“มีเงินเหล่านี้ พวกเราไม่เพียงมีชีวิตดียิ่งขึ้น ส่งลูกเข้าเรียนในสำนักศึกษา ท่านแม่ข้าร่างกายไม่แข็งแรง เงินที่เหลือก็นำมาซื้อยารักษาให้นาง!”“บัดนี้ นางกินยาแล้ว ร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”“องค์ชายเก้าคือผู้มีบุญคุณดุจบิดามารดา ไฉนเลยจะข่มเหง?”ผู้เฒ่าเองก็เปิดปากพูด “ใช่แล้ว! ชีวิตของข้านี้ ล้วนเป็นองค์ชายเก้ามอบให้! หากมิใช่เขา...ครอบครัวพวกเราทั้งเด็กและผู้ชรา ก็คงตายไปตั้งแต่แรกแล้ว...”พวกนางย้อนคิดถึงความเจ็บปวดในอดีตเหล่านั้น ขอบตาแดงก่ำ สะอื้นออกมาแล้วปีนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับราษฎร์ยากจน!ฮ่องเต้หวู่ปวดแสบจมูก ขอบตาแดงเรื่อต้าเซี่ยยึดหลักความกตัญญูปกครองใต้หล้าฮ่องเต้หวู่มองผ่านตัวผู้เฒ่า คิดถึงมารดาของตนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ฮองไทเฮาสกุลหลู่ ก็คือคนมัธยัสถ์ ทอผ้าอยู่ในวังบ่อยๆตอนนี้เอง เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ภายนอกประตูเว่ยซวินรีบเดินเข้ามาหยุดหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้หวู่ “ฝ่าบาท องค์ชายเก้ามาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ที่หน้าประตูหลี่หลงหลินพาญาติฝ่ายหญิงทั้งหมดของสกุลซู เร่งเดินทางมาถึงแล้วซูเฟิ่งหลิง ลั่วอวี้จู๋ หลิ่วหรูเยียน กงซูหว่าน ชนิดที่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซูก็
เยว่ซานคลานอยู่บนพื้น เสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาท กระ..กระหม่อมถูกปรักปรำพ่ะย่ะค่ะ...”ฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรทางเยว่ซาน แย้มพระโอษฐ์อย่างเยียบเย็น “ปรักปรำ? เราได้รู้ความจริงจากปากหญิงออกเรือนแล้วคู่นี้แล้ว เจ้ายังขวัญกล้าแก้ตัว?”เยว่ซานเห็นท่าไม่ดี พูดอย่างหวาดหวั่น “ฝ่าบาท หญิงออกเรือนแล้วคู่นี้ รวมถึงเฝิงเฉวียจื่อคนนั้น เห็นได้ชัดว่าถูกองค์ชายเก้าซื้อไว้แล้ว...คำพูดของพวกนาง เชื่อไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่มีโทสะมากขึ้นถึงสามจั้ง ตรัสอย่างพิโรธ “น่ากลัวว่าก็ถูกพวกเจ้าปรักปรำกระมัง ถึงตั้งใจหลีกเลี่ยงเช่นนี้! คิดไม่ถึง เขาทำได้ถึงขั้นนี้ เจ้ายังใส่ร้ายป้ายสีสาดน้ำสกปรกใส่เขา!”“ดีๆ! เจ้าพูดว่าเจ้าเก้าซื้อหญิงออกเรือนแล้ว รวมถึงเฝิงเฉวียจื่อคนนั้น!”“เช่นนั้นเราขอถามคนอื่น!”ฮ่องเต้หวู่กวาดสายพระเนตรผ่านราษฎร์ทั้งหมด เปล่งพระสุรเสียงดังกังวาน “ในหมู่พวกเจ้า มีทหารพิการแม่ม่ายเด็กกำพร้าของสกุลซูมากน้อยเพียงใด ทั้งหมดล้วนยืนขึ้นให้เรา!”ทันใดนั้นคนนับหลายร้อยคนก็ลุกขึ้นยืน ดำทะมึนเป็นหนึ่งปื้นใหญ่ “ฝ่าบาท หม่อมฉันเอง...”พระสุรเสียงของฮ่องเต้หวู่ดังกังวานดุจระฆัง ตรัสว่า “เราถามพวก
เหล่าราษฎรโมโหไม่พอใจ ต่างพากันตะโกน “คุณหนูใหญ่ซูพูดมีเหตุผล!”“ทำความดีเป็นกบฏ? ถุย! ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!”“พวกเจ้าขุนนางเหล่านี้วางท่าวางอำนาจ ไม่สนใจความเป็นตายของราษฎร! องค์ชายเก้าทำเรื่องดีมีคุณธรรม ครั้นอยู่ในปากเจ้า กลับกลายเป็นทำผิดเสียอย่างนั้น?”ตู้เหวินหยวนพูดเสียงเรียบ “คนธรรมดาทำเรื่องดี ย่อมคือทำความดี! ทว่า องค์ชายเก้ามิใช่คนธรรมดา แต่เป็นองค์ชาย! กอปรกับบัดนี้เขามีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ! เขาทำเรื่องดี ต้องเป็นเพราะต้องการซื้อใจคน วางแผนก่อกบฏเป็นแน่!”“ใต้เท้าทุกท่าน พวกท่านคิดเห็นเช่นไร?”ขุนนางทั้งหมดต่างพากันลุกขึ้นยืนพูดออกมา “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า ท่านตู้พูดถูกแล้ว!”“ฝ่าบาท หรือพระองค์ลืมไปแล้ว ก่อนองค์ชายหกก่อกบฏ ก็แจกจ่ายเงินอย่างกว้างขวาง ซื้อใจคน บอกต่อความดีผ่านปากของราษฎร!”“ต้าเซี่ยตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นตายล้วนมีค่าเท่ากัน จะปล่อยให้ความวุ่นวายขององค์ชายหก เกิดขึ้นอีกครั้งไม่ได้!”ทันใดนั้นเหล่าขุนนางต่างพากันเห็นด้วย สนับสนุนคำพูดของตู้เหวินหยวน คิดว่าองค์ชายเก้าก่อกบฏ ขอร้องให้ลงโทษสีพระพักตร์ฮ่องเต้หวู่ เย็นชาจนน่ากลัวเว่ยซวินยืนที่ฝั่งห
เดิมทีเป็นคดีผู้ตรวจการเยว่ซานปรักปรำหลี่หลงหลินคิดไม่ถึง กลับทำให้ฝ่าบาทตกพระทัยเสด็จออกจากวัง ยังไม่ต้องพูดว่าสืบคดีด้วยพระองค์เอง ยังเกี่ยวโยงถึงสกุลซูซื้อใจคน วางแผนก่อกบฏอีกด้วยที่ชวนให้คนตกตะลึงที่สุดคือ สกุลซูถึงขั้นยอมรับผิดแล้ว!ภาพตรงหน้าเปลี่ยนแปลงรวดเร็วยิ่งนัก ทำให้คนมีตาไม่พอให้มอง ตกตะลึงอ้าปากค้างหลี่หลงหลินขมวดคิ้วสกุลซูสามารถมาถึงตำแหน่งนี้ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าซูย่อมไม่ขาดความดีความชอบ!แม้อายุมากแล้ว แต่กลับคิดคำนวณเรื่องในราชสำนักได้อย่างยอดเยี่ยมเวลาเพียงชั่วครู่ ฮูหยินผู้เฒ่าซูก็สามารถตัดสินชี้ขาด กันตนเองออกไป ให้สกุลซูรับผิดแทนบัดนี้สกุลซู คล้ายเรือหนึ่งลำกำลังฝ่าพายุบนมหาสมุทรที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว ก็คือหลี่หลงหลิน!หากหลี่หลงหลินล้มลง สกุลซูต้องล่มสลายเป็นแน่!ขอเพียงหลี่หลงหลินไม่ล้ม สกุลซูก็ยังมีหนทางช่วยเหลือ!เพราะเหตุนี้ จึงยอมเสียสละโดยไม่นึกเสียดาย ปกป้องหลี่หลงหลินไว้แล้วสิ่งนี้สำหรับสกุลซู คือผลลัพธ์ดีที่สุด!ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษของสกุลซู ล้วนตายเพราะสงครามทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงครอบครัวอ้างว้างโดดเดี่ยวฝ่าบาทโง่งมเพียงใด ก็ไม่โอหัง
สิ่งที่หลี่หลงหลินพูดมานั้นเป็นความจริงเพราะตระกูลซูก็ตกอยู่ในวิกฤติใหญ่เช่นกัน แทบไม่สามารถเอาเงินออกมาได้มากมายขนาดนั้นพระพักตร์ของฮ่องเต้หวู่ก็พลันอ่อนลง “เจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์! แต่ว่าเจ้าไม่คิดหรือว่าหากเจ้าเป็นฝ่ายยอมรับผิด ข้าจะให้อภัยเจ้าง่ายๆ? เจ้าไม่สมควรใช้ความคิดไม่ดีไปซื้อใจคน!”หลี่หลงหลินตะโกนออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “เสด็จพ่อ นี่ท่านกำลังใส่ร้ายลูกอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ ลูกไปซื้อใจคนที่ไหนกัน! ไม่ว่าจะในหมู่ประชาชน หรือในกองทัพ ชื่อเสียงของลูกก็เน่าเฟะจนไม่น่าฟังแล้ว!”“ลูกยังได้ยินมาว่าผู้ตรวจการเยว่ซานกล่าวโทษลูก บอกว่าลูกคือคนที่ชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้า!”“เสด็จพ่อ ท่านบอกได้หรือไม่ ว่าลูกกำลังซื้อใจคนอยู่หรือเปล่า?” เยว่ซานมีใบหน้าตกตะลึงไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึง คำพูดที่ตนใส่ร้ายหลี่หลงหลินนั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่เขาใช้เป็นโล่กำบังนี่เรื่องอะไรกัน?ฮ่องเต้หวู่ตะลึงทันที เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง “ชื่อเสียงของเจ้ามันเน่าเฟะจริงๆ แต่นั่นล้วนเป็นการใส่ร้ายป้ายสีทั้งนั้น ข้าได้ถ่ายทอดราชโองการลงไปเพื่อช่วยบรรเทาความคับข้องใจของเจ้าแล้วมิใช่หรือ...”หลี่หลงหลินก
ก่อนหน้านี้ หลี่หลงหลินเคยพูดเอาไว้ว่าเขาจะขายคฤหาสน์ของเจ้าหก แล้วเอาเงินนี้ไปทำกิจการ และถือว่าเป็นของตนด้วยสองส่วนฮ่องเต้หวู่แค่เห็นว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น ไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องนี้ เขาทิ้งเรื่องนี้เอาไว้เบื้องหลัง จนลืมมันไปหมดแล้วเมื่อหลี่หลงหลินเตือนเช่นนี้ ในที่สุดฮ่องเต้หวู่ก็นึกขึ้นมาได้ด้วยสีหน้าเข้าใจหลี่หลงหลินกล่าวต่อ “ลูกพยายามซื้อใจคนจริงๆ! แต่ไม่ใช่เพื่อตัวลูก และไม่ใช่เพื่อตระกูลซู หรือไม่ใช่แม้แต่ราชสำนัก แต่เพื่อเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ...”เมื่อฮ่องเต้หวู่ได้ยินอย่างนั้น เขาก็รู้สึกดีใจเกินคาด ก่อนจะชื่นชม “เจ้าเก้า ความกตัญญูของเจ้ามันช่างน่ายกย่องจริงๆ! ข้าตำหนิเจ้าผิดไปแล้ว! ชีวิตนี้ ข้ามีชื่อเสียงนับไม่ถ้วน แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ข้าถูกชาวบ้านเรียกว่าผู้ใจบุญหลี่! รู้สึกว่าไม่เลวเลยนะ… ”ฮ่องเต้หวู่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือชื่อเสียงของตัวเอง!โดยเฉพาะชื่อเสียงของตัวเองในเหล่าราษฎรชื่อเสียงของหลี่หลงหลินนั้นแย่มากจริงๆแต่ของฮ่องเต้หวู่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนักเป็นคนใช้ทรัพยากรอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่ฟังความคิดเห
แล้วก็ยังมีกลุ่มขุนนางที่อยู่เบื้องหลังเขา คอยควบคุมการเมืองในราชสำนัก บีบบังคับเจตนาฮ่องเต้!ช่างร้ายกาจจริงๆ!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “หรือว่า พวกเจ้าอยากบีบบังคับข้า...?”ตู้เหวินหยวนก็เอ่ยว่า “เยว่ซานผิดพลาดในหน้าที่จริงๆ! ในเมื่อฝ่าบาทยืนกรานที่จะลงโทษ มิสู้ออกราชโองการตักเตือนเขา แล้วหักเงินเดือนเขาอีกหนึ่งปี สั่งให้เขาปรับปรุงตัว เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้อื่นล่ะพ่ะย่ะค่ะ!” บรรดาข้าราชบริพารต่างก็เอ่ยเห็นด้วยฮ่องเต้หวู่มองไปที่หลี่หลงหลิน “เจ้าเก้า เจ้าคิดอย่างไร?”หลี่หลงหลินเงียบไป แต่ในใจเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นตักเตือน ก็คือการตำหนิเยว่ซานเป็นผู้ตรวจการ เดิมทีก็ทำหน้าที่พูดตรงไปตรงมา ด่าฮ่องเต้ในทางที่ผิด เพื่อได้รับชื่อเสียงหากฮ่องเต้หวู่มีพระราชโองการตักเตือน สำหรับเยว่ซานแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ใช่การด่า แต่เป็นการชื่นชมด้วยไม่ว่าจะเป็นในหมู่ประชาชนทั่วไปหรือราชสำนัก เยว่ซานจะมีชื่อเสียงโด่งดัง โชคดีหน่อยก็อาจจะมีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์ส่วนโทษปรับเงินเดือนหนึ่งปีนั้นก็ยิ่งน่าขำสิ้นดีผู้ตรวจการเป็นขุนนางขั้นห้า หนึ่งปีมีเงินเดือนเท่าไหร่?เยว่ซานพึ่งพาการทำ
เยว่ซานเป็นบัณฑิตอ่อนแอ ร่างกายผ่ายผอมแม้ว่าฮ่องเต้หวู่จะอายุมาก แต่ในกองทัพเวลานั้น เขากลับผู้นำกองทัพที่กล้าหาญไปต่อสู้กับศัตรูนับหมื่นการบริหารบ้านเมืองของฮ่องเต้หวู่อาจจะดูเลอะเลือนไปจริงๆแต่วรยุทธ์ของเขากลับโดดเด่นมากไม่อย่างนั้นจะมีชื่อฮ่องเต้หวู่ได้อย่างไร?การเตะครั้งนี้ เหมือนกับถล่มภูเขา รุนแรงไร้ที่เปรียบ!ฮ่องเต้หวู่กระตุ้นเจตนาสังหาร ลงมืออย่างไร้ความปรานี ออกแรงอย่างเต็มที่!แกรก...เสียงกระดูกแตกนี้ดังมาจากหน้าอกของเยว่ซาน!ชั่วขณะต่อมา ร่างกายของเขาก็เหมือนกับว่าวที่เชือกขาด ปลิวออกไปหลายจั้ง!ปัง!ศีรษะของเยว่ซานก็กระแทกกับกำแพงอาคารอย่างรุนแรง จนเลือดไหลออกมาร่างกายของเขาเหมือนกับโคลน อ่อนตัวทรุดลงบนพื้น ไม่มีเสียงหายใจแม้แต่นิดเดียวการกระทำของฮ่องเต้หวู่ กะทันหันเกินไปทุกคนต่างก็ไม่ทันได้ตอบสนองหลี่หลงหลินสูดหายใจเข้าลึกๆพ่อที่ไร้ประโยชน์ผู้นี้ของเขา มิน่าล่ะถึงได้ชื่อว่าฮ่องเต้หวู่นี่มันปีศาจชัดๆ!หากเข้าร่วมสงครามฆ่าศัตรู ฮ่องเต้หวู่จะเป็นแม่ทัพที่สามารถกวาดล้างกองทัพนับพันได้อย่างแน่นอนน่าเสียดายที่เขาเป็นฮ่องเต้!สิ่งที่สำคัญที่สุดข
เช้าวันรุ่งขึ้นทะเลคราม ฟ้าสีฟ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ ไกลสุดสายตาเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นออกจากท่าเรือตงไห่อย่างโอ่อ่า ท่วงทีองอาจไม่ธรรมดาการออกทะเลครั้งนี้ หลี่หลงหลินไม่เพียงแต่พาเหล่าพี่สะใภ้มาด้วยหลายคน แต่ยังคัดเลือกทหารยอดฝีมือของตระกูลซูมาเป็นพิเศษอีกสามร้อยนายซูเฟิ่งหลิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ผืนน้ำจรดกับผืนฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ลมทะเลพัดผ่าน ผ้าคลุมสีแดงสดด้านหลังนางปลิวสะบัดพลิ้วไหว!หลี่หลงหลินบิดขี้เกียจ กระทืบเท้าลงบนดาดฟ้าเรือเบาๆเรือของเมืองตงไห่แข็งแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มากตอนนี้หลี่หลงหลินทำได้เพียง มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นไปก่อนแม้จะเทียบไม่ได้กับเรือประมงหมื่นตันในจินตนาการแต่แค่จับปลาหลายพันชั่งขึ้นมาก็ยังถือว่าสบายมากหลี่หลงหลินหยิบคันเบ็ดออกมานั่งลงข้างๆ ซูเฟิ่งหลิง ด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงาม กล่าวเสียงขรึม "รัชทายาท ท่านบอกว่าจะพาพวกเราออกมาจับปลา คงไม่ได้คิดจะใช้แค่คันเบ็ดนี่ตกปลาหรอกนะเพคะ?"เหล่าพี่สะใภ้ก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่ออยู่บ้างอาศัยเพียงคันเบ็ดคันเดียวของหลี่หลงหลิน
ลั่วอวี้จู๋ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางส่ายหน้าไม่หยุดกล่าวว่า “ไม่ได้ น้องหญิง เจ้าอย่าพูดอะไรพล่อยๆ บัญชีมันไม่ได้คำนวณแบบนั้น! ตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนในตงไห่กำลังรอเสบียงอาหารอยู่ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เพียงแค่พึ่งพาการล่าสัตว์ อย่างไรก็ไม่พอ!”ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงค่ากินอยู่ใช้สอยของเหล่าทหารกองทัพตระกูลซูทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาความต้องการเสบียงอาหารของประชาชนตงไห่ทั้งหมดซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วเรียวงาม “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะนำกองทัพตระกูลซูไปปล้นยุ้งฉางของพวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียเลย! แบบนี้พวกเราก็จะมีเสบียงอาหารแล้วไม่ใช่รึ?”ลั่วอวี้จู๋ตกใจ รีบกล่าวว่า “น้องหญิง! เจ้าอย่าทำเรื่องเหลวไหล!”“เจ้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ แล้วชื่อเสียงของกองทัพตระกูลซูจะทำอย่างไร! ชื่อเสียงอันดีงามที่ตระกูลซูผู้จงรักภักดีสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจะถูกทำลายในพริบตาได้อย่างไร?”“อีกอย่าง ท่านย่าก็คงไม่อนุญาตให้เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้แน่!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง...”ตระกูลซูรับราชการทหารมาหลายชั่วอายุคน ทั้งตระกูลจงรักภักดี ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมใดๆ แม้กระทั
ตกเย็น จวนอ๋องตงไห่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟเหล่าพี่สะใภ้รวมตัวกันอยู่ในห้อง ใบหน้างดงามซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล ทุกคนต่างกลัดกลุ้มกับสถานการณ์ปัจจุบันของตงไห่ลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี? ท่านสัญญาว่าจะทำให้ราษฎรตงไห่ทุกคนได้กินเนื้อสัตว์ภายในเจ็ดวัน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เนื้อเลย เกรงว่าแม้แต่การกินให้อิ่มท้องธรรมดาๆ ก็ยังยาก”เมื่อตอนเย็น ลั่วอวี้จู๋ได้ส่งคนไปสืบราคาเสบียงอาหารในตลาดแล้วและก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่ราษฎรตื่นตระหนก ราคาเสบียงอาหารก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่ว่าในตลาดตงไห่ไม่มีข้าวสารขายในทันทีแล้ว หากต้องการซื้อทันทีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ!เหล่าราษฎรต่างพากันส่งเสียงก่นด่าอย่างคับแค้น สถานการณ์เริ่มจะดำเนินไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้แล้วลั่วอวี้จู๋มองไปยังหลี่หลงหลิน ถอนหายใจกล่าวว่า “รัชทายาท ตอนนี้วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วนำเงินไปแลกเป็นเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย”“แต่ข้าคำนวณดูแล้ว ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลซู ก็ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
เหล่าราษฎรจ้องเขม็งไปยังหลี่หลงหลิน ต้องการคำอธิบายจากเขา หากไม่ได้ความในวันนี้ พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมเลิกรา!หลี่หลงหลินเชิดหน้าอกผาย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปากท้องของราษฎรคือเรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อตงไห่เป็นดินแดนในอาณัติของข้า เช่นนั้นพวกท่านก็คือราษฎรของข้า หลี่หลงหลิน”“แม้จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ แต่ข้ารับรองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกท่านต้องอดอยากหิวโหยเป็นอันขาด เรื่องเสบียงอาหารนั้นขอให้ราษฎรวางใจ ภายในเจ็ดวัน ข้าจะทำให้พวกท่านได้กินอิ่มท้องอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงของหลี่หลงหลินทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้อยคำดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเหล่าราษฎรผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา“ขี้โม้!”“พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้หลงเชื่อคำโอ้อวดของเขาเลย! ดูสิ ยุ้งฉางเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า! จะเอาข้าวที่ไหนมาให้พวกเรา!”“หากวันนี้ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเรา แล้วอีกเจ็ดวันพวกเราจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับใคร!”“ใช่แล้ว!”“หากวันนี้ไม่ยอมมอบเสบียงอาหารออกมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวเท้าออกจากยุ้งฉางนี้ไปได้!”ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าโบกแขนตะโกนปลุกระดมเหล่าราษฎร ผู้คนต่างขานรับเป็นเสียงเดี
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านนอกยุ้งฉางต่างชูกำปั้นตะโกนก้อง เสียงดังสะท้อนไปทั่วฟ้า “แจกจ่ายเสบียง! แจกจ่ายเสบียง!”ข่าวราคาเสบียงอาหารในเมืองตงไห่พุ่งสูงขึ้นได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ราษฎรต่างตื่นตระหนกหวาดกลัว จึงนัดหมายกันมารวมตัวที่หน้ายุ้งฉางเพื่อเรียกร้องขอเสบียง ก่อเกิดเป็นพลังมหาศาลหากไม่ใช่เพราะเหล่าทหารที่คอยขัดขวางไว้ เกรงว่าป่านนี้เหล่าราษฎรคงบุกเข้าไปในยุ้งฉางแล้วลั่วอวี้จู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “รัชทายาท เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้ยังไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหารถึงที่สุด แต่ความโกรธแค้นของราษฎรก็รุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว หากมีวันใดที่เสบียงหมดลงจริงๆ...”ใบหน้างามของลั่วอวี้จู๋ซีดขาว ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ นางไม่อาจจินตนาการถึงภาพนั้นได้ราษฎรที่ก่อความวุ่นวายนอกยุ้งฉางมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆเหล่าทหารยามเริ่มชักดาบประจำกายออกมา แต่สำหรับเหล่าราษฎรแล้ว หากไม่มีเสบียงให้กิน ในภายภาคหน้าก็มีแต่ความตายสถานเดียว!ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย แววตาหงส์ฉายประกายดุดัน “รัชทายาท หากปล่อยให้พวกเขาอาละวาดต่อไปเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่เพค
ลั่วอวี้จู๋เดินเข้ามาก่อนสองก้าว กล่าวว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้แม้จะจัดการกับพวกพ่อค้าเศรษฐี แต่ก็ยังต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงอาหารก่อน มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลา ราษฎรอาจตื่นตระหนก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อพวกเราได้”หลี่หลงหลินเพียงแค่แย้มยิ้มบางเบาซูเฟิ่งหลิงกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถือเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของต้าเซี่ย ข้างในย่อมต้องมีเสบียงเก็บไว้แน่นอน ตอนนี้สามารถนำเสบียงในยุ้งฉางออกมาแจกจ่ายช่วยเหลือราษฎร เพื่อให้พวกเขาคลายกังวลได้แล้วเพคะ”ลั่วอวี้จู๋พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเพคะ องค์รัชทายาท ทำให้ราษฎรคลายกังวลลงก่อน แล้วค่อยว่ากันถึงแผนขั้นต่อไป”หลี่หลงหลินส่ายหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว ยุ้งฉางเมืองตงไห่ถูกขนย้ายไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ยุ้งฉางเปล่าๆ เท่านั้น”ทั้งสองคนตกตะลึง“เป็นไปได้อย่างไร? ยุ้งฉางนั้นเป็นเสบียงช่วยชีวิตที่ราชสำนักเก็บไว้ เพื่อรับประกันว่าราษฎรจะไม่อดตายในปีที่เกิดภัยพิบัติ จะมีคนกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ มาคิดการใหญ่กับมันได้อย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลี่หลงหลินหลี่
ตำหนักอ๋องตงไห่หลี่หลงหลินเดินออกจากห้องก็พบกับลั่วอวี้จู๋และซูเฟิ่งหลิงที่รีบร้อนเข้ามาพอดีลั่วอวี้จู๋มีสีหน้าตื่นตระหนก รีบกล่าวว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”หลี่หลงหลินหาว กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ ไม่ต้องรีบร้อน มีอะไรค่อยๆ พูด”ลั่วอวี้จู๋หอบหายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากับน้องหญิงกำลังดูแลร้านค้าของตระกูลซูในตงไห่ที่ถนน ได้ยินเถ้าแก่บอกว่า ตอนนี้ราคาธัญพืชในตงไห่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันเดียวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!”“เรื่องผิดปกติย่อมมีเบื้องหลัง ดังนั้นจึงรีบกลับมารายงานองค์รัชทายาท”ปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดราคาธัญพืชเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร หากราคาธัญพืชผิดปกติ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก!ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้า ตอบว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้เป็นปีแห่งภัยพิบัติอยู่แล้ว เกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี บ้านเรือนของราษฎรแทบไม่มีเสบียงสำรอง ต้องอาศัยการซื้อธัญพืชประทังชีวิตทั้งสิ้น”“แต่ตอนนี้ถ้าหากราคาธัญพืชพุ่งสูงขึ้น แล้วราษฎรในตงไห่เหล่านี้จะทำอย่างไร?”หลี่หลงหลินมองลั่วอวี้จู๋ กล่าวเรียบๆ ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน
“แต่ทุกท่านกลับมองข้ามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป นั่นคือโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาล”แววตาละโมบปรากฏขึ้นในดวงตาของหลู่จงหมิง“นั่นก็คือเสบียงอาหาร”พอหลู่จงหมิงกล่าวคำนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงฮือฮา พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่พ่อค้าร่ำรวยไม่อาจปิดบังความดีใจอย่างบ้าคลั่งในใจ “ท่านพระเชษฐภาดา ท่านหมายความว่าจะลงมือกับราคาธัญพืชหรือ?”หลู่จงหมิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ถูกต้อง”ปัจจุบันต้าเซี่ยประสบภัยแล้งติดต่อกันหลายปี ผลผลิตธัญพืชลดลงทุกปี แม้แต่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างตงไห่ ยุ้งฉางก็ร่อยหรอเต็มทีแล้วยิ่งไปกว่านั้น หลี่หลงหลินนำกองทัพใหญ่มาปักหลักที่ตงไห่ ค่ากินอยู่ใช้สอยล้วนต้องเบิกจ่ายจากท้องพระคลังตงไห่แม้ว่ากบฏจะถูกปราบปรามจนสงบ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเสบียงอาหารให้กับตงไห่มากขึ้นเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น อาจมีสถานการณ์กบฏที่รุนแรงกว่าเกิดขึ้นได้อีกถึงตอนนั้น เสบียงอาหารของตงไห่ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆของยิ่งน้อยยิ่งมีค่า ราคาธัญพืชย่อมต้องถูกปั่นสูงขึ้นปากท้องของประชาชนคือเรื่องสำคัญที่สุดพ่อค้าร่ำรวยย่อมรู้หนทางสู่ความร่ำรวยด้วยการกักตุนธัญพืช ปั่นราคา แต่ไม่มีใครกล
จวนตระกูลหลู่คานแกะสลัก เสากรอบวาดลวดลาย วิจิตรตระการตา ทองเหลืองเรืองรอง หลู่จงหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองเหล่าพ่อค้าที่มาถึง “มากันครบแล้วหรือ?”เงียบสงั ดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพ่อค้าเหล่านี้หูตาสว่าง รู้เรื่องที่พระเชษฐภาดาเจอในจวนอ๋องนานแล้ว ไม่กล้าราดน้ำมันบนกองไฟในจังหวะสำคัญนี้ พ่อค้าที่ปกติหยิ่งยโสโอหังต่างก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวต่อหน้าหลู่จงหมิง ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะล่วงเกินแม้หลู่จงหมิงจะเสียหน้าอย่างหนักในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่คนที่พ่อค้าอย่างพวกเขาจะดูเบาได้พ่อบ้านจวนตระกูลหลู่เดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “นายท่าน ยังมีคนจากตระกูลซุนและตระกูลจ้าวที่ยังไม่มา ท่านจะว่าอย่างไร...”หลู่จงหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดว่า “ไม่มาก็ไม่ต้องมาแล้ว! กล้าดีอย่างไรไม่เห็นคำพูดของข้าผู้เป็นพระเชษฐภาดาอยู่ในสายตา”หลู่จงหมิงมองเหล่าพ่อค้ามั่งคั่งที่อยู่ ณ ที่นั้น กล่าวเสียงเย็นชา “นับแต่นี้ไป ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ห้ามทำการค้าใดๆ กับสองตระกูลนี้ หากข้าพบเข้า... หึหึ!”แววตาอำมหิตวาบผ่านดวงตาของหลู่จงหมิงนี่คือเขาต้องการแสดงอำนาจ สร้างบารมี กู้หน้าตาที่เสียไปกลับคืนมาพ่อค