ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า นี่ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้แบบธรรมดาแน่นอน!หากเป็นเพียงศิลปะการต่อสู้แบบธรรมดา แสดงในสนามฝึกก็ได้หนานย่วน!นั่นคือสนามล่าสัตว์ของราชวงศ์เชียวนะ!นี่แสดงให้เห็นชัดเลยว่าเสด็จพ่อกำลังจัดการซ้อมอย่างจริงจัง!ใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของตัวเอง เขาก็ยังไม่รู้เหมือนกัน!น่าเบื่อจริง!“มัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่เล่า?”เมื่อเห็นว่าหยุนเจิงนั่งราวกับกำลังเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ไม่พอใจในทันที “รีบกินข้า กินข้าวเสร็จก็ไปเขาเมาเอ่อร์เพื่อปรับปรุงทหารจวน!”เรื่องอื่นๆ นางไม่ชำนาญแต่การรบราฆ่าฟัน นางมั่นใจว่าตัวเองชำนาญอย่างมากอย่างน้อย ก็ดีกว่าหยุนเจิง!“เจ้าจะตื่นเต้นไปทำไมกัน?”หยุนเจิงกลอกตามองเสิ่นลั่วเยี่ยน และโยนพระราชโองการให้นาง “หากเจ้าฟังพระราชโองการไม่ชัดเจน เจ้าอ่านดูอีกรอบก็ได้นะ! ข้าคือแม่ทัพ เจ้าคือรองแม่ทัพ! เจ้าต้องฟังคำสั่งของข้า!”“ท่านเนี่ยนะ?!”เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่ไว้หน้าหยุนเจิงแม้แต่น้อย “ให้ท่านเป็นแม่ทัพ พวกเราไม่ต้องแสดงศิลปะการต่อสู้กันเลยดีกว่า ยอมแพ้ล่วงหน้าไปเลยก็ได้!”“...”หยุนเจิงทั้งโมโหทั้งตลก จากนั้นก็พูดอย่างนิ่ง
หยุนเจิงหดหู่ใจอย่างมากเขาไม่รู้ว่าควรขอบคุณหรือด่าสองพ่อลูกตระกูลฉินดีหากจะด่าพวกเขา แต่พวกเขาก็ทำเพราะความหวังดีฉินชีหู่เป็นถึงผู้บัญชาการกองทหารเสินอู่เมื่อห้าปีก่อน หากไม่ใช่เพราะความหวังดี มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องบากหน้ามาเป็นรองแม่ทัพของตัวเอง?หากจะขอบคุณพวกเขา ฉินชีหู่ติดตามตัวเอง จะต้องทำให้ตัวเองผิดแผนอย่างแน่นอน!น่าเบื่อฉิบหายเลย!ก่อนจากไป ฉินชีหู่ยังกำชับหยุนเจิงอีกว่า อย่าพูดเรื่องที่พวกเขาคุยกันกับใครเด็ดขาดยังต้องบอกกับเสิ่นลั่วเยี่ยนและคนอื่นๆ ว่า วันนี้ไม่ได้พบเขามาก่อนเมื่อส่งฉินชีหู่ไปไกลแล้ว หยุนเจิงก็แอบฝืนยิ้มเงียบๆได้!การแสดงศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องชนะให้ได้!หากว่าพ่ายแพ้ ฉินชีหู่ต้องติดตามเขา ต่อไปจะทำเฮี้ยอะไรได้บ้าง!แต่ว่าฉินชีหู่ไม่ได้บอกรายละเอียดของการแสดงศิลปะการต่อสู้กับเขาเพราะว่าจักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้พูดจักรพรรดิเหวินเพียงแค่กำหนดเรื่องการแสดงศิลปะการต่อสู้ ส่วนเรื่องรายละเอียดของการแสดงศิลปะการต่อสู้ เขายังไม่ประกาศออกมาฉินชีหู่คาดเดาว่า จักรพรรดิเหวินรอประกาศในวันที่มีการแสดงศิลปะการต่อสู้“ฉินชีหู่พู
“พ่ะย่ะค่ะ!”ทั้งสามรับคำสั่งทันที และรีบจัดระเบียบทหารจวนให้เริ่มทำการฝึกซ้อมเมื่อดูไปเรื่อยๆ หยุนเจิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาคนของกองทหารเสินอู่ที่เพิ่งโยกย้ายเข้ามาและทหารจวนที่มีอยู่เป็นเหมือนกับสองมือที่ไม่ประสานกัน มักจะเกิดการชนกันอยู่เสมอ มองดูแล้วเหมือนไม่ใช่พวกเดียวกัน“หยุด หยุด!”เสิ่นลั่วเยี่ยนสั่งให้หยุดซ้อม และพูดด้วยความโมโหว่า “พวกเจ้ากำลังซ้อมอะไรกันอยู่? แม้แต่ความพร้อมเพรียงยังทำไม่ได้ จะฝึกซ้อมรูปแบบการทำสงครามได้อย่างไรกัน?”“ไม่ต้องสนใจนาง ฝึกซ้อมต่อไป!”หยุนเจิงเปิดปากพูดทันที เพื่อให้ตู้กุยหยวนและคนอื่นๆ ฝึกซ้อมต่อไป“ข้าบอกให้หยุด!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพูดเสียงดังทันที “พวกเขาเป็นแบบนี้ ไม่ต้องฝึกซ้อมแล้ว!”“ซ้อมต่อไป!”หยุนเจิงก็เสียงดังเช่นกัน และพูดตะโกนอย่างรุนแรงว่า “นอกจากข้าแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่บังอาจรบกวนการฝึกซ้อม ข้าจะลงโทษด้วยการโบยสามสิบไม้!”“ท่าน...”เสิ่นลั่วเยี่ยนโกรธมาก และจ้องหน้าหยุนเจิงด้วยความเคียดแค้น“ข้าเป็นแม่ทัพ!”หยุนเจิงมองเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเขาจำเป็นต้องสร้างบารมีและชื่อเสียงต่อหน้าคนเหล่านี้
เมื่อได้รับคำชี้แนะจากหยุนเจิงแล้ว ตู้กุยหยวนและคนอื่นๆ ก็รีบไปเลือกผู้ที่เหมาะสมทันทีไม่นาน พวกเขาก็ตัดสินใจเลือกคนได้แล้วเฝิงอวี้เดิมที่คนผู้นี้ก็คือนายกองทหารราบในกองทหารเสินอู่ รับผิดชอบดูแลทหารสองกองการให้เขาจัดกำลังห้าร้อยคนนี้ ถือว่าเหลือเฟือจั่วเริ่นถึงขนาดแนะนำหยุนเจิงว่า ให้เฝิงอวี้เป็นแม่ทัพ และเขาจะเป็นรองแม่ทัพให้แก่เฝิงอวี้“ได้!”หยุนเจิงตอบรับอย่างทันท่วงที และแอบพยักหน้าในใจเงียบๆจั่วเริ่นเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียวรู้ว่าต้องอุ้มชูคนหนึ่งในบรรดากองทหารเสินอู่ขึ้นมา เพื่อไม่ให้คนที่เพิ่งโยกย้ายมาใหม่คิดว่าท่านอ๋องเลือกแค่คนที่สนิทชิดเชื้อเท่านั้นเมื่อไปถึงซั่วเป่ยแล้ว จะต้องให้จั่วเริ่นนำทัพอย่างแน่นอน!หยุนเจิงพูดคุยกับเฝิงอวี้อย่างง่ายๆ เพียงไม่กี่คำ จึงให้ทุกคนทำการฝึกซ้อมต่อไปเพียงทำตามวิชาการฝึกซ้อมตามปกติ ฝึกฝนตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องกังวลกับพวกเขาเลยจากนั้นหยุนเจิงก็สั่งโจวมี่อีกว่า “เจ้ารีบพาคนครัวไปซื้อเนื้อหมูกลับมา ค่ำนี้เราจะเพิ่มอาหารให้กับทุกคน! นอกจากนั้นก็ซื้อเหล้าดีๆ มาเยอะหน่อยนะ!”“ท่านบ้าไปแล้วหรือ?”เสิ่นลั่วเยี
เพียงแค่ไม่รู้ว่า เสด็จพ่อวางแผนจะใช้คนจำนวนเท่าใดมาล้อมรอบพวกเขาพูดตามตรงว่า ตอนนี้เขารู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อยสำหรับสนามล่าสัตว์อย่างหนานย่วน ถือว่ามีขนาดใหญ่มากแล้วแตาหากเป็นสนามรบ มันเล็กมากเกินไปจริงๆ!ภายในของเขตที่เล็กเช่นนี้ พื้นที่ในการไล่ล่าทางยุทธศาสตร์ต้องมีขนาดเล็กมาก หากว่าเสด็จพ่อระดมพลทหารเข้ามาจับตัว เขาคงไม่มีโอกาสหนีรอดอย่างแน่นอน!ได้แค่หวังว่าตาแก่นี่จะไม่ลงมือโหดเหี้ยมเกินไป!เขาไม่ต้องการให้ฉินชีหู่ติดตามเขาเลยจริงๆ!ตลอดทั้งวันนี้ หยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนต่างก็อยู่ที่เขาเมาเอ่อร์แม้ว่าหยุนเจิงจะให้โจวมี่นำคนไปซื้อสุรารสเลิศจำนวนมากกลับมา แต่ก็ไม่ได้ดื่มเวลากลางวันเมื่อตกกลางคืนกองไฟถูกจุดท่ามกลางสนามฝึกชั่วคราวของเขาเมาเอ่อร์ และส่องสว่างไปทั่วบริเวณคนครัวงานยุ่งตลอดทั้งบ่าย เพื่อทำอาหารจานหลักมากมายออกมาถึงสิบหม้อใหญ่เมื่อเห็นเนื้อชิ้นโตที่อยู่ในหม้อ คนจำนวนมากต่างก็แอบกลืนน้ำลายไม่จำเป็นต้องใช้โต๊ะหรือเก้าอี้ เพียงวางหม้อไว้กลางสนามฝึกก็พอหยุนเจิงหยิบจอกเหล้าขึ้นมา ดึงตัวเสิ่นลั่วเยี่ยนที่ไม่ค่อยเต็มใจเดินมาตรงกลาง และพูด
“อย่าขยับ!”“ข้าบอกไม่ให้ท่านขยับไงเล่า!”“หากยังขยับอีก เชื่อไหมว่าข้าจะโยนท่านลงจากม้าเดี๋ยวนี้เลย?”“...”ระหว่างทางกลับ เสิ่นลั่วเยี่ยนขู่หยุนเจิงมาตลอดทางหยุนเจิงเมาแล้ว เสิ่นลั่วเยี่ยนกลัวว่าเขาจะพลัดตกจากม้า จึงทำได้เพียงนำเขานั่งด้านหน้าตัวเองบนม้าตัวเดียวกันแต่หยุนเจิงไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย ขยับไปมาไม่หยุดสองคนขี่ม้าตัวเดียวกัน หยุนเจิงขยับเช่นนี้ แน่นอนว่าไปสัมผัสโดนบริเวณจุดอ่อนไหวของเสิ่นลั่วเยี่ยนหลายครั้งเสิ่นลั่วเยี่ยนโมโหเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำอะไรหยุนเจิงไม่ได้เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อย เดิมทีสีหน้าก็แดงเล็กน้อยอยู่แล้ว เมื่อถูไถไปมากับร่างกายของหยุนเจิง ใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อยิ่งขึ้นโชคดีที่เป็นเวลากลางคืน เกาเหอและคนอื่นๆ จุดคบไฟนำทางอยู่ด้านหน้า จึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง ไม่เช่นนั้น นางคงต้องเอาหน้ามุดแผ่นดินหนีไปแล้ว“ข้าควรจะทิ้งท่านไว้ที่นี่ และให้ท่านนอนกับพวกเขาไปเลย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนหยิกหยุนเจิงอย่างอดไม่ได้ และเรียกเกาเหอที่อยู่ด้านหน้า “เอาตัวเขาไปขี่ม้ากับพวกเจ้าสิ!”“พระชายา ไว้ชีวิตข้าน้อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”เกาเหอหัว
“ท่านจะดื้อรั้นไปทำไมกัน?”เยี่ยจื่อถูกนางทำให้โมโหจนหัวเราะออกมา พร้อมพูดเสียงเบาว่า “เขาซื้อตัวเมี่ยวอินกลับมาได้สองสามวันแล้ว เขาเคยแตะต้องเมี่ยวอินหรือไม่?”“ท่านคิดจะเอาผู้ชายของตัวเองผลักไสให้กับผู้หญิงคนอื่นจริงหรือ?”“พวกท่านเป็นสามีภรรยากัน ไม่ว่าอย่างไร พวกท่านก็ยังเป็นสามีภรรยากัน!”“เป็นเหมือนที่เขาบอก ต่อให้พวกท่านตาย พวกท่านก็ต้องฝังร่วมกัน!”“ท่านคิดจะเป็นแบบนี้กับเขาไปตลอดชีวิตเลยหรือ?”“...”เยี่ยจื่อพูดเตือนเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยความอดทนเจ้าเด็กโง่เอ๊ย!หากไม่ต้องกังวลว่าเจ้าเด็กนี่จะพูดไม่ระวังปาก นางก็อยากจะเล่าเรื่องที่หยุนเจิงสงสัยเมี่ยวอินให้เจ้าเด็กนี่ได้ฟังทั้งหมดนางวางใจให้เมี่ยวอินไปเช็ดตัวให้หยุนเจิง แต่ตัวเองไม่ไว้ใจหรอกนะ!นางไม่กลัวเลยว่าเมี่ยวอินจะฉวยโอกาสตอนที่หยุนเจิงเมา และปลิดชีพของหยุนเจิง!ภายใต้การพูดโน้มน้าวใจของเยี่ยจื่อ เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงยอมเดินไปห้องของหยุนเจิงอย่างไม่เต็มใจเมื่อนางเดินเข้ามาในห้อง ซินเซิงได้เตรียมน้ำอุ่นไว้แล้ว“เอาล่ะ ไปได้แล้ว! ที่เหลือข้าจัดการเอง!”เสิ่นลั่วเยี่ยนโบกมือไล่ซินเซิง พูดพึมพำกับต
เช้าวันที่สอง หยุนเจิงลุกขึ้นมาด้วยความปวดเมื่อยทั่วทั้งตัวแม่xสิ!ครอบครัวอาภัพเสียจริง!เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่กล้าชกเขาจริงๆ แต่นางเสือร้ายก็ลงมือได้อย่างอำมหิตมากร่างกายของเขาถูกเสิ่นลั่วเยี่ยนหยิกจนเขียวช้ำไปหมด ตอนนี้ยังคงเจ็บอยู่หยุนเจิงอยากไปจุดธูปไหว้พระแต่เช้าตรู่ เพื่อภาวนาขอให้เหล่าทวยเทพและพระพุทธเจ้าบนฟ้าสวรรค์ ถ่ายทอดวิชาปรมาจารย์สามสิบห้าสิบปีซึ่งไม่มีผู้ใดเทียบได้ให้แก่ตนเองหากไม่ได้จริงๆ ก็ขอหญิงงามที่มีพร้อมทั้งทรัพย์และปัญญาให้ตัวเองก็ได้!การเอาชนะภรรยาของตัวเองไม่ได้ ช่างเวทนาเสียจริงหยุนเจิงเพิ่งล้างหน้าแต่งตัวเสร็จก็เดินออกจากห้อง และได้พบกับเมี่ยวอิน“องค์ชายหก ท่านเป็นอะไรหรือไม่เพคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”เมื่อเห็นว่าหยุนเจิงหงอยเหงาซึมเซา เมี่ยวอินก็ถามด้วยความเป็นห่วงข้าไม่สบายไปทั่วทั้งตัวเลย!หยุนเจิงแอบบ่นในใจ และส่ายหน้าพูดว่า “อาจเป็นเพราะยังเมาค้างตั้งแต่เมื่อคืน ยังไม่สร่างเมาดี”เมี่ยวอินพูดด้วยความเป็นห่วง “องค์ชายดื่มมากไม่ได้ ดื่มให้น้อยลงก็ดีนะเพคะ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย”“อืมๆ ข้ารู้แล้วล่ะ” หยุนเจิงพยักหน้า
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห