เฉียวซุนไม่ได้พูดอะไรต่อเมื่อพูดเรื่องพวกนี้ออกมา เธอเองก็รู้สึกทนไม่ไหวเหมือนกันเขาไม่ต้องการเธอตั้งนานแล้ว แล้วก็ไม่ต้องการเจ้าหนูลู่เหยียนอีกต่อไป แต่เธอกลับยังเกลียดเขาอยู่......เฉียวซุนไม่ได้อยากให้ตัวเองดูน่ารังเกียจต่อหน้าผู้อื่นเธอสงบสติอารมณ์ และพูดอย่างใจเย็น “พูดเรื่องพวกนี้ออกมาก็ไม่มีประโยชน์! ลู่เจ๋อ ในเมื่อปีนั้นคุณเลือกเส้นทางนั้นด้วยตัวเองแล้ว ก็อย่าได้รู้สึกเสียใจอีก ยิ่งไม่ต้องพูดคำพูดที่ฟังดูคลุมเครือพวกนั้นออกมาอีก! ”ทันใดนั้นเธอก็ลดเสียงลง “ข้างกายของฉันมีคนอื่นไปแล้ว! ”ลู่เจ๋อตกตะลึงเขามองตรงไปที่เธอ แทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เธอพูดออกมาเลย ยิ่งไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน เธอบอกว่าข้างกายเธอมีคนอื่นแล้ว......ดวงตาของเฉียวซุนเปียกชื้นเธอถามเขากลับว่า “นี่มันก็ปกติไม่ใช่เหรอ? เขาดูแลฉัน เขาชอบเด็ก......ฉันคิดว่าพวกเราเข้ากันได้ดีมากเลยล่ะ”ที่เธอหมายถึงก็คือ เธอชอบคนคนนั้นลู่เจ๋อตกอยู่ในอาการมึนงงอยู่นาน ก่อนจะถามเธอออกไปเบา ๆ “คุณบอกผมได้ไหมว่าเขาเป็นใคร? ”เฉียวซุนพ่นคำสองคำออกมา “หลินซวง! ”คำตอบนี้ คือสิ่งที่ลู่เจ๋อคาดไม่ถึง
ฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเย็นเฉียวซุนขยับเสื้อคลุมของผู้ชายที่อยู่บนตัวของเธอเบา ๆ เนื้อผ้าคุณภาพดีเข้ามาใกล้กับใบหน้าอันละเอียดอ่อนของเธอ มันใกล้จนเธอสามารถได้กลิ่นลมหายใจของหลินซวง......สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นตัว!เธอส่ายหัว และปฏิเสธเบา ๆ “เปล่าค่ะ! ”จากนั้น หลินซวงก็โอบไหล่ของเธอเอาไว้ เรือนร่างที่ดูเพรียวบางของเธอ ถูกหลินซวงโอบรัดราวกับดอกไม้ที่แสนจะบอบบาง......พวกเขาดูเข้ากันได้อย่างลงตัวลู่เจ๋อที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็น ได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของพวกเขาอยู่เงียบ ๆฉากหลังของเขายังคงเป็นค่ำคืนที่มืดสนิทอยู่ เพียงแต่ในเวลานี้ไม่สามารถมองเห็นถึงความแปลกใจของเธอได้อีกแล้ว แม้แต่ฉากหลังและผ้าม่านยังทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศที่เศร้าหมองได้เขามองดูเธอที่อยู่ในอ้อมแขนของหลินซวงเขามองดูความอ่อนโยนของพวกเขา และมองดูทุกสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเขา สุดท้ายก็กลายเป็นของคนอื่นอย่างช่วยไม่ได้......*หลินซวงกับเฉียวซุน ทั้งสองก็มาถึงรถอาร์วีสีดำตรงลานจอดรถรอจนเฉียวซุนขึ้นรถแล้วหลินซวงก็จับตรงหลังคารถ แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยด้วยร่างสูงของเขา จากนั้นก็ส่งสายตาที่บ่งบอกถึงความรู้ส
เฉียวซุนพูดเบา ๆ กับคนขับ “หยุดรถหน่อยค่ะ!”คนขับเหยียบเบรก และหยุดรถตรงข้างถนน เขาหันศีรษะ แล้วถามด้วยความสงสัย “คุณเฉียวมีอะไรรึเปล่าครับ? ”เสียงของเฉียวซุนนิ่งสงบ “ฉันอยากลงไปเดินเล่นหน่อยน่ะค่ะ! คุณกลับไปก่อนนะคะ”คนขับมองย้อนกลับไปด้านหลัง และเดาว่าเธอคงรู้สึกอยากรำลึกความหลัง ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ “คุณเฉียวคงอยากจะไปดูที่ที่เคยอาศัยอยู่สินะครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะรอคุณอยู่ที่นี่นะครับ”เฉียวซุนฝืนยิ้ม “เดี๋ยวฉันเรียกรถกลับเองค่ะ”คนขับลังเล แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง เขาลงจากรถไปเปิดประตูให้เฉียวซุน เขายังพูดออกไปอย่างชาญฉลาดอีกว่า “คุณเฉียววางใจเถอะครับ ผมจะไม่ปากมากต่อหน้าคุณหลินแน่นอน”เฉียวซุน ......เธอไม่ได้อธิบาย หยิบผ้าคลุมไหล่เบา ๆ แล้วเดินตรงไปยังบ้านที่แสนโดดเดี่ยวพระจันทร์ส่องแสงเจิดจ้ารองเท้าส้นสูงของเฉียวซุนเหยียบบนพื้นกระเบื้อง ส่งเสียงที่ทั้งคมชัดและดูโดดเดี่ยว ราวกับสวนฉินนี้เป็นเหมือนบ้านร้างเธอเดินมาถึงหน้าประตู แล้วเงยหน้าขึ้นมองคำที่สลักว่าสวนฉินบ้านหลังนี้ เคยมีความทรงจำในวัยเด็กของเธอบ้านหลังนี้ ก็เคยมีช่วงเวลาดี ๆ ระหว่างเธอกับลู่เ
เธอพยายามดิ้นรน แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยลู่เจ๋อล็อกตัวเธอเอาไว้แน่น มือซ้ายของเขาแข็งแรงมาก เขาจ้องมองเธอด้วยแววตาสีเข้ม เผยให้เห็นแววตาที่ชัดเจนของชายคนนั้น......เฉียวซุนไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาถูกกระตุ้นหรือเปล่าลู่เจ๋อค่อย ๆ คลายมือเพื่อปล่อยเธอเขาไม่เพียงแค่ปล่อยเธอไป เขายังขอโทษเธอ ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอีกด้วย “ผมต้องขออภัยด้วยครับ คุณเฉียว เมื่อกี้ผมคงเลอะเลือนไป! ”ริมฝีปากของเฉียวซุนสั่นเทา จนแทบจะยืนไม่ไหวในเวลาเดียวกันนี้เอง โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น......เธอเหลือบมองไปที่ลู่เจ๋อ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าของเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสายของลู่จิ้นเซิง เขาอยากนัดเธอออกไปพบ เขาพูดด้วยท่าทีที่สุภาพมาก ๆ โดยเขาบอกว่าเขาอาจจะช่วยคลายเรื่องกลุ้มใจของเธอได้เฉียวซุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบตกลงรอจนเธอวางสายโทรศัพท์ ลู่เจ๋อก็มองดูเธอ แล้วพูดว่า “คุณสนิทกับลู่จิ้นเซิงมากเลยเหรอ? ”“ติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว” เฉียวซุนพูดอย่างใจเย็นเธอค่อย ๆ ดึงศักดิ์ศรีของเธอกลับคืนมา เธอมองไปทางลู่เจ๋อ แล้วเธอก็นึกถึงเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อนขึ้นมาได้ ตอนนั้นเธอได้
เมื่อประตูรถถูกเปิดออกภายในรถเหลือเพียงแค่คนสองคน พื้นที่แคบ ๆ ภายใน ทำให้ต่างฝ่ายต่างสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ......ซึ่งทำให้ความรู้สึกผู้คนไม่มีทางหนีรอดออกไปได้แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวังมากที่สุดเลยก็คือเฉียวซุนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา แต่กลับไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไปลู่เจ๋อลดกระจกลงครึ่งบาน แล้วจ้องมองด้านนอกอยู่เงียบ ๆ น้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่ก็ถือว่าค่อนข้างอ่อนโยน “เด็ก ๆ อยู่ไหนกัน ทำไมคุณถึงไม่พาพวกเขากลับมาด้วย? เจ้าหนูลู่ฉวินเองก็น่าจะสองขวบแล้วสินะ! ”แม้ว่าจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ในเวลานี้ ดวงตาของเฉียวซุนก็กลับแดงก่ำขึ้นมาอยู่ดีที่แท้เขาเองก็รู้เรื่องมาตั้งนานแล้วเขารู้มานานแล้วว่าเธอท้อง เขารู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของเจ้าหนูลู่ฉวิน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไม่ต้องการ......ตัวเธอกลับยิ้มรอเยาะเย้ยอยู่ที่เมืองเซียง รอเขาตั้งนานขนาดนั้นแต่ว่าเรื่องพวกนี้ เธอก็ไม่สามารถถามออกไปได้ ไม่อย่างนั้นก็จะยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนมากกว่าเดิมอีกเฉียวซุนพยายามควบคุมสติอารมณ์ของตัวเอง แล้วถามกลับไปว่า “แล้วคุณต้องการอะไร? ”สีหน้าของลู่เจ๋อดูไร้อารมณ์ “ผมกำลังนึกถึงสัญญ
เฉียวซุนกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์โถงทางเข้าที่มืดมิดและอ้างว้าง เธอยืนพิงประตูและหายใจหอบเบา ๆจนถึงตอนนี้ ขาของเธอก็ยังคงอ่อนแรงอยู่......แม้ว่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าหากกลับมาที่เมือง B ยังไงก็ต้องได้เจอกับลู่เจ๋อเข้าให้สักวัน แต่เธอไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ทุกสิ่งที่เขาทำกับเธอที่หน้าประตูสวนฉิน นั้นทำให้เธอต้องตกใจสัญชาตญาณของผู้หญิงบอกกับเธอว่า ลู่เจ๋อในตอนนี้อันตรายมาก เธอไม่ควรกลับเมือง B แต่ว่าโรคจมูกอักเสบของเจ้าหนูลู่เหยียนนั้นค่อนข้างร้ายแรง และเขาก็ไม่เหมาะที่จะอาศัยอยู่ในเมืองเซียงเฉียวซุนเหม่อลอยอยู่นาน จากนั้นถึงได้ยกมือขึ้นเพื่อเปิดไฟแสงเจิดจ้า ส่องเข้าที่ใบหน้าอันละเอียดอ่อนและเรียวเล็กของเธอ ทั้งขาวและดูนุ่มนวล แม้ว่าเธอเพิ่งจะให้กำเนิดลูกสองคน แต่ก็ดูเหมือนว่ากาลเวลาจะทำอะไรเธอไม่ได้ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน รูปร่างหน้าตาของเธอแทบไม่เปลี่ยนไปเลยหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ยืดตัวขึ้น เดินไปที่ตู้เก็บแอลกอฮอล์ เปิดตู้แล้วหยิบขวดแชมเปญออกมาค่ำคืนเช่นนี้ เหมาะแก่การดื่มเป็นอย่างยิ่งเพิ่งจะเทแชมเปญใส่แก้ว หลินซวงก็โทรมาหาเธอ เขาบอกเธออย่างอ่อนโยนว่า อีกเดี๋ยวเขาจะมีงานสังสร
ไม่นาน รถก็สตาร์ท......ลู่เจ๋อไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาได้แต่นั่งเงียบ ๆ อาจจะมองไปที่แขนขวาของเขาบ้างบางครั้ง เขาคิดว่า ถ้าแขนข้างนี้กลับมาใช้งานได้ก็คงดี เพราะต่อให้ขาทั้งสองข้างของเขาเดินไม่ได้ เขาก็ยังพอที่จะมีความกล้าอยู่บ้าง......เพื่อที่จะขอร้องเธอให้กลับมาอยู่ข้างกายเขาแต่น่าเสียดาย ที่ชีวิตของมนุษย์ไม่มีคำว่า ‘ถ้าหากว่า’......วันรุ่งขึ้น เฉียวซุนและลู่จิ้นเซิงก็ได้นัดเจอกันเดิมที เฉียวซุนแค่อยากจะดื่มกาแฟ และพูดอะไรสักสองสามคำ จากนั้นก็จะกลับเลย แต่ลู่จิ้นเซิงยืนกรานว่าอยากจะทานข้าวด้วยกัน เขาพูดในสายโทรศัพท์เอาไว้ว่า “เฉียวซุน พวกเราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว คุณจะไม่ไว้หน้ากันหน่อยเหรอ? ”สุดท้าย พวกเขาก็ได้นัดทานข้าวที่คลับสุดหรูลู่จิ้นเซิงไม่มีอารมณ์ที่จะทานอะไรเลย เพราะส่วนใหญ่เขามุ่งความสนใจไปที่เฉียวซุนเฉียวซุนไม่คิดว่า เขาจะถูกใจหรือคิดอะไรกับเธอแบบนั้นอันที่จริงแล้ว ลู่จิ้นเซิงแค่ใช้เธอเป็นสิ่งที่ช่วยให้หวนคิดถึงหลินเซียวก็เท่านั้นเธอวางแอลกอฮอล์ที่ใช้เปิดต่อมรับรสลงเบา ๆ และพูดอย่างใจเย็น “ลู่จิ้นเซิง ฉันรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร คุณก็แค่อยากจะรู้ว่าเธอเป็นยัง
ลู่จิ้นเซิงเล่นกับโทรศัพท์มือถือของเขาเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาก็หัวเราะเยาะออกมา “แต่ผมก็ไม่ได้พาผู้หญิงกลับบ้านมาด้วยนี่! ”หนิงหลินกำลังจะเถียงกลับทันใดนั้นลู่จิ้นเซิงก็หยิบรูปถ่ายสิบกว่ารูปออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็โยนไปบนเตียงทีละรูปทีละรูป โยนไปตรงหน้าของหลินหนิงเขามองดูเธอ แล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “ชื่นชมภาพเปลือยเหล่านี้ของคุณสิ! ผู้ชายไม่ซ้ำหน้าเลยสักรูป! ถ้าไม่ใช่เพราะรูปถ่ายพวกนี้ ผมคงไม่รู้ว่าเรือนร่างของคุณนายลู่จะดีขนาดนี้ แถมยังเล่นได้มีความสุขมากอีกด้วย”หนิงหลินหยิบรูปถ่ายขึ้นมา และมองดูทีละรูปเธอถึงกับอึ้งไปเลย......เมื่อเธอตั้งสติได้ เธอก็ร้องขอความเมตตาโดยสัญชาตญาณ “จิ้นเซิง ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว! รูปภาพพวกนี้คุณอย่าให้พ่อฉันเห็นเลยนะ ถ้าเขารู้ เขาต้องฆ่าฉันแน่”เธอกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนที่อำมหิตที่สุดไม่กี่ปีมานี้ เขาทรมานเธอจนแทบไม่เหลือชิ้นดี และไม่เคยใจอ่อนเลยสักครั้งหนิงหลินคลานมาที่ปลายเตียง กอดขาของลู่จิ้นเซิง เธอพยายามใช้เรือนร่างตัวเองเพื่อยั่วยวนเขา เธอหวังว่าอยากจะสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่กับเขาใบหน้าของเธอแนบไปกับต้นขาของเขา
ใบหน้าของเมิ่งเยียนซีดลงเธอก้มศีรษะลง นิ้วเรียวเล็กสีขาวของเขาแตะท้องตัวเองเบา ๆ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในนี้จะมีเด็กแล้วจริง ๆ แต่สามีของเธอกลับถามเธอ......ถามเธอว่าใครคือพ่อของเด็กนอกจากเขาแล้ว ยังจะเป็นใครไปได้อีกกัน?ลูกของเหอโม่รึไง?ในอดีต ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เหมือนกับว่าเมิ่งเยียนจะเป็นฝ่ายที่ตกหลุมรักเขาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเห็นรูปถ่ายของเขาที่จูบกับผู้หญิงคนอื่น เธอรู้ดี......เขาไม่ได้รักเธอเธอเองก็ไม่ได้โง่ เธอเคยแอบตรวจสอบมาบ้างแล้วเหมือนกันเลขาของพี่ชายพยายามบอกเธออย่างคลุมเครือว่าอย่ายั่วยุเฉียวสือเยี่ยน บอกว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร บอกว่าเขากับพี่ชายไม่ลงรอยกัน แต่เธอไม่ใช่แค่ยั่วยุเขา เมื่อหนึ่งปีที่แล้วเธอถึงขั้นแต่งงานกับเขาเลยด้วยซ้ำเมิ่งเยียนไม่ได้อธิบายอะไรเธองอเรือนร่างเพรียวบางของเธอ และโค้งเอวลงเล็กน้อย ราวกับพยายามปกป้องทารกตัวน้อยในครรภ์ของเธอ เธอบ่นพึมพำกับเฉียวสือเยี่ยนว่า “คุณยังต้องการเด็กคนนี้อยู่ไหม? ”เป็นคำถามที่ยากจะให้คำตอบ......หลังจากนั้นไม่นาน เฉียวสือเยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จึงทำให้เมิ่งเยียนเข้าใจได้ในท
เมิ่งเยียนขดตัวอยู่ตรงมุมมุมหนึ่งหากเป็นเมื่อก่อน เธออาจจะถูกเขาทำให้ตกใจจนร้องไห้ไปแล้ว แต่วันนี้เธอกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เธอถึงขั้นกล้ามองมองตาเขา แล้วถามกลับ “คุณไม่รักฉัน! คุณมาขอฉันแต่งงานทำไม? ”อันที่จริงคำตอบนั้นง่ายมากหากต้องการแก้แค้น บางครั้งก็ควรที่จะบอกเรื่องจริงกับเธอ จากนั้นก็รอดูสีหน้าที่ตกตะลึงของเธอแต่เฉียวสือเยี่ยนกลับไม่ได้ทำแบบนั้น กลับกัน ในใจเขารู้สึกหงุดหงิดมากกว่า เขาใช้แรงที่มีดูดบุหรี่ที่เหลืออยู่จนหมดในคราวเดียว จากนั้นก็ดับบุหรี่ลง......ต่อมา เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเขาไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำแต่เมื่อกลับมาถึงบ้านพักที่เปรียบเสมือนคุกหลังนั้น หลังจากที่เขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้ว เขาก็คว้าข้อมือของเธอเอาไว้ แล้วลากเธอเข้าไปในบ้านพัก...... เมิ่งเยียนตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เธอจึงปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแต่เฉียวสือเยี่ยนเป็นคนใจแข็งเขาอุ้มเธอขึ้นมา แล้วพาเธอไปที่ห้องนอนหลักบนชั้นสอง เขาโยนเธอลงบนเตียงนุ่ม ๆ แล้วเริ่มลงโทษเธอ เขาถอดเสื้อผ้าของเธอออก ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการกบฏในใจเธอเขากดศักดิ์ศรีของเธอลงจนจมดินร่างกายของเธอเ
ร้านอาหารสุดหรู แจกันฝรั่งเศสสีน้ำเงิน เชิงเทียนเงินสเตอร์ลิงเมิ่งเยียนจ้องมองดูหนังสือพิมพ์อยู่นานมากทันใดนั้นโทรศัพท์ของเธอก็มีข้อความไลน์เด้งขึ้นมา เป็นคนแปลกหน้าที่ส่งเข้ามา [สวัสดีนักเรียนเมิ่ง! ผมชื่อว่าเหอโม่ ผมอยากรู้จักคุณ ได้ไหม? ] ประโยคประโยคนั้น เมิ่งเยียนจ้องมองอยู่พักใหญ่จู่ ๆ เธอก็อยากรู้ว่าการที่ได้รับความรักที่แท้จริงมันรู้สึกยังไง จากนั้นเธอก็หน้ามืดตามัวตอบออกไปว่า [ตกลง]......สามวันต่อมา คนรับใช้ในคฤหาสน์ก็โทรหาเฉียวสือเยี่ยน บอกว่าหลังจากที่คุณนายเลิกเรียน ก็มักจะขึ้นรถบัสกลับบ้านเสมอคำพูดของคนรับใช้เหมือนมีนัยบางอย่างอยู่ด้วย “คุณนายอารมณ์ดีมากเลยค่ะ”เฉียวสือเยี่ยนพูดอย่างใจเย็น “รู้แล้ว! ”หลังจากที่เขาวางสายโทรศัพท์ เขาก็โน้มตัวไปกดโฟนอินภายในทันที “เลขาจิน มานี่หน่อย”สักพัก เลขาจินคนสวยก็เดินเข้ามา “ประธานเฉียวคะ มีเรื่องอะไรจะสั่งเหรอคะ? ”เฉียวสือเยี่ยนเอนหลังพิงเก้าอี้ เขาเอื้อมมือไปลูบผมสีดำที่หวีเรียบร้อย แล้วมองขึ้นไปที่แสงไฟด้านบน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไปตรวจสอบตารางเรียนวันนี้ของคุณนายที”เลขาจินยิ้ม “ได้ค่ะ ประธานเฉียว”เธอจัดการไ
เขามองดูใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอเธอยังเด็ก และไม่มีประสบการณ์มาก่อน เธอไม่สามารถเก็บซ่อนหรือควบคุมอะไรได้......แค่ครั้งเดียวเขาก็แทบจะครอบครองทุกอย่างที่มีในตัวเธอ แต่เฉียวสือเยี่ยนกำลังอยู่ในช่วงวัยที่ต้องการเรื่องพวกนี้มากที่สุด แค่นี้มันจะไปพอได้ยังไง?อีกอย่าง เขาเองก็ไม่ได้กลับบ้านมาเป็นอาทิตย์แล้วด้วย!หลังจากที่ทำกับเธอไปจนถึงตอนสุดท้าย ทุกอย่างมันก็ยุ่งเหยิงไปหมด เมิ่งเยียนก็เหนื่อยหอบจนหมดสติไป......เฉียวสือเยี่ยนก้มศีรษะลง และจ้องมองไปยังหญิงสาวที่อยู่บนโซฟาเธอช่างน่าสังเวชจริง ๆสักพัก เขาก็เช็ดเธอด้วยเสื้อเชิ้ตของเขา จากนั้นก็อุ้มเธอไปที่เตียงในห้องนอนชั้นสอง แน่นอนว่าเขาจะไม่ช่วยเธออาบน้ำ แล้วก็ไม่มีความรักระหว่างสามีภรรยาอะไรแบบนั้นด้วยเช่นกันเขาห่มผ้าห่มให้เธอ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายหลังจากที่ได้ระบายออกไป เขาก็ไม่ได้มีความคะนึงหาอยู่เลยแม้แต่น้อยพอเมิ่งเยียนตื่นขึ้นมา เฉียวสือเยี่ยนก็แต่งตัวเสร็จแล้ว และกำลังเตรียมตัวออกไปข้างนอก......เธอลุกขึ้นจากเตียงทันที และถามเขาอย่างระมัดระวัง “คุณจะไปอีกแล้วเหรอ? ”เฉียวสือเยี่ยนบีบแก้มเธอเบา ๆ ด้
หลังจากนั้นไม่นาน เฉียวซุนก็พูดขึ้นว่า “พี่คะ นี่พี่บ้าไปแล้วเหรอ!”เธอไม่เคยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อนเฉียวสือเยี่ยนเองก็ตกตะลึงเช่นกันในเวลานี้ เขาพักอยู่ที่คฤหาสน์สุดหรูในเมืองเซียง คฤหาสน์ทั้งหลังตกแต่งด้วยงาช้างและของตกแต่งที่ทำมาจากทองคำ แลดูฟุ่มเฟือยเป็นอย่างมาก และนี่ก็เป็นบ้านสีทองที่เฉียวสือเยี่ยนมีไว้เพื่อเก็บซ่อนของสวย ๆ งาม ๆ เอาไว้เมิ่งเยียน น้องสาวของเมิ่งเยียนหุยในตอนที่เมิ่งเยียนอายุได้ 20 ปี เธอก็ได้กลายเป็นคุณนายไปแล้ว หลังจากแต่งงาน เธอก็ถูกเฉียวสือเยี่ยนจัดแจงให้อาศัยอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้ ทุก ๆ วันเธอจะนั่งรถสุดหรูส่วนตัวไปเรียนที่สถาบันวิจิตรศิลป์ พอเลิกเรียน เธอก็จะละทิ้งการเข้าสังคมทั้งหมด และกลับมาที่บ้านพักแห่งนี้ หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ข้างกายเธอก็ไม่มีเพื่อนเหลืออยู่อีกเลย ราวกับว่าเธอเพิ่งจะถูกตัดแขนขาออก และกลายเป็นภรรยาตัวน้อยของเขาเท่านั้นเขาแทบไม่อยากจะให้เธอเรียนรู้อะไรเลยเขายิ่งไม่ต้องการให้เธอทำงานบ้าน และไม่ต้องการให้เธอเรียนรู้อะไรจากคุณนายคั่วเลยด้วยซ้ำ เขาแค่อยากเป็นคนเลี้ยงดูเธอ เธอต้องการที่จะเลี้ยงดูเธอให้กลายเป็นคนที่นอกจากเ
เฉียวซุนเต็มใจที่จะให้อภัย แต่เขาไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้......ในช่วงกลางดึก ลู่เจ๋อลงมายังชั้นล่างจางหยวนยังคงอยู่ที่นั่นเธอเพิ่งทำสิ่งที่น่าละอาย และด้วยความรู้สึกผิด ทันทีที่เธอเห็นลู่เจ๋อกำลังลงมา เธอก็เริ่มพูดใส่ร้ายทันที “ประธานลู่คะ คุณเฉียวล้ำเส้นเกินไปแล้วนะคะ เรื่องในคฤหาสน์เดิมทีเธอไม่ควรเข้ามายุ่งเลยด้วยซ้ำ”“ไม่งั้นจะให้ใครจัดการ? ”เสียงของลู่เจ๋อดูเย็นชา เขามองดูหมอสาวที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าเขาต้องการที่จะไล่เฉียวไป แต่เขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกที่คลุมเครือกับผู้ดูแลสาวคนนี้เลย และเขาก็ไม่เคยบอกใบ้ให้ท่าอะไรกับเธอด้วยจางหยวนตกตะลึงลู่เจ๋อบอกเธอไปตรง ๆ ว่าเขาจะใช้เส้นสายของเขาเพื่อเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของเธอ ซึ่งหมายความว่าเธอจะไม่สามารถเป็นหมอได้อีกต่อไป“นอกจากนี้...... ”ลู่เจ๋อพูดออกไปด้วยความเย็นชา “ออกจากเมือง B ภายในสองวัน! อย่าคิดที่จะหลีกเลี่ยง ผมจะให้คนไปเก็บกระเป๋าเดินทางของคุณ และส่งคุณไปยังเมืองซีเป่ย......ต่อไป พวกเขาจะคอยจับตาดูคุณเอาไว้! ”“ตอนที่คุณกินข้าว พวกเขาก็จะอยู่ข้าง ๆ”“ตอนคุณนอน หรือเข้าห้องน้ำ พวกเขาก็จะคอยดูแลคุณ”“หมอจาง
ลู่เจ๋อไม่สามารถตอบคำถามได้ในตอนนี้ เธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะถามหาคำตอบอยู่แล้ว พวกเขาทำได้แค่อดทนอยู่ใต้แสงไฟ รอคอยการมาถึงของเสิ่นชิง......ตกกลางดึก ก็มีเสียงรถดังขึ้นตรงลานหน้าบ้าน เสิ่นชิงมาถึงห้องนอนหลักชั้นสองอย่างรวดเร็วพอเห็นว่าเธอมาถึง เฉียวซุนก็พอที่จะหายใจได้ด้วยความโล่งอก และอดไม่ได้ที่จะตะโกนด้วยเสียงต่ำ “ป้าเสิ่น”“พาป้าไปดูเด็ก ๆ หน่อย”เสิ่นชิงดูสงบมาก เธออุ้มเจ้าหนูลู่เหยียนขึ้นมาแล้วตบเบา ๆ จากนั้นก็ตรวจเช็คอุณหภูมิ เธอพูดกับเจ้าหนูลู่เหยียนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา......เจ้าหนูลู่เหยียนยังคงตกอยู่ในฝันร้ายหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ร้องไห้และเรียกหาคุณยาย จากนั้นก็พูดอย่างคลุมเครือว่า “ป้าจางนั่นทำให้หนูตกใจ เธอบอกว่าพ่อปฏิบัติกับแม่ไม่ดี บอกว่าพ่อส่งแม่ไปขังไว้ที่บ้านพักรักษา เธอบอกว่าพ่อไม่ต้องการแม่อีกต่อไป และกำลังจะหาภรรยาใหม่...... ”หัวใจของเสิ่นชิงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายเธอเอ็นดูเจ้าหนูลู่เหยียนเอามาก ๆ เธอยิ่งเอ็นดูเฉียวซุน ใจของเธอแทบจะแตกสลาย แต่เธอยังคงเอาหน้าแนบชิดกับใบหน้าของเจ้าหนูลู่เหยียน และปลอบเธออย่างอ่อนโยนด้วยความรัก “สิ่งเหล่านั้นก็
จริง ๆ แล้วเขาก็ใส่ใจเรื่องนี้มาโดยตลอดผู้ชายคนไหนที่ไม่มีความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกันล่ะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอย่างลู่เจ๋อเลย......เฉียวซุนจ้องมองตามแผ่นหลังของเขา จากนั้นก็ลดเปลือกตาลง......มีบางอย่างอยู่ในใจของเธอไม่เช่นนั้น คืนนี้เธอคงสามารถจับลู่เจ๋อให้อยู่หมัดได้ เดิมทีร่างกายของเขาก็มีความต้องการอยู่แล้ว บวกกับที่ไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ามาตั้งหลายปี ก็แค่คืนนี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดีก็เท่านั้น เลยไม่ได้รู้สึกอยากทำเท่าไหร่เธอยังคงนึกถึงสิ่งที่เมิ่งเยียนหุยเคยพูด และนึกถึงเรื่องที่พี่ชายตัวเองแต่งงานกับเมิ่งเยียน พอมีเรื่องพวกนี้เพิ่มเข้ามา มันกลับยังคงถูกกดเอาไว้ส่วนลึกในใจของเธออยู่เฉียวซุนรอลู่เจ๋ออยู่ตลอดแต่เธอก็ยังไม่เห็นลู่เจ๋อ กลับกัน เป็นป้าแม่บ้านที่วิ่งลงมาแทน น้ำเสียงของป้าแม่บ้านค่อนข้างลนลาน “คุณนายคะ เกิดเรื่องกับคุณหนูเหยียนเหยียนแล้วค่ะ จู่ ๆ คุณหนูก็ละเมอขึ้นมาอย่างรุนแรง! คุณผู้ชายเชิญให้คุณไปดูหน่อยค่ะ”“เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ”เฉียวซุนพลางถาม พลางก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็วไปยังคฤหาสน์เธอเดินเร็วมาก ป้าแม่บ้านเองก็เดินตามเธอมาติด ๆ แล้วพูดขึ
เฉียวซุนไม่อยากให้เขาเห็นเธอเบือนหน้ามองออกไปครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “เปล่าค่ะ! ”เธอหยุดนิ่งไปชั่วขณะ “คุณช่วยบอกให้ป้าแม่บ้านอุ้มลูกลงมาที ฉันไม่ขึ้นไปแล้วล่ะค่ะ”ลู่เจ๋อไม่ได้ขยับแต่อย่างใดภายใต้แสงจันทร์สลัว ดวงตาสีดำของเขาจ้องมองเธออย่างใกล้ชิด โดยไม่ละสายตาจากเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงขั้นที่ถามเธอออกไปตรง ๆ “ร้องไห้มาก่อนแล้วเหรอ? ”“เปล่า! ”เฉียวซุนทนต่อสายตาแบบนี้ของเขาไม่ได้ เธอจึงรีบลงจากรถ “ฉันจะไปเรียกเอง”ทันทีที่เธอก้าวเท้าลง ก็ถูกใครบางคนคว้าข้อมือเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้ลู่เจ๋อจับเธอเอาไว้ได้ เขาจ้องมองเสื้อผ้าที่สวยงามและเซ็กซี่ของเธอท่ามกลางแสงจันทร์ และตรงข้อมือของเธอยังคงหลงเหลือรอยแดงจาง ๆ อยู่ด้วย......ด้วยความดื้อรั้น เขาจึงค่อย ๆ ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาร่างกายของเฉียวซุนสั่นเล็กน้อยพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ลู่เจ๋อค่อย ๆ ใช้มือลูบไปบนใบหน้าของเธอ จากนั้นก็ปาดน้ำตาออกอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงของเขาแทบจะคาดเดาอะไรไม่ได้เลย เขาถามขึ้นว่า “ที่ตัวสั่นขนาดนี้ เป็นเพราะเรื่องที่แอบเล่นชู้ หรือว่าเรื่องอื่นกันล่ะ? ”เธอนึกอะไรขึ้นมาได้เขาจับเอว