การมาถึงของเว่ยเหวินจง อยู่ภายใต้การคาดการณ์ของหยุนเจิงเพียงแต่ หยุนเจิงไม่คิดจะมาเจอหน้าเว่ยเหวินจงเลยจึงได้หันกลับไปถามว่าฉินชีหู่มาด้วยหรือไม่เมื่อได้รู้ว่าฉินชีหู่ก็มาด้วย หยุนเจิงจึงสั่งการให้ทหารผู้มารายงานว่า “เรียกฉินชีหู่มาหาข้าที่จวน!”เซียวว่านโฉวขมวดคิ้วเบาๆ “องค์ชายไม่อยู่รอพบเว่ยเหวินจงหน่อยหรือ?”“ไม่!”หยุนเจิงกล่าวด้วยความโมโห “ข้ากลัวว่าเห็นหน้าเว่ยเหวินจงแล้ว ข้าจะชัดดาบแทงเขา!”เมื่อเห็นท่าทีกรุ่นโกรธของหยุนเจิงแล้ว เซียวว่านโฉวพลันส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้เซียวว่านโฉวกล่าว “องค์ชายไม่ต้องกริ้วเพียงนี้ เว่ยเหวินจงเป็นคนจริงจัง ที่เขาตัดสินใจทำเช่นนี้ ก็เพราะไม่มีทางเลือก! ข้าคิดว่า แม้เว่ยเหวินจงจะมีความคิดอยากทำร้ายท่านอ๋องจริงๆ แต่เขาก็ไม่กล้าเพียงนี้หรอก…”“อย่างไรข้าก็คิดว่าเว่ยเหวินจงคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร!” หยุนเจิงกล่าว “รบกวนอวี้กั๋วกงอยู่ต้อนรับเว่ยเหวินจงหน่อยแล้วกัน ข้าไม่ไปที่ค่ายแล้ว”เซียวว่านโฉวหมดหนทาง ทำได้เพียงตอบตกลงแม่ทัพเข้ากันไม่ได้!เป็นเรื่องที่น่าปวดศีรษะมากจริงๆ!ไม่นาน เซียวว่านโฉวก็มาถึงในฐานค่าย“คารวะอวี้กั๋วกง!”ฝูงชนพากันล
เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวว่านโฉวแล้ว เว่ยเหวินจงพลันยิ้มแห้งอย่างต่อเนื่องอวี้กั๋วกงเองก็คิดว่าตนขี้ขลาดขี้กลัวเหมือนกันนั้นหรือ?สงครามครั้งนี้ เขานำกองทหารใหญ่เจ็ดหมื่นนาย แต่กลับขี้กลัวเสียอย่างนั้นส่วนฝ่ายหยุนเจิง รวมกันทั้งหมดมีไม่ถึงสองหมื่นนาย กลับคาดการณ์ศัตรูได้ก่อน และวางกลยุทธ์ได้อย่างแยบยลไม่เพียงแต่สามารถทำให้กองทหารใหญ่เป่ยหวนถอยทัพ แต่ยังซุ่มโจมตีกองทหารเป่ยหวนที่หุบผาชันช่องลมได้อีกครั้งโดยใช้วิธีที่ทุกคนต่างก็คาดไม่ถึง และสร้างตำนานเทพเจ้าอีกครั้ง!เมื่อเทียบกันแล้ว เขาเว่ยเหวินจงไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ!ต่อจากนี้ เกรงว่าตนคงหนีไม่พ้นกับคำด่าว่าเป็นคนขี้กลัวแล้วเพียงแค่สงครามเดียว ผลงานทั้งหมดที่เขาสะสมมาในกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือก็หายสาบสูญในชั่วพริบตา“ขอบใจอวี้กั๋วกงที่ชี้แนะ เหวินจงทราบแล้วขอรับ!”เว่ยเหวินจงโน้มตัวคำนับ“ไม่ถึงกับชี้แนะหรอก”เซียวว่านโฉวส่ายศีรษะ “เจ้าเป็นคนหนักแน่น และไม่ทำให้กองทหารมณฑลฝ่ายเหนือสูญเสียทหารไปมาก ตามหลักแล้ว สงครามครั้งนี้เจ้าก็มีคุณงามความดีอยู่! แต่ในฐานะที่เป็นผู้นำ หากไม่สามารถควบคุมทุกคนได้ เช่นนั้นตำแหน่งนี้ ก็อยู่ได้
ณ จวนของหยุนเจิง ฉินชีหู่พลางดื่มสุรากับหยุนเจิงพลางก่นด่าเว่ยเหวินจงเมื่อด่าจนพอใจแล้ว ฉินชีหู่ก็ส่งเสียงหัวเราะร่าออกมา “น้องชาย เจ้าไม่รู้ เมื่อไปกี่วันก่อนตอนที่เว่ยเหวินจงนำกองทหารใหญ่แล้วหยุดไม่เดินต่อ แม่ทัพแต่ละคนในค่ายแทบจะชี้จมูกด่าเว่ยเหวินจงแล้ว แม้แต่แม่ทัพตู๋กูนั่นก็สู้กับเว่ยเหวินจงด้วย…”เมื่อพูดถึงสถานการณ์ในตอนนั้น ฉินชีหู่พลันอดไม่ได้หัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของฉินชีหู่แล้ว หยุนเจิงก็อดไม่ได้แอบดีใจขึ้นมาเยี่ยม!ผลลัพธ์ที่ใหญ่ที่สุดที่ได้รับจากสงครามครั้งนี้ไม่ใช่หลอกเป่ยหวนได้กี่คน แต่เป็นการบั่นทอนความน่าเชื่อถือของเว่ยเหวินจงในกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือต่างหากเช่นนี้ก็ง่ายต่อการยึดอำนาจของตนแล้ว!ดี!การระมัดระวังตัวของเว่ยเหวินจงได้ช่วยตนไปไม่น้อยเช่นกันหยุนเจิงหัวเราะเหอะๆ แล้วยกสุราขึ้นกล่าวว่า “ขอบใจพี่ใหญ่ฉินที่ช่วยออกหน้าแทนข้ามาก ข้าขอดื่มให้กับท่านจอกหนึ่ง!”“เจ้ากับข้ายังจะเกรงใจกันอีก?”ฉินชีหู่โบกมืออย่างสบายๆ แล้วกล่าวด้วยความหดหู่ว่า “ข้าน่ะอิจฉาเจ้าจริงๆ! ดูซิ ฝั่งเจ้าชนะสงครามไม่หยุดหย่อน แต่ฝั่งข้าแพ้ อยากจะหาเป่ยหวนเพื่อทวงคืนชัยชนะก็
“ปู้ตู?”เสิ่นลั่วเยี่ยนตะลึง “เทพแห่งธนูพื้นหญ้าในตำนานน่ะหรือ?”“ใช่ๆ!” ฉินชีหู่พยักหน้า “น้องสะใภ้รู้จักปู้ตูด้วยหรือ?”“อืม อวี้กั๋วกงเคยพูดถึง”เสิ่นลั่วเยี่ยนพยักหน้า “ว่ากันว่าคนคนนี้สามารถยิงธนูคู่ได้แถมไร้ที่ติด้วย!”“ใช่!”ฉินชีหู่พยักหน้ากล่าว “ได้ยินเฉลยศึกพวกนั้นพูดว่าเจียเหยานั่นยิ่งกว่า ดูเหมือนจะสามารถยิงธนูสามดอกพร้อมกันได้ด้วย! แต่ทว่า ข้าคิดว่าเฉลยศึกพวกนั้นคุยโวโอ้อวดเท่านั้น ธนูสามดอก คิดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้…”“เป็นไปได้แน่นอน!”เสิ่นลั่วเยี่ยนและหยุนเจิงเอ่ยพร้อมกันฉินชีหู่ตะลึงใจ แล้วมองพวกเขาด้วยความสงสัยหยุนเจิงไม่ได้ปิดบัง เล่าเรื่องที่พวกเขาเจอกับเจียเหยาให้เขาฟังทันที“จริงหรือเนี่ย?”ฉินชีหู่ได้ฟังพลันอึ้งไปชั่วขณะ “ยิงธนูสามดอกพร้อมกันแถมไร้ที่ติ? สตรีผู้นี้เก่งกาจเพียงนั้นเชียวหรือ?”ยิงธนูสามดอกพร้อมกันไม่ยาก!ขอเพียงรู้วิธี คนที่มีพลังแขนมากก็ทำได้แต่ที่ยากคือยิงธนูสามดอกพร้อมกันอย่างไร้ที่ติ!สตรีผู้นี้ถูกเทพแห่งธนูสิงร่างหรือไงกัน?“จริงด้วย ตอนนี้ใครเฝ้าโขดเป่ยหยวนอยู่?”ทันใดนั้น หยุนเจิงพลันถามฉินชีหู่“เว่ยซั่ว!”ฉินชีหู่ตอ
หลังจากที่ถูกหยุนเจิงปฏิเสธ เว่ยเหวินจงก็ได้พาผู้คนจากไปบัดนี้ หยุนเจิงได้เลื่อนขั้น กองทหารเก้าพันนายที่รักษาการณ์ที่หุบผาชันช่องลมคราวก่อนก็กลับไปสู่ใต้บังคับบัญชาของหยุนเจิงเหมือนเดิมถึงแม้เว่ยเหวินจงจะไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะนี่เป็นคำเสนอของเซียวว่านโฉวเหตุผลของเซียวว่านโฉวก็หนักแน่นมาก ซั่วฟางมีกำลังพลน้อย กองทหารซั่วฟางที่หยุนเจิงเป็นผู้นำก็ทำให้กองทหารใหญ่เป่ยหวนสูญเสียไปจำนวนมากหลายครั้งหลายหนไม่มีใครรู้ได้ว่าเป่ยหวนจะมาจัดการกับหยุนเจิงไม้ไหนอีกแต่ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป่ยหวนอยากจะสังหารหยุนเจิงด้วยพันดาบหมื่นดาบแน่นอนดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร ในมือหยุนเจิงมีกำลังพลไว้ดีกว่าบัดนี้ เดิมก็มีคนมากมายสงสัยว่าเว่ยเหวินจงอยากยืมมือเป่ยหวนกำจัดหยุนเจิงทิ้ง หากเว่ยเหวินจงปฏิเสธคำเสนอของเซียวว่านโฉวอีก ก็จะยิ่งทำให้ผู้คนสงสัยไม่ใช่หรือ?คนเก้าพันนายนั่น เว่ยเหวินจงเพียงแค่ขอหยวนเลี่ยไปผู้เดียวเท่านั้นแต่ทว่า ภารกิจป้องกันหุบผาชันช่องลมก็ได้ตกเป็นหน้าที่ของหยุนเจิงไปด้วยวันที่เว่ยเหวินจงพาคนออกไป เซียวว่านโฉวก็เอ่ยลาหยุนเจิงด้วยเช่นกันเขาเองก็อยู่ที่ซั
วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้โกลาหลแล้วแทรกแซงไปในแต่ละฝ่ายทหารชั้นยอดเก้าพันนายนี้ เพียงพอที่จะเพิ่มกำลังให้กับกลุ่มที่ตั้งขึ้นโดยทหารทั่วไป และสามารถห้ามไม่ให้ทหารเก้าพันนายนี้รวมตัวกันก่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ด้วยหยุนเจิงพยักหน้า แล้วควบม้าไปพร้อมกับเสิ่นลั่วเยี่ยน…หลังจากที่ออกจากซั่วฟาง เซียวว่านโฉวก็เร่งทุกคนตลอดทางเพราะการโจมตีกะทันหันของเป่ยหวน ทำให้พวกเขาเสียเวลาไปมากแล้วบัดนี้ พวกเขาต้องเร่งกลับไปรายงานตัวต่อจักรพรรดิเหวินสัมภาระที่พวกเขาขนมาไม่มากนัก หลักๆ มีเพียงเสบียงอาหารแห้งจำนวนน้อยและสุราที่หยุนเจิงวอนให้เขานำกลับไปด้วยเดิมทีต้องใช้เวลาสามวันกว่าจะกลับถึงด่านเป่ยลู่ แต่ทว่าพวกเขาใช้เวลาไปทั้งหมดเพียงสองวันเท่านั้นตกดึก เซียวว่านโฉวตัดสินใจว่าจะพากลุ่มคนหยุดพักที่ด่านเป่ยลู่สักคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นค่อยเดินทางออกจากด่านหลังจากออกจากด่าน หิมะบนถนนก็ไม่หนามากแล้ว จึงเดินทางได้เร็วยิ่งขึ้นแน่นอนว่าเซียวว่านโฉวเองก็มีความคิดชองตนเหมือนกันแม่ทัพที่ประจำการอยู่ที่ด่านเป่ยลู่ปัจจุบันนี้คือบุตรชายของเขาเขาผู้เป็นบิดามาถึงแล้ว จะไม่พบหน้าบุตรชายได้อย่างไรอีกอย่าง
เปลือกตาของเซียวติ้งอู่กระตุก แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านสังเกตเห็นอะไรที่ซั่วฟาง?”เซียวติ้งอู่รู้ดีว่าความคิดแปลกๆ ของบิดานี้ต้องเกี่ยวข้องกับการไปซั่วฟางครั้งนี้แน่นอนเซียวว่านโฉวพยักหน้าเล็กน้อย “สังเกตบางอย่างได้จริงๆ…”กล่าวจบ เซียวว่านโฉวก็เล่าให้บุตรชายฟังอย่างละเอียดเขาพบว่า ความน่าเชื่อถือขององค์ชายหกในกองทหารซั่วฟางนั้นสูงมากหากหยุนเจิงไม่อนุญาต เว่ยเหวินจงก็ไม่มีทางขยับทหารได้เลยแม้แต่คนเดียว!เรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ท่านเหลิ่งเพียงผู้เดียวก็สามารถทำได้!หากเพียงแค่พึ่งท่านเหลิ่งผู้เดียวเท่านั้น เช่นนั้นหยุนเจิงก็กลายเป็นหุ่นเชิดของท่านเหลิ่งแล้วแต่ทว่า หยุนเจิงกลับไม่ได้เป็นหุ่นเชิดของท่านเหลิ่งแต่อย่างใดแม่ทัพน้อยใหญ่ในซั่วฟาง ต่างก็เคารพนับถือหยุนเจิงเป็นพิเศษการเคารพนับถือนี้ ก็สามารถตอบคำถามบางอย่างได้แล้วอีกอย่าง ถึงแม้เขาจะอาศัยอยู่ที่ซั่วฟางหลายวัน แต่เรื่องมากมายในซั่วฟาง เขากลับไม่สามารถสืบได้เขารู้สึกว่า เสนาบดีกรมทหารอย่างเขาเป็นเหมือนคนนอกอย่างไรอย่างนั้นแม่ทัพน้อยใหญ่ในซั่วฟาง ถึงจะเป็นกลุ่มเดียวกันถึงแม้เรื่องนี้จะบ่งบอกอะไรไม่ได้ แต่ทว่าอย่
เซียวติ้งอู่ครุ่นคิดอยู่ลับๆ แล้วพยักหน้าเบาๆ…หลังจากส่งเซียวว่านโฉวพวกเขากลับไป หยุนเจิงก็เริ่มยุ่งขึ้นมาบัดนี้ พวกเขามีกองทหารใหญ่สามหมื่นนายในมือแล้วผนวกกับม้าศึกที่ได้รับมาจากหุบผาชันช่องลม ในที่สุดจำนวนม้าศึกของพวกเขาก็เกินหมื่นเสียทีฐานฝึกซ้อมทหารม้าที่เขาลั่วเสียก็สำเร็จแล้วส่วนใหญ่ สามารถใช้งานได้แล้วโจวจีซาน เกาเหอทั้งสองคน ได้รับสั่งให้ฝึกซ้อมทหารม้าที่เขาลั่วเสียส่วนม้าศึกอีกห้าพันกว่าตัวมอบให้เสิ่นลั่วเยี่ยนไปคัดเลือกคนสามพันคนที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูและการสู้บนหลังม้า แล้วก่อตั้งเป็นกลุ่มทหารม้าอย่างแท้จริง!ตู้กุยหยวนคัดเลือกทหารหนึ่งพันนายจากทั้งหมด เพื่อก่อตั้งกองทหารโลหิตอีกครั้งกองทหารโลหิตเป็นทหารม้าแต่ทว่า หยุนเจิงยังไม่มีม้าศึกมากขนาดนั้นอีกอย่าง เขาคิดว่าจะทำให้กองทหารโลหิตกลายเป็นทหารม้าที่บุกพิชิตข้าศึกบัดนี้ยังไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว ทำได้เพียงให้คนเหล่านี้ฝึกซ้อมเป็นทหารราบไปก่อนเฝิงอวี้นำกำลังพลเก้าพันนายไปตั้งหลักอยู่ที่หุบผาชันช่องลม รับผิดชอบป้องกันหุบผาชันช่องลมคนอีกหนึ่งหมื่นแปดพันคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยมีจั่วเริ่นและหลู่ซิ
แต่ที่น่าเสียดายคือ เจียเหยาไม่ใช่สตรีแบบนั้น! ทุกความยินยอมและการประนีประนอมของเจียเหยาต่อเขาล้วนเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับ เยี่ยจื่อย่อมชื่นชมเจียเหยาอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่หากเจียเหยาเป็นสตรีที่หลงใหลในความรักอย่างเดียว เยี่ยจื่ออาจไม่รู้สึกชื่นชมนาง และคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ว่านางกับหยุนเจิงจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ "ไม่แน่หรอก" เยี่ยจื่อยิ้มบาง "เรื่องของความรัก ไม่มีใครในโลกนี้สามารถอธิบายได้ชัดเจน! เช่นเดียวกับข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะไม่สนใจสายตาของผู้คนในแผ่นดิน และรักชายคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เขา..." "เรื่องของพวกเจ้ามันไม่เหมือนกัน" หยุนเจิงบีบเบาๆ ที่ตัวเยี่ยจื่อ "พอแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย! รีบลุกขึ้นเถิด ไม่เช่นนั้นพอคนในจวนมาเรียกเราไปกินข้าวเย็น เจ้าคงอายอีกแน่" "ก็เพราะเจ้านั่นแหละ!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้า เมื่อเห็นเยี่ยจื่อสวมชุดชั้นใน หยุนเจิงก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอีก "ยังมองอยู่อีกหรือ?" เยี่ยจื่อปรายตามองหยุนเจิงด้วยความเข
เนื่องจากเยี่ยจื่อกำลังตั้งครรภ์ หยุนเจิงจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม พายุที่โหมกระหน่ำมีเสน่ห์ในแบบของมัน และสายฝนที่โปรยปรายก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ หลังจากหยุดยั้งความเร่าร้อน เยี่ยจื่อซบอยู่ในอ้อมอกของหยุนเจิงอย่างแมวน้อยเชื่องๆ "คืนนี้ข้าจะนอนที่ห้องของเจ้า" หยุนเจิงกอดร่างอ่อนนุ่มของเยี่ยจื่อไว้ ด้วยท่าทีที่ดูยังไม่พอใจ "อย่าเลย!" เยี่ยจื่อเอื้อมมือมาตบหน้าอกของหยุนเจิงเบาๆ "หากเจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องโดนเจ้ารังแกอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก เราคงร้องไห้ไม่ออก เจ้าไปห้องเมี่ยวอินเถิด!" จากนิสัยของหยุนเจิง ต่อให้ใช้ปลายเท้าคิด นางก็รู้ว่าเขาต้องรังแกนางอีกสักหนึ่งหรือสองรอบหากเขาอยู่ในห้องนี้ แม้ว่าช่วงตั้งครรภ์จะไม่ใช่ว่าจะใกล้ชิดกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไป "ลูกของข้าหยุนเจิง จะอ่อนแอขนาดนั้นได้อย่างไร?" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะวางมือลงบนหน้าท้องของเยี่ยจื่อโดยไม่รู้ตัว "เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิอย่างเขินอาย "เมื่อสองวันก่อน ลั่วเยี่ยนยังแอบมาบอกข้าเลยว่าเจ้าไปรังแกนางอีก จวนนี้มิใช่มีเพียงข้ากับลั่วเยี่ยนสองค
ชุดนี่มันชั้นแล้วชั้นเล่า ถอดออกแต่ละครั้งช่างเสียเวลาเสียจริง หยุนเจิงบ่นในใจพลางจัดการอยู่นาน กว่าจะถอดอาภรณ์ออกหมด แล้วรีบก้าวลงไปในถังอาบน้ำขนาดใหญ่ด้วยความกระตือรือร้น "ดูท่าทางเจ้าสิ!" เยี่ยจื่อจ้องมองหยุนเจิงด้วยความเขินอาย พลางหัวเราะเบาๆ "หากคนอื่นมาเห็นเข้า คงคิดว่าเจ้าคือโจรขโมยดอกไม้จริงๆ!" "ต่อหน้าเจ้า ข้าก็เป็นโจรขโมยดอกไม้ดีๆ นี่เอง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง แล้วดึงเยี่ยจื่อเข้ามาในอ้อมกอด เกรงว่าเยี่ยจื่อจะหนาว หยุนเจิงจึงราดน้ำอุ่นลงบนตัวนาง แน่นอนว่า ระหว่างนี้มือเจ้าเล่ห์ของหยุนเจิงก็ไม่วายลวนลามบนตัวเยี่ยจื่อ เยี่ยจื่อปล่อยให้หยุนเจิงทำตามใจ พลางยื่นนิ้วเรียวขาวลูบไล้รอยแผลเป็นที่เอวของเขา นางจำได้ว่ารอยแผลนี้เกิดขึ้นจากศึกที่หยุนเจิงสังหารฮูเจี๋ยฉานอวี่ นั่นน่าจะเป็นการบาดเจ็บที่หนักที่สุดของหยุนเจิงนับตั้งแต่คุมทัพมา โชคดีที่เป็นเพียงบาดแผล ไม่ได้ถึงแก่ชีวิต ตอนนี้บาดแผลนั้นสมานแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังคงปรากฏอย่างชัดเจน "ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป" เยี่ยจื่อก้มหน้าพลางพึมพำ "หากวันใดเจ้ามิได้เป็นเช่นนี้ คงเพราะเราชราและห
หลังจากส่งสาวรับใช้หน้าประตูไปแล้ว หยุนเจิงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป "อิงเถา ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงใครผลักประตูเข้ามา" เสียงของเยี่ยจื่อดังมาจากหลังฉากกั้น "บ่าวก็เหมือนจะได้ยินเหมือนกัน บ่าวจะไปดูเจ้าค่ะ" อิงเถาตอบรับแล้วรีบวิ่งออกมาจากหลังฉากกั้น นางเพิ่งจะออกมาก็เห็นหยุนเจิงยืนอยู่ในห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่บังอาจบุกรุกเข้ามา อิงเถาถึงได้คลายความกังวลก่อนจะรีบคำนับ แต่ก่อนที่อิงเถาจะทันได้พูดอะไร หยุนเจิงก็ทำท่าทางให้เงียบ และโบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้อิงเถาออกไป ดูเหมือนอิงเถาจะเดาได้ว่าหยุนเจิงตั้งใจจะทำอะไร ใบหน้าของนางพลันขึ้นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว หยุนเจิงปิดกลอนประตูจากด้านใน แล้วค่อยๆ ย่องไปทางหลังฉากกั้น "อิงเถา มีคนผลักประตูหรือไม่?" เยี่ยจื่อเอ่ยถาม ความคิดซุกซนของหยุนเจิงเริ่มเล่นงาน เดิมทีเขาตั้งใจจะจู่โจมเยี่ยจื่ออย่างไม่ให้ทันตั้งตัว แต่คิดได้ว่านางกำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะทำให้นางตกใจจนเกิดเรื่องไม่คาดคิด จึงเอ่ยขึ้นว่า "มีสิ มีโจรขโมยดอกไม้คนหนึ่ง" เมื่อได้ยิน เยี่ยจื่อหน้าถ
หยุนเจิงกลับมาจากโรงงานผลิตอาวุธ เพียงแค่เดินมาถึงหน้าจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกวุ่นวายดังมาจากในจวน พอเข้าไปในจวนตามคาด เขาเห็นเหล่าเด็กซนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในลานหน้า ลูกชายสองคนกับลูกสาวหนึ่งคนของฉินชีหู่ รวมถึงลูกชายของอดีตรัชทายาท มาที่จวน และกำลังเล่นปาหิมะกับเสิ่นเนี่ยนฉือและฉีเหยียน เด็กๆ เหล่านั้นต่างสวมเสื้อผ้าหนาเตอะเหมือนหมี แม้จะล้มลงบนพื้นหิมะก็ไม่รู้สึกเจ็บ “คารวะฝ่าบาท!” เมื่อเห็นหยุนเจิงกลับมา อาจารย์ที่คอยดูแลเด็กๆ รีบเข้ามาคารวะ “พอเถอะ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ในจวนไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น” หยุนเจิงโบกมือพลางถามว่า “พี่สะใภ้ตระกูลฉินมาที่นี่แล้วหรือ?” “เจ้าค่ะ” ซินเซิงยิ้มบางๆ ขณะช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อหยุนเจิง พลางตอบว่า “ช่วงบ่ายฮูหยินฉินก็มากับเด็กๆ ตอนนี้คงเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าพระชายาอยู่” หยุนเจิงว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย เจ้าเฝ้าเด็กๆ ไว้ อย่าให้พวกเขาเล่นจนเหงื่อออกมากนัก” “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซินเซิงพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงมองดูเด็กซนที่กำลังเล่นอย่างบ้าคลั่ง และครุ่นคิดในใจว่าจะให้พวกเขาทำ “การบ้านช่วงปิดเทอม
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เจียเหยาเจรจากับกุ่ยฟางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อเสนอจากกุ่ยฟางจะเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เจียเหยากำหนดไว้ในใจแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ นางต้องการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า จุดที่ยังคงเจรจากันไม่ลงตัวอยู่ที่ค่าชดเชยจากสงครามและจำนวนบรรณาการ กุ่ยฟางแสดงเจตนาอย่างชัดเจน หากต้องการค่าชดเชยเพิ่ม จำนวนบรรณาการจะต้องลดลง แต่ในเรื่องจำนวนบรรณาการ เจียเหยาไม่ยอมอ่อนข้อเลย ในที่สุด กุ่ยฟางจำต้องยอมรับข้อกำหนดของเจียเหยาในการถวายบรรณาการตามจำนวนที่นางระบุ ส่วนค่าชดเชยที่กุ่ยฟางสามารถมอบให้ได้ เมื่อคำนวณแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละสี่สิบห้าของข้อเรียกร้องเริ่มต้นของเจียเหยา ผลลัพธ์นี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ แต่ก็ดีกว่าที่เจียเหยาประเมินไว้ไม่น้อย เมื่อการเจรจาสิ้นสุด เจียเหยาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ประชาชนแห่งเป่ยหวนจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก “องค์หญิง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องบรรณาการ?” เกออาซูถามด้วยความไม่เข้าใจ “หากเรายอมลดเงื่อนไขเรื่องบรรณาการ เราก็จะได้สิ่งอื่นเพ
ทว่า สำหรับเจียเหยาในตอนนี้ นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อผู้ที่เข้าร่วมเจรจาจากกุ่ยฟางมีหลายคน ความเห็นของพวกเขาอาจไม่ตรงกัน การดึงกลยุทธ์นี้อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น เจียเหยารู้สึกกังวลในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ท่านทูตเชิญนั่งก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเสียก่อน!” กล่าวจบ เจียเหยาก็ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายต่อ แต่ความคิดของเจียเหยาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่จดหมายอีกแล้ว นางดูเหมือนกำลังเขียนจดหมาย แต่แท้จริงแล้วกำลังกดดันอาเคอถูและคณะ นางรู้ว่าชื่อเหยียนต้องมอบอำนาจในการเจรจาบางส่วนให้แก่อาเคอถูและคณะ สิ่งที่นางต้องทำคือการกดดันคณะทูตกุ่ยฟางเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น การกระทำของเจียเหยาส่งผลอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าเจียเหยาดูเหมือนไม่ได้รีบร้อนเจรจาเลย สมาชิกในคณะทูตกุ่ยฟางก็เริ่มมองตากันไปมา สุดท้าย สายตาของทุกคนต่างหันไปที่มู่ลี่จวี เห็นได้ชัดว่ามู่ลี่จวีเป็นผู้คุมการเจรจาครั้งนี้ มู่ลี่จวีรู้สึกโกรธกับความเย็นชาของเจียเหยา แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง ชื่อเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจในบางเรื่องได้จริง แต่ใ
เจียเหยาตัดสินใจหยุดการเคลื่อนทัพต่อ กองทหารของพวกนางถูกส่งออกไปกวาดต้อนทรัพยากร ดินแดนที่พวกนางเข้ายึดครองในตอนนี้เกินกว่าห้าร้อยลี้ไปนานแล้ว แต่เจียเหยาตั้งใจเพียงให้ทัวฮวนและกองทหารยึดครองดินแดนของกุ่ยฟางเพียงสามร้อยลี้ตามเงื่อนไขขั้นต่ำของหยุนเจิงเท่านั้น การยึดครองดินแดนมากกว่านี้ ไม่เพียงเพื่อกวาดต้อนทรัพยากรและกดดันชื่อเหยียน แต่ยังเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในเจรจา ท้ายที่สุด หากนางยอมคืนดินแดนบางส่วนให้ชื่อเหยียน ชื่อเหยียนก็จะไม่สามารถเรียกร้องเงื่อนไขอื่นได้อย่างเข้มงวดนัก ดังที่เจียเหยากล่าวไว้ นางกับหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน และในตอนนี้ ชื่อเหยียนก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ของนางเมื่อก่อนที่ถูกหยุนเจิงกดดันจนถึงทางตัน เพราะเหตุนี้ เจียเหยาจึงเข้าใจจิตใจของชื่อเหยียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจียเหยาเคยคิดอยากเป็นผู้พิฆาตมังกร แต่สุดท้ายนางกลับกลายเป็นมังกรร้ายเสียเอง สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจียเหยาจะได้รับคำตอบจากชื่อเหยียน นางกลับได้รับข่าวจากหยุนเจิงผ่านเหยี่ยวขาว “รีบกลับมา ก่อนสิ้นปีมาพบข้าที่ติ้งเป่ย” ข้อความจากหยุนเจิงสั้นมาก เมื่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง