แม้ว่าหยุนเจิงและพวกต้องการสร้างท่าทีเหมือนกำลังบุกโจมตีครั้งใหญ่ แต่ความเร็วในการเคลื่อนทัพกลับไม่ได้รวดเร็วนักตอนนี้พวกเขาแสดงให้เห็นภาพของกองทัพใหญ่ที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงกองม้าศึกของหวังชี่ถูกส่งไปอยู่ด้านหลังแล้วตอนนี้ กองกำลังของหวังชี่จึงกลับมาเป็นกองทหารราบอีกครั้งในตอนแรก หวังชี่และชวีจื้อไม่เข้าใจความหมายของการกระทำนี้ของหยุนเจิง แต่หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียด พวกเขาก็เข้าใจว่าหยุนเจิงต้องการสร้างภาพลวงให้ถึงที่สุดเมื่อวานพวกเขามีทหารม้าเก้าพันนายเป็นแนวหน้าวันนี้กลายเป็นทหารราบห้าพันนายที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า โดยมีทหารม้าสี่พันนายคอยปกป้องปีกซ้าย ส่วนปีกขวาเปิดโล่งทั้งหมดเช่นนี้ ศัตรูก็จะคิดโดยปริยายว่าพวกเขายังมีทหารม้าห้าพันนายที่ถูกส่งไปอยู่ด้านหลังหรือซ่อนตัวอยู่ในขณะที่กองทัพใหญ่กำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง หยุนเจิงก็ได้รับรายงานจากสายสืบที่กลับมากองทหารม้าของศัตรูกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ โดยประมาณคร่าวๆ น่าจะเป็นกองทหารสองหมื่นนายระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ถึงยี่สิบหลี่แล้ว"สืบต่อไป!"หยุนเจิงโบกมือให้สายสืบถอยไป ก่อนหันไปมอ
"ใช้กลศึกนี้กลับไปเล่นงานพวกมันก่อน!"ชื่อเหยียนกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม "เจ้านำทหารหนึ่งหมื่นนายเคลื่อนพลไปยังปีกขวาของศัตรู ทำท่าทีเหมือนจะล้อมโจมตีแนวหน้าของพวกมัน ส่วนข้าจะนำอีกหนึ่งหมื่นนายโจมตีทหารม้าของศัตรูโดยตรง หากพวกมันถอยไปพร้อมกับสู้และพยายามล่อให้เราลึกเข้าไปอีก ก็แสดงว่าการวิเคราะห์ของเราถูกต้อง..."แนวหน้าของศัตรูมีเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้นหากในสถานการณ์เช่นนี้ศัตรูกล้ายังบุกโจมตี โดยไม่เกรงกลัวการถูกล้อมจากพวกเขา ก็ย่อมแสดงว่าศัตรูมีบางอย่างที่พึ่งพาได้!พวกเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับศัตรูอย่างยืดเยื้อเป้าหมายหลักของพวกเขาคือการตรวจสอบความจริงของกำลังศัตรู!"ขอรับ!"ไม่นานนัก ทหารม้าสองหมื่นนายของกุ่ยฟางก็เริ่มเคลื่อนพลตามแผนของชื่อเหยียนเมื่อเผชิญกับศัตรูที่เคลื่อนพลอย่างดุดัน ชวีจื้อก็ยังคงรู้สึกกดดันอยู่บ้างท้ายที่สุด พวกเขามีทหารม้าเพียงสี่พันนายเท่านั้น!ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้นจริง การประเมินทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการคาดการณ์ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าศัตรูจะปฏิบัติตามที่พวกเขาคาดการณ์ไว้หากแม่ทัพของศัตรูขาดความเฉลียวฉลาดจริงและนำกองทัพเข้าปะทะโดยตรง แ
"ฆ่า!"เสียงโห่ร้องสู้รบกึกก้อง ประสานกับเสียงกีบม้าที่ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดินกองทหารมณฑณทางเหนือที่ได้รับชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีกำลังมากกว่าหลายเท่า ก็ยังคงมีกำลังล้นหลามคนที่ไม่รู้ อาจคิดว่าพวกเขามีกำลังพลเหนือกว่าศัตรูอย่างเด็ดขาดเมื่อเห็นกองทหารมณฑณทางเหนือบุกเข้าใส่ปีกด้านข้างของตนอย่างไร้ความหวาดกลัว ชื่อเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวในใจการกระทำของกองทหารมณฑณทางเหนือเช่นนี้ อาจเป็นเพราะบ้าคลั่ง หรือไม่ก็ต้องมีแผนการบางอย่าง!แต่ชัดเจนว่ากองทหารมณฑณทางเหนือไม่ได้บ้าคลั่ง พวกเขาเพียงมั่นใจในชัยชนะเท่านั้น!ป่าไป๋โถว!ท่ามกลางความหวาดกลัว ชื่อเหยียนก็เห็นป่าไป๋โถวที่ปีกขวาเป็นอย่างแรกกองกำลังซุ่ม!ในป่าไป๋โถวต้องมีกองกำลังซุ่มจำนวนมากแน่นอน!ศัตรูตั้งใจจะร่วมมือกับกองกำลังซุ่มในป่าไป๋โถว เพื่อโจมตีปีกขวาของพวกเขาจากสองด้าน!ราวกับยืนยันการคาดการณ์ของชื่อเหยียน ฝูงนกในป่าไป๋โถวก็พากันบินขึ้นฟ้าทันทีดวงตาของชื่อเหยียนหดลงทันทีโดยไม่ลังเลอีกต่อไปถอยทัพ!ต้องรีบถอยทันที!หากกองทัพปีกขวาถูกโจมตีจากสองด้าน จะต้องสูญเสียอย่างหนักแน
นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับข่าวว่าทัวต๋าเฆี่ยนตีทัวฮวน อัครมหาเสนาบดีของกุ่ยฟางเรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วกองทัพกุ่ยฟาง จนมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้แต่เหตุผลที่ทัวฮวนถูกเฆี่ยนนั้นกลับมีหลายเสียงเล่าลือบางคนบอกว่าทัวฮวนถูกเฆี่ยนเพราะเสนอให้ยอมแพ้บางคนก็บอกว่าทัวฮวนถูกเฆี่ยนเพราะล่วงเกินชื่อเหยียนบางคนกล่าวว่าทัวฮวนถูกเฆี่ยนเพราะโต้เถียงกับทัวต๋า ราชาแห่งกุ่ยฟางทว่าทหารที่ถูกจับมาเหล่านี้ ล้วนเป็นเพียงทหารระดับล่างในกองทัพ ไม่มีผู้ใดรู้ความจริงในเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย"ฝ่าบาท เชลยเหล่านี้ควรจัดการอย่างไร?"หลังรายงานสถานการณ์เสร็จ ชวีจื้อก็ถามหยุนเจิงอีกครั้งเชลยเพียงร้อยกว่านาย จะให้ส่งคนไปคุมตัวกลับไปอย่างเดียวก็คงไม่สมควรการพาเชลยเหล่านี้ติดไปด้วยดูจะลำบากไม่น้อยพวกเขามีคนอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังต้องแบ่งกำลังไปคุมตัวเชลยศึกเหล่านี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เชลยหลบหนีและนำความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ของพวกเขาไปเปิดเผยออกไปไม่ว่าคิดอย่างไร ก็ดูจะเป็นการเสียเวลาหยุนเจิงยิ้ม ก่อนยกมือขึ้นป้องแสงที่หน้าผาก "วันนี้อากาศดีมาก!"ห้ะ?ชวีจื้อมองหยุนเจิงอย่างมึนงงอา
เป่ยหวนเจียเหยาได้รับแผนการรบที่หยุนเจิงให้คนส่งมาให้แล้วก่อนหน้านี้ หยุนเจิงไม่ได้บอกแผนการรบ เนื่องจากการส่งข้อมูลด้วยรหัสลับมีความยาวจำกัด หยุนเจิงไม่สามารถเขียนแผนการรบอย่างละเอียดส่งให้นางได้แต่เมื่อส่งคนมาส่งข่าว ก็สามารถอธิบายแผนการได้อย่างชัดเจนเจียเหยาไม่แน่ใจว่าแผนนี้ของหยุนเจิงจะสำเร็จหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว กุ่ยฟางก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคนฉลาดหากแผนการของหยุนเจิงถูกเปิดโปง และหากนางเป็นทัวต๋า นางคงจะรีบสั่งการโจมตีอย่างรุนแรงใส่กองทัพที่หยุนเจิงประจำการอยู่ในทันที เพื่อบีบบังคับให้อวี่ซื่อจงและกองกำลังของเขาต้องไปสนับสนุนหยุนเจิงทางด้านนั้น และใช้โอกาสนี้ทำลายแผนการของหยุนเจิงให้พังทลายลงในคราวเดียว!ไม่แน่อาจมีโอกาสสังหารหยุนเจิงได้ด้วยสังหารหยุนเจิง?ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองของเจียเหยาบอกแผนการของหยุนเจิงให้กุ่ยฟางรู้!ใช้มือของกุ่ยฟางกำจัดหยุนเจิง!ตราบใดที่หยุนเจิงไม่ได้ตายในมือของเป่ยหวน และกองทหารมณฑณทางเหนือไม่มีหลักฐานว่านางได้เปิดเผยแผนการให้เป่ยหวน บรรดาแม่ทัพของกองทหารมณฑณทางเหนือก็จะไม่สามารถว่าอะไรนางได้!เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้น ก็เหมื
หนึ่งวันต่อมา อวี่ซื่อจงส่งคนควบม้าด่วนมาถึงค่ายใหญ่ของเจียเหยา“พรุ่งนี้เที่ยงวัน กองกำลังของเราจะเข้าสู่ตำแหน่งโจมตี สั่งให้กองของท่านปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ นำทัพเป่ยหวนเข้าโจมตีศัตรูอย่างฉับพลัน ขณะที่แม่ทัพอวี่จะนำกองกำลังบุกออกจากด้านหลังของศัตรู...”ผู้ส่งคำสั่งกล่าวคำสั่งอย่างรวดเร็วเมื่อฟังคำพูดของผู้ส่งคำสั่ง สีหน้าของเจียเหยาและนายทหารเป่ยหวนคนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยดีนักคำสั่ง!อวี่ซื่อจงกำลังสั่งเจียเหยา!หากนี่เป็นคำสั่งของหยุนเจิง พวกเขาคงไม่ถึงกับโกรธขนาดนี้แต่อวี่ซื่อจงเป็นตัวอะไร?อวี่ซื่อจงก็แค่แม่ทัพคนหนึ่งในใต้บัญชาของหยุนเจิงเท่านั้น!ถึงอย่างไร เจียเหยาก็เป็นถึงองค์หญิงผู้สำเร็จราชการของเป่ยหวน ยังมีตำแหน่งพระชายารองของหยุนเจิงอีกด้วยการที่อวี่ซื่อจงสั่งเจียเหยาโดยตรง ดูอย่างไรก็เหมือนเป็นการดูถูกเป่ยหวน“แม่ทัพอวี่ช่างวางท่าเสียจริง!”ปู้ตูแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ“ไม่ใช่ว่าแม่ทัพอวี่วางท่า แต่เป็นพวกเจ้าต่างหากที่วางท่าใหญ่!”ผู้ส่งคำสั่งไม่เกรงกลัวสายตาของปู้ตูเลยแม้แต่น้อย กลับจ้องตาปู้ตูพลางกล่าวว่า “แม่ทัพอวี่เป็นแม่ทัพใหญ่สำหรับศึ
กุ่ยฟางด้วยกองทหารมณฑณทางเหนือค่อยๆ รุกคืบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ความกดดันที่ทัวต๋าและแม่ทัพกุ่ยฟางทั้งหลายต้องเผชิญก็ยิ่งทวีมากขึ้นข่าวดีเพียงอย่างเดียวคือ กองทหารมณฑณทางเหนือยังไม่ได้เปิดการโจมตีแบบสายฟ้าแลบใส่พวกเขากองทหารมณฑณทางเหนือใช้แผนการสารพัดรูปแบบ พยายามแสร้งทำเป็นเปิดช่องโหว่ผู้มีสายตาเฉียบคมต่างมองออกว่า กองทหารมณฑณทางเหนือต้องการล่อลวงให้พวกเขาโจมตีออกมาก่อน เพื่อกำจัดกองทหารม้าของพวกเขาในคราเดียวนี่เป็นไปตามวิธีการที่หยุนเจิงใช้เสมอมาทัวต๋าได้ยินมานานแล้วว่า เมื่อหยุนเจิงเข้าต่อสู้กับใคร ไม่ว่าเขาจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบในกำลังพล เขาก็มักจะใช้กลยุทธ์ที่แยบยลเอาชนะ มากกว่าจะพึ่งพาการโจมตีที่รุนแรงอย่างเดียวสำหรับทัวต๋าแล้ว ก็นับว่าเป็นข่าวดีประการหนึ่ง!พวกเขาเองก็ต้องการเวลาเช่นกันพวกเขาไม่เพียงแต่ต้องรอรวมพลกับกองทัพอีกสายหนึ่ง แต่ยังต้องรอข่าวจากคนที่ส่งไปหาต้นน้ำอีกด้วยในที่สุด คนที่ทัวต๋าส่งไปก็กลับมาแล้วพวกเขาพบแหล่งน้ำที่ทางใต้ของทะเลทรายอูปู้ลู่ ทว่า ด้วยความเร็วในการเดินทัพของพวกเขา กว่าจะไปถึงแหล่งน้ำนั้นก็ต้องใช้เวลาราวสิบวันแต่สำหรับทัว
ไม่นาน แม่ทัพที่เคยขอร้องแทนทัวฮวนถูกจับกุมทั้งหมดทัวต๋าไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาแก้ตัวแม้แต่น้อย เขาคัดเลือกคนจากทหารองครักษ์ของตนมาทำหน้าที่แทนตำแหน่งทั้งสามโดยทันทีในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องควบคุมอำนาจในกองทัพให้มั่นคงแม้ทุกอย่างจะถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ทัวต๋ายังไม่สามารถสงบความโกรธของตนได้ทุกครั้งที่คิดถึงการทรยศของทัวฮวนและบุตร ทัวต๋าก็แทบอยากจะสับพวกมันเป็นชิ้นๆ"รายงาน! รายงาน..."ขณะที่ทัวต๋ายังคงโกรธจัด ก็มีทหารหลายคนขี่ม้าพุ่งเข้ามาด้วยสภาพย่ำแย่ไม่นาน พวกเขาก็ถูกนำตัวมายืนอยู่ต่อหน้าทัวต๋าเมื่อเห็นรูปร่างของผู้มา ทัวต๋าแทบตกจากหลังม้ามู่ลี่จวี!คนที่มาเป็นมู่ลี่จวีงั้นหรือ?ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสวมเกราะของทหารธรรมดา!แม้มู่ลี่จวีจะยังไม่ได้เอ่ยปาก ทัวต๋าก็พอเดาได้ว่ามู่ลี่จวีจะพูดอะไรมู่ลี่จวีรีบกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความตื่นตระหนก ทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้นดัง "พึ่บ!" พร้อมทั้งส่งเสียงร้องคร่ำครวญดังลั่น “กราบทูลราชา กระหม่อมขอรายงานว่า ขณะนำกองกำลังถอยทัพกลับ ถูกกองกำลังเป่ยหวนจู่โจมอย่างกะทันหัน ในระหว่างที่กองกำลังของกระหม่อมกำลังต่อสู้กับเป่ยห
รวมกับกำลังพลของพวกเขาเองแล้ว การระดมทหารเจ็ดถึงแปดหมื่นพร้อมแรงงานชาวบ้านน่าจะเป็นไปได้เมื่อถึงตอนนั้น การประกาศว่าเป็นกองทัพแสนหนึ่งพร้อมบุกกดดันชนเผ่าโม่ซี น่าจะสร้างความกดดันได้ไม่น้อยคงต้องดูปฏิกิริยาของชนเผ่าโม่ซีก่อนในเวลานี้ ถ้าเลี่ยงการโจมตีได้ เขาก็จะไม่เลือกโจมตีอย่างแน่นอนพวกเขาเพิ่งตีโฉวฉือได้ และจับเชลยศึกได้มากมาย ย่อมต้องใช้เวลาเพื่อจัดการความยุ่งเหยิงนี้รอให้จัดการกองงานยุ่งเหยิงพวกนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน อย่าว่าแต่เปิดศึกเลย แค่พวกเขาขยับตัวนิดหน่อย ชนเผ่าโม่ซีก็คงต้องตัวสั่นงันงกแล้ว...สองวันต่อมา หยุนเจิงเดินทางถึงนอกเมืองอวี้เฟิง โดยมีกองทหารองครักษ์และทหารม้าชั้นยอดสองพันนายคุ้มกัน และได้พบกับตู๋กูเช่อระหว่างทาง พวกเขาเจอเข้ากับกองกำลังต่อต้านขนาดเล็กแต่กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงไม่ได้ลงมือเลย ทหารม้าชั้นยอดเพียงสองพันนายก็สามารถกำจัดกองกำลังต่อต้านนี้ได้หมดหลังจากทักทายกันสั้นๆ ตู๋กูเช่อก็เริ่มรายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้หยุนเจิงฟังในตอนนี้ กองกำลังป้องกันเมืองอวี้เฟิงที่เป็นทหารจริงๆ มีอยู่ประมาณสองหมื่นนายทหารสองหมื่นนายนี้ประกอบด้วยคนที่หย
สองวันต่อมา ฉินชีหู่ได้นำกองทหารม้าสองพันนายเร่งมาถึงด่านเทียนฉงทว่า มาไม่ใช่กองทหารโลหิต แต่เป็นทหารม้าสองพันนาย"ทำไมถึงเป็นเจ้าที่มา?"หยุนเจิงถามฉินชีหู่ด้วยความแปลกใจเล็กน้อย"ทำไมข้าจะมาไม่ได้เล่า?"ฉินชีหู่ยิ้มซื่อๆ พลางถามหยั่งเชิงว่า "น้องรัก เจ้ายังไม่หายโกรธข้าอีกหรือ?""ถ้าข้าโกรธ เจ้าคงถูกไล่กลับไปทบทวนตัวเองที่กองหลังนานแล้ว!" หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้มๆ "ว่าแต่ เจ้าคิดออกหรือยัง?"พอพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของฉินชีหู่ก็แดงขึ้นเล็กน้อย เขาหัวเราะแห้งๆ "คิดออกแล้ว""งั้นหรือ?"หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย "เจ้าคิดได้เอง หรือมีใครบอกเจ้า?"ฉินชีหู่หัวเราะเขินๆ "ข้าไปถามรองแม่ทัพมา แต่รองแม่ทัพไม่บอกอะไร แค่สั่งมอบกองทหารม้าสองพันนายให้ข้า แล้วให้ข้ากับหลูซิ่งแยกกันจัดการกลุ่มต่อต้านของโฉวฉือ โดยให้ข้าบังคับบัญชาหน่วยของหลูซิ่งอีกด้วย..."แม้ฉินชีหู่จะซื่อและตรง แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่นี่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจกระจ่างการที่ตนบัญชาการกองทัพสองสาย และต้องออกคำสั่งไปยังอีกสายหนึ่ง แค่คิดให้มากขึ้นอีกนิดก็เข้าใจได้เมื่อคิดออกแล้ว เขาจึงเข้าใจถึงเจตนาที่ดีของตู๋กูเช่อถึงตู๋กูเ
การชนะโดยไม่ต้องรบคือกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมที่สุด“กระหม่อมเข้าใจแล้ว”จั่วเหรินพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่องหลังจากทั้งสองสนทนากันได้สักพัก หยุนเจิงก็เตรียมตัวไปพบกับตู๋กูเช่อ แต่กลับถูกจั่วเหรินและเมี่ยวอินห้ามไว้เพราะตอนนี้พวกเขายังอยู่ในดินแดนของศัตรูกองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงมีจำนวนน้อย หากบังเอิญเจอศัตรูที่ยังขัดขืนและซุ่มโจมตี จะทำอย่างไร?แม้ความเป็นไปได้จะต่ำมาก แต่ก็ยังต้องระวังไว้ก่อนเนื่องจากตอนนี้กองกำลังที่ด่านเทียนฉงมีเพียงทหารราบ จั่วเหรินจึงไม่สามารถส่งพวกเขาไปคุ้มกันหยุนเจิงได้ จึงขอให้หยุนเจิงพักผ่อนที่ด่านเทียนฉง และส่งคนไปแจ้งตู๋กูเช่อให้ส่งกำลังมารับหยุนเจิงแทนหยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยอมรับข้อเสนอนี้หลังจากที่เดินทางไกลมาหลายวัน คนและม้าก็จำเป็นต้องพักผ่อนในเมื่อตู๋กูเช่อได้เตรียมงานสำหรับการเคลื่อนทัพไปยังชนเผ่าโม่ซีไว้เรียบร้อยแล้ว การรออีกหนึ่งหรือสองวันก็ไม่ได้ทำให้เรื่องสำคัญล่าช้า อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้เขาได้วางแผนงานต่อไปค่ำคืนนั้น หยุนเจิงและเมี่ยวอินก็ได้อาบน้ำด้วยกันอย่างสบายใจที่ด่านเทียนฉงถึงแม้เมี่ยวอินจะติดตามหยุนเจิงมาตลอด
จางฮว๋าย…สิ้นไปแล้วหรือ?แม้ตอนที่จางซูเดินทางกลับเมืองหลวง หยุนเจิงก็พอคาดเดาได้ว่าจางฮว๋ายในครานี้คงจะไม่รอดแล้ว แต่เมื่อได้รับข่าวนี้ เขาก็ยังเผลอหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งโดยไม่รู้ตัวภาพของผู้เฒ่าจางฮว๋ายค่อยๆ ลอยขึ้นมาในห้วงความคิดของหยุนเจิงพูดตามตรง ตอนแรกหยุนเจิงไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อผู้เฒ่าจางฮว๋ายสักเท่าไรโดยเฉพาะเรื่องที่ผู้เฒ่าผู้นี้มักจะสนับสนุนแนวทางประนีประนอมในกรณีของเป่ยหวนอยู่เสมอแต่ต่อมา เมื่อเขาได้เข้าใจในตัวจางฮว๋ายมากขึ้น ความประทับใจของเขาที่มีต่อผู้เฒ่าคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นผู้เฒ่าผู้นี้แม้จะดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้หัวดื้อจนเกินไปนอกจากนี้ ผู้เฒ่าผู้นี้ยังเป็นขุนนางที่จงรักภักดีอย่างแท้จริงน่าเสียดายจริงๆ!เขาไม่ได้มีโอกาสไปพบจางฮว๋ายเป็นครั้งสุดท้ายขณะที่หยุนเจิงถอนหายใจเงียบๆ จั่วเหรินก็เริ่มเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมจางฮว๋ายสิ้นใจในวันที่สิบสองของเดือนเก้าจักรพรรดิเหวินรงโศกเศร้าอย่างยิ่ง ถึงกับงดราชกิจเป็นเวลาหนึ่งวันเพื่อแสดงความอาลัยในการป่วยจากไปของจางฮว๋าย จักรพรรดิเหวินยังทรงพระเมตตาอย่างล้นพ้น โดยพระราชทานแผ่นป้ายส
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!”หยุนเจิงขมวดคิ้วพูด “หากข้าปลดเสื้อผ้าเจ้าที่นี่ คนที่เสียหน้าก็ยังคงเป็นเจ้าเอง!”เมื่อเห็นหยุนเจิงเริ่มไม่พอใจ เจียเหยาก็หยุดเรื่องนี้ทันที“ข้ามีคำถามสุดท้ายอยากถาม”เจียเหยาพยายามดึงเรื่องกลับมาที่ประเด็นหลัก“เรื่องอะไรล่ะ?”หยุนเจิงถามด้วยน้ำเสียงสบายๆเจียเหยาจ้องมองหยุนเจิง “เหตุใดท่านถึงไม่ใช้ของที่ใช้ระเบิดเปิดเขานั่นทำลายด่านเทียนฉงของโฉวฉือไปเลย? ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้าว่า หากด่านนั้นถูกตีแตกเร็วกว่านี้ ท่านจะไม่ต้องสู้กันอย่างเหนื่อยยากที่แม่น้ำซัวเล่ย”เวรเอ๊ย!หญิงคนนี้ถึงขั้นสงสัยเรื่องนี้แล้วรึ?นางช่างทำให้ข้าไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเลยจริงๆ!“ทำไมข้าต้องทำลายด่านเทียนฉงด้วยเล่า?”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากข้าทำลายด่านเทียนฉงไปแล้ว เจ้าจะส่งคนมาช่วยข้าสร้างใหม่หรืออย่างไร?”“เพียงเพราะเหตุนี้เองหรือ?”เจียเหยาฟังแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง“เจ้าสงสัยหรือว่าข้าไม่มีสิ่งนั้นอยู่ในมือแล้ว?”หยุนเจิงมองเจียเหยาด้วยรอยยิ้มปริศนา “รอจนชั้นน้ำแข็งของแม่น้ำไป๋สุ่ยหนาพอ ข้าก็คิดจะใช้สิ่งนั้นระเบิดเปิดเขาที่ปากทางภูเขาหลางหยา แล้วส
เจียเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็นึกไม่ออกว่าหยุนเจิงมีจุดประสงค์อื่นอะไร จึงได้แต่ถามเขาด้วยท่าทีคล้ายขอคำชี้แนะ“ไม่ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิดหรอก”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “กองทหารมณฑณเหนือข้าส่งมาแต่ทหารฝีมือดี จะไม่ล้มซักแคว้นได้อย่างไร?”ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูหรือ?เจียเหยาครุ่นคิดก่อนถามต่อ “ถ้าท่านคิดจะฆ่าไก่ให้ลิงดู การทำลายล้างกุ่ยฟางน่าจะน่ากลัวกว่าการทำลายโฉวฉือใช่หรือไม่?”เพราะว่ากุ่ยฟางแข็งแกร่งกว่าโฉวฉือมาก“เจ้าก็พูดเองว่า ข้าต้องการเปิดเส้นทางไปยังชนเผ่าโม่ซี”หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนมองเจียเหยาด้วยความสนใจ “ว่าแต่ เจ้าสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม? หรือว่าอาการหวาดระแวงของเจ้ากำเริบอีกแล้ว?”หวาดระแวงงั้นหรือ?เจียเหยาแอบหัวเราะขื่นๆนางก็ดูจะมีอาการหวาดระแวงอยู่บ้างจริงๆนางกังวลว่าหยุนเจิงเก็บกุ่ยฟางไว้เพื่อกดดันเป่ยหวนแต่เขาก็ได้ใช้ตัวตายตัวแทนอย่างทัวฮวนแล้ว ดังนั้นการที่กุ่ยฟางจะล่มสลายหรือไม่ก็ดูจะไม่ต่างกันนักในแง่ของการกดดันเป่ยหวนนางรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติอยู่แต่ก็คิดไม่ออกว่าปัญหานั้นคืออะไรและนั่นทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไ
หวั่น...ไหว?เจียเหยาชะงักไป ราวกับถูกคำถามของเมี่ยวอินทำให้สับสนหยุนเจิงมีทั้งความแค้นของชาติและครอบครัวกับนาง เมี่ยวอินถามคำถามแบบนี้ได้อย่างไร?หรือเมี่ยวอินคิดว่านางจะปล่อยวางความแค้นทั้งหมดได้?เจียเหยามองเมี่ยวอินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้ากำลังลองใจข้าหรือ?”“ข้าจะลองใจเจ้าทำไม?”เมี่ยวอินปฏิเสธทันที “ข้าแค่คิดว่า ในแง่หนึ่ง เจ้าและหยุนเจิงเป็นคนประเภทเดียวกัน! แม้จะมีความแค้นต่อกัน แต่พวกเจ้าคงจะมีความนับถือกันในใจบ้าง”เป็นเช่นนั้นหรือ?เจียเหยาดูเหมือนจะยังไม่แน่ใจนัก นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าเจ้าว่ามีความนับถือกัน ข้าคิดว่าคงมีบ้าง! แม้ยามที่ข้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ข้าก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเขาคือคู่ต่อสู้ที่น่ายกย่อง การได้พบเขาในสนามรบถือเป็นโชคดี...และโชคร้ายในคราวเดียวกัน”เมี่ยวอินเม้มริมฝีปากเบาๆ มองเจียเหยาด้วยความสนใจ “โชคร้ายน่ะข้าเข้าใจ แต่โชคดีล่ะ หมายความว่าอย่างไร? หรือแค่เพราะได้พบคู่ต่อสู้อย่างเขา?”“เพราะเขามีขีดจำกัดในสิ่งที่เขาจะทำ”เจียเหยาพูดออกมาเบาๆ “ข้าหวังว่าเขาจะมีขีดจำกัดเช่นนี้ตลอดไป...”ขีดจำกัดหรือ?เมี่ยวอิ
ค่ำคืนนั้น หยุนเจิงเรียกอวี่ซื่อจงและชวีจื้อเข้ามาในกระโจมเพื่อสั่งการระหว่างที่กำลังพูดคุยกัน เสียงองครักษ์ด้านนอกดังขึ้นว่า “ฝ่าบาท องค์หญิงเจียเหยาขอเข้าเฝ้า”เจียเหยา?หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยตัวเขาเพิ่งคุยกับเจียเหยาไปเมื่อครู่นี้เองไม่ใช่หรือ?นางมาหาตนอีกทำไมกัน?ข้าให้เสบียงไปมากมายแล้ว นางยังต้องการอะไรอีก?หรือว่านางจะมาเล่นบทเศร้า หรือใช้เรือนร่างอันงดงามของนางมาทดสอบจิตใจข้า?เมื่อเห็นหยุนเจิงเงียบไป อวี่ซื่อจงจึงพูดอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้น พวกเรามาคุยกันอีกทีภายหลังดีไหม?”“ไม่ต้องสนใจ เรามาคุยกันต่อ”หยุนเจิงโบกมือ และพูดกับองครักษ์ด้านนอกว่า “ข้ามีธุระ ให้มาหาข้าทีหลัง!”“ขอรับ!”หยุนเจิงเลิกคิดฟุ้งซ่าน และสั่งการอวี่ซื่อจงกับชวีจื้อต่อเขายังต้องไปที่ด่านเทียนฉง งานเกี่ยวกับการถอนทัพที่นี่ จึงต้องฝากให้อวี่ซื่อจงและชวีจื้อเป็นผู้รับผิดชอบด้านนอกกระโจม เจียเหยาไม่ได้จากไป แต่ถอยออกไปยืนรอเงียบๆไม่นานนัก เมี่ยวอินที่ทำงานเสร็จเดินผ่านมา และเห็นเจียเหยายืนอยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย“เจ้ามายืนตรงนี้ทำไม?”เมี่ยวอินเดินเข้ามา มองเจียเหยาด้วย
นางรู้ดีว่า หากต้องการบีบให้กุ่ยฟางยอมจำนน จำเป็นต้องมีกำลังทหารมากพอที่จะกดดันพวกกุ่ยฟางหยุนเจิงจะต้องให้นางนำกองทหารม้าหมื่นนายออกไปยังกุ่ยฟางแน่นอนนางจึงต้องการซื้อเสบียงจากหยุนเจิงล่วงหน้า เพื่อใช้เป็นเสบียงสำหรับกองทัพหมื่นนายความตั้งใจของเจียเหยานั้นง่ายมากเมื่อนางเจรจาต่อรองกับกุ่ยฟางสำเร็จ และได้ผลประโยชน์จากกุ่ยฟางแล้ว นางจะนำทองคำและเงินมาชำระค่าเสบียงหรือในภายหลัง อาจคืนเสบียงให้หยุนเจิงแทนก็ได้พูดง่ายๆ คือขอล่วงหน้าก่อน!แต่อย่างไรก็ดี นางย่อมอยากใช้ทองคำและเงินซื้อเสบียงมากกว่าหลังจากเคยเผชิญความยากลำบากเพราะขาดเสบียง นางยอมสะสมเสบียงไว้มากกว่าเก็บทองคำและอัญมณี“จริงๆ แล้ว เสบียงของเราก็ขาดแคลนเช่นกัน”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “เจ้าคิดหรือว่าเรามีเชลยครั้งนี้กี่คน? เจ้าคิดว่าเชลยเหล่านี้ไม่กินไม่ดื่มหรือ? หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกเถื่อนทางเหนือ ที่พาเชลยกลับไปกินแทนอาหาร?”เชลยแสนคนเชียวนะ!ต้องใช้เสบียงมากแค่ไหนเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา?และไม่ใช่ว่าพาเชลยพวกนี้กลับไปแล้วจะไม่ต้องใช้เสบียงตราบใดที่คนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ต้องกินเสบียงทุกวันนางยังคิดว่