เมื่อส่งสองพ่อลูกเซียวว่านโฉวกลับไปแล้ว หยุนเจิงก็เดินกลับไปที่ห้องตำราวันนี้เขาได้รู้เรื่องราวต่างๆ มากมายจากเซียวว่านโฉวและเรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อเขาทั้งสิ้นเขาหยิบแผนที่คร่าวๆ คลายออกมาดู และครุ่นคิดอย่างเงียบๆ แม้ว่ายังไม่ได้เดินทางไปซั่วเป่ย แต่เขาก็ครุ่นคิดเรื่องราวหลังจากที่ไปถึงซั่วเป่ยเอาไว้แล้วศึกรบ จะต้องรบแน่นอนแต่จะทำศึกรบเช่นไร และจะบุกทะลวงไปได้เช่นไรนั้น ล้วนแต่เป็นปัญหาทั้งสิ้น……เช้าวันต่อมา หยุนเจิงและเยี่ยจื่อไปที่จวนสกุลเสิ่นครั้งนี้พวกเขาเพียงแค่ไปกราบไหว้ป้ายวิญญาณสองพ่อลูกเสิ่นหนานเจิงเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่หลังจากที่กราบไหว้ป้ายวิญญาณของสองพ่อลูกเสิ่นหนานเจิงเสร็จแล้ว หยุนเจิงก็คุยกับฮูหยินเสิ่นเป็นการส่วนตัวอยู่ครึ่งชั่วยามพวกเขาอยู่กินมื้อค่ำที่จวนสกุลเสิ่นเสร็จถึงจะเดินทางกลับจวน เพื่อจะกลับไปเตรียมตัวครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินทางในวันพรุ่งนี้ในขณะที่ออกจากจวนสกุลเสิ่นนั้น เสิ่นลั่วเยี่ยนหันหน้ากลับไปมองไปมาด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่สะใภ้ จากนี้ต่อไป ข้าฝากท่านแม่กับท่านด้วย……”เสิ่นลั่วเยี่ยนพ
วันนี้เป็นวันที่สองสามีภรรยาอย่างหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนเดินทางไปยังซั่วเป่ยแล้วจักรพรรดิเหวินทรงนำเหล่าบรรดาขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นมาส่งหยุนเจิงออกเดินทางที่ประตูทิศเหนือด้วยตัวเองอีกทั้งยังเป็นฝ่ายรอหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนอยู่แล้วด้วยสามารถให้จักรพรรดิเหวินและเหล่าบรรดาขุนนางรอได้เช่นนี้ นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งขบวนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าดึงดูดเหล่าบรรดาประชาราษมาดูไม่น้อยเพียงแต่ว่าเหล่าบรรดาประชาราษเหล่านั้นไม่อาจเข้ามาใกล้ได้ ทำได้เพียงแค่ดูอยู่ไกลๆ เท่านั้นจักรพรรดิเหวินนั่งประทับอยู่บนขบวนเสด็จ ทอดพระเนตรไปยังประตูทิศเหนือด้วยสีพระพักตร์กลัดกลุ้มพระทัยในการจากลาสงครามซั่วเป่ยกำลังจะเกิดขึ้น เขาอาลัยอาวรณ์ในการไปซั่วเป่ยของหยุนเจิงเป็นอย่างยิ่งทว่า เขากับหยุนเจิงถูกผลักมาจนถึงทางตันแล้ว เขาจำใจต้องให้หยุนเจิงไปซั่วเป่ย“เจ้าคิดว่าเจ้าหกไปครั้งนี้จะมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”จักรพรรดิเหวินถอนหายใจยาวออกมา ก่อนจะตรัสถามหยุนลี่เสียงเบา“ต้องกลับมาได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่เสแสร้งแกล้งเผยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ออกมา กล่าวปลอบพระทัยว่า “เสด็จพ่
“ไม่ได้วางตนอย่างนั้นหรือ?”จักรพรรดิเหวินสีหน้าดำคล้ำเขียวด้วยความโกรธจ้องเขม็งหยุนลี่ “น้องหกของเจ้าเรียกเจ้าว่าองค์รัชทายาท เจ้าก็ยอมรับหรือ น้องหกของเจ้าโค้งคารวะเจ้าใหญ่โตเจ้าก็ยอมรับหรือ นี่ไม่เรียกว่าวางตนอีกอย่างนั้นหรือ? ตกลงเจ้าเป็นพี่สามของเขาหรือว่าเป็นองค์รัชทายาทกันแน่?”คำถามในเชิงตำหนิของจักรพรรดิเหวินทำให้หยุนลี่รู้สึกหวาดกลัวมากเขานึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องเพียงแค่นี้จะนำมาถึงคำถามเชิงตำหนิได้มากมายเพียงนี้หยุนลี่กลัดกลุ้มใจมากจึงรีบกล่าวว่า “ลูกเป็นพี่สามของน้องหก และจะเป็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ!”เขาเข้าใจแล้ว!ก็เพราะเจ้าสุนัขสารเลวนี่คารวะเขายกใหญ่ แถมยังเรียกเขาว่าองค์รัชทายาทอีกด้วยภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จากความสัมพันธ์อันใกล้ชิดสนิทชิดเชื้อก่อนหน้านี้ของพวกเขา ตอนนี้เขาควรเสแสร้งนอบน้อม บอกหยุนเจิงว่าเรียกองค์รัชทายาทมันดูเหมือนเป็นคนนอก ควรให้หยุนเจิงเรียกเขาว่าพี่สามเหมือนเดิม!ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดสนิทชิดเชื้อของตนและเขาได้ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น เสด็จพ่อถึงจะไม่มองว่าเขาวางตนข่มท่านทำตัวเป็นองค์รัชทายาทกับหยุนเ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหยุนเจิง ทุกคนก็อดที่จะเผยสีหน้าประทับใจออกมาไม่ได้แบกโลงศพไปซั่วเป่ย!ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดกระทำเช่นนี้มาก่อนนี่องค์ชายหกถึงกับเดินทางไปซั่วเป่ยด้วยความคิดที่ว่าหากไม่ประสบความสำเร็จก็จะพลีชีพที่ซั่วเป่ย!วิญญาณขอกลับมายังบ้านเกิด ตัวขอฝังกลบอยู่ที่ซั่วเป่ย!ยอมตายแต่ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีของความเป็นเป่ยจิ้งอ๋อง!เดิมทีจักรพรรดิเหวินเองก็เตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหยุนเจิง ดวงตากลับน้ำตาคลอเบ้าลูกคนนี้ แม้ไม่เก่งในเรื่องบุ๋นและไม่ถนัดเรื่องบู๊ แต่กลับมีจิตใจอันบริสุทธิ์ยิ่งนัก!“องค์ชายหกช่างกล้าหาญยิ่งนัก กระหม่อมนับถือยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”“ต้าเฉียนของเรามีองค์ชายอย่างองค์ชายหกเช่นนี้ เป่ยหวนจะไม่ดับสูญได้อย่างไรเล่า!”“องค์ชายหกทำเช่นนี้ ต้องเพิ่มขวัญกำลังใจให้ทัพทหารได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”“วันข้างหน้าหากมีโอกาส กระหม่อมจะทำตามแบบอย่างขององค์ชายหก แบกโลงไปซั่วเป่ย! ศึกครั้งนี้ หากไม่ได้ชัยชนะกลับมา ก็จะขอพลีชีพ!”“องค์ชายหก โปรดรับการคารวะจากกระหม่อมด้วย……”เหล่าบรรดาขุนนางต่างแสดงสีหน้านับถือ และกล่าวชื่นชมอย่างไม
เสียงตะโกนดังอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เสิ่นลั่วเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดตอนที่ออกจากจวน นางกลัวจักรพรรดิเหวินจะกล่าวโทษด้วยซ้ำ นางจึงคัดค้านสุดตัวแต่หยุนเจิงก็ยืนหยัดที่จะเอาไปให้ได้ นางจึงยอมประนีประนอมให้เขานางถึงกับเตรียมใจที่จะโดนจักรพรรดิเหวินดุด่าว่ากล่าวแล้วด้วยซ้ำ นึกไม่ถึงเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้เพียงแค่โลงศพอัปมงคลไม่กี่ใบนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้คนจำนวนมากฮึกเหิมได้มากถึงเพียงนี้หากคนทั้งต้าเฉียนฮึกเหิมได้เพราะสิ่งนี้ ศึกในครั้งนี้ยากนักที่ต้าเฉียนจะพ่ายแพ้!แม้ว่าเจ้าสารเลวนี้จะไม่มีความสามารถอย่างอื่น แต่เขาก็มีความสามารถในการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับทหารเมื่อถึงซั่วเป่ย หน้าที่เพิ่มขวัญและกำลังใจให้กับทหารต้องมอบให้เขาแล้ว!เสิ่นลั่วเยี่ยนแอบคิดในใจจนกระทั่งจักรพรรดิเหวินยกมือขึ้นเล็กน้อย เสียงตะโกนดังกึกก้องนั้นจึงค่อยๆ หยุดลง“ทหาร!”หลังจากจัดการกับความรู้สึกให้คงที่ได้แล้ว จักรพรรดิเหวินก็โบกมือพลางรับสั่งเสียงดังลั่นว่า “นำของมา!”เมื่อได้รับคำบัญชาของจักรพรรดิเหวิน ขุนนางหลายคนก็นำชุดเกราะทองอันล้ำค่ามาทันทีและยัง
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามเช่นนี้ของทั้งสอง หยุนเจิงก็ยกมือเกาหัวด้วยความเขินอาย“ลูกก็แค่มีความในใจบางอย่างที่อยากบอกเสด็จพ่อ แต่กลัวว่าเสด็จพ่อจะอาลัยอาวรณ์จึงไม่อยากให้ดูไม่เหมาะสมต่อหน้าผู้คน ดังนั้นลูกจึง……”“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว!”จักรพรรดิเหวินกล่าวตัดบทหยุนเจิง “ข้ากลับไปค่อยเปิดดู!”ได้ยินจักรพรรดิเหวินตรัสเช่นนี้ หยุนลี่ก็ตื่นตระหนกขึ้นทันทีกลัวเสด็จพ่อจะดูไม่เหมาะสมต่อหน้าผู้คนอย่างนั้นหรือ?เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกตนว่ากลัวเสด็จพ่อจะทุบตีตนผู้เป็นองค์รัชทายาทต่อหน้าสายตาผู้คนความในใจบางอย่างบ้าบอหน่ะสิ!ในจดหมายฉบับนี้ต้องเป็นข้อความในจดหมายเลือดนั่นเป็นแน่เจ้าสุนัขบ้านี่ จะไปอยู่แล้วเชียวยังจะมาก่อเรื่องวุ่นวายให้ตนอีก!เขาต้องการจะหยุดมัน แต่จักรพรรดิเหวินรับปากแล้วว่ากลับไปแล้วค่อยเปิดอ่าน เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะหยุดมันเช่นไรแล้วแต่หากปล่อยให้หยุนเจิงจากไปแล้วโดยดี เขาก็ไม่สบายใจเลยจริงๆ!จะทำเช่นไรดี!ตอนนี้ควรจะทำเช่นไรดี!จะปล่อยให้เจ้าหกทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้สำเร็จไม่ได้เป็นอันขาด!หยุนลี่พยายามคิดหาทุกวิถีทางเพื่อรับมือเพียงแต่ว่าตอนนี้สติเ
“องค์ชายหกยังไปซั่วเป่ยได้ เหตุใดข้าถึงไปซั่วเป่ยไม่ได้?”ทันใดนั้นจางซูก็เผยนิสัยดื้อรั้นออกมาก เชิดหน้าชูคอกล่าวว่า “ท่านเอาแต่บ่นอยู่ทุกวี่ทุกวันไม่ใช่หรือว่าข้ามันไร้อนาคต ข้าจะมีอนาคตที่ดีให้ท่านดู ข้าสู้รบไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าข้าจะเป็นทหารพลาธิการให้องค์ชายหกไม่ได้หนิ่ หรืออาจจะเป็นคนเลี้ยงม้าให้องค์ชายหกก็ได้ อย่างไรเสียท่านก็ขับไล่ข้าออกจากจวนแล้ว ข้าจะไปที่ใดจะมาสนใจข้าทำไม!”“นี่เจ้า……”จางฮว๋ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มือไม้สั่นทอนชี้นิ้วไปที่หลานชาย “วันนี้ข้า……วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าทั้งเป็น!”จางฮว๋ายโกรธเกรี้ยวจนไม่อาจทนได้แล้ว จนถึงขั้นแย่งชิงดาบมาจากองครักษ์ข้างกายผู้หนึ่ง“ท่านจาง ไม่ได้นะขอรับ!”องครักษ์รีบห้ามจางฮว๋ายเอาไว้ เพราะกลัวว่าชายชราผู้นี้จะฆ่าฟันจางซูขึ้นมาจริงๆจางซูลุกพรวดขึ้น เขาไม่สนใจจักรพรรดิเหวินอีกต่อไปแล้ว ยืดคอสั้นๆ นั้นของเขาออกไปพลางกล่าว “ฟันสิ ฆ่าเลย มาฟันตรงนี้สิ! อย่างไรเสียข้าไปซั่วเป่ยก็ไม่คิดจะมีชีวิตกลับมาอยู่แล้ว!”“เจ้าเดรัจฉาน! เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน!”จางฮว๋ายโกรธจนหนวดเคราสั่น ตะโกนคร่ำครวญเสียงดังว่า “เหตุใดข้าถึงได้เกิดเดรัจฉานนี่อ
หยุนเจิงกับเสิ่นลั่วเยี่ยนนำทัพออกเดินทางอีกครั้งส่วนจักรพรรดิเหวินก็นำเหล่าบรรดาขุนนางและทุกคนยืนส่งพวกเขาอย่างเงียบๆและเมื่อพวกเขาเดินทางออกไปไกลแล้ว จักรพรรดิเหวินก็ยังคงมองดูพวกเขาจากไปไกลด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่สำหรับเขาแล้ว การจากไปของหยุนเจิงในครั้งนี้ อาจเป็นการจากลาตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้จนกระทั่งแผ่นหลังของหยุนเจิงและพวกอันตรธานหานไปจนลับสายตา จักรพรรดิเหวินถึงจะละสายตากลับมา“เสด็จพ่อ น้องหกเดินทางออกไปไกลแล้ว กลับกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่รีบประจบประแจงเพื่อหวังผล แต่ในใจรู้สึกดีใจมากโชคดีนะที่จางซูผู้นั้นโผล่มาขวางสถานการณ์เอาไว้ก่อนมิเช่นนั้นแล้ว เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าต้องผ่านสถานการณ์นั้นมาเช่นไรทว่า จักรพรรดิเหวินยังไม่ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่“ไม่ต้องรีบ!”จักรพรรดิเหวินโบกมือเบาๆ และกลับไปนั่งบนขบวนเสด็จรถม้าของตนเองภายใต้การจ้องมองอย่างประหม่าของหยุนลี่ จักรพรรดิเหวินค่อยๆ เปิดจดหมายฉบับนั้นออกเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าหกเขียนอันใดลงไปในจดหมายฉบับนี้นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้เจ้าสามหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้!ในขณะที่จักรพรรดิเหวินเปิ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ