ลู่เจ๋ออยู่ด้วยเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะโทรเข้าโทรศัพท์บ้าน เรียกให้ป้าแม่บ้านขึ้นมาป้าเคาะประตูก่อน แล้วเดินเข้ามา พอเห็นว่าเจ้าหนูลู่เหยียนและเจ้าหนูลู่ฉวินหลับไปแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปให้แน่ใจว่า “หลับไปแล้วอย่างนั้นเหรอคะ? ”ลู่เจ๋อมองดูพวกเขาด้วยสายตาอ่อนโยนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นเบา ๆ “ฝากดูแลที่นี่ต่อทีครับ”ป้าพูดขึ้นอย่างชาญฉลาด “คุณผู้ชายไปจัดการธุระเถอะค่ะ ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ของป้าก็พอค่ะ”สีหน้าของลู่เจ๋อเปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาเข็นรถเข็น ออกมาจนถึงนอกห้องนอน แต่เขาก็กลับไม่เห็นเฉียวซุน......สุดท้าย เขาก็ไปหาเธอที่ห้องโถงเล็กเธอพิงหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน และกำลังคุยโทรศัพท์แสงแดดยามบ่าย ส่องผ่านกระจกสูงจากพื้นจรดเพดาน ปกคลุมเรือนร่างของเฉียวซุน ทำให้ผิวของเธอดูขาวเปล่งประกาย และดูละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น เธอดูผ่อนคลายและมีความสุขขณะที่พูดคุยกับคนที่อยู่ปลายสายสิ่งนี้ทำให้ลู่เจ๋อนึกอะไรขึ้นมาได้ ครึ่งปีก่อนตอนที่เธอจากเขาไป เธอก็ใช้คำพูดที่มีความสุขเช่นนี้เหมือนกันตอนนั้นคือเมิ่งเยียนหุยตอนนี้ ก็เปลี่ยนเป็นหลินซวง......อันที่จริง
ลู่เจ๋อเฝ้ามองดูอยู่ข้าง ๆ ......จู่ ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องเมื่อปีนั้นได้ นึกถึงภรรยาตัวน้อยที่แม้แต่ตอนที่เธออยากจะขอเงินห้าแสนจากเขายังต้องเกรงใจแล้วเกรงใจอีก ในตอนนั้น เขาคิดว่าเฉียวซุนเปรียบเสมือนดอกถูซือ แต่ตอนนี้เฉียวซุนได้กลายเป็นดอกกุหลาบที่ถึงแม้จะบอบบาง แต่ก็ยังคงอันตรายไปแล้ว......แสงสีส้มของพระอาทิตย์ตก ให้ความรู้สึกราวกับเปลวเพลิงโรลส์-รอยซ์ แฟนทอมสีเงินค่อย ๆ ขับออกจากคฤหาสน์ช้า ๆ หัวใจของลู่เจ๋อกลับดูว่างเปล่า......สุดท้ายเธอก็ยังคงจากไปอยู่ดีเขาเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอการพบกันในครั้งต่อไป......ยี่สิบนาทีต่อมา เฉียวซุนขับรถเข้าไปในคฤหาสน์เดี่ยวแห่งหนึ่ง ตั้งแต่กลับมาจากเมืองเซียง เธอก็ตัดสินใจย้ายเข้ามาพักที่คฤหาสน์......ในบ้านได้จ้างป้าแม่บ้านเข้ามาเพิ่ม การอาศัยในคฤหาสน์ทำให้มีพื้นที่กว้างขึ้นอีกหน่อยนอกจากนี้ ระยะห่างของที่นี่กับลู่เจ๋อก็ใกล้มากขึ้นพอสมควรขณะที่เธอจอดรถ ท้องฟ้าก็เป็นเวลาพลบค่ำ และพลบค่ำก็ได้นำพาร่องรอยแสงสีส้มสุดท้ายของพระอาทิตย์หายลับไปเฉียวซุนอุ้มเด็ก ๆ ลงจากรถเจ้าหนูลู่เหยียนกอดตุ๊กตา แล้วพูดขึ้นมาว่า “พ่อจะยกเซี่ยลี่ตัวน้อยให้หนูด้วย
สลับกันไปมา......ต่อมา เฉียวซุนก็ได้ผล็อยหลับไป ในตอนที่เธอตื่นขึ้นมาอีกที เวลาก็ปาไปเที่ยงคืนแล้ว มีข้อความไลน์สิบกว่าข้อความถูกส่งมาในโทรศัพท์ ต่างก็เป็นข้อความของลู่เจ๋อเธอเฝ้ามองข้อความเหล่านั้นเงียบ ๆ ท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืน แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใดหลังจากนั้น เธอก็ลุกขึ้นมาดูลูก ๆ ของเธอเธอไม่ได้อาศัยอยู่กับลู่เจ๋อ ระยะห่างระหว่างพวกเขาเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล......แต่คนรอบข้างกลับไม่มีใครรู้ การที่จะปักหลักอาศัยอยู่เมืองใดเมืองหนึ่งเหมือนตอนนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว ค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องยากพอสมควรความสุขและความทุกข์เหล่านั้นกำลังได้รับการเติมเต็มอีกครั้งต่อมา พวกเขาก็มักจะติดต่อกันอยู่บ่อย ๆบนโลกใบนี้พวกเขาเป็นเหมือนคู่สามีภรรยาที่เหมาสมกันมากที่สุด ช่วยกันเลี้ยงดูลูก ๆ ปรึกษาถึงเรื่องการเติบโตของลูก ๆ ด้วยกัน......เจ้าหนูลู่เหยียนอายุ 6 ขวบ เธอเป็นนักเรียนของโรงเรียนอนุบาลที่พร้อมจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 แล้วเฉียวซุนกล่าวว่า “ลู่เจ๋อ คุณค่อนข้างเป็นคนกว้างขวางในเมือง B เรื่องที่เรียนของเจ้าหนูลู่เหยียนก็ให้คุณเป็นคนจัดการก็แล้วกัน”ลู่เจ๋อเองก็เห็นด้วย เขาเ
ความปรารถนาในดวงตาของลู่เจ๋อ ทำให้จางหยวนรู้สึกท้อแท้เธออยู่ในคฤหาสน์มานานมากขนาดนี้ อยู่กับประธานลู่แทบจะตลอดเวลา ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยแสดงท่าทีที่อยากจะแต่งงานใหม่กับเฉียวซุนเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเขาเองก็ยังไม่เคยบินไปดูลูก ๆ ที่เมืองเซียงเลยด้วยซ้ำแต่แค่เฉียวซุนกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป!ประธานลู่มักจะชอบเหม่ออยู่คนเดียว เขากลายเป็นคนที่ไม่กล้าได้กล้าเสียอีกต่อไป ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะอดีตภรรยาของเขา......ผู้หญิงมักจะอ่อนไหวกับความรู้สึกเสมอ จางหยวนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเฉียวซุนที่มีต่อลู่เจ๋อ ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความรัก แค่มองตาก็สามารถรับรู้ได้ทำไมกัน! ทำไม!เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหย่าร้างกันแล้ว แล้วเธอจะกลับมาทำไมอีก จะกลับมาทำให้ความมุ่งมั่นของประธานลู่สั่นคลอนหรือยังไง?จางหยวนไม่ชอบเฉียวซุนเอามาก ๆแต่ในเวลานี้เธอกลับต้องก้มหัวลง “ค่ะ คุณเฉียวเองก็จะไปด้วย”เธอไม่อยากที่จะเห็นความสุขบนใบหน้าของลู่เจ๋อเลยสักนิด เธอจึงรีบปิดประตูทันทีลู่เจ๋อยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน แสงสว่างจ้า ทำให้กระจกสะท้อนเงาของเขา......เป็นรูปร่างของผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นคน
เฮ่อจี้ถังมองออกไปข้างนอก แล้วปิดประตูเขาไม่ได้เดินเข้าไป ได้แต่ยืนอยู่ข้างประตู แล้วถามออกไปเบา ๆ “นี่ยังเล่นอยู่อีกเหรอ? นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะ! ”หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หัวเราะออกมาเขาเคยชอบเฉียวซุนมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเขายอมแพ้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ใช่เพราะหลังจากที่เขารู้ว่าตัวเองเป็นลุงของลู่เจ๋อ แต่ตั้งแต่ที่ลู่เจ๋อนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดต่างหาก เขาก็รู้แล้วว่าชาตินี้ทั้งสองคนคงจะไม่มีวันแยกจากกันอีกแล้วแต่เขาก็ยังอยากให้เฉียวซุนดีขึ้นเขารู้ว่าในใจเธอรู้สึกเศร้า เขาจึงดึงเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามออกมา แล้วนั่งลง จากนั้นก็ถามอย่างจริงจังว่า “คุณต้องการให้ผมอยู่คุยด้วยไหม? ”เฉียวซุนส่ายหัว และยิ้มเบา ๆ “ฉันไม่ใช่สาวน้อยแล้วนะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ฉันสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้......พี่จี้ถัง ฉันไม่ได้รู้สึกเศร้าเลยแม้แต่น้อย จริง ๆ นะ เหมือนกับตอนนี้ที่ฉันอาศัยอยู่ในเมืองเมืองหนึ่ง ฉันก็คิดว่ามันดีมากแล้ว”เธอพูดจบ เฮ่อจี้ถังก็หัวเราะออกมาจากนั้นพวกเขาก็คุยกันเรื่องห้องทดลองอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เฉียวซุนจะจากไป ในตอนที่เธอขึ้นรถ เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากลู่เจ๋อ เขาพูดว่
คำพูดของเธอ ทุกคำต่างก็เต็มไปด้วยการเสียดสีคนใจเย็นมาก ๆ อย่างเมิ่งเยียนหุย ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาได้ง่าย ๆ เช่นกัน คำพูดที่ไม่ควรพูดพวกนั้น เขากลับโพล่งมันออกมา “คุณก็รู้อยู่ว่าผมชอบคุณ! ”บรรยากาศสงบนิ่ง บริเวณโดยรอบก็เงียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ อาศัยอยู่ครั้งหนึ่ง เมิ่งเยียนหุยเองก็เคยเสียใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาเป็นทนายความ และเขาก็เป็นคนที่จริงจังมาก ในเมื่อตัวเขาเองได้พูดออกไปแล้ว เขาจึงต้องพูดให้ถึงที่สุดเขาจ้องไปทางเฉียวซุน “คุณยังคอยดูแลลู่เจ๋ออยู่อย่างนั้นเหรอ? ทำไมคุณไม่ลองพิจารณาผมบ้าง? ”น้ำเสียงของเฉียวซุนดูเย็นชาเธอบอกเขาออกไปตรง ๆ “ฉันจะไม่มีวันชอบคุณเด็ดขาด! ฉันจดจำทุกอย่างได้ไม่เคยลืม ว่าคุณทำให้ตระกูลเฉียวต้องพบกับความหายนะยังไง! ให้ฉันคบกับคุณ ทนายเมิ่ง คุณแน่ใจนะคะ ว่าสมองของคุณไม่ได้เพี้ยนไปแล้ว? ”......เมิ่งเยียนหุยจับมือของเธอเอาไว้เฉียวซุนชะงักอยู่ครู่หนึ่ง เธอต้องการที่จะสลัดมือทิ้งแม่เมิ่งเยียนหุยใช้กำลังของผู้ชายที่ตนมีดึงเธอเข้ามาใกล้ ใกล้จนแทบไม่มีระยะห่างระหว่างพวกเขา เขาจ้องมองดวงตาของเธอ ราวกับว่าเพิ่งจะสูญเสียความเป็นคนไป น้ำเสียงของเขา
เฉียวซุนไม่อยากให้เขาเห็นเธอเบือนหน้ามองออกไปครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “เปล่าค่ะ! ”เธอหยุดนิ่งไปชั่วขณะ “คุณช่วยบอกให้ป้าแม่บ้านอุ้มลูกลงมาที ฉันไม่ขึ้นไปแล้วล่ะค่ะ”ลู่เจ๋อไม่ได้ขยับแต่อย่างใดภายใต้แสงจันทร์สลัว ดวงตาสีดำของเขาจ้องมองเธออย่างใกล้ชิด โดยไม่ละสายตาจากเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงขั้นที่ถามเธอออกไปตรง ๆ “ร้องไห้มาก่อนแล้วเหรอ? ”“เปล่า! ”เฉียวซุนทนต่อสายตาแบบนี้ของเขาไม่ได้ เธอจึงรีบลงจากรถ “ฉันจะไปเรียกเอง”ทันทีที่เธอก้าวเท้าลง ก็ถูกใครบางคนคว้าข้อมือเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้ลู่เจ๋อจับเธอเอาไว้ได้ เขาจ้องมองเสื้อผ้าที่สวยงามและเซ็กซี่ของเธอท่ามกลางแสงจันทร์ และตรงข้อมือของเธอยังคงหลงเหลือรอยแดงจาง ๆ อยู่ด้วย......ด้วยความดื้อรั้น เขาจึงค่อย ๆ ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาร่างกายของเฉียวซุนสั่นเล็กน้อยพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ลู่เจ๋อค่อย ๆ ใช้มือลูบไปบนใบหน้าของเธอ จากนั้นก็ปาดน้ำตาออกอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงของเขาแทบจะคาดเดาอะไรไม่ได้เลย เขาถามขึ้นว่า “ที่ตัวสั่นขนาดนี้ เป็นเพราะเรื่องที่แอบเล่นชู้ หรือว่าเรื่องอื่นกันล่ะ? ”เธอนึกอะไรขึ้นมาได้เขาจับเอว
จริง ๆ แล้วเขาก็ใส่ใจเรื่องนี้มาโดยตลอดผู้ชายคนไหนที่ไม่มีความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกันล่ะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอย่างลู่เจ๋อเลย......เฉียวซุนจ้องมองตามแผ่นหลังของเขา จากนั้นก็ลดเปลือกตาลง......มีบางอย่างอยู่ในใจของเธอไม่เช่นนั้น คืนนี้เธอคงสามารถจับลู่เจ๋อให้อยู่หมัดได้ เดิมทีร่างกายของเขาก็มีความต้องการอยู่แล้ว บวกกับที่ไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ามาตั้งหลายปี ก็แค่คืนนี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดีก็เท่านั้น เลยไม่ได้รู้สึกอยากทำเท่าไหร่เธอยังคงนึกถึงสิ่งที่เมิ่งเยียนหุยเคยพูด และนึกถึงเรื่องที่พี่ชายตัวเองแต่งงานกับเมิ่งเยียน พอมีเรื่องพวกนี้เพิ่มเข้ามา มันกลับยังคงถูกกดเอาไว้ส่วนลึกในใจของเธออยู่เฉียวซุนรอลู่เจ๋ออยู่ตลอดแต่เธอก็ยังไม่เห็นลู่เจ๋อ กลับกัน เป็นป้าแม่บ้านที่วิ่งลงมาแทน น้ำเสียงของป้าแม่บ้านค่อนข้างลนลาน “คุณนายคะ เกิดเรื่องกับคุณหนูเหยียนเหยียนแล้วค่ะ จู่ ๆ คุณหนูก็ละเมอขึ้นมาอย่างรุนแรง! คุณผู้ชายเชิญให้คุณไปดูหน่อยค่ะ”“เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ”เฉียวซุนพลางถาม พลางก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็วไปยังคฤหาสน์เธอเดินเร็วมาก ป้าแม่บ้านเองก็เดินตามเธอมาติด ๆ แล้วพูดขึ