เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามเช่นนี้ของทั้งสอง หยุนเจิงก็ยกมือเกาหัวด้วยความเขินอาย“ลูกก็แค่มีความในใจบางอย่างที่อยากบอกเสด็จพ่อ แต่กลัวว่าเสด็จพ่อจะอาลัยอาวรณ์จึงไม่อยากให้ดูไม่เหมาะสมต่อหน้าผู้คน ดังนั้นลูกจึง……”“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว!”จักรพรรดิเหวินกล่าวตัดบทหยุนเจิง “ข้ากลับไปค่อยเปิดดู!”ได้ยินจักรพรรดิเหวินตรัสเช่นนี้ หยุนลี่ก็ตื่นตระหนกขึ้นทันทีกลัวเสด็จพ่อจะดูไม่เหมาะสมต่อหน้าผู้คนอย่างนั้นหรือ?เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกตนว่ากลัวเสด็จพ่อจะทุบตีตนผู้เป็นองค์รัชทายาทต่อหน้าสายตาผู้คนความในใจบางอย่างบ้าบอหน่ะสิ!ในจดหมายฉบับนี้ต้องเป็นข้อความในจดหมายเลือดนั่นเป็นแน่เจ้าสุนัขบ้านี่ จะไปอยู่แล้วเชียวยังจะมาก่อเรื่องวุ่นวายให้ตนอีก!เขาต้องการจะหยุดมัน แต่จักรพรรดิเหวินรับปากแล้วว่ากลับไปแล้วค่อยเปิดอ่าน เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะหยุดมันเช่นไรแล้วแต่หากปล่อยให้หยุนเจิงจากไปแล้วโดยดี เขาก็ไม่สบายใจเลยจริงๆ!จะทำเช่นไรดี!ตอนนี้ควรจะทำเช่นไรดี!จะปล่อยให้เจ้าหกทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้สำเร็จไม่ได้เป็นอันขาด!หยุนลี่พยายามคิดหาทุกวิถีทางเพื่อรับมือเพียงแต่ว่าตอนนี้สติเ
“องค์ชายหกยังไปซั่วเป่ยได้ เหตุใดข้าถึงไปซั่วเป่ยไม่ได้?”ทันใดนั้นจางซูก็เผยนิสัยดื้อรั้นออกมาก เชิดหน้าชูคอกล่าวว่า “ท่านเอาแต่บ่นอยู่ทุกวี่ทุกวันไม่ใช่หรือว่าข้ามันไร้อนาคต ข้าจะมีอนาคตที่ดีให้ท่านดู ข้าสู้รบไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าข้าจะเป็นทหารพลาธิการให้องค์ชายหกไม่ได้หนิ่ หรืออาจจะเป็นคนเลี้ยงม้าให้องค์ชายหกก็ได้ อย่างไรเสียท่านก็ขับไล่ข้าออกจากจวนแล้ว ข้าจะไปที่ใดจะมาสนใจข้าทำไม!”“นี่เจ้า……”จางฮว๋ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มือไม้สั่นทอนชี้นิ้วไปที่หลานชาย “วันนี้ข้า……วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าทั้งเป็น!”จางฮว๋ายโกรธเกรี้ยวจนไม่อาจทนได้แล้ว จนถึงขั้นแย่งชิงดาบมาจากองครักษ์ข้างกายผู้หนึ่ง“ท่านจาง ไม่ได้นะขอรับ!”องครักษ์รีบห้ามจางฮว๋ายเอาไว้ เพราะกลัวว่าชายชราผู้นี้จะฆ่าฟันจางซูขึ้นมาจริงๆจางซูลุกพรวดขึ้น เขาไม่สนใจจักรพรรดิเหวินอีกต่อไปแล้ว ยืดคอสั้นๆ นั้นของเขาออกไปพลางกล่าว “ฟันสิ ฆ่าเลย มาฟันตรงนี้สิ! อย่างไรเสียข้าไปซั่วเป่ยก็ไม่คิดจะมีชีวิตกลับมาอยู่แล้ว!”“เจ้าเดรัจฉาน! เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน!”จางฮว๋ายโกรธจนหนวดเคราสั่น ตะโกนคร่ำครวญเสียงดังว่า “เหตุใดข้าถึงได้เกิดเดรัจฉานนี่อ
หยุนเจิงกับเสิ่นลั่วเยี่ยนนำทัพออกเดินทางอีกครั้งส่วนจักรพรรดิเหวินก็นำเหล่าบรรดาขุนนางและทุกคนยืนส่งพวกเขาอย่างเงียบๆและเมื่อพวกเขาเดินทางออกไปไกลแล้ว จักรพรรดิเหวินก็ยังคงมองดูพวกเขาจากไปไกลด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่สำหรับเขาแล้ว การจากไปของหยุนเจิงในครั้งนี้ อาจเป็นการจากลาตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้จนกระทั่งแผ่นหลังของหยุนเจิงและพวกอันตรธานหานไปจนลับสายตา จักรพรรดิเหวินถึงจะละสายตากลับมา“เสด็จพ่อ น้องหกเดินทางออกไปไกลแล้ว กลับกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่รีบประจบประแจงเพื่อหวังผล แต่ในใจรู้สึกดีใจมากโชคดีนะที่จางซูผู้นั้นโผล่มาขวางสถานการณ์เอาไว้ก่อนมิเช่นนั้นแล้ว เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าต้องผ่านสถานการณ์นั้นมาเช่นไรทว่า จักรพรรดิเหวินยังไม่ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่“ไม่ต้องรีบ!”จักรพรรดิเหวินโบกมือเบาๆ และกลับไปนั่งบนขบวนเสด็จรถม้าของตนเองภายใต้การจ้องมองอย่างประหม่าของหยุนลี่ จักรพรรดิเหวินค่อยๆ เปิดจดหมายฉบับนั้นออกเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าหกเขียนอันใดลงไปในจดหมายฉบับนี้นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้เจ้าสามหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้!ในขณะที่จักรพรรดิเหวินเปิ
หากเสด็จพ่อส่งคนไปเรียกตัวเจ้าหกกลับมา แม้ต้องอยู่ต่อหน้าหยุนเจิง เขาก็ไม่มีทางยอมรับ!อย่างไรเสียเสด็จพ่อก็ไม่มีหลักฐาน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสด็จพ่อจะเชื่อใคร“ดี! ช่างดียิ่งนัก! ไม่ได้ทำสิ่งที่ละอายใจแก่ตนเอง!”จักรพรรดิเหวินจ้องเขม็งไปที่หยุนลี่ และตะคอกเสียงต่ำว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ดูเอาเองเถอะว่าน้องหกของเจ้าบอกสิ่งใดข้า!”กล่าวจบ จักรพรรดิเหวินก็โยนจดหมายฉบับนั้นไปตรงหน้าหยุนลี่หยุนลี่หยิบจดหมายมาด้วยความหวาดกลัว สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปมากจักรพรรดิเหวินโกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟ ตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารว่า “ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง อ่านจดหมายฉบับนี้ออกมาให้เหล่าขุนนางบู๊และบุ๋นและราษฎรเหล่านี้ได้ฟัง!”หยุนลี่ตัวสั่นทอนขึ้น รีบย่อตัวลงพลางกล่าว “ลูก……ลูก……”“อ่าน!”จักรพรรดิเหวินกล่าวตัดบทหยุนลี่ด้วยความโกรธหยุนลี่หวาดกลัวจนตัวสั่นไปทั้งตัว อ่านอย่างตะกุกตะกักว่า “ละ ลูก……”“อ่านเสียงดังๆ!”จักรพรรดิเหวินตะคอกด้วยความโกรธ“ลูก……”หยุนลี่อ่านเสียงดังขึ้นเล็กน้อย“ดังอีก!”สีพระพักตร์จักรพรรดิเหวินดำคล้ำด้วยความโกรธหยุนลี่ทั้งโศกเศร้าและโกรธม
“เจ้าเขียนจดหมายอันใดให้ฝ่าบาทกันแน่?”ระหว่างทาง เสิ่นลั่วเยี่ยนกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ“ข้าแค่เขียนบทกลอนบทหนึ่งก็เท่านั้น!”หยุนเจิงหัวเราะชอบใจขึ้น และท่องบทกลอนนั้นออกมาอย่างไม่ลังเลเมื่อได้ยินบทกลอนของหยุนเจิง เสิ่นลั่วเยี่ยนถึงกับตกตะลึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งไยต้องฝังกระดูกไว้ที่สุสาน ในเมื่อบนโลกใบนี้ล้วนเต็มไปด้วยป่าดงพงไพรภูเขาเขียว!เป็นบทกลอนที่ดียิ่งนัก!แต่ก็น่าสลดใจมากเช่นกัน!จางซูปรบมือชื่นชม “องค์ชายหก ท่านช่างมีความสามารถมากมายจริงๆ ข้านับถือองค์ชายหกจากใจ เปรียบดั่งหมื่นลี้รี่ไหล สายนทีไหลเชี่ยวไม่สุดสิ้น……”คำอวยของจางซูนั้น เสิ่นลั่วเยี่ยนได้ยินแล้วแทบจะอ้วกออกมา“เลิกเลียแข้งเลียขาได้แล้ว!”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองจางซูอย่างไม่สบอารมณ์ แบะปากพลางกล่าวว่า “กลอนบทนนี้เขาต้องลอกมาจากพี่สะใภ้ข้าเป็นแน่ ตัวเองแค่เอามาแก้ไขเล็กๆ น้อยๆ ก็เท่านั้น!”“ใช่ ข้าลอกมา”หยุนเจิงหัวเราะชอบใจขึ้นก็ต้องลอกมาอยู่แล้ว!เพียงแต่ว่าไม่ได้ลอกของเยี่ยจื่อก็เท่านั้นเอง“เจ้าไม่อับอายขายหน้าบ้างรึไง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองจางซูอย่างไม่สบอารมณ์ และแบะปากกล่าวว่า “บทกลอนของเขาต้
หนึ่งล้านตำลึงอย่างนั้นหรือ?ของล้ำค่าอันใดมีค่าถึงหนึ่งล้านตำลึงได้!เกรงว่าเขาคงพูดผิดไปแล้วกระมัง?อย่าว่าแต่เสิ่นลั่วเยี่ยนเลย แม้แต่หยุนเจิงเองก็ตกตะลึงกับคำตอบของจางซูเช่นกันเจ้าหมอนี่ช่างร้ายกาจมากเกินไปแล้ว!นี่เขากล้าขายถึงหนึ่งล้านตำลึงเลยหรือนี่เขาไปเจอคนโง่เง่าเต่าตุ่นคนใดกันนะ!จางซูพึงพอใจกับความตกใจของทั้งสองมาก เขาหัวเราะชอบใจก่อนจะกล่าวว่า “สบู่ของเราทำเงินได้มากมายจริงๆ ใครได้สูตรสบู่ไป ผู้นั้นก็จะนำไปทำเงินได้อีกมากมาย! เพราะพวกคนจนเหล่านั้นไม่ยอมเอาเงินออกมาให้เยอะกว่านี้ อีกอย่างข้าก็มีเวลาไม่มาก ความจริงข้าอยากขายถึงสองล้านตำลึงด้วยซ้ำ” “เจ้า……”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองจางซูอย่างตกตะลึง นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าก็ช่างกล้าคิดนะ!”สองล้านตำลึงอย่างนั้นหรือนี่มันปล้นกันชัดๆไม่สิ!ยิ่งกว่าปล้นเสียอีก!“เจ้ามันช่างเก่งกาจจริงๆ!”หยุนเจิงรู้ว่าจางซูเป็นพ่อค้าหน้าเลือด หลังจากที่ยกนิ้วโป้งชื่นชมเขาแล้ว เขาเรียกเกาเหอมาและกล่าวว่า “มุ่งหน้าไปอีกสิบลี้ แล้วส่งคนไปดูหลังขบวนทัพ ดูว่ามีใครตามมาหรือไม่ แล้วก็เร่งคนที่บังคับรถม้าบรรทุกส
เสิ่นลั่วเยี่ยนนิ่งอึ้งไปพี่สะใภ้มานอนอยู่ในโลงศพนี้ได้อย่างไรกันแถมหยุนเจิงยังเป็นคนสั่งให้เปิดฝาโลงอีกต่างหาก!พี่สะใภ้บอกว่าไม่ออกมาส่งพวกเขา แต่กลับเข้าไปนอนอยู่ในโลงเนี่ยนะเยี่ยจื่อไม่มีจิตใจที่จะสนใจเสิ่นลั่วเยี่ยนในตอนนี้ นางอยู่ในโลงนั้นและพยายามสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่“ยังยืนนิ่งอยู่ทำไมล่ะ ยังไม่รีบช่วยประคองนางลงมาอีก!”หยุนเจิงจ้องเขม็งคนรับใช้ที่ยืนอึ้งอยู่เหล่านั้นพวกเขาตั้งสติขึ้น และรีบช่วยพยุงเยี่ยจื่อออกมาจากโลงศพนั้นอย่างระมัดระวังเยี่ยจื่อค่อยรู้สึกโล่งขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นหันไปกล่าวกับหยุนเจิงด้วยความโกรธว่า “หากเจ้าเปิดฝาโลงช้ากว่านี้ มีหวังข้าถูกขังตายอยู่ในโลงนี้เป็นแน่!”“ข้าบอกให้เจ้าเจาะรูไว้ที่ใต้โลงไม่ใช่หรือ?”หยุนเจิงยิ้มทั้งน้ำตามองเยี่ยจื่อที่ตกอยู่ในสภาพจนตรอกเช่นนั้นเยี่ยจื่อกรอกตามองบนพลางกล่าว “อึดอัดปานนั้น เจ้าลงไปนอนเดี๋ยวก็รู้เอง!”เจาะรูแล้วอย่างไร?แม้ว่าอากาศในเมืองหลวงตอนนี้จะเย็นลง แต่ผ้านวมในโลงศพ และพื้นที่แคบเช่นนั้น ใครเข้าไปนอนก็อึดอัดมากอยู่ดี“เอาล่ะๆ ข้าผิดไปแล้ว”หยุนเจิงยิ้มด้วยรอยยิ้มขอโทษ “กลางค
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เยี่ยจื่อก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังนางอีกต่อไปเมื่อไม่มีพันธะอยู่ที่เมืองหลวง หยุนเจิงก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่แล้ว“ยะ แย่ง…แย่งชิงอำนาจทหารอย่างนั้นหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ คล้ายกับว่าไม่อยากเชื่อหูตัวเองหยุนเจิงจะไปแย่งชิงอำนาจทหารที่ซั่วเป่ยหรือว่าเขาคิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือนางจำได้ว่าหยุนเจิงเคยบอกกับนางว่าเขาจะไปก่อกบฏที่ซั่วเป่ย!ที่เขาคิดหาทางทำเงินไปในทุกที่ ก็เพื่อที่เก็บเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูทหาร!“หรือว่าหากเราไม่แย่งชิงอำนาจทหาร เราจะถูกคนอื่นกดขี่รุกรานอย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงกรอกตามองบน “หากเราไม่มีกองกำลังทหารในมือ วันใดที่เจ้าสามครองบัลลังก์มังกร พวกเราก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย! เจ้าคิดว่าข้ากับเจ้าสามจะญาติดีกันจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”“นี่เจ้า……”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงด้วยความตกใจ นางรู้สึกสมองสับสนไปหมดทันใดนั้นนางก็ตระหนักขึ้นได้ว่าหยุนเจิงมีเรื่องราวมากมายที่ปิดบังนางอยู่เรื่องเหล่านั้น พี่สะใภ้ล้วนแต่รู้ทั้งสิ้น แม้แต่ท่านแม่ของนางเองก็รู้!มีเพียงนางคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเล