กลางดึกพอมาถึงที่พักที่ทางต้าเฉียนจัดแจงให้ ปานปู้ยังคงไม่สามารถกลืนโทสะลงท้องได้วันนี้หากไม่มีองค์ชายหกนั่นมาก่อความวุ่นวาย พวกต้าเฉียนต้องหน้าแตกหมอไม่รับเย็บอย่างแน่นอน ส่วนตนก็จะบรรลุเป้าหมายในการแสดงอานุภาพต่อชาวต้าเฉียนได้องค์ชายหกสมควรตายยิ่ง!กล้าทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ ทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำแทนช่างน่าชังยิ่งนัก!ได้ยินมาว่าองค์ชายหกของต้าเฉียนนี้เป็นเศษสวะไร้ประโยชน์ เหตุใดจึงมีปัญญาทำเรื่องเช่นนี้?บันทึกโบราณของราชวงศ์ต้าเฉียนมี...รูบิคนั่นจริงหรือแต่นั่นเป็นสิ่งที่ตนคิดค้นได้โดยบังเอิญจริงๆ!หรือว่า คนในราชวงศ์ต้าเฉียนคิดล้ำหน้าตนไปแต่แรกแล้วจริงๆ“ฉึบ!”ขณะที่ปานปู้กำลังกลัดกลุ้มใจ ด้านนอกมีเสียงผิดปกติดังขึ้นมีมือสังหาร?สีหน้าปานปู้แปรเปลี่ยน เปิดประตูออกไปทันทีเขาเพิ่งเปิดประตู องครักษ์ที่เฝ้าประตูก็มาถึงปากประตูแล้ว“ท่านราชครู เมื่อครู่มีคนยิงลูกธนูมา ด้านบนยังมีจดหมายฉบับหนึ่งด้วยขอรับ!”ขณะที่องครักษ์พูด ก็รีบยื่นลูกธนูและจดหมายฉบับนั้นให้ทันที“แล้วคนล่ะ”ปานปู้ถาม“มองไม่เห็นขอรับ”องครักษ์ส่ายหน้าช้าๆ“ข้ารู้แ
เสียเวลานอนของข้า!โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่ใช่ฤดูหนาวหากเป็นฤดูหนาว เขาไม่อยากจะลุกออกจากเตียงเลยจริงๆตอนที่มาถึงด้านนอกตำหนักใหญ่ที่จัดการประชุมเช้า มีขุนนางใหญ่มากมายรวมตัวกันอยู่เพื่อรอเข้าร่วมประชุมเช้า“องค์ชายหก วันนี้หากได้รับพระราชทานรางวัลแล้ว ต้องเชิญข้าดื่มสุราสักหลายจอกหน่อยแล้ว!”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! เมื่อวานข้ายังดื่มกับองค์ชายหกไม่ถึงใจเลย”“องค์ชายหกมีคุณงามความดีในการเรียกคืนดินแดน ต้องได้รับรางวัลไม่น้อยเป็นแน่!”“คุณงามความดีขององค์ชายหก เพียงพอแล้วต่อการบันทึกนามลงในตำราประวัติศาสตร์…”ครั้งนี้ มีขุนนางใหญ่มากมายในราชสำนักที่เป็นคนเข้ามาทักทายเขาอวี้กั๋วกงเซียวว่านโฉวถึงขั้นตบไปที่บ่าของหยุนเจิงอย่างโอ่อ่าผ่าเผย “องค์ชายหก จากนี้ไปหากมีใครกล้ามาบอกว่าเจ้าไร้ประโยชน์อีก ข้าจะฉีกปากคนผู้นั้นเสีย!”เรียกคืนดินแดน เป็นความหวังใจของแม่ทัพเฒ่าอย่างพวกเขาอยู่แล้วพอถึงวัยเช่นพวกเขาแล้ว เดิมคิดว่าคงไม่มีโอกาสเห็นวันที่เรียกคืนดินแดนที่สูญเสียไปนั้นกลับมาได้ คิดไม่ถึงว่า แผ่นดินผืนนั้น กลับถูกหยุนเจิงใช้วิธีเช่นนี้เรียกกลับคืนมาได้“ขอบคุณอวี้กั๋วกงมาก ขอบคุณทุกท่านม
ผู้คนเงียบเสียงลง ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะว่ากล่าวเช่นไรอีก“ฝ่าบาท องค์ชายหกมีคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่จริง!”สวีสือฝู่ยืนขึ้นมา “ทว่า กระหม่อมคิดว่า ตอนนี้เป่ยหวนเพียงพูดคืนดินแดนที่สูญเสียไปอย่างปากเปล่า เรื่องนี้นับว่ายังไม่ได้รับข้อสรุปชั่วคราว! ต่อให้ฝ่าบาทใคร่จะแต่งตั้งองค์ชายหกเป็นอ๋อง ก็ต้องรอให้ได้รับข้อสรุปในตอนท้ายแล้วค่อยว่ากันใหม่พ่ะย่ะค่ะ!”“คำพูดนี้ของจิ้วกั๋วกงมีเหตุผล!”“สมควรเป็นเช่นนี้!”“กล่าวอย่างยอมถอยให้หมื่นก้าว อย่างน้อยก็ต้องรอให้ลงนามหนังสือข้อตกลงการคืนดินแดนก่อนค่อยว่ากัน”“ใช่แล้วๆ ตอนนี้หากจะฝ่ากฎแต่งตั้ง องค์ชายหกเป็นอ๋อง ยังเร็วเกินไปมากนัก…”ผู้คนเห็นด้วยตามๆ กัน“เป็นเพราะเสด็จพ่อยังไม่สร่างเมาหรือไม่…”และในเวลานี้ มีเสียงบ่นงึมงำดังขึ้นมาทันใดนั้น ผู้คนทะยอยกวาดสายตาไปยังแถวท้ายสุดพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวินก็กระตุก จ้องไปที่หยุนเจิงที่อยู่ตรงมุม อย่างน่าโกรธและน่าขัน “เจ้าหก เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”“หา?”หยุนเจิงเงยหน้าขึ้นมาทันที แสร้งทำเป็นจ้องไปยังจักรพรรดิเหวินกับผู้คนอย่างลุกลี้ลุกลน จากนั้นก็แสร้างทำท่าหงอยๆ พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “ลูก ไ
พอได้ยินคำพูดของจักรพรรดิเหวิน เหล่าขุนนางก็เก็บเสียงเงียบกริบมารดาสิ เรื่องนี้ใครจะรู้!ที่เป่ยหวนคิด แน่นอนว่ายิ่งมากยิ่งดีสิ!ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่เป่ยหวนอยากได้เท่าไหร่ ปัญหาคือต้าเฉียนให้ได้แค่ไหน สรุปแล้วจุดขีดสุดของต้าเฉียนอยู่ตรงไหนต่างหาก!นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา!ในขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าจะเปิดปากพูดเช่นไร เซียวว่านโฉวเดินออกมาพูดว่า “มอบเสบียงให้พวกเขาสักหน่อย แค่คนของพวกเขาไม่หิวตายก็พอแล้ว! หากอยากได้มากกว่านั้น ก็นำทหารรบมาแลก!”เซียวว่านโฉวเป็นฝ่ายสนับสนุนการรบ เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการช่วยเหลือเป่ยหวนด้านเสบียงกรังแต่ในเมื่อจักรพรรดิเหวินได้ตัดสินใจไม่เปิดศึกแล้ว เขาเองก็ไม่สามารถว่าอะไรได้ในใจเขาก็เข้าใจดี หากเวลานี้เปิดศึกกับเป่ยหวนนั้นไม่เป็นประโยชน์กับต้าเฉียนเลยสักนิด“เกรงว่าเป่ยหวนจะไม่เรียกร้องมากกว่านี้น่ะสิ!”จักรพรรดิเหวินถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง กลัดกลุ้มพระทัยเป็นอย่างมากเช่นกัน“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า หากเป่ยหวนยินยอมลงนามบนสัญญาคืนดินแดนที่เราเสียไป ให้เสบียงพวกเขามากน้อยก็ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ!”เวลานี้ องค์ชายสี่หยุนถิงก็ออกมาเสนอความเห็นคำพูดของอ
หลังจากกลับถึงบ้านแล้วหยุนเจิงก็นอนชดเชยก่อนเลยแน่นอนว่า การนอนชดเชยนั้นเขาเพียงทำให้ผู้อื่นดู ที่จริงเขากำลังเอนกายครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อยู่บนเตียงผ่านไปเพียงครู่ ซินเซิงสาวใช้ที่เขาเพิ่งรับมาก็มาปลุกเขา บอกว่าคนจากทางวันนำของรางวัลมาให้แล้วหยุนเจิงมองสาวรับใช้คนนี้อดไม่ได้คิดว่า ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งจริงๆก่อนหน้านี้สาวรับใช้คนนี้ตัวสกปรกมอมแมม ดูไปแล้วก็แค่นั้นแต่ตอนนี้พออาบน้ำให้สะอาดแล้วเปลี่ยนใส่อาภรณ์ใหม่ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้สดใสเป็นอย่างมากทว่า เด็กสาวคนนี้เพิ่งจะอายุได้สิบหกปี ยังไม่ถึงวัยแรกแย้มอย่าเต็มตัวแม้ว่าหยุนเจิงรู้สึกตัวเองก็สมควรจะได้ใช้ชีวิตเสเพลดั่งองค์ชาย แต่การเป็นคนรุ่นใหม่ที่ดีนั้น เขาไม่ควรคิดไม่ดีไม่ร้ายกับเด็กสาวคนนี้อืม เลี้ยงไว้อีกหน่อยแล้วกัน!ทันใดนั้นในสมองของหยุนเจิงก็เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นความคิดเช่นนี้ทำให้หยุนเจิงสะดุ้งโหยงเวรเอ้ย!ที่แท้เราก็เป็นชั่วร้ายเหมือนกัน!เอ๋ ไม่ใช่สิ!น่าจะเป็นสัญชาตญาณของลูกพี่ผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่!ต้องใช่แน่ๆ!หยุนเจิงหาเหตุผลที่เหมาะสมแก่ตัวเอง จากนั้นจึงนำซินเ
“ค่อยยังชั่ว”เยี่ยจื่อพยักหน้าเล็กน้อย “งานแต่งนี้แม้จะมีคนจากทางวังคอยจัดแจง แต่อย่างไรเสียองค์ชายหกเป็นถึงองค์ชาย มีรับก็ต้องมีแลก มีที่ให้ใช้เงินอยู่ไม่น้อยจริงๆ”หยุนเจิงพยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็พูดต่อว่า “พี่สะใภ้ ที่จวนข้ายังมีของขวัญอีกบางส่วน เดี๋ยวเจ้าช่วยข้าเอาไปขายแลกเงินเสียเถอะ!”เยี่ยจื่อตะลึงเล็กน้อยแล้วก็ถามขึ้นอย่างฉงนใจว่า “องค์ชายไม่กลัวข้าแอบเก็บไว้เองหรือ”“ข้าเชื่อว่าพี่สะใภ้ไม่ใช่คนเช่นนั้น”หยุนเจิงหัวเราะเหอะๆ “อีกอย่าง ข้ากับลั่วเยี่ยนก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว ของของข้าก็เป็นของของนั้นมิใช่หรือ พี่สะใภ้กับลั่วเยี่ยนดีต่อกันเช่นนี้ ไม่มีทางละโมบเงินของนางหรอกใช่ไหม”เสิ่นลั่วเยี่ยนเบะปาก แค่นเสียงเบากล่าวว่า “ข้าว่านะ เจ้าคงกลัวว่าเจ้าไปขายเองจะเสียหน้า ก็เลยให้พี่สะใภ้ของข้าไปช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้สิท่า!”“แค่กๆ…”หยุนเจิงไอแห้งสองที แล้วก็แสร้งทำเหมือนคนโดนเปิดโปงความคิดเยี่ยจื่อเขม่นเสิ่นลั่วเยี่ยนไปทีหนึ่ง ส่งสัญญาณไม่ให้นางพูดจาเลอะเลือน ขณะเดียวกันก็ยิ้มพยักหน้า “ท่านแม่ให้ข้ามาก็เพื่อมาช่วยอยู๋แล้ว ในเมื่อองค์ชายมั่นใจในตัวข้าเช่นนี้ เรื่องนี้ก็
พอได้ยินเสียงของเกาเหอ คนที่กำลังดึงกล่องลมไม่แม้แต่จะหันกลับมามองสักนิด แล้วกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าว่า “เจ้าจำผิดคนแล้ว”“ไม่มีทาง!”เกาเหอรีบขึ้นไปตรงหน้า พูดขึ้นอย่างมั่นใจว่า “ปีนั้นตอนอยู่ที่ซั่วเป่ย ท่านยังเคยแสดงฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ได้รับคำชมจากฝ่าบาทด้วย!”“เจ้าจำผิดคนแล้ว”ตู้กุยหยวนพูดขึ้นอีกครั้ง แล้วดึงกล่องลมของตนต่อไปเกาเหอยังอยากจะพูดต่อ แต่หยุนเจิงหยุดเขาไว้ “เจ้ารู้จักคนผู้นี้”“อื้อ!”เกาเหอพยักหน้า “เดิมเขาเป็นผู้บัญชาการกองทหารโลหิต!”ทหารโลหิต?หยุนเจิงถามขึ้นอย่างสงสัย “ทหารโลหิตคืออะไรรึ?”“แม้แต่ทหารโลหิตเจ้าก็ไม่รู้จักหรือ”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปยังหยุนเจิงอย่างดูถูก อดไม่ได้กระแหนะกระแหนเขาขึ้นในใจเขาไม่ได้พูดปาวๆ ว่าจะไปซั่วเป่ยหรอกหรือแม้แต่ทหารโลหิตเขาก็ไม่รู้จัก?เยี่ยจื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “ทหารโลหิตเป็นหน่วยที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกองทัพในมณฑลทางเหนือ ว่ากันว่ามีคนน้อยกว่าห้าร้อยคนในกองทัพทหารโลหิต และเงื่อนไขในการเข้าร่วมกองทัพนี้นั้นโหดมาก”“ทุกครั้งที่พวกเขาออกรบจะมีโลหิตท่วมกาย จึงถูกเรียกว่าทหารโลหิตมาแต่ไหนแต่ไรแล
ก่อนที่หยุนเจิงจะทะลุมิติมา เขาก็เป็นทหารมาก่อนเขาเชื่อว่าตนเองจะเข้าใจตู้กุยหยวนได้แม่ทัพที่กล้าหาญปานนั้นจะไม่มีใจนักรบได้อย่างไรเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหยุนเจิง เสิ่นลั่วเยี่ยนแทบจะลุกไปทุบสมองอันโง่เง่าเต่าตุ่นของเขาเสียเจ้าคนโง่เง่าเต่าตุ่น!ไม่ว่าจะเป็นตายอย่างไรเขาก็ยังจะดันทุรังหาความตายที่ซั่วเป่ยให้ได้ใช่หรือไม่?เขายืนกรานจะให้ตนเองเป็นหม้ายไปตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นหรือตู้กุยหยวนเองก็ตกใจกับคำพูดของหยุนเจิงเช่นกัน ครู่หนึ่งเขาจึงส่ายหน้ายิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “เรียนองค์ชายตามตรง ศึกการสู้รบเมื่อห้าปีก่อน ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้น้อยแขนหักเท่านั้น แต่ยังทำลายความกล้าหาญของผู้น้อยไปด้วย! ผู้น้อยไร้ความกล้าหาญที่จะสู้รบแล้ว…”“เช่นนั้นก็เพิ่มความกล้าหาญ!”หยุนเจิงส่ายหน้า ชี้ไปที่เยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ พลางกล่าวว่า “สามีของพี่สะใภ้ท่านนี้ก็ตายในสนามรบซั่วเป่ยเหมือนกัน เมื่อคืนข้าถามนางว่าเสียใจหรือไม่ที่ไม่ได้เห็นหน้าสามีเป็นครั้งสุดท้าย ข้าให้เจ้าทายว่านางตอบข้าว่าอย่างไร”ตอบเช่นไร?เสิ่นลั่วเยี่ยนรู้สึกประหลาดใจเมื่อคืนหยุนเจิงพูดคุยเรื่องนี้กับพี่สะใภ้ด้วยหรือ?ต
เขารู้เพียงว่า ท่านอ๋องผู้นี้ ซึ่งผ่านศึกมานับไม่ถ้วน มิใช่คนที่จะเมตตาปรานีใครได้ง่ายๆอู๋โหย่วเต๋อสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในที่สุดก็พยายามรวบรวมเรี่ยวแรง ขยับร่างที่อ่อนแรงของตนขึ้นคุกเข่าให้เรียบร้อย“ขอ… ขอท่านอ๋องเมตตาด้วย…”“ได้! ข้าจะให้เจ้า!”หยุนเจิงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองหลิวอู่และหลี่เจี่ย “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกตระกูลอู๋ ทั้งบิดา บุตร และพ่อบ้านผู้นี้ จะเป็น วัวไถนา ของพวกเจ้า! ให้พวกมันลากคันไถให้พวกเจ้า! ส่วนเรื่องอาหารไม่ต้องห่วง ข้าจะเป็นคนดูแลเอง ข้าจะทำให้แน่ใจว่าพวกมันจะไม่อดตาย!”อะไรนะ?เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ไม่เพียงแต่อู๋โหย่วเต๋อเท่านั้นที่ตะลึงงัน แม้แต่หลิวอู่และหลี่เจี่ยเองก็ตกตะลึงเช่นกันภายในแคว้นต้าเฉียน ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนถูกใช้ให้ลากคันไถแทนวัวแต่เรื่องเช่นนี้มักเกิดขึ้นกับชาวบ้านยากไร้ที่ไม่มีเงินเช่าวัวเท่านั้นทว่า เรื่องให้ตระกูลอู๋กลายเป็นวัวไถนาให้พวกเขา แม้แต่ในฝัน พวกเขาก็ไม่เคยกล้าคิด!พวกเขานิ่งอึ้งไปอยู่นาน ก่อนจะได้สติ รีบคุกเข่ากระแทกพื้นและกล่าวเสียงดัง “ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋อง! ขอขอบพระคุณในพระเมตตาอันล้ำลึก!”ใ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ซับซ้อนอะไรเพียงแค่อู๋โหย่วเต๋อโลภอยากได้วัวไถนาของเหล่าหลิวโถวเดิมทีเขาตั้งใจจะใช้เงินซื้อวัวจากเหล่าหลิวโถวในราคาถูก แต่เหล่าหลิวโถวกลับไม่ยอมขายให้ไม่ว่าจะอย่างไรเมื่ออู๋โหย่วเต๋อหมดความอดทน จึงใส่ร้ายว่าเหล่าหลิวโถวขโมยวัวของตระกูลอู๋ไป และกล่าวว่า หากไม่ได้ขโมยจริง ก็ต้องมีทะเบียนวัวมายืนยันแต่ปัญหาก็คือ วัวตัวนี้เป็นของที่หยุนเจิงพระราชทานให้เหล่าหลิวโถว! แล้วเหล่าหลิวโถวจะมีทะเบียนวัวจากที่ใดกัน?เหล่าหลิวโถวพูดจนปากจะฉีกก็ยังแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ เขายืนกรานว่าวัวตัวนี้เป็นของที่หยุนเจิงพระราชทานให้ แต่ไม่ว่าอย่างไร อู๋โหย่วเต๋อก็ไม่ยอมฟัง ซ้ำยังข่มขู่ว่าจะพาตัวเหล่าหลิวโถวไปแจ้งความที่ศาลเหล่าหลิวโถวเป็นคนซื่อสัตย์มาตลอดชีวิต พอได้ยินว่าต้องไปแจ้งความก็ถึงกับตกใจกลัวสุดท้าย วัวตัวนั้นก็ถูกอู๋โหย่วเต๋อแย่งไปจนได้หลังจากวัวถูกพาออกไป เหล่าหลิวโถวก็ร้องไห้ไม่หยุด ราวกับจิตวิญญาณหลุดออกจากร่างเมื่อหลิวอู่และหลี่เจี่ยได้ยินข่าวอีกครั้ง เหล่าหลิวโถวก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว… เขาแขวนคอตายใต้ต้นไม้ข้างกระท่อมของตัวเอง“ที่พวกเขาก
อู๋โหย่วเต๋อเห็นท่าไม่ดีจึงไม่กล้าเอนกายต่อ รีบลุกจากเก้าอี้ไม้ไผ่ แล้วเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มประจบ“นายทหาร ข้ามิทราบว่ามีใครในจวนข้าทำเรื่องผิดไป…”“พาตัวไป!”เสิ่นควานไม่แม้แต่จะให้เขาพูดจบ โบกมือสั่งการทันที ทหารองครักษ์สองนายตรงเข้าไปจับกุมอู๋โหย่วเต๋อ“ปล่อยข้านะ!”อู๋โหย่วเต๋อโกรธจัด “พวกเจ้าคิดว่าเป็นใคร ถึงกล้าบุกเข้ามาอาละวาดในตระกูลอู๋ของข้า? อย่าคิดว่าใส่ชุดเกราะแล้วจะขู่ข้าได้ ข้า…”ผัวะ!ยังไม่ทันที่อู๋โหย่วเต๋อจะพูดจบ ทหารองครักษ์นายหนึ่งก็ซัดหมัดเข้าที่ท้องของเขาเต็มแรงอู๋โหย่วเต๋อร้องลั่น ร่างกายโค้งงอราวกับกุ้งต้ม“เจ้าด้วย! จับไป!”เสิ่นควานปรายตามองพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งต่อไปยังเหล่าทหาร “ปิดล้อมตระกูลอู๋! หากไม่มีคำสั่งจากท่านอ๋อง ห้ามผู้ใดเข้าออกเด็ดขาด!”“รับทราบ!”กองทหารองครักษ์รับคำสั่งทันทีท่านอ๋อง!เมื่อได้ยินคำนี้ พ่อบ้านถึงกับรู้สึกว่าโลกหมุนคว้าง ก่อนจะล้มลงนั่งก้นกระแทกพื้น ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดท่านอ๋อง! เป็นท่านอ๋องจริงๆ!สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว!อู๋โหย่วเต๋อที่กำลังเจ็บจนหน้าบิดเบี้ยวก็ถึงกับแข็งค้างไปชั่วขณะ ราวกับว่าเขา
ตระกูลอู๋นายท่านอู๋โหย่วเต๋อกำลังเอนกายบนเก้าอี้ไม้ไผ่ รับไออุ่นจากแสงแดดอย่างสบายใจ บนร่างยังมีผ้าขนสัตว์นุ่มคลุมอยู่สาวรับใช้สองนางคุกเข่าอยู่ข้างซ้ายขวาของเขา พลางนวดเฟ้นให้เป็นจังหวะเป็นตอน บางครั้งยังถูกอู๋โหย่วเต๋อใช้มือบีบเค้นร่างกายพวกนางไปด้วยสาวรับใช้ทั้งสองไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง ได้แต่ปล่อยให้อู๋โหย่วเต๋อกระทำตามใจขณะที่อู๋โหย่วเต๋อกำลังหลับตาเพลิดเพลิน พ่อบ้านก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา“นายท่าน!”พ่อบ้านดูร้อนรน รีบเข้าไปใกล้แล้วกระซิบเบาๆ ข้างหูอู๋โหย่วเต๋อลืมตาขึ้นทันที โบกมือไล่สาวรับใช้ทั้งสองออกไป ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น “เหล่าหลิวโถวตายแล้ว? ตายได้อย่างไร?”พ่อบ้านตอบกลับ “เจ้าเฒ่านั่นบอกว่าจะออกไปเข้าห้องส้วมเมื่อคืน แต่กลับไปหยิบเชือกป่านแล้วแขวนคอตายใต้ต้นไม้ ตอนที่มีคนพบเข้าก็แข็งทื่อไปแล้ว…”“แขวนคอตายรึ?”อู๋โหย่วเต๋อถอนหายใจโล่งอกก่อนจะบ่นอย่างไม่พอใจ “มันแขวนคอตายเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา เจ้าจะร้อนรนไปทำไม?”“ข้าน้อยแค่กลัวว่าเรื่องที่เจ้าเฒ่านั่นพูดไว้จะเป็นความจริง…” พ่อบ้านสีหน้าไม่สู้ดีนัก “นายท่าน วัวตัวนั้นจะเป็นของที่ท่านอ๋องมอบให้เหล่าหลิวโถวจริ
พวกเขาต่างรู้ดีว่า การนำโหวซื่อไคมาขายแบบนี้ ย่อมทำให้โหวซื่อไคมีความแค้นต่อพวกเขาแน่นอนว่าโหวซื่อไคคงไม่คิดร่วมมือกับพวกเขาอีกหากต้องการแบ่งผลประโยชน์ในครั้งนี้ ก็มีเพียงให้หยางหุยโจวเป็นผู้เชื่อมโยงความสัมพันธ์เท่านั้น“เรื่องนี้… ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”หยางหุยโจวรู้สึกโลภขึ้นมา แต่กลับทำเป็นวางตัวไว้ก่อนหากสามารถฟันกำไรจากพวกซูเฮ่อเหนียนอีกทาง หลังจากได้จากโหวซื่อไคไปแล้ว นั่นก็หมายความว่า ตนไม่ต้องลงทุนแม้แต่ตำลึงเดียว แต่กลับสามารถกอบโกยเงินมหาศาลได้!เงินขาวๆ กองโตเช่นนี้ จะให้ตนไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?“ใต้เท้ากล่าวอะไรเช่นนั้น!”ซูเฮ่อเหนียนหัวเราะ “หากมิใช่เพราะใต้เท้า พวกเราคงยังไม่รู้เลยว่าโหวซื่อไคมีเส้นทางทำเงินเช่นนี้! นี่เป็นสิ่งที่ใต้เท้าควรได้รับอยู่แล้ว!”“ถูกต้อง!”ซูซ่งฝู่รีบเสริม “ขอใต้เท้าอย่าได้ปฏิเสธเลย!”อืม… พวกเขากล่าวมาถึงเพียงนี้แล้ว จะปฏิเสธก็ใช่ที่!หยางหุยโจวรู้สึกยินดีจนแทบกลั้นไม่อยู่ แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง “เช่นนั้น… ข้าขอไปหารือกับโหวซื่อไคก่อน แล้วค่อยว่ากัน”สำเร็จแล้ว!ซูเฮ่อเหนียนและซูซ่งฝู่สบตากัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มพึงพอใจตราบใดที่
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขามิได้หลอกเจ้า?”หยางหุยโจวยังคงระมัดระวัง จึงย้ำถามอีกครั้ง“แน่ใจ!”โหวซื่อไคพยักหน้าหนักแน่น “เขากล่าวว่าสามารถสอนข้าได้ต่อหน้า! รอจนข้าเรียนรู้วิธีได้แล้ว ค่อยจ่ายเงินให้เขาก็ยังไม่สาย! หากมิเป็นเช่นนี้ ข้าย่อมไม่เชื่อเขาแน่!”อืม เช่นนี้ก็สมเหตุสมผลหากเป็นการสอนกันต่อหน้า ก็ถือว่ามีเหตุผลอยู่แต่ว่า เขาเองก็แปลกใจยิ่งนักผางลู่ซานมีวิธีการเช่นไร ถึงกล้ารับประกันว่าน้ำตาลแดงห้าจินจะได้เป็นน้ำตาลขาวหนึ่งจิน?หากเป็นเรื่องจริง นี่จะกลายเป็นเส้นทางทำเงินมหาศาลทีเดียว!“หากน้ำตาลขาวผลิตได้ง่ายเพียงนี้ เหตุใดเขาจึงมีเพียงสิบจินเท่านั้น?”หยางหุยโจวถามต่อ“เขาไม่กล้าทำอย่างเปิดเผย”โหวซื่อไคกล่าวเสียงต่ำ “ข้าเคยได้ยินเขาพูดว่า ก่อนหน้านี้เคยมีคนสนิทของหยุนเจิงหักหลัง ขายเส้นทางทำเงินมากมายออกไป! ทำให้หยุนเจิงไม่ไว้ใจผู้ใดอีก เขาจึงไม่กล้าซื้อน้ำตาลแดงมากเกินไป เกรงว่าหยุนเจิงจะสงสัย…”คนที่ทรยศหยุนเจิง?นั่นไม่ใช่จางซูหรอกหรือ?หยางหุยโจวแค่นยิ้มในใจ ไม่ซักไซ้เรื่องนี้ต่ออีก แล้วถามว่า “เจ้าขาดอยู่อีกหนึ่งแสนตำลึงเท่านั้นหรือ?”“ยังขาดอยู่อีกมาก”โหวซ
“ขอรับ!”องครักษ์ทั้งสองรับคำสั่ง แล้วเข้ามาจับกุมโหวซื่อไคทันทีโหวซื่อไคตกใจจนหน้าซีด รีรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบร้องตะโกนออกมา “ใต้เท้า ข้า… ข้ายอมพูด! ข้าจะพูด!”เมื่อเห็นโหวซื่อไคยอมอ่อนข้อ หยางหุยโจวจึงส่งสัญญาณให้องครักษ์ปล่อยตัวเขา“ว่ามา!”หยางหุยโจวกล่าวเสียงขึงขัง แสดงอำนาจขุนนางเต็มที่“เรื่องนี้…”โหวซื่อไคลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลองกล่าวอย่างระมัดระวัง “ใต้เท้า ขอเจรจาเป็นการส่วนตัวสักคราเถิด?”หยางหุยโจวพยักหน้า แล้วพาโหวซื่อไคเดินออกไปอีกทางครานี้ โหวซื่อไค “สารภาพ” อย่างว่าง่ายน้ำตาลขาวเหล่านี้ล้วนมาจากซั่วเป่ย เป็นผางลู่ซานที่ขายให้แก่เขาผางลู่ซานเป็นผู้ดูแลโรงงานทั้งหมดในซั่วเป่ย รวมถึงโรงงานผลิตน้ำตาลขาวด้วยดังนั้น ผางลู่ซานจึงแอบกักตุนและยักยอกน้ำตาลขาวไว้ไม่น้อยแต่เพราะเขาไม่กล้าออกหน้าขายเองโดยตรง จึงเลือกขายผ่านโหวซื่อไคเหตุที่เขาไม่กล้าบอกที่มาของน้ำตาลขาว ก็เพราะกลัวหยุนเจิงล่วงรู้เรื่องนี้ หากหยุนเจิงรู้เข้า ไม่เพียงแต่เขา แม้แต่ผางลู่ซานก็ต้องเอาชีวิตมาทิ้ง!หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดจบ โหวซื่อไคยังหยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงออกมายัดใส่มือหย
ตอนเที่ยวันรุ่งขึ้นง โหวซื่อไคถูกเชิญไปที่จวนซูซ่งฝู่อีกครั้งเพื่อดื่มสุราวันนี้ ไม่เพียงแต่มีซูซ่งฝู่และซูเฮ่อเหนียน ยังมีหยางหุยโจวร่วมอยู่ด้วยหลายคนมิได้ร่วมรับประทานอาหารกันในเรือนหลักของจวนซูซ่งฝู่ แต่เลือกไปยังศาลาเย็นในสวนหลังบ้าน ดูจากท่าทีแล้วชัดเจนว่ามีเรื่องจะพูดคุยกัน“หลานรัก ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่คือใต้เท้าหยาง หยางหุยโจว ผู้ช่วยที่ปรึกษาจวนรัชทายาท!”ซูซ่งฝู่กล่าวพลางหัวเราะ พลางแนะนำโหวซื่อไค“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าหยาง”โหวซื่อไครีบคารวะหยางหุยโจวทันที“โหวซื่อไค เจ้ายอมรับความผิดหรือไม่?”หยางหุยโจวมองโหวซื่อไคด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าฉายแววไม่พอใจเจ้ายอมรับความผิดหรือไม่?ประโยคแรกที่หยางหุยโจวเอ่ยออกมา ทำให้โหวซื่อไคถึงกับตกตะลึงโหวซื่อไคมองอย่างงุนงง “ข้าน้อยโง่เขลาเกินไป มิทราบว่าใต้เท้าหยางกล่าวถึงเรื่องใด?”“ในเมื่อเจ้าคิดจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ ข้าก็จะเตือนเจ้าให้สักหน่อย”หยางหุยโจวจ้องโหวซื่อไคด้วยสายตาเย็นเยียบ “น้ำตาลขาว!”น้ำตาลขาว?แววตาของโหวซื่อไคพลันส่องประกายความเข้าใจขึ้นมาวูบหนึ่งเข้าใจแล้วพวกเขามุ่งเป้ามาที่น้ำตาลขาวนี่เอง!นี่ช่
หลังจากออกจากตระกูลซู โหวซื่อไคก็รีบเดินทางไปยังหัวเมืองสี่ทิศเพื่อทำการซื้อขายน้ำตาลแดงหัวเมืองสี่ทิศแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอาณาเขตของตระกูลซูโดยสมบูรณ์ การกระทำของโหวซื่อไค ย่อมไม่อาจเล็ดลอดสายตาของคนในตระกูลซูไปได้จากพฤติกรรมของโหวซื่อไค พวกเขาก็สามารถคาดเดาได้ทันทีว่า น้ำตาลขาวนั้นผลิตขึ้นจากน้ำตาลแดงที่ผ่านกระบวนการกลั่นให้บริสุทธิ์เมื่อคิดถึงกำไรอันมหาศาลของน้ำตาลขาว ซูซ่งฝู่ก็รีบเรียกประชุมผู้อาวุโสทั้งหกของตระกูลซูในทันที เพื่อหารือกันว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจน้ำตาลขาวนี้ได้อย่างไรโอกาสอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว!หากมีเงินให้หา ยังนิ่งเฉยอยู่ ก็คงเป็นพวกโง่งมเต็มที!แต่ว่า โหวซื่อไคกลับปากแข็งเกินไปและที่สำคัญ ดูเหมือนว่าโหวซื่อไคจะไม่ต้องการให้ตระกูลซูเข้ามาแบ่งส่วนแบ่งในธุรกิจนี้เลย!หากต้องการเข้ามาในธุรกิจน้ำตาลขาว ก็ต้องหาทางให้โหวซื่อไคเปิดปากให้ได้ขณะที่ทุกคนกำลังหารือกันว่าจะบีบให้โหวซื่อไคพูดออกมาได้อย่างไร จู่ๆ ก็มีคนจากจวนของซูเฮ่อเหนียนรีบรุดเข้ามา เขาก้มกระซิบข้างหูซูเฮ่อเหนียนอย่างลับๆ“ว่าอย่างไรนะ!?”ซูเฮ่อเหนียนถึงกับลุกพรวดขึ้นทันที ก่อนจะลากพ่อบ้