จักรพรรดิเหวินไม่อยากทอดพระเนตรอีก จึงหันพระวรกายไปอีกด้านทันทีภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของผู้คน หยุนเจิงตรวจสอบรูบิครอบหนึ่ง จากนั้นสองมือก็เริ่มขยับ...ยังไม่รอจนผู้คนดึงสติกลับมาได้ หยุนเจิงก็หยุดท่าทางลงแล้วภายใต้สายตาที่งุนงงของผู้คน หยุนเจิงชูรูบิคขึ้นสูงรูม่านตาของปานปู้หดตัวลงทันที มองไปที่รูบิคในมือของหยุนเจิงอย่างงุนงง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเองเป็นไปไม่ได้!เหตุใดจึงว่องไวเพียงนี้?ผู้คนแห่งต้าเฉียนมองไปที่รูบิคในมือของหยุนเจิง ก็ล้วนอึ้งจนตาค้างแค่นี้ก็…แก้ปริศนาได้แล้ว?ผู้คนขยี้ตาของตนเองอย่างแรง ไม่อยากจะเชื่อฉากที่อยู่ตรงหน้าทว่า รูบิคก็ยังคงเป็นรูบิคนั่นเพียงแต่ ทั้งหกด้านนั้น แต่ละด้านเป็นสีเดียงกันแก้ปริศนาได้แล้วจริงๆ!นี่มันไม่ใช่ชั่วเวลาเพียงป้านน้ำชาเดียวที่หยุนเจิงพูด!แต่มันคือชั่วขณะหายใจเดียวต่างหาก เขาก็สามารถแก้ได้แล้ว!หยุนลี่กับองค์ชายท่านอื่นตะลึงค้างไปนี่เป็นไปได้อย่างไรพวกเขาลองแกะแงะไปครึ่งค่อนวัน อย่างมากก็แก้ได้เพียงด้านเดียว!แต่เจ้าเศษสวะผู้นี้เหตุใดจึงสามารถแก้ปริศนาของสิ่งนี้ได้ไวเพียงนี้?สมควรตาย!นี่มันเรื่อ
หยกกรุ๊งกริ๊ง?หยกกรุ๊งหยกกริ๊งบิดาเจ้าสิ!สอดส่องดูทิศทางแห่งสวรรค์ในยามค่ำคืนมารดาเจ้าสิ!หากบอกว่าเจ้าทะลุมิติมา ยังจะฟังดูน่าเชื่อถือหน่อย!หยุนเจิงกระแหนะกระแหนขึ้นอย่างรุนแรงในใจ จากนั้นก็ส่ายหัวกล่าวว่า “ไม่ ของสิ่งนี้เรียกว่ารูบิค!”“รูบิค?”ปานปู้ขมวดคิ้วมุ่นนี่เป็นหยกกรุ๊งกริ๊งที่ตนเป็นคนคิดค้นขึ้นแท้ๆ!หยุนเจิงหัวเราะ จากนั้นกล่าวว่า “ไม่ปิดบังท่านราชครู ตอนที่ข้าอายุสิบขวบ ข้าก็เคยพบเห็นของสิ่งนี้ในบันทึกโบราณของราชวงศ์ข้าแล้ว ตอนที่ไม่มีอะไรทำข้าได้ลองใช้ไม้ทำของสิ่งนี้ขึ้นมา!”“อีกทั้ง รูบิคที่ข้าเล่น ทั้งหมดมีถึงสิบหกช่องแล้ว!”“ยากกว่าหยกกรุ๊งกริ๊งของเจ้ามาก!”กริ้บกริ้ว!พวกนางกำนัลกับองครักษ์ในเรือนปี้ปัวถูกกำจัดไปหมดแล้วตนจะแต่งอย่างไรก็ไม่มีใครคัดค้านได้ตนจะว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น!ปานปู้ฟังคำของหยุนเจิง ใบหน้าชราของเขาอดกระตุกไม่ได้สิบหกช่อง?เขาอายุเพียงสิบขวบก็สามารถทำหยกกรุ๊งกริ๊งออกมาได้แล้ว?นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”ปานปู้ดวงตาแดงก่ำ กัดฟันกล่าว “เจ้าก็แค่โชคดีเท่านั้น!”“งั้นรึ?”หยุนเจิงส่ายหัวยิ
หลับตา!ทั้งยังแก้ปริศนาของสิ่งนี้ภายในชั่วเวลาป้านน้ำชาเดียวอีก?บ้าไปแล้ว!หยุนเจิงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!เศษสวะไร้ประโยชน์ผู้นี้ ชนะเดิมพันเพราะโชคช่วยไปคราหนึ่ง ยังจะทำตัวเหลิงอีก!จักรพรรดิเหวินโกรธจนสั่นไปทั้งพระวรกาย ดวงเนตรทั้งคู่แทบลุกเป็นไฟ มองไปยังหยุนเจิงหยุนเจิงกลับไม่ได้ใช้เรื่องใหญ่ของรัฐไปเป็นเดิมพันยังคงใช้ศีรษะของเขาเป็นเดิมพันแถมยังจะปิดตาแก้ปริศนารูบิคอีกเหตุใดเขาจึงไม่พูดไปเสียเลยว่าเขาจะใช้วิธีของเทพเซียนมาแก้รูบิคไอ้เด็กเวรนี่ เขาอยากตายมากขนาดนี้เลยหรือไงจักรพรรดิเหวินโทสะพุ่งขึ้น หากไม่ใช่เพราะไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าคณะทูตเป่ยหวน่ะก็ เขาถีบหยุนเจิงไปตั้งนานแล้วเสิ่นลั่วเยี่ยนเองก็โกรธเป็นอย่างมากตอนแรก หยุนเจิงใช้วิธีเดิมพันเพื่อเรียกคือดินแดนของต้าเฉียนที่เสียไป ได้สร้างคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ไว้แต่ปรากฏว่า ไอ้เวรนี่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ยังจะเดิมพันกับราชครูแห่งเป่ยปวนอีก?และยังจะใช้ศีรษะของเขาเป็นเดิมพัน!นี่ยังไม่ได้รนหาที่ตายหรอกหรือ?หลับตาแก้ปริศนาของสิ่งนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้!พอคิดว่าตนฉุดเดิงหยุนเจิงกี่ครั้งก็มิอ
ปานปู้ฟังคำพูดของหยุนเจิงไปด้วย สีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด ราวกับว่าเพิ่งโดนคนลากไปตบกลางสี่แยกมาเขาอยากโต้แย้งเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่มีทางโต้ได้เรื่องราวก็ประจักษ์อยู่ตรงหน้าแล้ว!ของที่ตัวเองสร้างขึ้นมา หยุนเจิงปิดตาแก้ปริศนา ยังใช้เวลาน้อยกว่าที่ตนแก้ปริศนาเสียอีก!หากเขาพูดว่าไมได้ครูพักลักจำมา ใครจะเชื่อเล่า?“ฮ่าๆ…” เสียงหัวเราะดังปลุกผู้คนที่ตกอยู่ในภวังค์ให้ตื่นขึ้นเซียวว่านโฉวจ้องไปที่ปานปู้ หัวเราะเสียงดังกล่าว “ท่านราชครูเอ๋ย พวกท่านลักจำเรียนไปจากราชวงศ์ของข้า แล้วตอนนี้ยังจะมาโอ้อวดรูบิคต่อหน้าราชวงศ์ข้าอีก นี่ไม่ใช่เรื่องน่าขบขันหรอกหรือ?”ผู้คนพอได้ยินคำพูดของเซียวว่านโฉวก็ชะงักงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้น“อวี้กั๋วกงพูดถูกต้อง!”“ศิษย์ยังจะอยากจะมาทดสอบฝีมืออาจารย์ จะไม่ใช่เรื่องน่าขบขันได้อย่างไรเล่า”“ท่านราชครูเอ๋ย สิ่งที่เป่ยหวนต้องเรียนรู้ยังมีอีกมาก!”“อวี้กั๋วกงพูดได้มีเหตุผล…”หยุนเจิงชนะเดิมพันอีกครั้ง ตอนนี้ผู้คนดีใจเป็นอย่างมากมีเพียงหยุนลี่และพรรคพวกของเขาที่หน้าดำคล้ำขึ้น แต่ก็ต้องพยายามเค้นเอารอยยิ้มออกมาสมควรตาย!คนโง่งมผู
หลังจากที่ปานปู้คุกเข่าลง คนอื่นๆ ในคณะทูตเป่ยหวนก็คุกเข่าลงตามต่อให้พวกเขาจะไม่ยินยอมเสียเพียงใด ตอนนี้ก็ต้องคุกเข่าลงหากพวกเขาคิดเบี้ยวบัญชีตอนนี้ ตอนที่ขอเสบียงก็ไม่ต้องเจรจาแล้วจักรพรรดิเหวินทอดพระเนตรเห็นคนเป่ยหวนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นก็เปรมปรีดิ์เป็นอย่างยิ่งห้าปีแล้ว!ราชครูเป่ยหวนผู้นี้ที่เกือบทำให้ตนถูกจับตัวไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ในที่สุดก็มาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าตนแล้ว!เท่านี้ ก็นับว่าเป็นการระบายความโกรธเมื่อห้าปีก่อนแล้ว!ที่สำคัญคือ ยังสามารถเรียกคืนดินแดนที่เสียไปได้!ต่อให้ตนตายไปแล้ว ก็มีหน้าไปเจอบรรพบุรุษแล้ว!ตำราประวัติศาสตร์ในชนรุ่นหลัง ก็จะไม่มีใครว่าตนเป็นฮ่องเต้ที่ทำให้เสียดินแดนแล้ว!จักรพรรดิเหวินพระทัยปริ่มล้น ตั้งใจยื้อเวลาไปสักพัก แล้วค่อยๆ ยกพระหัตถ์ขึ้น “คณะทูตทุกท่าน เชิญถามตัวตามสบาย! ใครก็ได้ จัดที่นั่งให้คณะทูต!”“ขอบพระทัยจักรพรรดิต้าเฉียน!”ชาวเป่ยหวนค่อยๆ ลุกขึ้น สีหน้าดูไม่ดีสักเท่าไหร่โดยเฉพาะปานปู้ เขาจ้องไปที่หยุนเจิงอย่างโหดเหี้ยมคราหนึ่งหยุนเจิงเบะปาก ในใจลอบด่าเขาว่าสุนัขเฒ่าไม่ช้าบิดาก็จะทำลายเป่ยหวนให้สิ้น!ดูสิว่าเจ้าจะยัง
“ท่านแม่ ช้าก่อนเจ้าค่ะ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนเรียกเสิ่นฮูหยินไว้ “ท่านแม่ไม่อยากทราบหรือเจ้าคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราบ้างในวัง?”“ไม่อยากรู้ และไม่มีอารมณ์จะรู้ด้วย!”เสิ่นฮูหยินตอบโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง แล้วเดินตรงกลับไปที่ห้องเสิ่นลั่วเยี่ยนหมดคำจะพูด รีบพูดกับพี่สะใภ้ทั้งสองคนว่า “พวกพี่ทั้งสองอยู่พูดคุยกับเขาก่อนแล้วกัน ข้าไปหาท่านแม่เพื่อพูดคุยด้วยสักหน่อย!”กล่าวจบ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็รีบตามไปนางแทบจะทนรอไม่ได้บอกกล่าวเล่าเรื่องที่หยุนเจิงโดดเด่นในวังอย่างไรบ้างแน่นอน เรื่องสำคัญที่สุดก็คือเรื่องที่ต้าเฉียนได้ดินแดนกลับคืนมาแล้ว!เสิ่นลั่วเยี่ยนมาถึงห้องของเสิ่นฮูหยิน นางก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังให้มารดาของนางฟังอย่างออกรสออกชาติ“เขายังมีความสามารถเช่นนี้?”เสิ่นฮูหยินฉงนใจ “คงไม่ใช่เพราะโชคดีเหมือนแมวตาบอดตะปบโดนหนูที่ตายแล้วหรอกนะ?”“ข้าว่าแล้วว่าท่านต้องพูดเช่นนี้” เสิ่นลั่วเยี่ยนเม้มริมฝีปากยิ้มกล่าว “ต่อมา เขายังแก้ปริศนาได้อีกรอบ แต่รอบนี้เขาหลับตาก็แก้ปริศนาได้ อัศจรรย์เป็นอย่างมากเจ้าค่ะ!”“หลับตา?”เสิ่นฮูหยินตะลึงค้าง แต่ก็แค่นเสียงกล่าวเล็กน้อย “เ
กลางดึกพอมาถึงที่พักที่ทางต้าเฉียนจัดแจงให้ ปานปู้ยังคงไม่สามารถกลืนโทสะลงท้องได้วันนี้หากไม่มีองค์ชายหกนั่นมาก่อความวุ่นวาย พวกต้าเฉียนต้องหน้าแตกหมอไม่รับเย็บอย่างแน่นอน ส่วนตนก็จะบรรลุเป้าหมายในการแสดงอานุภาพต่อชาวต้าเฉียนได้องค์ชายหกสมควรตายยิ่ง!กล้าทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ ทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำแทนช่างน่าชังยิ่งนัก!ได้ยินมาว่าองค์ชายหกของต้าเฉียนนี้เป็นเศษสวะไร้ประโยชน์ เหตุใดจึงมีปัญญาทำเรื่องเช่นนี้?บันทึกโบราณของราชวงศ์ต้าเฉียนมี...รูบิคนั่นจริงหรือแต่นั่นเป็นสิ่งที่ตนคิดค้นได้โดยบังเอิญจริงๆ!หรือว่า คนในราชวงศ์ต้าเฉียนคิดล้ำหน้าตนไปแต่แรกแล้วจริงๆ“ฉึบ!”ขณะที่ปานปู้กำลังกลัดกลุ้มใจ ด้านนอกมีเสียงผิดปกติดังขึ้นมีมือสังหาร?สีหน้าปานปู้แปรเปลี่ยน เปิดประตูออกไปทันทีเขาเพิ่งเปิดประตู องครักษ์ที่เฝ้าประตูก็มาถึงปากประตูแล้ว“ท่านราชครู เมื่อครู่มีคนยิงลูกธนูมา ด้านบนยังมีจดหมายฉบับหนึ่งด้วยขอรับ!”ขณะที่องครักษ์พูด ก็รีบยื่นลูกธนูและจดหมายฉบับนั้นให้ทันที“แล้วคนล่ะ”ปานปู้ถาม“มองไม่เห็นขอรับ”องครักษ์ส่ายหน้าช้าๆ“ข้ารู้แ
เสียเวลานอนของข้า!โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่ใช่ฤดูหนาวหากเป็นฤดูหนาว เขาไม่อยากจะลุกออกจากเตียงเลยจริงๆตอนที่มาถึงด้านนอกตำหนักใหญ่ที่จัดการประชุมเช้า มีขุนนางใหญ่มากมายรวมตัวกันอยู่เพื่อรอเข้าร่วมประชุมเช้า“องค์ชายหก วันนี้หากได้รับพระราชทานรางวัลแล้ว ต้องเชิญข้าดื่มสุราสักหลายจอกหน่อยแล้ว!”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! เมื่อวานข้ายังดื่มกับองค์ชายหกไม่ถึงใจเลย”“องค์ชายหกมีคุณงามความดีในการเรียกคืนดินแดน ต้องได้รับรางวัลไม่น้อยเป็นแน่!”“คุณงามความดีขององค์ชายหก เพียงพอแล้วต่อการบันทึกนามลงในตำราประวัติศาสตร์…”ครั้งนี้ มีขุนนางใหญ่มากมายในราชสำนักที่เป็นคนเข้ามาทักทายเขาอวี้กั๋วกงเซียวว่านโฉวถึงขั้นตบไปที่บ่าของหยุนเจิงอย่างโอ่อ่าผ่าเผย “องค์ชายหก จากนี้ไปหากมีใครกล้ามาบอกว่าเจ้าไร้ประโยชน์อีก ข้าจะฉีกปากคนผู้นั้นเสีย!”เรียกคืนดินแดน เป็นความหวังใจของแม่ทัพเฒ่าอย่างพวกเขาอยู่แล้วพอถึงวัยเช่นพวกเขาแล้ว เดิมคิดว่าคงไม่มีโอกาสเห็นวันที่เรียกคืนดินแดนที่สูญเสียไปนั้นกลับมาได้ คิดไม่ถึงว่า แผ่นดินผืนนั้น กลับถูกหยุนเจิงใช้วิธีเช่นนี้เรียกกลับคืนมาได้“ขอบคุณอวี้กั๋วกงมาก ขอบคุณทุกท่านม
เมื่อเห็นทั้งสองคน ทหารยามที่อยู่หน้ากระโจมรีบคำนับ“ไม่ต้องมากพิธี!”หยุนเจิงโบกมือ แล้วพาเมี่ยวอินเข้าไปในกระโจมแม้ว่าทัวต๋าจะฟื้นสติได้สองสามวันแล้ว แต่สีหน้าของเขายังคงดูแย่มาก แทบไม่มีเลือดฝาด ดูเหมือนคนที่ใกล้สิ้นใจเต็มทีเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ทัวต๋าถามอย่างแผ่วเบา “หยุน... หยุนเจิง?”นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันแต่ทัวต๋าก็สามารถตัดสินได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือจิ้งเป่ยอ๋อง หยุนเจิง“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงพยักหน้า พร้อมจ้องทัวต๋าด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคงได้ยินข่าวว่ากองทัพของเจ้าพ่ายแพ้ทั้งสายแล้วใช่หรือไม่? หากยังไม่ทราบ ข้าก็ยินดีบอกให้เจ้าฟัง”ทัวต๋ารู้ข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพแนวหน้าแล้วจริงๆอีกทั้ง ยังรู้ด้วยว่าพวกเขาพ่ายแพ้อย่างไรแม้ว่าเขาจะไม่เคยออกจากกระโจม แต่ก็ได้ยินทหารยามที่อยู่นอกกระโจมพูดถึงเรื่องนี้ไม่น้อย“เจ้าต้องการ…ให้ข้ายอมจำนนหรือ?”ทัวต๋าพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หายใจรัว พร้อมกับคาดเดาจุดประสงค์ของหยุนเจิงได้“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมกับเจ้า ตราบใดที่เจ้ายอมรับเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าแ
เช้าวันรุ่งขึ้น หยุนเจิงก็ได้รับข่าวว่าหวังชี่ฟื้นแล้ว“ดียิ่งนัก!”หยุนเจิงตะโกนด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบเรียกเมี่ยวอินว่า “เร็ว ไปดูหวังชี่กัน!”พูดจบ หยุนเจิงก็คว้ามือเมี่ยวอินแล้ววิ่งไปยังกระโจมที่หวังชี่อยู่โดยไม่รอคำตอบเมื่อพวกเขามาถึงกระโจม ด้านในก็เต็มไปด้วยผู้คนทั้งหมดเป็นทหารใต้บัญชาของหวังชี่“พอแล้ว พอแล้ว! ออกไปกันก่อนเถอะ ข้างในคนแน่นขนาดนี้ เหลวไหลเกินไปแล้ว?”หยุนเจิงไล่ทหารที่ล้อมอยู่ในกระโจมให้ออกไปทั้งหมด แล้วให้เมี่ยวอินจับชีพจรของหวังชี่เพื่อตรวจดูว่าอาการบาดเจ็บของเขาเริ่มคงที่แล้วหรือยังหวังชี่รู้สึกซาบซึ้งใจจนพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ขอบ…ขอบคุณฮูหยินเมี่ยว…”“พอแล้ว อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้!”เมี่ยวอินขัดหวังชี่ก่อนจะตั้งใจจับชีพจรของเขาต่อหยุนเจิงพยักหน้าให้หวังชี่เล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้นไม่นาน เมี่ยวอินก็ปล่อยข้อมือของหวังชี่ พร้อมกับถอนหายใจโล่งอกก่อนจะพูดว่า “ชีวิตเจ้าถือว่ารอดมาได้แล้ว! แต่คราวนี้เจ้าบาดเจ็บหนักมาก คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัว”หวังชี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณเมี่ยวอินอีกครั้ง “ขอบ…ขอบคุณฮูหยินเมี่ยวอิน…ที่ช่ว
หวังชี่ยังคงอยู่ในอาการหมดสติ และมีไข้สูงที่ไม่ลดลงเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าไข้ของหวังชี่เกิดจากร่างกายที่อ่อนแอเกินไป หรือเพราะบาดแผลติดเชื้อเมี่ยวอินเตรียมยาต้มให้คนคอยป้อนหวังชี่ แต่จนถึงตอนนี้ ไข้ของหวังชี่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลงขณะที่หยุนเจิงเดินเข้ามาในกระโจม เมี่ยวอินก็กำลังตรวจอาการของหวังชี่อยู่“เป็นอย่างไรบ้าง?”หยุนเจิงถามด้วยความกังวล“ก็เหมือนเดิม ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาแล้ว!”เมี่ยวอินลุกขึ้นด้วยความอ่อนใจ “หากไข้ของเขาลดลงได้ ก็น่าจะรอดชีวิตได้”สิ่งที่ทำได้ นางได้ทำไปหมดแล้วตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจตจำนงในการมีชีวิตรอดของหวังชี่“เข้าใจแล้ว!”หยุนเจิงถอนหายใจเบาๆ “ไปเถิด ไปเดินเล่นข้างนอกกับข้าหน่อย”เมี่ยวอินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนถามว่า “ท่านไปดูทัวต๋ามาหรือยัง?”ทัวต๋าฟื้นสติแล้วแต่ร่างกายยังคงอ่อนแอมาก“ยังไม่ได้ไปเลย!”หยุนเจิงส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ให้เขาฟื้นตัวก่อนเถิด ถ้าข้าไปคุยกับเขาแล้วเขาโมโหตายไป ข้าก็เสียเวลาพูดเปล่าๆ!”เมี่ยวอินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางๆ “นั่นสิ! ขนาดคนที่แข็งแรงยังแทบทนไม่ไหวกับเงื่อนไขของท่าน แล้วคนที่ใกล้ตายแบบเขายิ
ขณะที่หยุนเจิงได้รับข้อความตอบกลับจากเจียเหยา เขากำลังตรวจสอบรายงานการรบที่ตู๋กูเช่อส่งมาข้อความตอบกลับของเจียเหยานั้นเรียบง่ายมากมีเพียงสองคำรับทราบ!และไม่ได้เขียนเป็นรหัสลับเพียงสองคำนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้รหัสลับหยุนเจิงวางข้อความของเจียเหยาทิ้งไว้ข้างๆ และตรวจสอบรายงานการรบของตู๋กูเช่อต่อองค์ชายรองแห่งโฉวฉือ หยวนเว่ย นำกองกำลังป้องกันด่านเทียนฉงทิ้งป้อมหลบหนีในปัจจุบัน จั่วเริ่นได้นำทัพเข้าไปประจำการที่ด่านเทียนฉงแล้วแต่ผลลัพธ์จากการไล่ล่าโหลวอี้ของตู๋กูเช่อและพวกกลับไม่ดีนักแม้ว่านักรบภูตสิบแปดจะสามารถสร้างความขัดแย้งระหว่างกองทัพโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ได้สำเร็จ แต่กลับไม่ได้ทำให้เกิดความโกลาหลในวงกว้าง ทำให้ศัตรูสูญเสียกำลังเพียงสามพันกว่านายเท่านั้นขณะที่ตู๋กูเช่อนำทัพไล่ตาม โหลวอี้ได้นำกองกำลังถอนตัวไปยังพื้นที่ใกล้ชายแดนแคว้นต้าเย่ว์แล้วตู๋กูเช่อนำทัพโจมตี ทำลายศัตรูได้สองพันนาย และจับเชลยได้มากกว่าสี่พันคนกองกำลังใหญ่ของโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ถูกโหลวอี้พากลับเข้าไปในแคว้นต้าเย่ว์ตู๋กูเช่อกังวลเรื่องเสบียง จึงหยุดการไล่ล่า และหันไปควบคุมเชลยศึกกล
ขณะเดียวกัน ผู้เลี้ยงเหยี่ยวที่ได้รับข่าวสารก็ควบม้ามาอย่างรวดเร็ว“องค์หญิง! ข่าวจากฝั่งจิ้งเป่ยอ๋องมาถึงแล้ว!”ผู้เลี้ยงเหยี่ยวมาถึงเบื้องหน้าพวกเขา และส่งข้อความที่ได้รับมาอย่างรวดเร็วเจียเหยารับข้อความนั้น แล้วใช้ไฟจากไม้ขีดจุดกองหญ้าแห้งเล็กๆ เพื่อเริ่มถอดรหัสข้อความกองกำลังของเราสลายกองทัพศัตรูแล้ว ให้รีบมาจับเชลยทางตะวันตกของแม่น้ำหยางฉางข้อความของหยุนเจิงนั้นสั้นกระชับอย่างไรก็ตาม ขณะที่เจียเหยาอ่านข้อความ นางกลับนิ่งอึ้งไปเจียเหยาถูตาอย่างแรง ก่อนจะตรวจสอบข้อความอีกครั้งอย่างละเอียด กลัวว่าตนเองจะถอดรหัสผิดแต่ไม่ว่านางจะถอดรหัสอีกกี่ครั้ง เนื้อหาก็ยังเหมือนเดิมหยุนเจิงนำกองกำลังสลายทัพเจ็ดหมื่นของกุ่ยฟางได้แล้วหรือ?นี่…เป็นไปได้อย่างไร?กุ่ยฟางยังมีกองกำลังถึงเจ็ดหมื่นไม่ใช่หรือ!หยุนเจิงมีกำลังพลแค่หมื่นกว่านาย และในจำนวนนั้นมีทหารม้าเพียงห้าพันเท่านั้น!พวกเขายังไม่ทันโจมตี ยังไม่ได้สมทบกับหยุนเจิงเพื่อโจมตีศัตรู หยุนเจิงก็สลายกองทัพศัตรูได้แล้ว?นี่มันบ้าไปแล้ว!หยุนเจิงทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?ถึงแม้ขวัญกำลังใจของกุ่ยฟางจะตกต่ำ ก็ไม่น่าจะถูกทำลายลงได
บนทุ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา อวี่ซื่อจงและเจียเหยายังคงนำทัพบุกโจมตีพวกเขาใช้กลยุทธ์ในการเดินทัพเช่นเดียวกัน โดยให้กองหน้าเตรียมหญ้าแห้งสำหรับกองหลังอย่างไรก็ตาม เมื่อรวมกำลังพลของกองทหารมณฑลเหนือและเป่ยหวนเข้าด้วยกัน ก็มีจำนวนถึงสองหมื่นนายทำให้ความเร็วในการบุกโจมตีของพวกเขาช้าลงจากความเร็วในปัจจุบัน พวกเขาต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งวันถึงจะไปสมทบกับหยุนเจิงได้เมื่ออวี่ซื่อจงนำกองทหารม้า 10,000 นายมาถึงทุ่งหญ้าเล็กๆ ที่เจียเหยากล่าวถึง ทหารกองทหารมณฑลเหนือก็เริ่มปฏิบัติการกันเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งบางคนเริ่มปล่อยม้าให้เล็มหญ้า บางคนเริ่มเก็บเกี่ยวหญ้าแห้งเพื่อเตรียมไว้ให้กองกำลังเป่ยหวนที่ตามมาบางส่วนรวบรวมถุงน้ำของทุกคนแล้ววิ่งไปยังต้นน้ำเพื่อเติมน้ำอวี่ซื่อจงหยุดพัก หยิบข้าวคั่วกำมือเล็กๆ ใส่ปากเคี้ยวอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดในใจหลังจากผ่านไปกว่าชั่วโมง กองกำลังเป่ยหวนที่เป็นกองหลังก็มาถึงขณะนั้น กองทหารมณฑลเหนือได้เตรียมหญ้าแห้งให้ม้าศึกของพวกเขาเรียบร้อยแล้วเมื่อเจียเหยามาหา อวี่ซื่อจงยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง“แม่ทัพอวี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”เจี
ทัวต๋า?หยุนเจิงสะดุดใจ ก่อนจะสั่งกองทหารองครักษ์ว่า “ไปตามเหมิงตัวมา ให้เขาตรวจดูว่าคนผู้นั้นคือทัวต๋าหรือไม่!”กองทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วรีบรุดไปไม่นาน หยุนเจิงก็ได้รับคำตอบที่ชัดเจนคนผู้นั้นก็คือทัวต๋า ราชาแห่งกุ่ยฟางจริงๆรถม้าของทัวต๋าพลิกคว่ำระหว่างการถอนกำลัง กองทหารกุ่ยฟางที่หนีตายอย่างลนลานอาจไม่ได้สังเกตเห็นทัวต๋าเลยทัวต๋าที่หมดสติถูกหามเข้ามาเมี่ยวอินเงยหน้ามองหยุนเจิงแล้วถาม “ให้ข้าตรวจดูอาการของทัวต๋าก่อนหรือไม่?”“อย่าเพิ่งไปสนใจเขา!”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ “ช่วยหวังชี่รักษาบาดแผลก่อน!”ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของกุ่ยฟาง นับได้ว่าถูกทำลายจนหมดสิ้นตามสถานการณ์ปกติ ต่อให้ทัวต๋าตาย กุ่ยฟางก็ควรจะยอมแพ้แล้วหากกุ่ยฟางยังไม่ยอมแพ้ เขาก็ยังมีวิธีจัดการกุ่ยฟางต่อให้ทัวต๋าตาย ยังมีทัวฮวนและเหมิงตัวอยู่มิใช่หรือ?เพียงแต่ถ้าทัวต๋ายังมีชีวิตอยู่ อาจช่วยลดความยุ่งยากได้บ้างแต่ในใจเขา ชีวิตของทัวต๋าไม่มีค่ามากเท่าชีวิตของหวังชี่เลย“เข้าใจแล้ว!”เมี่ยวอินไม่พูดอะไรอีก และลงมือใช้เส้นด้ายจากลำไส้แกะเย็บบาดแผลของหวังชี่ที่ทำความสะอาดแล้วผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมง เมี่
จนกระทั่งฟ้าสว่างจ้า สนามรบที่อยู่ไกลออกไปจึงค่อยๆ สงบลงทหารกุ่ยฟางหลบหนีอย่างไร้ทิศทาง หยุนเจิงก็ไม่ได้ส่งคนไล่ตามในตอนนี้ ทหารกุ่ยฟางตกอยู่ในอาการคุ้มคลั่งพวกทหารเหล่านั้นไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ มีเพียงความคิดที่จะเอาชีวิตรอดใครที่ขวางทางพวกเขา พวกเขาก็พร้อมจะสู้ตายถ้าส่งคนไปไล่ตามตอนนี้ พวกเขาจะต้องสูญเสียมากปล่อยให้พวกมันหนีไปก่อน!อย่างไรเสีย พวกมันก็ถอนกำลังอย่างลนลาน แถมยังไม่มีเสบียงติดตัวรอจนพวกมันหมดแรงวิ่ง แล้วค่อยส่งคนไปจับตัวถึงตอนนั้น อาจไม่ต้องจับตัวพวกมันด้วยซ้ำ แค่พวกทหารที่หนีแตกพ่ายรู้ว่าการยอมแพ้จะทำให้พวกเขามีข้าวกิน พวกมันก็จะเข้ามายอมจำนนเองหยุนเจิงวางกล้องส่องทางไกลลง แล้วหันไปสั่งชวีจื้อว่า “รีบพาคนไปกวาดล้างสนามรบ ฆ่าศัตรูที่บาดเจ็บสาหัสให้ตายอย่างรวดเร็ว! ระวังแยกแยะคนของเราให้ดี!”“ขอรับ!”ชวีจื้อรับคำสั่ง แล้วนำคนเข้าไปยังสนามรบที่เต็มไปด้วยความพินาศคนของพวกเขาจะผูกผ้าขาวไว้รอบข้อเท้า เพียงแค่เลิกกางเกงขึ้นมาก็จะมองเห็นแม้ว่าจะเสียเวลาอยู่บ้าง แต่วิธีนี้ช่วยลดโอกาสที่จะฆ่าทหารบาดเจ็บฝ่ายตัวเองได้มากที่สุดขณะที่ชวีจื้อนำคนเข้
เมื่อพวกเขาบุกเข้าไป ความโกลาหลในกองทัพกุ่ยฟางก็ยิ่งแพร่กระจายออกไปทหารที่ประสาทตึงเครียดถึงขีดสุดสูญเสียความเชื่อใจต่อคนรอบข้าง บนสมรภูมินั้นดูเหมือนว่าทุกแห่งหนจะเต็มไปด้วยศัตรู“เกิดอะไรขึ้น?”ชื่อเหยียนที่ได้ยินเสียงความวุ่นวาย รีบวิ่งออกมาจากกระโจม และเจอกับทหารที่หน้าตาตื่นตระหนกวิ่งมารายงาน“ฝ่าบาท ศัตรูบุกเข้ามาแล้ว! ทั่วทั้งค่ายมีแต่ศัตรู...”ทหารรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก“อะไรนะ?”ชื่อเหยียนถึงกับใจสั่นไหวในค่ายเต็มไปด้วยศัตรูอย่างนั้นหรือ?หรือศัตรูบุกโจมตีครั้งใหญ่จริงๆ?ชื่อเหยียนตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก แต่พยายามบังคับตัวเองให้สงบ แล้วตะโกนสั่งเสียงดัง “ตีเกราะ! รีบตีเกราะเดี๋ยวนี้! ส่งคำสั่งไปยังทุกกอง ต้องสกัดศัตรูให้ได้ ฆ่าศัตรูแล้วไล่มันกลับไป!”ทันทีที่คำสั่งของชื่อเหยียนถูกส่งออกไป เสียงกลองดังกึกก้องไปทั่วค่าย“ตึง ตึง ตึง...”เสียงกลองที่ดังถี่ยิบเป็นสัญญาณบอกการโจมตีเมื่อได้ยินเสียงกลองดังนี้ กองทหารกุ่ยฟางก็เริ่มโจมตี “ศัตรู”ทว่าทุกครั้งที่พวกเขาโจมตี ความโกลาหลกลับยิ่งลุกลามเร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกลองถี่ยิบดังมาจากกองทัพกุ่ยฟาง ใบหน้าของหย