กลางดึกพอมาถึงที่พักที่ทางต้าเฉียนจัดแจงให้ ปานปู้ยังคงไม่สามารถกลืนโทสะลงท้องได้วันนี้หากไม่มีองค์ชายหกนั่นมาก่อความวุ่นวาย พวกต้าเฉียนต้องหน้าแตกหมอไม่รับเย็บอย่างแน่นอน ส่วนตนก็จะบรรลุเป้าหมายในการแสดงอานุภาพต่อชาวต้าเฉียนได้องค์ชายหกสมควรตายยิ่ง!กล้าทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ ทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำแทนช่างน่าชังยิ่งนัก!ได้ยินมาว่าองค์ชายหกของต้าเฉียนนี้เป็นเศษสวะไร้ประโยชน์ เหตุใดจึงมีปัญญาทำเรื่องเช่นนี้?บันทึกโบราณของราชวงศ์ต้าเฉียนมี...รูบิคนั่นจริงหรือแต่นั่นเป็นสิ่งที่ตนคิดค้นได้โดยบังเอิญจริงๆ!หรือว่า คนในราชวงศ์ต้าเฉียนคิดล้ำหน้าตนไปแต่แรกแล้วจริงๆ“ฉึบ!”ขณะที่ปานปู้กำลังกลัดกลุ้มใจ ด้านนอกมีเสียงผิดปกติดังขึ้นมีมือสังหาร?สีหน้าปานปู้แปรเปลี่ยน เปิดประตูออกไปทันทีเขาเพิ่งเปิดประตู องครักษ์ที่เฝ้าประตูก็มาถึงปากประตูแล้ว“ท่านราชครู เมื่อครู่มีคนยิงลูกธนูมา ด้านบนยังมีจดหมายฉบับหนึ่งด้วยขอรับ!”ขณะที่องครักษ์พูด ก็รีบยื่นลูกธนูและจดหมายฉบับนั้นให้ทันที“แล้วคนล่ะ”ปานปู้ถาม“มองไม่เห็นขอรับ”องครักษ์ส่ายหน้าช้าๆ“ข้ารู้แ
เสียเวลานอนของข้า!โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่ใช่ฤดูหนาวหากเป็นฤดูหนาว เขาไม่อยากจะลุกออกจากเตียงเลยจริงๆตอนที่มาถึงด้านนอกตำหนักใหญ่ที่จัดการประชุมเช้า มีขุนนางใหญ่มากมายรวมตัวกันอยู่เพื่อรอเข้าร่วมประชุมเช้า“องค์ชายหก วันนี้หากได้รับพระราชทานรางวัลแล้ว ต้องเชิญข้าดื่มสุราสักหลายจอกหน่อยแล้ว!”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! เมื่อวานข้ายังดื่มกับองค์ชายหกไม่ถึงใจเลย”“องค์ชายหกมีคุณงามความดีในการเรียกคืนดินแดน ต้องได้รับรางวัลไม่น้อยเป็นแน่!”“คุณงามความดีขององค์ชายหก เพียงพอแล้วต่อการบันทึกนามลงในตำราประวัติศาสตร์…”ครั้งนี้ มีขุนนางใหญ่มากมายในราชสำนักที่เป็นคนเข้ามาทักทายเขาอวี้กั๋วกงเซียวว่านโฉวถึงขั้นตบไปที่บ่าของหยุนเจิงอย่างโอ่อ่าผ่าเผย “องค์ชายหก จากนี้ไปหากมีใครกล้ามาบอกว่าเจ้าไร้ประโยชน์อีก ข้าจะฉีกปากคนผู้นั้นเสีย!”เรียกคืนดินแดน เป็นความหวังใจของแม่ทัพเฒ่าอย่างพวกเขาอยู่แล้วพอถึงวัยเช่นพวกเขาแล้ว เดิมคิดว่าคงไม่มีโอกาสเห็นวันที่เรียกคืนดินแดนที่สูญเสียไปนั้นกลับมาได้ คิดไม่ถึงว่า แผ่นดินผืนนั้น กลับถูกหยุนเจิงใช้วิธีเช่นนี้เรียกกลับคืนมาได้“ขอบคุณอวี้กั๋วกงมาก ขอบคุณทุกท่านม
ผู้คนเงียบเสียงลง ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะว่ากล่าวเช่นไรอีก“ฝ่าบาท องค์ชายหกมีคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่จริง!”สวีสือฝู่ยืนขึ้นมา “ทว่า กระหม่อมคิดว่า ตอนนี้เป่ยหวนเพียงพูดคืนดินแดนที่สูญเสียไปอย่างปากเปล่า เรื่องนี้นับว่ายังไม่ได้รับข้อสรุปชั่วคราว! ต่อให้ฝ่าบาทใคร่จะแต่งตั้งองค์ชายหกเป็นอ๋อง ก็ต้องรอให้ได้รับข้อสรุปในตอนท้ายแล้วค่อยว่ากันใหม่พ่ะย่ะค่ะ!”“คำพูดนี้ของจิ้วกั๋วกงมีเหตุผล!”“สมควรเป็นเช่นนี้!”“กล่าวอย่างยอมถอยให้หมื่นก้าว อย่างน้อยก็ต้องรอให้ลงนามหนังสือข้อตกลงการคืนดินแดนก่อนค่อยว่ากัน”“ใช่แล้วๆ ตอนนี้หากจะฝ่ากฎแต่งตั้ง องค์ชายหกเป็นอ๋อง ยังเร็วเกินไปมากนัก…”ผู้คนเห็นด้วยตามๆ กัน“เป็นเพราะเสด็จพ่อยังไม่สร่างเมาหรือไม่…”และในเวลานี้ มีเสียงบ่นงึมงำดังขึ้นมาทันใดนั้น ผู้คนทะยอยกวาดสายตาไปยังแถวท้ายสุดพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวินก็กระตุก จ้องไปที่หยุนเจิงที่อยู่ตรงมุม อย่างน่าโกรธและน่าขัน “เจ้าหก เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”“หา?”หยุนเจิงเงยหน้าขึ้นมาทันที แสร้งทำเป็นจ้องไปยังจักรพรรดิเหวินกับผู้คนอย่างลุกลี้ลุกลน จากนั้นก็แสร้างทำท่าหงอยๆ พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “ลูก ไ
พอได้ยินคำพูดของจักรพรรดิเหวิน เหล่าขุนนางก็เก็บเสียงเงียบกริบมารดาสิ เรื่องนี้ใครจะรู้!ที่เป่ยหวนคิด แน่นอนว่ายิ่งมากยิ่งดีสิ!ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่เป่ยหวนอยากได้เท่าไหร่ ปัญหาคือต้าเฉียนให้ได้แค่ไหน สรุปแล้วจุดขีดสุดของต้าเฉียนอยู่ตรงไหนต่างหาก!นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา!ในขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าจะเปิดปากพูดเช่นไร เซียวว่านโฉวเดินออกมาพูดว่า “มอบเสบียงให้พวกเขาสักหน่อย แค่คนของพวกเขาไม่หิวตายก็พอแล้ว! หากอยากได้มากกว่านั้น ก็นำทหารรบมาแลก!”เซียวว่านโฉวเป็นฝ่ายสนับสนุนการรบ เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการช่วยเหลือเป่ยหวนด้านเสบียงกรังแต่ในเมื่อจักรพรรดิเหวินได้ตัดสินใจไม่เปิดศึกแล้ว เขาเองก็ไม่สามารถว่าอะไรได้ในใจเขาก็เข้าใจดี หากเวลานี้เปิดศึกกับเป่ยหวนนั้นไม่เป็นประโยชน์กับต้าเฉียนเลยสักนิด“เกรงว่าเป่ยหวนจะไม่เรียกร้องมากกว่านี้น่ะสิ!”จักรพรรดิเหวินถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง กลัดกลุ้มพระทัยเป็นอย่างมากเช่นกัน“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า หากเป่ยหวนยินยอมลงนามบนสัญญาคืนดินแดนที่เราเสียไป ให้เสบียงพวกเขามากน้อยก็ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ!”เวลานี้ องค์ชายสี่หยุนถิงก็ออกมาเสนอความเห็นคำพูดของอ
หลังจากกลับถึงบ้านแล้วหยุนเจิงก็นอนชดเชยก่อนเลยแน่นอนว่า การนอนชดเชยนั้นเขาเพียงทำให้ผู้อื่นดู ที่จริงเขากำลังเอนกายครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อยู่บนเตียงผ่านไปเพียงครู่ ซินเซิงสาวใช้ที่เขาเพิ่งรับมาก็มาปลุกเขา บอกว่าคนจากทางวันนำของรางวัลมาให้แล้วหยุนเจิงมองสาวรับใช้คนนี้อดไม่ได้คิดว่า ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งจริงๆก่อนหน้านี้สาวรับใช้คนนี้ตัวสกปรกมอมแมม ดูไปแล้วก็แค่นั้นแต่ตอนนี้พออาบน้ำให้สะอาดแล้วเปลี่ยนใส่อาภรณ์ใหม่ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้สดใสเป็นอย่างมากทว่า เด็กสาวคนนี้เพิ่งจะอายุได้สิบหกปี ยังไม่ถึงวัยแรกแย้มอย่าเต็มตัวแม้ว่าหยุนเจิงรู้สึกตัวเองก็สมควรจะได้ใช้ชีวิตเสเพลดั่งองค์ชาย แต่การเป็นคนรุ่นใหม่ที่ดีนั้น เขาไม่ควรคิดไม่ดีไม่ร้ายกับเด็กสาวคนนี้อืม เลี้ยงไว้อีกหน่อยแล้วกัน!ทันใดนั้นในสมองของหยุนเจิงก็เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นความคิดเช่นนี้ทำให้หยุนเจิงสะดุ้งโหยงเวรเอ้ย!ที่แท้เราก็เป็นชั่วร้ายเหมือนกัน!เอ๋ ไม่ใช่สิ!น่าจะเป็นสัญชาตญาณของลูกพี่ผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่!ต้องใช่แน่ๆ!หยุนเจิงหาเหตุผลที่เหมาะสมแก่ตัวเอง จากนั้นจึงนำซินเ
“ค่อยยังชั่ว”เยี่ยจื่อพยักหน้าเล็กน้อย “งานแต่งนี้แม้จะมีคนจากทางวังคอยจัดแจง แต่อย่างไรเสียองค์ชายหกเป็นถึงองค์ชาย มีรับก็ต้องมีแลก มีที่ให้ใช้เงินอยู่ไม่น้อยจริงๆ”หยุนเจิงพยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็พูดต่อว่า “พี่สะใภ้ ที่จวนข้ายังมีของขวัญอีกบางส่วน เดี๋ยวเจ้าช่วยข้าเอาไปขายแลกเงินเสียเถอะ!”เยี่ยจื่อตะลึงเล็กน้อยแล้วก็ถามขึ้นอย่างฉงนใจว่า “องค์ชายไม่กลัวข้าแอบเก็บไว้เองหรือ”“ข้าเชื่อว่าพี่สะใภ้ไม่ใช่คนเช่นนั้น”หยุนเจิงหัวเราะเหอะๆ “อีกอย่าง ข้ากับลั่วเยี่ยนก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว ของของข้าก็เป็นของของนั้นมิใช่หรือ พี่สะใภ้กับลั่วเยี่ยนดีต่อกันเช่นนี้ ไม่มีทางละโมบเงินของนางหรอกใช่ไหม”เสิ่นลั่วเยี่ยนเบะปาก แค่นเสียงเบากล่าวว่า “ข้าว่านะ เจ้าคงกลัวว่าเจ้าไปขายเองจะเสียหน้า ก็เลยให้พี่สะใภ้ของข้าไปช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้สิท่า!”“แค่กๆ…”หยุนเจิงไอแห้งสองที แล้วก็แสร้งทำเหมือนคนโดนเปิดโปงความคิดเยี่ยจื่อเขม่นเสิ่นลั่วเยี่ยนไปทีหนึ่ง ส่งสัญญาณไม่ให้นางพูดจาเลอะเลือน ขณะเดียวกันก็ยิ้มพยักหน้า “ท่านแม่ให้ข้ามาก็เพื่อมาช่วยอยู๋แล้ว ในเมื่อองค์ชายมั่นใจในตัวข้าเช่นนี้ เรื่องนี้ก็
พอได้ยินเสียงของเกาเหอ คนที่กำลังดึงกล่องลมไม่แม้แต่จะหันกลับมามองสักนิด แล้วกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าว่า “เจ้าจำผิดคนแล้ว”“ไม่มีทาง!”เกาเหอรีบขึ้นไปตรงหน้า พูดขึ้นอย่างมั่นใจว่า “ปีนั้นตอนอยู่ที่ซั่วเป่ย ท่านยังเคยแสดงฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ได้รับคำชมจากฝ่าบาทด้วย!”“เจ้าจำผิดคนแล้ว”ตู้กุยหยวนพูดขึ้นอีกครั้ง แล้วดึงกล่องลมของตนต่อไปเกาเหอยังอยากจะพูดต่อ แต่หยุนเจิงหยุดเขาไว้ “เจ้ารู้จักคนผู้นี้”“อื้อ!”เกาเหอพยักหน้า “เดิมเขาเป็นผู้บัญชาการกองทหารโลหิต!”ทหารโลหิต?หยุนเจิงถามขึ้นอย่างสงสัย “ทหารโลหิตคืออะไรรึ?”“แม้แต่ทหารโลหิตเจ้าก็ไม่รู้จักหรือ”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปยังหยุนเจิงอย่างดูถูก อดไม่ได้กระแหนะกระแหนเขาขึ้นในใจเขาไม่ได้พูดปาวๆ ว่าจะไปซั่วเป่ยหรอกหรือแม้แต่ทหารโลหิตเขาก็ไม่รู้จัก?เยี่ยจื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “ทหารโลหิตเป็นหน่วยที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกองทัพในมณฑลทางเหนือ ว่ากันว่ามีคนน้อยกว่าห้าร้อยคนในกองทัพทหารโลหิต และเงื่อนไขในการเข้าร่วมกองทัพนี้นั้นโหดมาก”“ทุกครั้งที่พวกเขาออกรบจะมีโลหิตท่วมกาย จึงถูกเรียกว่าทหารโลหิตมาแต่ไหนแต่ไรแล
ก่อนที่หยุนเจิงจะทะลุมิติมา เขาก็เป็นทหารมาก่อนเขาเชื่อว่าตนเองจะเข้าใจตู้กุยหยวนได้แม่ทัพที่กล้าหาญปานนั้นจะไม่มีใจนักรบได้อย่างไรเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหยุนเจิง เสิ่นลั่วเยี่ยนแทบจะลุกไปทุบสมองอันโง่เง่าเต่าตุ่นของเขาเสียเจ้าคนโง่เง่าเต่าตุ่น!ไม่ว่าจะเป็นตายอย่างไรเขาก็ยังจะดันทุรังหาความตายที่ซั่วเป่ยให้ได้ใช่หรือไม่?เขายืนกรานจะให้ตนเองเป็นหม้ายไปตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นหรือตู้กุยหยวนเองก็ตกใจกับคำพูดของหยุนเจิงเช่นกัน ครู่หนึ่งเขาจึงส่ายหน้ายิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “เรียนองค์ชายตามตรง ศึกการสู้รบเมื่อห้าปีก่อน ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้น้อยแขนหักเท่านั้น แต่ยังทำลายความกล้าหาญของผู้น้อยไปด้วย! ผู้น้อยไร้ความกล้าหาญที่จะสู้รบแล้ว…”“เช่นนั้นก็เพิ่มความกล้าหาญ!”หยุนเจิงส่ายหน้า ชี้ไปที่เยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ พลางกล่าวว่า “สามีของพี่สะใภ้ท่านนี้ก็ตายในสนามรบซั่วเป่ยเหมือนกัน เมื่อคืนข้าถามนางว่าเสียใจหรือไม่ที่ไม่ได้เห็นหน้าสามีเป็นครั้งสุดท้าย ข้าให้เจ้าทายว่านางตอบข้าว่าอย่างไร”ตอบเช่นไร?เสิ่นลั่วเยี่ยนรู้สึกประหลาดใจเมื่อคืนหยุนเจิงพูดคุยเรื่องนี้กับพี่สะใภ้ด้วยหรือ?ต
เมื่อเจอคำขู่ของหยุนเจิง หยุนลี่ถึงกับตัวสั่นไปทั้งร่างด้วยความโกรธ ลังเลอยู่นาน ในที่สุดหยุนลี่ก็กัดฟันยอมรับ "ตกลง สี่ล้านตำลึง! เหมือนกับเรื่องเสบียง ให้ชำระภายในสิ้นปี!" เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา หยุนลี่แทบกระอักเลือด เขาเคยคิดไว้ว่าจะพึ่งจางซูผู้เป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติเพื่อหาเงินได้อย่างมหาศาล ตอนนี้ เงินหาได้มาก็จริง แต่ยังไม่ทันได้ใช้ให้คุ้ม เจ้าสุนัขตัวนี้ก็มาจ้องตาเป็นมันแล้ว แถมยังต้องควักทุนสำรองออกมา และไปยืมเงินจากคนอื่นอีก! "ทีนี้มาพูดเรื่องช่างฝีมือกันเถอะ!" หยุนเจิงยิ้มอย่างพึงพอใจ "อย่ามาพูดเรื่องไปหาเอาจากกรมโยธาเลย แค่ช่างต่อเรือสองพันคนเอง ไม่ใช่ว่าสร้างเรือรบสองพันลำ! ข้าอาจไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ยากสำหรับเจ้า" ไม่ยาก? ในใจหยุนลี่ด่าไม่หยุด นี่มันช่างต่อเรือที่มีการลงทะเบียนเอาไว้! ล้วนมีทะเบียนช่างฝีมืออยู่! ไม่ใช่พวกผู้อพยพสองพันคน! "หนึ่งพัน!" หยุนลี่พยายามระงับโทสะ "จะเคลื่อนย้ายคนที่มีทะเบียนช่างฝีมือเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย! การควบคุมช่างต่อเรืออาจไม่เข้มงวดเท่าช่างทำเกราะ แต่ถ้ามีทะเบียนติดตัว..."
ในห้องของหยุนเจิง เพิ่งจะจัดการความยุ่งเหยิงเรียบร้อย หยุนลี่ก็โผล่มาพอดี ในเวลานั้น หยุนเจิงเพิ่งจะตั้งตัวได้จากเรื่องวุ่นวายที่เกิดกับเจียเหยา "เจ้าหก เจ้าวางแผนได้ดีจริง!" หยุนลี่กำหมัดแน่น กัดฟันพูดว่า "ว่ามา เจ้าอยากได้อะไร?" หยุนลี่ไม่คิดจะอ้อมค้อมกับหยุนเจิง เจ้าสุนัขนี่วางแผนแบบนี้ก็เพื่อจะหาประโยชน์จากตนเองเท่านั้น หากมัวแต่เลี่ยงไปเลี่ยงมา คนที่ต้องเจ็บใจก็คือตัวเองอยู่ดี "พี่สาม ใจเด็ดดีจริง!" หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง "เงินห้าล้านตำลึง กับช่างต่อเรืออีกสองพันคน!" "เจ้า..." หยุนลี่โกรธจนแทบระเบิด กัดฟันตะโกน "ทำไมเจ้าไม่ไปปล้นเอาเลยล่ะ?" เจ้าสัตว์เดรัจฉาน! ยังแย่กว่าเดรัจฉานเสียอีก! เขารู้อยู่แล้วว่าหยุนเจิงต้องเรียกร้องมากแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ เงินห้าล้านตำลึง? ตนจะหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน? แม้จะมีจางซูผู้เปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งโชคลาภช่วยหาเงิน แต่แม่เจ้า ก็ไม่ถึงขนาดนี้! ซั่วเป่ยก็ยกให้เขาไปแล้ว! เขายังมาอ้อมค้อมขอเงินและเสบียงจากราชสำนักอีก? ไม่สิ ต้องบอกว่าขอจากตนต่างหาก! เขาเสียใจจริงๆ ที่ตอนนั้นปล่อยเจ้าหมอนี่ออกจากเมืองหล
เอาได้เท่าไรก็เท่านั้น หยุนเจิงหัวเราะเมื่อได้ยิน “เจ้าชอบว่าข้าว่าหน้าหนา แต่ดูเจ้าสิ ก็ไม่ได้บางไปกว่าข้าเลย!” เจียเหยาหัวเราะเบาๆ “ข้านี่แหละเรียนจากเจ้าไง?” “เช่นนั้นรบกวนเจ้าจ่ายค่าเล่าเรียนมาก่อนนะ” หยุนเจิงพูดพลางยื่นมือไปทางเจียเหยา เจียเหยาทำหน้างง ก่อนจะตบมือหยุนเจิงเบาๆ ทันทีที่มือของเจียเหยาสัมผัส ถูกลูกธนูหลายดอกยิงเข้ามาในห้องด้วยเสียง “ฟิ้ว ฟิ้ว” มีลูกธนูสองดอกที่ทะลุผ่านผ้าห่มด้านนอกมากระแทกบนโต๊ะ เกิดเสียง "ตึบ ตึบ" เจียเหยาตั้งใจจะพุ่งไปหยิบแส้ของนางที่ข้างเตียง แต่ถูกหยุนเจิงดึงตัวไว้ เจียเหยาเสียหลัก ล้มเข้าไปในอ้อมอกของหยุนเจิงทันที “ฟิ้ว ฟิ้ว…” ลูกธนูยังคงยิงเข้ามาในห้องอย่างต่อเนื่อง สองคนที่ซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน เจียเหยาจ้องมองหยุนเจิงอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งสังเกตถึงสิ่งแปลกประหลาดก่อนจะถามด้วยใบหน้าแดงซ่าน “เจ้ายังพกของเล่นที่ทำไว้ให้ลูกติดตัวอยู่หรือ?” พูดจบ เจียเหยาก็คว้าสิ่งที่ดันตัวนางอยู่ พร้อมกระตุกมันออกมา นางอยากรู้ว่ามันคืออะไร ที่หยุนเจิงทำหล่นเมื่อคราวก่อน “อย่า…” หยุนเจิงพยายามห้าม แต
โต๊ะในห้องของเขาทั้งสองมีขนาดแค่นั้น ซ่อนตัวคนเดียวก็ดูกว้างขวางดี แต่พอซ่อนตัวสองคนหลังโต๊ะ ก็รู้สึกค่อนข้างแคบลง ในระยะนี้ หยุนเจิงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเจียเหยาอย่างชัดเจน นางคงจะลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าใช่สบู่หอมหรือเปล่า หรือว่านางเหมือนเยี่ยจื่อ ที่ใส่กลีบดอกไม้จำนวนมากในอ่างอาบน้ำ หรือจะเป็นการอาบน้ำด้วยน้ำอบหอม? จู่ๆ ภาพเจียเหยาขณะอาบน้ำก็ผุดขึ้นมาในหัวของหยุนเจิง ทันใดนั้น หยุนเจิงรู้สึกเหมือนมีคนดึงตัวเขา จนถึงตอนนี้ หยุนเจิงถึงได้รู้สึกตัว หยุนเจิงหันศีรษะไป ก็เห็นเจียเหยาจ้องเขาด้วยสายตาสงสัย “อะไร? บนหน้าข้ามีดอกไม้หรือ?” หยุนเจิงถามด้วยสีหน้างงงวย “อะไร? ข้ากำลังอยากถามเจ้าว่ากำลังทำอะไรอยู่?” เจียเหยาหัวเราะเล็กน้อย “ข้าพูดกับเจ้านานแล้ว แต่เจ้าไม่มีปฏิกิริยาเลย ข้ายังคิดว่าเจ้าถูกผีสิงเสียอีก!” “หา?” “เช่นนั้นหรือ?” หยุนเจิงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ในใจ บ้าจริง! ยังไม่ทันถึงฤดูใบไม้ผลิเลย! เขานี่กำลังคิดบ้าอะไรอยู่กันแน่? หยุนเจิงรีบสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป ก่อนพูดด้วยท่าทีจริงจัง “เมื่อครู่ข้ากำลังคิดบางเรื่อง
เจียเหยาโกรธ “ข้าไม่ได้สงสัยว่าเจ้ามีสิ่งนั้นอยู่ในมือหรือไม่ ข้าแค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น!” “ข้าบอกให้เจ้าไป ก็ต้องไป!” หยุนเจิงจ้องเจียเหยาทีหนึ่ง “แม้ว่าเจ้าจะวิ่งกลับไป ถ้าสถานการณ์ในเป่ยหวนไม่ดี เจ้าก็ต้องวิ่งมาหาข้าอยู่ดี วิ่งไปวิ่งมานี่เจ้าไม่เหนื่อยหรือ? หรือเจ้าอยากทรมานตัวเองจนตายเพื่อแก้แค้นข้า?” “ข้า…” เจียเหยาอึ้งจนพูดไม่ออก แต่ว่า คิดดูแล้วก็จริง หากสถานการณ์ในเป่ยหวนไม่ดี นางก็ต้องมาหาหยุนเจิงอยู่ดี คิดแบบนี้ การวิ่งไปมานั้นเหนื่อยมากจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไปดูเขาขยายช่องเขาหลางหยาก็น่าสนใจ “ก็ได้ ข้าจะฟังเจ้า” เจียเหยาพยักหน้าเบาๆ ก่อนถามด้วยสีหน้าล้อเลียน “เจ้ารู้สึกสงสารข้าหรือ?” “เจ้าอยากให้ข้าสงสารเจ้าหรือ?” หยุนเจิงถามกลับ “แน่นอน!” เจียเหยาตอบทันที “ถ้ามองในมุมของข้า ยิ่งเจ้าสงสารข้า ข้าและเป่ยหวนก็ยิ่งได้ประโยชน์” หยุนเจิงยักไหล่ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าสงสารเจ้าก็แล้วกัน อย่างไรเจ้าก็คิดอะไรก็ได้ที่ทำให้เจ้ามีความสุข” สงสารเจียเหยาหรือ? ก็มีอยู่เล็กน้อยแหล่ะ! ทว่าก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เพื่อรักษาอำนาจข่มขู่เจียเห
มีเรื่องต้องทำอีก?หยุนเจิงไม่กล้าจะเข้าหอกับนาง แล้วจะมีเรื่องอะไรอีก? “อย่าถามแล้ว รีบกินเถอะ! ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวก็ไม่มีอะไรกินแล้ว!” หยุนเจิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก และไม่มีความจำเป็นต้องอธิบาย เมื่อเห็นว่าหยุนเจิงไม่อยากพูดมาก เจียเหยาก็รู้ตัวและไม่ซักถามอีก “เจ้าไม่ดื่มกับข้าสักจอกจริงๆ หรือ?” เจียเหยาช้อนตาขึ้นมอง ใบหน้าฉายแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย “นี่ก็คือสุรามงคลของเรา แม้จะเป็นเพียงพิธีผ่านๆ แต่สำหรับข้า นี่คืองานแต่งครั้งเดียวในชีวิต…” “เจ้าอย่ามายั่วข้าเลย” หยุนเจิงทำหน้าเจ้าเล่ห์ “ข้านี่แหละเป็นคนที่แพ้ความงามที่สุด” “ข้ากลับหวังว่าเจ้าจะแพ้ความงามบ้าง” เจียเหยาหัวเราะเยาะตัวเอง “พูดตรงๆ เจ้าไม่ได้แค่ทำลายความมั่นใจในสนามรบของข้า แต่ยังทำให้ข้าหมดความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองด้วย” หยุนเจิงเอียงศีรษะมองเจียเหยาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “นี่เจ้าคิดจะใช้แผนแกล้งอ่อนล่อศัตรูหรือเปล่า?” “ใครกันที่ทำตัวอ่อนข้อให้เจ้า?” เจียเหยาฮึดฮัดเบาๆ อย่างขี้เล่น “เจ้าไม่คิดหรือว่าการแต่งงานครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ดื่มสุราป้อนกัน มันน่าเสียดาย?” เสียดายหรือ? ก็น่าเสียดายจริงๆ อยา
พระราชโองการของจักรพรรดิเหวินมิได้แต่งตั้งให้หยุนเจิงเป็นเพียงฟู่โจวผู้ตรวจการมณฑลเท่านั้น แต่ยังประกาศจัดตั้งเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนืออีกด้วย เมื่อหยุนลี่อ่านพระราชโองการให้บรรดาขุนนางฟัง ทุกคนต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง การจัดตั้งเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือนั้นไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก แม้จะยังไม่ได้ประกาศจัดตั้งอย่างเป็นทางการมาก่อน แต่ข่าวการจัดตั้งนั้นแพร่สะพัดออกไปนานแล้ว การประกาศครั้งนี้เป็นเพียงการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ตรวจการมณฑลฟู่โจวนี่มันอะไรกัน? หยุนเจิงก็เป็นทั้งเจ้าเมืองซั่วเป่ยและแม่ทัพใหญ่ประจำชาติอยู่แล้ว! ตอนนี้จักรพรรดิเหวินยังแต่งตั้งให้หยุนเจิงควบตำแหน่งฟู่โจวผู้ตรวจการมณฑลอีกหรือ? นี่บ้าหรือเปล่า? การแต่งตั้งให้หยุนเจิงเป็นผู้ตรวจการมณฑลฟู่โจว เท่ากับว่าราชสำนักเปิดทางให้หยุนเจิงโดยสมบูรณ์เลยมิใช่หรือ? ไม่มีใครรู้ว่าทำไมจักรพรรดิเหวินถึงตัดสินใจเช่นนี้ แต่เมื่อรวมกับท่าทีอ่อนแอของจักรพรรดิเหวิน ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปกติบางอย่าง “ลูกขอรับพระราชโองการด้วยใจขอบพระคุณ!” หยุนเจิงกล่าวรับพระราชโองการด้วยเสียงดัง “น้
วันถัดมา หยุนเจิงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจียเหยา ตามธรรมเนียม หยุนเจิงยังคงรีบไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิเหวินเพื่อถวายพระพรในยามเช้า หลังจากได้พักผ่อนหนึ่งคืน สีพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวินดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิเหวินที่ประทับอยู่ตรงนั้นยังคงดูมีพระอาการอ่อนล้า ถ้าไม่ใช่เพราะสายพระเนตรที่จักรพรรดิเหวินแอบส่งมา หยุนเจิงคงคิดว่าตาแก่คนนี้ประชวรจริงๆ ต้องยอมรับว่าตาแก่นี่เล่นละครได้เก่งจริงๆ จักรพรรดิเหวินไม่มีพระทัยมากนัก ตรัสเพียงไม่กี่ประโยคอย่างเป็นพิธี แล้วก็ส่งหยุนเจิงกลับไป หยุนเจิงถวายบังคมลา จากนั้นจึงนำขบวนใหญ่ไปยังที่พักชั่วคราวของเจียเหยาเพื่อรับตัวเจ้าสาว พิธีทั้งหมดเหมือนกับตอนที่เขาอภิเษกสมรสกับเสิ่นลั่วเยี่ยน แม้ว่าเจียเหยาจะไม่ได้เป็นพระชายาเอก แต่ครั้งนี้คือพิธีอภิเษกสมรสระหว่างสองแคว้น ขนาดของพิธีนี้ยิ่งใหญ่กว่าตอนที่เขารับเสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นชายาเสียอีก เมื่อมาถึงที่พักชั่วคราวของเจียเหยา ขุนนางกรมพิธีการกล่าววาจาเยิ่นเย้ออยู่พักใหญ่ จากนั้นหยุนเจิงจึงเชิญเจียเหยาขึ้นเกี้ยวใหญ่ที่เตรียมไว้ ด้านหน้าเกี้ยวมีทหารองครักษ์องอาจสง่ากำลังเป
ข้าไม่กล้ามอบต้าเฉียนให้กับเจ้า และไม่อาจให้เจ้าด้วย! ด้านนอกห้องหยุนลี่แสดงความกังวลอย่างหนัก ถามไถ่หมอหลวงถึงอาการของจักรพรรดิเหวิน หมอหลวงสีหน้าลำบาก ตอบด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง "ฝ่าบาทชีพจรผิดปกติ มีไฟในหัวใจล้นหลาม กระหม่อมวินิจฉัยโรคของฝ่าบาทไม่ได้ และไม่กล้าจ่ายยาโดยสะเปะสะปะ..." หยุนลี่โกรธจัด แววตาเย็นชาเปล่งประกาย "เจ้าเป็นหมอหลวงประเภทไหนกัน? ถึงไม่รู้ว่าเสด็จพ่อป่วยเป็นโรคอะไร?" "กระหม่อมไร้ความสามารถ..." เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากหมอหลวง หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง หยุนลี่ยิ่งโมโหจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ เมื่อครั้งที่เขาเพิ่งเป็นองค์รัชทายาท เขาหวังเพียงให้จักรพรรดิเหวินสิ้นพระชนม์อย่างรวดเร็วเพื่อเขาจะได้ครองราชย์โดยราบรื่น แต่ตอนนี้ เขาต้องการให้จักรพรรดิเหวินยังมีชีวิตอยู่! เพราะตราบใดที่จักรพรรดิเหวินยังอยู่ หยุนเจิงก็จะไม่กล้าก่อความวุ่นวาย! "ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีใด แต่ต้องรักษาเสด็จพ่อให้หาย!" หยุนลี่พยายามควบคุมสติ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียมมองไปที่หมอหลวง "หากรักษาเสด็จพ่อไม่ได้ เจ้าก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่!"