เมื่อได้รับคำตอบยืนยัน หยุนเจิงก็ทั้งหงุดหงิดและขำไปพร้อมกันโธ่เว้ย!พวกเขาเหนื่อยมาตั้งนาน สุดท้ายกลับกลายเป็นช่วยโหลวอี้ให้ได้ประโยชน์ไป!หยุนเจิงสั่งให้ชวีจื้อและคนอื่นๆ เคลื่อนทัพต่อไป และเรียกภูตสิบห้า "ตามข้ามา!"ไม่นาน หยุนเจิงและภูตสิบห้าก็แยกออกมาคุยกัน"ภูตเก้ามีแผนอะไรบ้าง?"หยุนเจิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย "เขาคงไม่ปล่อยให้โหลวอี้นำกองทัพถอยกลับอย่างสบายๆ ใช่ไหม?"ภูตสิบห้าตอบทันที "ข้าน้อยกับภูตสิบหกกลับมาแจ้งข่าว ภูตเก้ามีแผนจะนำพี่น้องคนอื่นปลอมตัวเป็นทหารโฉวฉือ แทรกซึมเข้าไปในกองกำลังศัตรู เพื่อหาโอกาสลอบสังหารทหารแคว้นต้าเย่ว์ และจุดชนวนความขัดแย้งในกองทัพศัตรู หวังให้พวกเขาต่อสู้กันเอง!""ยอดเยี่ยม!"หยุนเจิงพยักหน้าอย่างพอใจ "ทหารของเราที่สมรภูมิแม่น้ำซัวเล่ยได้เริ่มไล่ล่าศัตรูหรือยัง?""ยังขอรับ"ภูตสิบห้าพยักหน้า "ต่งกังและฝูเทียนเหยียนมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ต่งกังต้องการนำทัพใหญ่ไล่ล่า แต่ฝูเทียนเหยียนกังวลว่าเชลยศึกที่เพิ่งยอมจำนนอาจหักหลังในสนามรบ จึงคัดค้านแผนนี้! ต่งกังตั้งใจนำทหารม้า 5,000 นาย พร้อมกำลังของจู่ลู่ไปไล่ล่าศัตรู และให้ข้าน้อยช่วยมาขออนุญา
การที่ช่วยให้โหลวอี้ได้ประโยชน์ ทำให้หยุนเจิงไม่พอใจอย่างมากพูดตามตรง นี่ก็เป็นความผิดพลาดของเขาเอง!เขาวางแผนมาหลายชั้น แต่ไม่ได้คาดว่าโหลวอี้จะลอบสังหารอวี้ไท่และบังคับยึดกองทัพโฉวฉือยิ่งไปกว่านั้น เถี่ยจวี้ น้องชายของเถี่ยสงยังทรยศอีกด้วย!ไม่แน่ว่า ตั้งแต่ที่เขาเริ่มวางแผนเกี่ยวกับเถี่ยสง โหลวอี้อาจเตรียมการก้าวนี้ไว้แล้วสารเลว!ช่างใจเด็เหลือเกิน!ยึดทหารที่แตกพ่ายของโฉวฉือก็ว่าแย่แล้ว แต่เขายังหลอกทหารหนึ่งหมื่นนายออกมาจากช่องเขาเทียนฉง แล้วยึดเสบียงที่ขาดแคลนไปอีก!ครั้งนี้ เขาถูกโหลวอี้สั่งสอนบทเรียนอย่างเจ็บแสบจริงๆถ้าคนไม่เหี้ยมก็ยืนหยัดไม่ได้!เขาทำลายชื่อเสียงของเถี่ยสง ใช้กำลังคนและเสบียงมากมายสร้างป้อมปราการแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นการปูทางให้โหลวอี้ใช้ประโยชน์!เวรเอ้ย!สักวันไอ้เด็กเมื่อวานซืจจะต้องได้คายสิ่งที่กลืนเข้าไปออกมาพร้อมดอกเบี้ยแน่!มันคิดว่าการยึดกองทัพโฉวฉือจะช่วยรักษาแคว้นต้าเย่ว์ได้อย่างนั้นหรือ?แคว้นต้าเย่ว์ บิดาจะทำลายให้สิ้น!หยุนเจิงคิดในใจอย่างโกรธแค้น"ไม่น่าเชื่อเลยว่าเถี่ยสงกับเถี่ยจวี้จะทรยศเข้าร่วมกับโหลวอี้ได้ง่ายขนาดนี้!"
หยุนเจิงรู้สึกหงุดหงิดในตอนแรกแต่หลังจากถูกเมี่ยวอินเย้าแหย่ไปสักพัก อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้น"ช่างเถอะ!""ทางนั้นปล่อยให้พวกตู๋กูเช่อจัดการก็แล้วกัน!"ถึงแม้โหลวอี้จะนำกองทัพกลับแคว้นต้าเย่ว์ได้อย่างปลอดภัย ก็ไม่เป็นไรอย่างไรเสีย โฉวฉือก็จบสิ้นแล้ว!เมื่อเปิดเส้นทางนี้ได้ พวกเขาสามารถคุกคามชนเผ่าต่างๆ ทางทิศตะวันตกของทะเลทรายได้ทุกเมื่อนี่ยังช่วยแก้ปัญหาให้เสด็จพ่อได้ไม่น้อยเมื่อกลับไป ตาแก่คนนั้นจะต้องให้รางวัลตนแน่นอน!อืม... หวานเจี๊ยบ!ขณะที่หยุนเจิงกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ชวีจื้อที่เป็นทัพหน้าได้ส่งคนมารายงานว่า พบร่องรอยของกองกำลังศัตรูแล้ว ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ถึงสิบห้าลี้ ชวีจื้อจึงวางแผนจะนำกองทัพเข้าโจมตีเชิงทดลองเพื่อสำรวจความแข็งแกร่งของศัตรู"บอกชวีจื้อ ถ้าเขารบไม่เป็น ข้าจะให้หวังชี่มาคุมแทน! หวังชี่ไม่ใช่คนที่นำทัพม้าไม่ได้!"หยุนเจิงตอบกลับประโยคเดียว และไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมไม่นาน คนของชวีจื้อได้นำคำพูดของหยุนเจิงกลับไปอย่างครบถ้วน"ท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร?"รองแม่ทัพถามชวีจื้อด้วยความสงสัย"จะเป็นอะไรได้อีก?"ชวีจื้อยิ้มเจื่อน "ฝ
เมื่อเผชิญกับการกดดันอย่างต่อเนื่องจากทหารม้ากุ่ยฟาง ชาวเฉวียนหรงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงกัดฟันพุ่งไปข้างหน้ากองทัพม้าของกองทหารมณฑณทางเหนือที่อยู่ตรงหน้ามีจำนวนน้อยกว่าเล็กน้อยหากฝ่าฟันไปได้ อาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิตแต่กองทหารมณฑณทางเหนือไม่ได้เปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าใกล้เมื่อชาวเฉวียนหรงพุ่งเข้าไป ทหารกองทหารมณฑณทางเหนือก็ถอยหลังเพื่อเว้นระยะ และยิงธนูใส่อีกครั้งทุกครั้งที่ชาวเฉวียนหรงก้าวไปข้างหน้า จะต้องมีคนล้มลงทว่า อาเคอถูไม่สนใจชีวิตของชาวเฉวียนหรงเลยตราบใดที่ชาวเฉวียนหรงยังพุ่งไปข้างหน้าได้ก็ดีแล้วจุดประสงค์ของพวกเขาคือการถ่วงความเร็วของกองทหารมณฑณทางเหนือ เพื่อให้กองทัพหลักมีเวลาถอยมากขึ้นในขณะที่ทหารม้ากุ่ยฟางบังคับชาวเฉวียนหรงให้พุ่งไปข้างหน้า ชวีจื้อก็นำทหารม้าอีก 3,000 นายเข้ามาโจมตี“ผู้ยอมจำนน ไว้ชีวิต!”ทหารม้า 3,000 นายตั้งหอกปลายแหลม พุ่งเข้าหาชาวเฉวียนหรงที่กำลังสับสน พร้อมกับตะโกนเสียงดังสำหรับการต่อสู้ลักษณะนี้ ชวีจื้อมีประสบการณ์อยู่แล้วก่อนหน้านี้ เป่ยหวนก็เคยอยากใช้ชาวเมิ่งกู่และเจินเกอเป็นทหารที่พระองค์ทรงเรียกว่ากองกำลังเนื้อหุ้มกระสุนมิใช่
ชุดเกราะของเชลยทั้งหมด ไม่ว่าจะสภาพดีหรือไม่ดี ถูกถอดออกหมดอาวุธที่ดูยุ่งเหยิงของชาวเฉวียนหรงถูกยึดและกองรวมกันไว้ข้างๆชวีจื้อควบม้าเข้ามา "ฝ่าบาท อาวุธและชุดเกราะเหล่านี้จะให้หาที่ฝังไว้ก่อนหรือไม่?""อืม!"หยุนเจิงพยักหน้า "หาที่ซ่อนดีๆ ฝังไว้ก็พอ อย่าเสียเวลามากนัก!"พวกเขาไม่สามารถพกพาอาวุธและชุดเกราะที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ไปได้ และไม่อาจให้คนที่คุมเชลยนำกลับไปพร้อมกัน การทิ้งไว้เฉยๆ ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีทำได้เพียงฝังไว้ก่อน เมื่อศึกนี้จบค่อยขุดออกมาและนำกลับไปหรืออาจให้เป็นรางวัลแก่ชนเผ่าเป่ยหมัวถัวไม่ว่าจะอย่างไร ก็จะตัดสินใจอีกทีตามสถานการณ์ชวีจื้อรับคำสั่งและจัดการทันทีไม่นาน ทุกคนก็ฝังอาวุธและชุดเกราะที่ยึดมาได้ทั้งหมด หวังชี่ส่งทหาร 2,000 นายที่ไม่มีม้าไปคุมตัวเชลยกลับไปด้วยวิธีนี้ คนที่เหลืออยู่ทั้งหมดกลายเป็นทหารม้าแน่นอนว่า ทหารม้าจริงๆ มีเพียง 5,000 นายที่ชวีจื้อนำส่วนหวังชี่และคนของเขาอีก 5,000 นาย มีความสามารถรบด้วยเท้าแข็งแกร่งกว่าบนหลังม้าหยุนเจิงสั่งให้กองทัพพักผ่อนและดูแลม้า ก่อนเรียกหวังชี่และชวีจื้อมาพบ "จากนี้ไป เราไม่สามารถมองตัวเองว่าเป็นเ
หลังจากอาเคอถูนำกองทัพถอยทัพ เขาได้ทิ้งกำลังพลส่วนน้อยไว้เพื่อสอดแนมทิศทางของศัตรู ส่วนตัวเขานำกองทัพหลักกลับไปรวมตัวกับกองทัพใหญ่ทันทีเมื่อฟังรายงานของอาเคอถู เคราหยาบของทัวต๋ากระตุกอย่างต่อเนื่อง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแม้สุดท้ายจะตัดสินใจถอยทัพ แต่ทัวต๋ายังคงรู้สึกไม่พอใจ เก็บความคับข้องใจไว้ในใจนี่ทำให้ทัวต๋าอารมณ์ไม่ดีมาหลายวันเพียงมีอะไรไม่ถูกใจเล็กน้อย เขาก็จะระเบิดอารมณ์โกรธออกมาในขณะนี้ เมื่อได้ทราบว่ากองกำลังหนึ่งหมื่นนายของเฉวียนหรงพ่ายแพ้อย่างย่อยยับถึงเพียงนี้ ทัวต๋าก็เดือดดาลขึ้นมาในทันที ราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว"ชาวเฉวียนหรงพวกนี้มันขยะสิ้นดี! ไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิง! การให้พวกมันมีชีวิตอยู่ก็แค่เปลืองเสบียงเท่านั้น..."ทัวต๋าอดไม่ได้ที่จะด่าทอชาวเฉวียนหรงอย่างรุนแรง ระบายความโกรธและความคับข้องใจออกมาสำหรับชาวเฉวียนหรง กองทัพส่วนใหญ่ของกุ่ยฟางไม่มีความรู้สึกดีต่อพวกเขาชาวเฉวียนหรงเป็นเหมือนหญ้าที่ลมพัดไปทางไหนก็เอนตามทางนั้นใครแข็งแกร่งก็ยอมสยบต่อผู้นั้น!แต่เดิม ชาวเฉวียนหรงเป็นของกุ่ยฟางต่อมา เมื่อเป่ยหวนแข็งแกร่งขึ้น ชาวเฉวียนห
"เสด็จพ่อระงับพิโรธด้วยเถิด"ชื่อเหยียนรีบก้าวออกมาเพื่อช่วยแก้สถานการณ์ให้กับอาเคอถู "ในเมื่ออาเคอถูส่งคนไปจับตาสถานการณ์ของศัตรูแล้ว เรารออีกสักหน่อยก็ไม่เสียหาย แม้ว่ากองทหารมณฑณทางเหนือจากแม่น้ำซัวเล่ยจะมา ก็ต้องใช้เวลาพ่ะย่ะค่ะ..."ชื่อเหยียนรู้ดีว่าทัวต๋ากังวลเรื่องอะไรทัวต๋ากังวลว่ากองทหารมณฑณทางเหนือจากแม่น้ำซัวเล่ยจะไม่ยึดโฉวฉือ แต่กลับมาสนับสนุนกองกำลังทางนี้แทนหากเป็นเช่นนั้น แรงกดดันที่พวกเขาเผชิญจะยิ่งเพิ่มขึ้นคำปลอบโยนของชื่อเหยียนไม่ได้ช่วยอะไรเมื่อคิดถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของกองทหารมณฑณทางเหนือ ความร้อนรนในใจของทัวต๋าก็ยิ่งเพิ่มขึ้น "ส่งสายสืบเพิ่มอีก! ต้องรู้ให้ได้ว่าศัตรูมีกำลังพลเท่าไร!"มีชั่วขณะหนึ่งที่ทัวต๋าคิดจะทิ้งกองทัพใหญ่ไว้ และนำทหารองครักษ์ของเขาหลบหนีไปก่อนแต่สุดท้ายทัวต๋าก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นตอนนี้ในค่ายเริ่มมีความหวาดกลัวแพร่กระจายหากกษัตริย์เช่นเขาทิ้งกองทัพไว้และถอนตัวไปเอง ขวัญกำลังใจของทหารอาจพังทลายและในตอนนั้น กองทัพที่มีมากกว่าแสนคนจะเหลือกลับไปได้เท่าไรก็ไม่อาจรู้ได้หากพวกเขาต้องสูญเสียกำลังพลอย่างหนักหน่วงจนกุ่ยฟางไม่หลงเหลือกอง
จะรับมืออย่างไร?เมื่อเผชิญกับคำถามของทัวต๋า ขุนพลกุ่ยฟางต่างก้มหน้าหลบสายตาหากกองทัพศัตรูจากแม่น้ำซัวเล่ยมาสนับสนุนจริงๆ นอกจากการรักษาขวัญกำลังใจและจัดกองทัพให้ถอยอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาจะมีวิธีรับมืออะไรอีก?หรือว่าต้องไปสู้กับกองทหารมณฑณทางเหนือ?ไม่ต้องพูดถึงการที่กองทัพจากแม่น้ำซัวเล่ยมาช่วย แม้ว่าจะไม่ได้มาช่วย แค่คิดถึงชัยชนะอันน่าสะพรึงของหยุนเจิง พวกเขาก็ไม่กล้าโจมตีกองทหารมณฑณทางเหนือโดยประมาทอยู่แล้ว!ทัวต๋าที่เดิมทีหงุดหงิดอยู่แล้ว เมื่อเห็นท่าทางขลาดกลัวของทุกคน ก็ยิ่งโมโหจนแทบระเบิด"พูดสิ! ตอนปกติพวกเจ้ามิใช่ว่าไม่กลัวฟ้าดินหรอกหรือ? ตอนนี้ทำไมถึงไม่พูดอะไร?"ทัวต๋ามองทุกคนด้วยความโกรธ ใบหน้าเขียวคล้ำแม้ทัวต๋าจะโกรธเกรี้ยว ขุนพลทั้งหลายก็ยังคงก้มหน้าหลบสายตา พร้อมด่าทอในใจพวกเขาเพิ่งได้รับข่าวนี้ สมองยังสับสนอยู่บ้างการจะให้พวกเขาคิดหาวิธีรับมือ ก็ควรให้เวลาพวกเขาสักหน่อยสิ!แม่ทัพของศัตรูคือหยุนเจิงเชียวนะ!เจียเหยาไม่เคยชนะหยุนเจิงได้เลย แต่เมื่อสู้กับกุ่ยฟางกลับเหมือนสู้กับเด็กน้อย!ความน่ากลัวของหยุนเจิงนั้น เห็นได้ชัดพวกเขาจะคิดวิธีรับมือ ต้องใช้
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห
“หลายวันมิได้พบกัน ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่?” ในขณะที่หยุนเจิงและเยี่ยจื่อกำลังตกตะลึง เสียงเย้ยหยันของจักรพรรดิเหวินก็ดังขึ้น เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! ในใจของหยุนเจิงร้องลั่น ตาแก่คนนี้มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร? คนที่ต้องการเข้ามาในเมืองเมื่อครู่นี้ คือตาแก่คนนี้หรือ? หยุนเจิงทั้งหงุดหงิดและอึดอัด รีบลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ให้ตายเถอะ! คนที่ด่านเป่ยลู่ยังไม่รู้เลยว่าตนอยู่ที่เล่ออาน คาดว่าเว่ยหยูคงส่งคนไปแจ้งข่าวที่ติ้งเป่ยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตาแก่คนนี้ดันมาถึงที่นี่? ถ้าเขามาช้ากว่านี้สักวันก็คงจะดีไม่น้อย! เมื่อเห็นหยุนเจิงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม อู๋เซิงไท่ถึงกับยืนอึ้ง เสด็จพ่อ? บุคคลท่านนี้…คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน? อู๋เซิงไท่ยืนอ้าปากค้าง ถึงกับลืมถวายคำนับ เมี่ยวอินมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับจักรพรรดิเหวิน นึกไม่ถึงเลยว่า จะได้พบจักรพรรดิในสถานการณ์เช่นนี้ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เมี่ยวอินแทบจะวิ่งไปปักมีดใส่จักรพรรดิเหวิน แต่สุดท้ายนางก็อดกล
ได้ยินคำพูดของนายอำเภอ หยุนเจิงก็อดสงสัยไม่ได้ ลับๆ ล่อๆ หรือ? มีแผนการอะไรหรือเปล่า? เขามีทหารองครักษ์ติดตามอยู่ที่นี่ด้วยนะ! หรือว่าจะมีใครคิดร้ายกับเขาจริงๆ? “พวกเขามีกันกี่คน?” หยุนเจิงถามทันที นายอำเภอตอบว่า “ข้างนอกมืด เห็นแค่ที่สังเกตได้ก็มีเป็นร้อยคนแล้ว ด้านหลังน่าจะยังมีอีกไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ!” “พวกเขาพกพาอาวุธมาหรือไม่?” หยุนเจิงถามอีกครั้ง “ยังไม่เห็นใครพกพาอาวุธมาพ่ะย่ะค่ะ” นายอำเภอตอบ หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งการว่า “เสิ่นควาน พาคนไปตรวจสอบให้ดี หากพวกเขาไม่ได้พกพาอาวุธ ก็ให้พวกเขาเข้ามาในเมืองได้ ข้างนอกหนาวนัก อย่าให้พวกเขาต้องกินลมกินฝน” “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่งแล้วรีบไปทันที “ควรเตรียมตัวไว้หน่อยไหม?” เมี่ยวอินพูดด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเป้ามาที่ท่านก็ได้นะ” “ปล่อยให้เสิ่นควานพาคนไปดูก่อนเถอะ!” หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้างนอกนี้ยังมีคนของเราคอยเฝ้าอยู่เยอะ จะมาลอบสังหารข้า คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรือ?” อย่าว่าแต่แค่ร้อยคนเลย ต่อให้มาสักพันคน ถ้าไม่มีอาวุธ ในสายตาของทหารองครักษ์ของเขา ก็
การค้นพบเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยโดยบังเอิญ ทำให้หยุนเจิงมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในค่ำคืนนั้น หยุนเจิงอดใจไม่ไหว จึงชวนทุกคนในจวนมาตั้งวงกินหม้อไฟในที่ว่าการ ผู้ที่กินเผ็ดได้ ก็ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยสับลงในน้ำจิ้ม ส่วนผู้ที่กินเผ็ดไม่ได้ ก็ใช้เพียงน้ำจิ้มธรรมดา เมื่อทุกคนเริ่มกิน ก็พบว่าน้ำจิ้มที่ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยนั้นให้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ความรู้สึกแสบลิ้นนั้นกลับทำให้เจริญอาหารอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้จะเผ็ดจนต้องแลบลิ้นไม่หยุด แต่ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกิน แม้แต่เยี่ยจื่อที่กำลังตั้งครรภ์และมักเบื่ออาหาร ก็ยังรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น “ท่านอ๋องช่างเป็นผู้วิเศษนัก หากไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงได้!” อู๋เซิงไท่กล่าวยกยอพลางกินเนื้อหมูนุ่มๆ ที่จิ้มน้ำจิ้มอย่างเอร็ดอร่อย เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำที่ต้มจากเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยบ่อย จึงกินเผ็ดได้มากกว่าเยี่ยจื่อและคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น อู๋เซิงไท่ก็กินจนเหงื่อท่วมศีรษะ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหน้าผาก ดูราวกับเขากำลังฝึกยอดวิชายุทธใดๆ อยู่ “เลิกยกยอเสียที รีบเก็บเกี
"เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าตื่นตกใจกันไป เสิ่นควานเข้าใจผิดเอง!" หยุนเจิงปลอบฝูงชนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปถามอู๋เซิงไท่ว่า "ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?" อู๋เซิงไท่ตอบอย่างหวาดกลัว "กราบทูลท่านอ๋อง สมุนไพรนี้ไม่มีชื่อเรียกแน่ชัด ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า 'หญ้าร้อน'..." พูดไป อู๋เซิงไท่ก็เล่าถึงที่มาของ 'หญ้าร้อน' ให้หยุนเจิงฟัง ในตอนแรก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ประสบภัยบางคนออกไปหาอาหารตามธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียง และเก็บสิ่งนี้กลับไปกินโดยบังเอิญ หลังจากที่พวกเขากินเข้าไป ทุกคนล้วนรู้สึกแสบร้อนในปากและลิ้น ร่างกายร้อนและเหงื่อแตกจนหลายคนคิดว่าตัวเองถูกพิษ เพราะมีผู้คนที่ถูกพิษ จำนวนมาก จนเรื่องนี้ไปถึงหูของทางการ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย หลังจากนั้น เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น ยังมีคนไปหาเจ้าสิ่งนี้มาเพื่อขับไล่ความหนาวอีกด้วย เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษ อู๋เซิงไท่จึงสั่งให้คนเก็บมันในนามของทางการ เพื่อต้มเป็นน้ำให้ประชาชนที่ทำงานได้ดื่มช่วยขับไล่ความหนาว เพราะเมื่อกินสิ่งนี้แล้วร่างกายจะร้อนและเหงื่อแ
ทันทีที่เสิ่นควานออกคำสั่ง กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงก็ลงมืออย่างรวดเร็ว ไม่นาน อู๋เซิงไท่พร้อมทั้งพรรคพวกและผู้ที่ต้มยาสมุนไพรก็ถูกควบคุมตัวทั้งหมด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกตะลึง แม้แต่หยุนเจิงเองก็ยังอึ้งไปชั่วครู่ “เกิดอะไรขึ้น?” หยุนเจิงขมวดคิ้วมองเสิ่นควานที่เต็มไปด้วยความดุดัน “กราบทูลฝ่าบาท น้ำนี้น่าจะมีพิษพ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานอ้าปากหายใจลึกสองครั้งก่อนจะพูดต่อ “เมื่อดื่มน้ำนี้เข้าไป ปากและลิ้นก็รู้สึกแสบร้อนอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ!” แสบร้อนอย่างมากหรือ? หยุนเจิงหันไปมองอู๋เซิงไท่ ไม่น่าใช่หรอกนะ? หรือว่าอู๋เซิงไท่จะเป็นสายลับที่ถูกส่งมา? “ท่านอ๋อง เข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” อู๋เซิงไท่ตั้งสติได้ในที่สุด ก่อนจะร้องเสียงหลง “กระหม่อมไม่กล้าคิดร้ายต่อท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ น้ำนี้...น้ำนี้เมื่อดื่มแล้ว มันก็เป็นแบบนี้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมกราบทูลท่านอ๋องไปก่อนหน้านี้แล้ว ขอท่านอ๋องโปรดพิจารณา!” พูดไปแล้วหรือ? อู๋เซิงไท่ก็พูดไปแล้วจริงๆ “ท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ น้ำนี้เป็นแบบนี้เอง...” “ท่านอ๋อง คนงานที่เหมืองหินทุกคนดื่ม
หยุนเจิงโบกมือเบาๆ ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมจ้องมองอู๋เซิงไท่ “ข้าดูเจ้าช่างคุ้นหน้าเหลือเกิน!” อู๋เซิงไท่โค้งตัวตอบ “กราบทูลท่านอ๋อง กระหม่อมเคยอยู่ที่จวนอ๋องมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” “มิน่าล่ะ!” หยุนเจิงพยักหน้าเข้าใจ “ในเมื่อมากันแล้ว ก็มาเดินชมเมืองด้วยกันเถอะ!” “พ่ะย่ะค่ะ!” อู๋เซิงไท่รับคำสั่ง ภายใต้การนำทางของอู๋เซิงไท่ คณะของพวกเขายังคงเดินสำรวจในเมืองต่อไป ระหว่างทาง อู๋เซิงไท่ได้เล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในเล่ออานให้พวกเขาฟัง ปัจจุบัน เล่ออานมีประชากรประมาณหนึ่งแสนสามหมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประสบภัยที่ย้ายมาจากดินแดนชั้นใน และมีเพียงส่วนน้อยที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาทำธุรกิจในเล่ออาน ในเล่ออานตอนนี้มีเพียงโรงเตี๊ยมที่ดูดีอยู่แห่งเดียว และมีโรงแรมอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ที่ว่าการอำเภอและสถานที่ของทางการกลับสร้างได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ชาวบ้านที่ช่วยงานทางการจะได้รับค่าจ้างตามแรงงานที่ทำ โดยค่าจ้างรายวันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณสามถึงสิบเหวิน ส่วนช่างฝีมือที่มีความชำนาญบางคนจะได้รับค่าจ้างสิบถึงยี่สิบเหวิน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเล่ออานในตอนนี้คือการขาดแคลนเค
สองวันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเล่ออาน ระหว่างทางที่เดินทางไปเล่ออาน พวกเขาได้ผ่านหิมะโปรยปรายหนึ่งระลอก หลังจากผ่านหม่าอี้ไป แม้จะไม่มีหิมะตกแล้ว แต่สภาพอากาศกลับหนาวเย็นยิ่งขึ้น หยุนเจิงเพิ่งพาเยี่ยจือลงมาจากรถม้า ก็มีลมหนาวพัดผ่านมาอย่างรุนแรง เยี่ยจือที่เพิ่งลงมาจากรถม้าอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเพราะความหนาวเย็น ซินเซิงเห็นดังนั้น รีบหยิบเสื้อคลุมขนมิงค์สีขาวออกมาแล้วพูดว่า “ฮูหยินจื้อ หม่อมฉันจะช่วยท่านคลุมเสื้อคลุมเองเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะหนาวจนไม่สบาย” “อืม” เยี่ยจือพยักหน้าเบาๆ “ข้าจะทำเอง!” หยุนเจิงรับเสื้อคลุมจากมือของซินเซิง แล้วค่อยๆ คลุมให้เยี่ยจือ ก่อนจะพาผู้หญิงในกลุ่มเดินต่อไปข้างหน้า เยี่ยจือปล่อยให้หยุนเจิงจับมือ พร้อมกับเงยหน้ามองฟ้าหมอกเบื้องบนแล้วพูดว่า “อีกสองสามวันนี้น่าจะมีหิมะตกหนักพวกเราควรตรวจดูว่า ชาวบ้านในเล่ออานมีของใช้สำหรับฤดูหนาวเพียงพอหรือไม่ หากพวกเขาไม่มี คงต้องเบิกของจากคลังทหารมาให้” “แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” หยุนเจิงปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด “ของในคลังทหารก็คือของในคลังทหาร! ทหารอยู่ข้างนอกต้องเสียเลือดเสียเนื้อรบ แม้ตอนนี้จ
การพัฒนาการค้า ย่อมเป็นเส้นทางลัดที่ช่วยให้เมืองเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในอนาคต ผลิตภัณฑ์พิเศษจากเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือก็สามารถเข้ามาในซั่วเป่ยได้ แต่ไม่ควรนำทุกสิ่งทุกอย่างมาวางขายในหม่าอี้เท่านั้น ต้องให้โอกาสเมืองอื่นๆ ด้วย ยิ่งพ่อค้าเหล่านี้พักอยู่ในซั่วเป่ยนานเท่าไร ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของซั่วเป่ยมากขึ้นเท่านั้น ทันใดนั้น ในหัวของหยุนเจิงก็ผุดคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา ปรับปรุงการจัดสรรอุตสาหกรรมให้เหมาะสม! ถือโอกาสในฤดูหนาวนี้ วางแผนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของแต่ละเมืองให้ดี ดีที่สุดคือทำให้ทุกเมืองมีอุตสาหกรรมหลัก เพื่อดึงดูดให้พ่อค้าเหล่านี้เข้าไปในเมืองต่างๆ ของซั่วเป่ยมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นการพัฒนาเมืองอื่นๆ ได้ ขณะที่หยุนเจิงกำลังครุ่นคิดเงียบๆ รถม้าก็หยุดลงกะทันหัน เยี่ยจือเปิดม่านขึ้นเตรียมถามว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นควานก็เข้ามารายงานว่า “ฮูหยินจื้อ มีคนขวางทางอยู่ด้านหน้า ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว” “อืม ดีแล้ว” เยี่ยจือพยักหน้าเบาๆ ก่อนเตือนเสิ่นควานว่า “เจ้าตอนนี้เป็นหัวหน้าทหารองครักษ์ของฝ่าบาทแล้ว ควรแทนตัวเองว่า 'กระหม่อม'