เว่ยซวินต้องการร่วมมือกับขุนนาง เพื่อจัดการกับทหารสูงศักดิ์จริงๆ หรือ?หรือว่า เขาต้องการคนล้มแล้วเหยียบซ้ำ เอาชนะกลุ่มทหารให้ได้โดยสิ้นเชิง ยุติการเผชิญหน้าสามกองกำลังในราชสำนัก?เว่ยซวินพยักหน้าและพูดอย่างหนักแน่น “ใช่แล้ว ทหารสูงศักดิ์!”ตู้เหวินยวนส่ายหัว “ทหารสูงศักดิ์เสียบารี ไม่คู่ควรที่จะเป็นศัตรูของเรา ยิ่งไม่คู่ควรให้สองเราร่วมมือกัน!”เว่ยซวินเคาะนิ้วลงบนโต๊ะแล้วพู
แม้ว่าตู้เหวินยวนจะพูดไม่รักษาน้ำใจ แต่เขาก็ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ ไม่ได้ลุกขึ้นจากไปเว่ยซวินเป็นคนเช่นไร? จะไม่เข้าใจความหมายได้อย่างไร?จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ไม่เต็มใจร่วมมือเพียงอยากเจรจาเงื่อนไข!เว่ยซวินหายใจเข้าลึกๆ มองไปที่ตู้เหวินยวน “คนฉลาดไม่พูดมากความ! ใต้เท้าตู้ ต้องทำอย่างไร ท่านถึงจะยอมร่วมมือกับข้า จัดการกับองค์ชายเก้าและขุนนางที่อยู่ข้างหลังเขา?”ตู้เหวินยวนยิ้มเจ้าเล่ห์ ดุจสุนัขจิ้งจอก “ง่ายมาก! ข้าต้องการให้เว่ยกงรับปาก สนับสนุนองค์ชายสี่เป็นรัชทายาท!”เว่ยซวินเงียบไปเขาไม่แปลกใจกับคำขอนี้!ในบรรดาองค์ชายทั้งเก้า นอกจากหลี่หลงหลินที่เป็นคนไร้ประโยชน์องค์ชายอีกแปดพระองค์ ล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งอยู่เบื้องหลังและตู้เหวินยวน ก็สนับสนุนองค์ชายสี่ หลี่จื้อ!กลุ่มขันทีที่มีเว่ยซวินเป็นผู้นำ เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย จึงไม่เข้าใกล้องค์ชายพระองค์อื่นๆ มากเกินไป และยังคงวางตัวเป็นกลางการเคลื่อนไหวของตู้เหวินยวน คือการบังคับให้เว่ยซวินสนับสนุนองค์ชายสี่!การรวมกำลังของขันทีและขุนนางเข้าด้วยกัน ความแข็งแกร่งย่อมเกินกว่าจินตนาการได้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็แข็งแกร่
ตู้เหวินยวนส่ายหน้า สุ้มเสียงเยียบเย็น “หัวหน้าผู้ดูแลเว่ย เจ้าอย่าเสแสร้งอีกเลย! องค์ชายเก้าเป็นศัตรูกับขุนนางบุ๋น เป็นศัตรูกับชนชั้นสูง เพียงอย่างเดียวคือมิได้ประกาศเป็นศัตรูกับพรรคขันทีของเจ้า! คนลงแรงอยู่เบื้องหลัง มิใช่เจ้าผู้ดูแลเว่ย ยังเป็นใครอีกเล่า?”“องค์ชายเก้าอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่ ข้าไม่แน่ใจ!”“แต่ข้ากลับรู้ดี บางคนไร้ยางอายเกินไปแล้ว!”“เห็นได้ชัดว่าสนับสนุนองค์ชายเก้าอยู่เบื้องหลัง ไม่เพียงไม่ยอมรับ ยังแสร้งร่วมมือเป็นพันธมิตรกับข้า ยุแยงขุนนางซื่อตรงและชนชั้นสูงให้บาดหมางกัน ตนเองนั่งบนภูเขาดูเสือต่อสู้กัน รอตักตวงผลประโยชน์!”“ข้าพูดถูกหรือไม่?”เว่ยซวินเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหา ทั้งตัวคนลืมตาอ้าปากค้างเขาวางแผนเข้าร่วมกับขุนนางบุ๋นจริง ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับตู้เหวินยวนอีก!ส่วนข้อกล่าวหาของตู้เหวินยวน แม้เป็นเรื่องสมมุติ เว่ยซวินก็ไม่เคยคิดมาก่อน!“หัวหน้าผู้ดูแลเว่ย!”ตู้เหวินยวนเปิดปากเสียงเยียบเย็น “นับตั้งแต่วันนี้ไป ข้าและเจ้าเป็นศัตรูคู่อาฆาต มิอาจอยู่ร่วมกันได้! พวกเราจะได้เห็นดีกันในราชสำนัก!”พูดจบ สะบัดแขนเสื้อจากไป!เว่ยซวินนั่งบนเก้าอี้ สมองเต็มไ
ข้ามศพไปก่อนหรือ? ฮูหยินผู้เฒ่าซูช่างแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ชาวบ้านที่มาชุมนุมประท้วงต่างตกตะลึงราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน ด้านหลังมีบัณฑิตกลุ่มหนึ่งยุยง: “ก็แค่ยายแก่ใกล้ตายนางหนึ่ง! จะไปกลัวนางทำไม?” “ใช่แล้ว ประตูก็เปิดแล้ว บุกเข้าไป จะกลัวอะไร?” “ไป ๆ ๆ ยายแก่ผู้นี้สมคบคิดกับรัชทายาท ไม่ใช่คนดีอะไร!” ผัวะ! ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ บันดาลโทสะ ตบหน้าบัณฑิตผู้นั้นไปหนึ่งฉาด “เจ้าปากพล่อยพูดอะไร? นางคือฮูหยินผู้เฒ่าซู!” บัณฑิตผู้นั้นถูกตบจนมึนงง เอามือกุมแก้มที่บวมแดง ยังคิดจะโต้เถียง แต่ชาวบ้านรอบข้างต่างก็จ้องมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง คำพูดหยาบคายที่ในปากของบัณฑิตจึงถูกกลืนกลับลงไป ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ไม่กล้าเอ่ยอะไร บารมีของฮูหยินผู้เฒ่าซูนั้นสูงส่งยิ่งนัก ในใจของชาวบ้าน นางเปรียบเสมือนเทพเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่บัณฑิตผู้จมอยู่แต่ในตำรา ไม่ออกมาสัมผัสโลกภายนอกจะเข้าใจได้! ในหมู่ชาวบ้าน มีผู้อาวุโสหลายคนเดินออกมาข้างหน้า โค้งคำนับฮูหยินผู้เฒ่าซูด้วยความเคารพ: “ฮูหยินผู้เฒ่า โปรดระงับโทสะ... พวกเราจะถอยกลับไปเดี๋ยวนี้...”เอ่ยจบ พวกเขาก็นำพาชาวบ้านถอยออกจ
ใบหน้าของกงซูหว่านแดงระเรื่อ “รัชทายาทไม่ต้องเกรงใจ!” ในขณะนี้ หน้าจวนสกุลซูก็เริ่มมีบัณฑิตมารวมตัวกัน ก่อความวุ่นวาย กงซูหว่านรีบไปที่ภูเขาทิศประจิมภายใต้การคุ้มกันของซูเฟิ่งหลิง เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที ข่าวการตายของซ่งชิงหลวนแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว บัณฑิตที่ออกมาเดินขบวนประท้วงมีมากขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนต่างก็โกรธแค้น เห็นใจซ่งชิงหลวน รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเขา สถานการณ์เริ่มควบคุมไม่ได้! บัณฑิตและประชาชนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มารวมตัวกันหน้าจวนสกุลซู ร้องตะโกนเสียงดัง “องค์รัชทายาท ออกมา!” “บัณฑิตซ่งตายอย่างไม่เป็นธรรมในคุกหลวง ท่านต้องออกมาชี้แจง!” “บัณฑิตซ่งน่าสงสาร บัณฑิตผู้มีคุณธรรมสูงส่ง กลับต้องมาตายด้วยมือของท่าน!” “ท่านไม่คู่ควรเป็นรัชทายาท!” “บุกเข้าไป ให้รัชทายาทออกมาชี้แจง!” “บัณฑิตซ่งต้องไม่ตายเปล่า ต้องมีคำอธิบาย!” ในฝูงชน มีคนคอยยุยง ปลุกปั่น ความไม่พอใจของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น พวกเขาต่างเดือดดาล ประชาชนขาดสติ ภายใต้การนำของผู้ไม่หวังดี พวกเขาพยายามทุบประตูจวนสกุลซู เพื่อบุกเข้าไป ภายในจวนสกุลซู บ่าวไพร่ต่างพากันหวาดกลัว จนตัวสั่นเทา ลั่วอ
“ทำอย่างไรดี?” ซูเฟิ่งหลิงอยู่ในชุดนักรบเต็มยศ สวมชุดเกราะเงินและเสื้อคลุมสีแดง เปล่งประกายความสง่างามและกล้าหาญ คิ้วของนางขมวดเล็กน้อยด้วยความกังวล “ข้าได้ยินมาว่า พวกบัณฑิตก่อเรื่อง ล้อมคุกหลวงไว้! หรือว่า พิธีบวงสรวงสวรรค์วันนี้ พวกเราจะไม่ไป?” “อย่างไรเสีย ฮ่องเต้หวู่ก็ทรงมีรับสั่งแล้ว...” หลี่หลงหลินส่ายหน้า “ไม่ได้! ข้าเป็นรัชทายาท ไม่เข้าร่วมพิธีบวงสรวงสวรรค์ มันไม่สมเหตุสมผล! ยิ่งไปกว่านั้น...” แม้ว่าฮ่องเต้หวู่จะไม่ได้ตรัสอะไรออกมาอย่างชัดเจน แต่พิธีบวงสรวงสวรรค์นี้ นอกเหนือจากการประกาศต่อสวรรค์ ขอพรให้ปีหน้าพืชผลอุดมสมบูรณ์ ลมฝนต้องตามฤดูกาลแล้ว ยังมีการจัดพิธีแต่งตั้งรัชทายาทอย่างเป็นทางการในพิธีนี้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นพิธีแต่งตั้งรัชทายาทก็คงไม่ผิดนัก หลี่หลงหลินในฐานะตัวเอก หากไม่เข้าร่วม ก็คงไม่สมเหตุสมผล ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้ว “แต่...มันอันตรายเกินไป ด้วยกำลังของข้าคนเดียว เกรงว่า...” หลี่หลงหลินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสั่งการ “เจ้าไปเคลื่อนพลจากภูเขาทิศประจิมมาเดี๋ยวนี้! เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน! นอกจากนี้ ข้าต้องไปพบพี่สะใภ้รองด้วย!” พูดจบ หลี
ไม่ว่าบัณฑิตจะก่อความวุ่นวายอย่างไร ก็ไม่สามารถบุกเข้ามาในวังหลวงได้ แต่การป้องกันของจวนสกุลซูนั้น อ่อนแอกว่าวังหลวงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างทางที่หลี่หลงหลินเดินทางจากจวนสกุลซูไปยังวังหลวง มีเพียงซูเฟิ่งหลิงที่คอยคุ้มกันอย่างใกล้ชิด หากเหล่าบัณฑิตดักรออยู่ระหว่างทาง หลี่หลงหลินอาจตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต! เว่ยซวินรีบกล่าว "บ่าวจะรีบไปแจ้งองค์ชายเดี๋ยวนี้!" ... จวนสกุลซู เดิมทีหลี่หลงหลินอยากจะนอนตื่นสาย ข้างนอกอากาศหนาวเหน็บ หิมะตกหนัก เขาไม่อยากลุกจากผ้าห่มอุ่นๆ เลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก พิธีบวงสรวงสวรรค์เป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับต้าเซี่ย หลี่หลงหลินในฐานะรัชทายาท ต้องเข้าร่วมพิธี “เฮ้อ” "รู้งี้ไม่เป็นรัชทายาทดีกว่า!" “ต้องตื่นเช้าเป็นประจำ น่าเบื่อจริงๆ!” หลี่หลงหลินลุกจากเตียงอย่างไม่เต็มใจ ล้างหน้าล้างตา กำลังรับประทานอาหารเช้า ทันใดนั้น ก็มีองครักษ์เสื้อแพรขี่ม้ามา "องค์รัชทายาท ฮ่องเต้หวู่มีรับสั่ง! บัณฑิตซ่งชิงหลวนผูกคอตายในคุกหลวงใต้ดิน! โปรดระวังตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อหลี่หลงหลินได้ยิน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปทันที หัวใจราวกับถูกคลื่นยักษ์ซัด
วันขึ้นปีใหม่ ตามธรรมเนียมแล้ว ฮ่องเต้ต้องทำพิธีบวงสรวงต่อสวรรค์ เพื่อขอพรให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ ฮ่องเต้หวู่ตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว “ฝ่าบาท...” “เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยซวินเดินก้าวย่างเล็กๆ เข้ามาอย่างเร่งรีบ ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว ไม่พอใจ “วันปีใหม่แท้ๆ เช้าตรู่ก็มีเรื่องอัปมงคลเช่นนี้แล้ว!” เว่ยซวินรีบตบหน้าตัวเองหลายครั้ง “บ่าวปากเสียเอง! แต่ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่จริงๆ!” ฮ่องเต้หวู่เอ่ยเสียงเย็น “เกิดอะไรขึ้น? ว่ามาเถิด” เว่ยซวินลดเสียงลง “เมื่อคืนวาน ในคุกหลวงใต้ดินเกิดคดีมีผู้เสียชีวิต ซ่งชิงหลวนเขา...เขา...เขาผูกคอตาย!” “อะไรนะ?” สีหน้าของฮ่องเต้หวู่เปลี่ยนไปอย่างมาก ขาวซีดราวกับกระดาษ เดิมทีพระองค์คิดว่าเว่ยซวินคงจะตกใจเกินเหตุ แต่ไม่คิดว่า... จะเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ! ซ่งชิงหลวนตายในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้! ฆ่าตัวตาย? หรือถูกฆาตกรรม? ไม่ว่าเขาจะตายอย่างไร เรื่องนี้ก็ยุ่งยากแล้ว! “พวกเจ้าทำอะไรกัน!” ฮ่องเต้หวู่โกรธมาก จึงเอ่ยตำหนิเสียงดัง “คุกหลวงอยู่ในความรับผิดชอบขององครักษ์เสื้อแพร! พวกเจ้าดูแลคนเป็นไม่ได้ จะเอาโทษอย่างไร?” ตุบ! เ
น้ำตาของซ่งชิงหลวนไหลอาบแก้ม เขารีบพุ่งเข้าไปกอดขาของหลี่เทียนฉี่ ร้องไห้ฟูมฟาย “องค์ชายใหญ่ ที่แท้ก็เป็นพระองค์! ข้าขอร้องพระองค์ ช่วยพาข้าออกไปที!” “ที่นี่มันไม่ใช่ที่สำหรับคนอยู่!” “ขอเพียงพระองค์ช่วยข้าออกไป ข้าจะเป็นวัวเป็นม้ารับใช้พระองค์” เดิมที ซ่งชิงหลวนยังคงหยิ่งผยอง คิดจะประท้วงด้วยการอดอาหาร เพื่อบีบให้ฮ่องเต้หวู่ปล่อยตัวตนเองออกไป จนกระทั่งเขาได้เห็นบทความที่ใส่ร้ายเขาในหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ย จึงกระอักเลือดด้วยความโกรธ และตระหนักได้ว่า ตัวเขาเองไม่ได้สำคัญในสายพระเนตรของฮ่องเต้หวู่เลย! แม้แต่มดปลวกยังดิ้นรนเพื่อมีชีวิต แล้วมนุษย์เล่า? หลังจากซ่งชิงหลวนยอมรับความจริง เขาก็ล้มเลิกความคิดโง่ๆ ที่จะอดอาหาร ตอนนี้ เขาแค่อยากมีชีวิตรอด พยายามอย่างหนักเพื่อเอาชีวิตรอด ออกไปจากคุกหลวงใต้ดินที่เส็งเคร็งแห่งนี้ หลี่เทียนฉี่ก้มลงไป กระซิบกับซ่งชิงหลวน “บัณฑิตซ่ง ข้ามาพบเจ้าตามคำสั่งของอาจารย์!” ซ่งชิงหลวนตกใจ ใบหน้าเผยรอยยินดี “อาจารย์ของฮ่องเต้งั้นหรือ? ข้ากับอาจารย์ของฮ่องเต้เป็นสหายสนิท! เขามีปัญญาเฉียบแหลม ต้องมีวิธีช่วยข้าออกไปแน่! พระองค์รีบบอกข้ามาเร็
“รองลงมา...” เสิ่นชิงโจวครุ่นคิด แล้วพูดต่อ “ตอนนี้หลี่หลงหลินเป็นรัชทายาท ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้หวู่ หากเขาเป็นอะไรไป ฮ่องเต้หวู่ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปแน่!” “เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าเรื่องวุ่นวายนี้ คงใหญ่กว่าฟ้าเสียอีก!” ร่างของหลี่เทียนฉี่สั่นสะท้าน ครั้งที่แล้ว หลี่หลงหลินถูกลอบสังหารบาดเจ็บ ฮ่องเต้หวู่ก็ทรงกริ้วมาก พลิกแผ่นดินตามหาคนร้าย! หากหลี่หลงหลินตายไป ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งของฮ่องเต้หวู่ ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เสิ่นชิงโจวพูดต่อ “สาม นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด หลี่หลงหลินเจ้าเด็กนั่นเจ้าเล่ห์เพทุบาย! แม้ว่าฮ่องเต้หวู่จะสืบสวนคดีทุจริตในการสอบขุนนาง ก็ทรงให้องครักษ์เสื้อแพรเป็นคนสืบ” “ต่อให้พวกเราฆ่าหลี่หลงหลินได้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้!” “สรุปแล้ว ห้ามแตะต้องหลี่หลงหลิน!” หลี่เทียนฉี่ขมวดคิ้วแน่น ด้วยความไม่พอใจ “หรือว่า... พวกเราได้แต่มองดูหลี่หลงหลินทำตามอำเภอใจ ไม่มีทางจัดการเขาได้เลยหรือ?” “ไม่!” มุมปากของเสิ่นชิงโจวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้ามีวิธีที่จะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ แถมยังทำให้หลี่หลงหลินตกอยู่ในหาย
ส่วนลั่วอวี้จู๋นางเพียงยิ้มเบาๆ “องค์รัชทายาท โลกในฝันของพระองค์ ผู้คนต้องมีความสุขมากแน่ๆ” หลี่หลงหลินไม่ตอบ เพียงแย้มยิ้ม มีความสุขหรือ? ก็อาจจะใช่ คนในแต่ละยุคสมัยล้วนมีเรื่องทุกข์ใจต่างกัน ความสุขเป็นเรื่องของมุมมอง การได้กินอิ่มย่อมมีความสุขกว่าการอดอยาก... ... ณ คุกหลวง หลี่เทียนฉี่เดินฝ่าพายุหิมะเข้ามา เสิ่นชิงโจวที่หลับสนิท ตื่นขึ้นเพราะเสียงฝีเท้า “ท่านเองหรือ!” “ทำให้ข้าตกใจหมด!” เสิ่นชิงโจวปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาเพิ่งฝันร้ายว่า หลี่หลงหลินนำคนบุกเข้ามาในคุกหลวง และฆ่าเขาตาย หลังจากจิบชา เสิ่นชิงโจวจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาหันไปมองหลี่เทียนฉี่ “ดึกดื่นป่านนี้ พระองค์รีบร้อนมาทำอะไร?” หลี่เทียนฉี่เอ่ยอย่างร้อนรน “อาจารย์ แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” เสิ่นชิงโจวใจหายวาบ “เรื่องใหญ่? เรื่องอะไร?” หลี่เทียนฉี่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผาให้เสิ่นชิงโจวฟังโดยละเอียด หลังจากฟังจบ สีหน้าของเสิ่นชิงโจวก็ดูแย่มาก อะไรกัน? หลี่หลงหลินสามารถทำให้ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานในฤดูหนาวได้?
“เสด็จแม่” หลี่หลงหลินโค้งคำนับให้ฮองเฮาหลิน “ฟ้ามืดแล้ว พระองค์รีบกลับไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ฮองเฮาหลินพยักหน้าเล็กน้อย ทว่ายังคงลังเลที่จะเอ่ยปาก หลี่หลงหลินขึ้นรถม้าพร้อมกับคนในตระกูลซู เพื่อออกจากวังกลับไปยังจวนสกุลซู ภายในรถม้า แม่ทัพผู้เฒ่าซูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “รัชทายาท เหตุใดพระองค์ถึงทำเช่นนี้? กลุ่มข้าราชการเต็มใจที่จะสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงปฏิเสธ?” ฟึบ! ทันใดนั้น สายตาของซูเฟิ่งหลิงและพี่สะใภ้ทั้งสี่ก็จับจ้องไปที่หลี่หลงหลิน ในใจพวกนางรู้สึกสงสัยเช่นเดียวกับแม่ทัพผู้เฒ่าซู นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะรวบรวมกลุ่มข้าราชการไว้ในมือ เหตุใดหลี่หลงหลินถึงปฏิเสธ แถมยังพูดจาดูถูกจนทำให้กลุ่มข้าราชการขุ่นเคือง? หรือว่า... หลี่หลงหลินไม่เข้าใจ ว่าหากกลุ่มข้าราชการสวามิภักดิ์ด้วย เขาก็จะทรงครองตำแหน่งรัชทายาทได้อย่างมั่นคง ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ แผ่นดินต้าเซี่ยจะอยู่ในมือของเขา? หลี่หลงหลินสีหน้าเคร่งขรึม เขาแงนมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “แผ่นดินต้าเซี่ยนี้ ผุพังเกินเยียวยานานแล้ว ข้าจะเอาไปทำอะไร?” บรรดาหญิงสาว