เป่ยหวนตั้งแต่หยุนเจิงบุกฝ่าวงล้อมสำเร็จ ปานปู้ป่วยจนลุกไม่ขึ้นอีกครั้งครั้งนี้ รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ปานปู้เข้าใจ อาการเขาดีขึ้นก่อนหน้านี้ เป็นเพียงผลข้างเคียงเป็นเพราะเขาอยากเอาชนะหยุนเจิงมาก อยากจับเป็นหยุนเจิงมากจึงกลายเป็นความเชื่อมั่นที่สนับสนุนเขา ทำให้รางกายของเขาดีขึ้นอย่างอัศจรรย์แต่ตอนนี้ ความหวังของเขาหมดสิ้นแล้วด้วยความคิดความเชื่อมั่นหายไปแล้ว ชีวิตของเขาก็เดินมาถึงสุดทางแล้วมองดูอาจารย์ที่เป็นดั่งตะเกียงใกล้ดับไฟ เจียเหยาน้ำตาไหลเป็นสายอาจารย์เมื่อหกปีก่อน ภาคภูมิสูงส่งเพียงใด!เขาในตอนนั้น เป็นวีรบุรุษของทั่วทั้งเป่ยหวน!วันนี้ อาจารย์กลับมีตัวเล็กลีบซีดเซียวในชั่วเวลานั้น สมองของนางปรากฎภาพอาจารย์เมื่อสิบปีก่อนนางในเวลานั้น เพิ่งอายุครบเก้าขวบ“อาจารย์ ข้ากราบท่านเป็นอาจารย์ได้หรือไม่?”“เอ๋? องค์หญิงหลายวันก่อนเพิ่งกราบปู้ตูเป็นอาจารย์ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงคิดจะกราบข้าเป็นอาจารย์อีก?”“ข้ากราบปู้ตูเป็นอาจารย์ เป็นเพราะอยากเรียนวิชาธนูกับเขา ข้ากราบราชครูเป็นอาจารย์ เพราะอยากเรียนการทหารทำศึก! เสด็จพ่อกล่าวว่า ราชครูเป็นคนที่ฉลาดทที่สุดในทุ่งหญ
หากขวัญกำลังใจทหารของพวกเขาฮึกเหิม วิธีที่อาจารย์กล่าวก็อาจทำได้แต่สถานการณ์ตรงหน้า ขวัญกำลังใจทหารของพวกเขาไม่มีหลงเหลือเวลาแค่ไม่กี่วัน ภายในค่ายเกิดการหนีทัพจำนวนนับพันแล้วเวลานี้ ความจริงก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาร้ายแรงแล้วปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือ ตอนนี้ทหารเหล่านี้ถูกต้าเฉียนทำร้ายจนกลัวแล้ว เหมือนกับเชือกธนูที่ถูกขึงไว้แน่นเพียงลมเล็กน้อยพัดหญ้าไหว เชือกธนูก็สามารถขาดได้ทุกเมื่อเวลานี้ ปัญหาไม่ใช่ป้องกันได้หรือไม่!แต่เป็นปัญหาว่าค่ายจะแตกหรือไม่!หากเปลี่ยนเป็นนาง นางมีวิธีมากมายทำให้ค่ายของทัพศัตรูแตก!นางเชื่อ คนเจ้าเล่ห์อย่างหยุนเจิง ต้องมีวิธีแน่นอนผลของการที่ค่ายแตก ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขารับได้เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของเจียเหยา ปานปู้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง“เห้อ...”ใช่แล้ว!ค่ายแตก!กองทัพเป่ยหวนตอนนี้ อาจค่ายแตกได้ทุกเวลาแค่ทัพศัตรูส่งคนสักหลายสิบคนแอบเข้ามากลางดึก การที่ค่ายแตกก็สามารถบอกได้ว่าเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทันทีที่ค่ายพวกเขาแตก คาดว่าชาวต้าเฉียนคงดีใจจนเป็นบ้าไม่ต้องป้องกันแล้ว!จำเป็นต้องถอยจริงด้วย!ไม่สร้างขวัญ
หลังจากเตรียมตัวแล้วห้าวัน ตู๋กูเช่อนำทัพสี่หมื่นคนคุ้มกันขนส่งเสบียงสู่ชายแดนเมืองกู้ด้วยตัวเองในนั้นเป็นทหารม้าสองหมื่นคน ทหารราบสองหมื่นคนก่อนออกเดินทาง หยุนเจิงย้ำหนักหนา ไม่ต้องรีบร้อนยึดชายแดนเว่ยและชิง บ้านเรือนและค่ายที่ชายแดนเมืองกู้ สามารถค่อยๆ ซ่อมบำรุง ต้องซ่อมกำแพงเมืองชายแดนกู้ให้เรียบร้อยก่อน ขณะเดียวกัน ต้องส่งหน่วยลาดตระเวนออกไปมากหน่อย จับตาความเคลื่อนไหวของเป่ยหวนตลอดเวลาหลังตู๋กูเช่อนำทัพออกไป กำลังทหารที่เหลือก็ไปรวมตัวกันที่แนวหน้าสองป้อมเมืองรอให้กำลังทหารรวบตัวกันเรียบร้อยแล้ว หยุนเจิงต้องการเคลื่อนทัพด้วยตัวเองทว่าสถานการณ์ตรงหน้า เรื่องที่สำคัญที่สุดของหยุนเจิงคือช่วยทำให้การจัดสรรของกองทหารมณฑลทางเหนือมั่นคงบวกกับทหารชาวนา กองทหารมณฑลทางเหนือในตอนนี้มีกองทัพจำนวนสองแสนห้าหมื่นคนกองทัพที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ไม่มีการจัดสรรเสบียง ผ่านไปไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเป็นเรื่องยากมากมีเพียงทำให้การจัดสรรมั่นคง พวกเขาจึงสามารถเดินทางไปบุกเป่ยหวน ยึดครองทุ่งหญ้าหม่ามู่และสถานที่สำคัญได้อีกครั้งหลังจากทิ้งเฝิงอวี้ให้ช่วยสนับสนุนฟู่เทียนเหยียนปกป้องเมืองติ้งเป่ย
เช่นนี้เมื่อนับดูแล้ว ไม่ว่าเช่นไรกำลังทหารก็ล้วนมีจำกัดหากต้องรวบรัดตัดทอนอีก กำลังทหารไม่เหลือเพียงพอแน่นอน!หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “ดังนั้นที่ตอนนี้พวกเจ้าคิดว่ากำลังทหารไม่พอ เป็นเพราะยังไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิ สถานที่ที่พวกเราต้องป้องกันมีมากมายเกินไป! ขอแค่น้ำแข็งที่แม่น้ำไป๋สุ่ยละลาย กำลังทหารของพวกเราก็เพียงพอแล้ว ขอแค่พวกเราจับไปเป่ยหวนไปข้างหลังอีกห้าร้อยลี้ ทหารประจำการก็สามารถลดได้ครึ่งนึงแล้ว”กองทัพสองแสนห้าพันคน มีมากเกินความจำเป็น!ที่สำคัญคือ ใกล้จะถึงฤดูเพาะปลูกช่วงใบไม้ผลิแล้วสถานการณ์ตามความคิดคือทหารประจำการของกองทหารมณฑลทางเหนือลดเหลือสองแสนคน ให้คนมากมายไปทำการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ มีเพียงเช่นนี้ ทำให้เสบียงอาหารของพวกเขาเพียงพอโดยเร็วที่สุด“ยังต้องทำให้เป่ยหวนล่าถอยไปห้าร้อยลี้?”เยี่ยจื่อมองเขาอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “เจ้าคิดตีเมืองไปจนถึงราชสำนักเป่ยหวนหรือ?”“แน่นอนสิ!”หยุนเจิงนัยน์ตาเด็ดเดี่ยว “การป้องกันที่ดีที่สุดคือการโจมตี! ตอนนี้เป่ยหวนถูกตีจนพิการแล้ว หากไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ทำให้พวกเขาถอย ยังต้องรอไปถึงเมื่อใด?”แม้ว่าเป่ยหวนจะสามารถรับสมัคร
เมืองจักรพรรดิจวนจิ้งกั๋วกงหยุนลี่ได้รับข่าวที่หยุนเจิงส่งไปแล้วทว่า จดหมายนี้ไม่ได้ส่งถึงมือเขาโดยตรง แต่ส่งไปยังจวนสวีสือฝู่เมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมาย หยุนลี่อดสาปแช่งด้วยถอยคำรุนแรงไม่ได้ ทักทายบรรพบุรุษสิบแปดของหยุนเจิงไปหนึ่งรอบหลังด่าจบ หยุนลี่พลันนึกขึ้นได้ บรรพบุรุษของเจ้าหกก็เป็นบรรพบุรุษของเขาเช่นกันแต่หากเขาไม่ทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเจ้าหกจอมเจ้าเล่ห์นี่สักหน่อย เขาทนกล่ำกลืนไม่ไหวจริงๆ!“ไอสุนัข! ไอสุนัขเจ้าเล่ห์!”“สวะ! เว่ยเหวินจงไปสวะ! เหตุใดสวะนี่ไม่ตายไปซะ?”“เจ้าหก เจ้ารอก่อนเถอะ! ช้าเร็วข้าจะสับร่างเจ้าให้เป็นหมื่นชิ้น!”“……”หยุนลี่โมโห กัดฟันผรุสวาทด้วยความโกรธ หยุนลี่ยังด่าจักรพรรดิเหวินด้วยอยู่ดีไม่ว่าดี เมาเหล้ากระไรกัน?เมาเหล้าก็เมาเหล้าสิ นางสนมในวังมีมากมายเจ้าไม่โปรดปราน เจ้ากลับโปรดปรานนางกำนัลผู้หนึ่ง?โปรดปรานนางกำนับ ก็ไม่เป็นไร!เรื่องหลังจากนั้น อย่างน้อยเจ้าต้องประทานยาให้นางสักชามสิ!หากเขาประทานยาหนึ่งชาม คงไม่ให้กำเนิดคนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าหกออกมา!เขาไม่รู้ เหตุใดบนโลกนี้ถึงได้มีไอสารเลวไร้ยางอายอย่างเจ้าหกด้วย!ยังกล้
หยุนลี่สะลึกเล็กน้อย ถามด้วยสีหน้าหงุดหงิด “เช่นนั้นเจ้าว่าควรทำเช่นไร?”สวีสือฝู่นิ่งเงียบเนิ่นนาน ถอนหายใจกล่าวว่า “ดูสถานการณ์ก่อนเถอะ ดูว่าจะให้ใครคุ้มกันเว่ยเหวินจง ตอนนี้ ฉินลิ่วก่านอยู่ซั่วเป่ย! แต่สิ่งที่ข้าเป็นห่วงที่สุดคือฝ่าบาทสั่งให้ตาแก่ฉินลิ่วก่านคุ้มกันเว่ยเหวินจง...”หากเป็นแม่ทัพคนอื่นรับผิดชอบคุ้มกัน พวกเขาสามารถซื้อตัวได้แต่หากฉินลิ่วก่านรับผิดชอบเรื่องนี้ พวกเขาไม่มีทางซื้อตัวฉินลิ่วก่านได้แน่นอนหากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นก็ลำบากแล้ว!ขณะที่ทั้งสองคนกลัดกลุ้มหน้านิ่วคิ้วขมวด คนในวังก็เข้ามา“องค์รัชทายาท จิ้งกั๋วกง ฝ่าบาทเรียกประชุมขุนนางด่วน!”เมื่อได้ฟังคำของขันที ทั้งสองคนหนังตากระตุก รีบไปเข้าวังรอจนพวกเขามาถึงท้องพระโรง จักรพรรดิเหวินประทับอยู่ตรงนั้นแล้ว ทว่าเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ที่อยู่ห่างจากวังยังมาไม่ถึงจักรพรรดิเหวินรอเหล่าขุนนาง เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่งภายในท้องพระโรง เหล่าขุนนางยืนตามตำแหน่งของตนเองบรรยากาศทั่วท้องพระโรงน่าอึดอัดอย่างยิ่ง ทุกคนเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ต่างไม่รู้เกิดเรื่องใดขึ้นทว่าใช้หัวแม่เท้าคิดก็คิดออก ต้องไม่ใช่เรื่
“พูดมาเถอะ! ตอนนี้ควรทำเช่นไร?”จักพรรดิเหวินเงยหน้ามองทุกคน บนใบหน้าไม่มีแววโกรธกริ้วเลยแม้แต่น้อยเผชิญหน้ากับคำถามของจักรพรรดิเหวิน เหล่าขุนนางไม่รู้ควรตอบเช่นไรที่สำคัญคือท่าทางของจักรพรรดิเหวินตอนนี้ผิดปกติอย่างยิ่ง!หากเป็นก่อนหน้าหนี้ จักรพรรดิเหวินคงบันดาลโทสะไปแล้วแต่วันนี้กลับสงบนิ่งจนประหลาดพวกเขาสงสัย จักรพรรดิเหวินทรงกริ้วจนชินชาไปแล้วใช่หรือไม่!เมื่อเห็นไม่มีคนพูดจา นานๆ ทีที่จักรพรรดิเหวินจะไม่บันดาลโทสะ ทำเพียงทอดพระเนตรหยุนลี่นิ่ง “ในเมื่อทุกคนไม่ยอมพูด เช่นนั้นรัชทายาทเจ้าพูกก่อนเถอะ!”“นี่...”หยุนลี่ขมวดคิ้ว เวลานี้ไม่รู้ควรกล่าวสิ่งใด“ไม่เป็นไร หากเจ้ายังคิดไม่ออก สามารถปรึกษากับขุนนางทุกท่านได้”จักรพรรดิเหวินสงบอย่างประหลาด “ถึงเช่นไร ตอนนี้ข้าก็ไม่มีสิ่งใดให้โกรธแล้ว! มีลูกชายชำนาญการทำสงครามช่วยข้ากอบกู้ดินแทนกลับมา ข้าควรดีใจถึงจะถูก! หากพูดไม่น่าฟัง ต่อให้ตอนนี้ข้าไปยังซั่วเป่ย เจ้าหกก็ไม่กล้าทำอะไรข้า แล้วยังจัดหาอาหารเครื่องดื่มชั้นดีให้ข้า! แต่เจ้า ก็พูดยากแล้ว...”กล่าวจบ จักรพรรดิเหวินจ้องมองหยุนลี่อย่างมีเลศนัยในระหว่างนั้น จักรพรรดิเ
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าวันนี้จักรพรรดิเหวินเป็นเช่นไรรู้เพียงว่าทุกการกระทำของจักรพรรดิเหวินวันนี้ล้วนผิดปกติหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นจักรพรรดิเหวินอารมณ์ดีเช่นนี้จักรพรรดิเหวินไม่สนใจทุกคน หลังจากดื่มสุราหนึ่งคำ ก็ถามมู่ซุ่นอีกครั้ง “ฤดูเพาะปลูกใบไม้ผลิคงเริ่มแล้วกระมัง?”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”มู่ซุ่นตอบ “หลายพื้นที่ในด่านเริ่มเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิแล้ว...”เวลานี้ แม้แต่มู่ซุ่นที่ติดตามจักรพรรดิเหวินมาหลายปีก็สับสนมึนงงเช่นกันเรื่องนี้ ประกาศบนประตูสำนักขุนนางเขียนไว้ชัดเจนไม่ใช่หรือ?เหตุใดฝ่าบาทจึงถามขึ้นมา?“จิ้งกั๋วกง”จักรพรรดิเหวินเงยหน้ามองสวรสือฝู่ “งบประมาณการซ่อมแซมช่องชลประทานของแต่ละมณฑลส่งรายงานขึ้นมาหรือยัง?”สวีสือฝู่กล่าวด้วยความตื่นเต้น “กราบทูลฝ่าบาท รายงานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เงินของกรมคลังพอหรือไม่?”จักรพรรดิเหวินถามอีกครั้ง“ตอนนี้เพียงพอพ่ะย่ะค่ะ”สวีสือฝู่ตอบ “ทว่า หากต้องใช้ทหารซั่วเป่ย เงินของกรมคลังต้องขาดแคลนเป็นจำนวนมาก หากเกิดน้ำท่วมหรือภัยแล้ง เกรงว่าราชสำนักคงไม่อาจนำเงินออกมาช่วยขจัดภัยได้แล้ว...”“เงินขจัดภัยจำเป็นต้องเก็บเอาไว้”จักรพรรดิเห