วันรุ่งขึ้น ฉันถูกเฉิงเฉิงปลุกให้ตื่นฉันซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เธอก็ดึงฉันออกมาจากใต้ผ้าห่ม "ลั่วเป่า เราจะไปดำน้ำดูปะการังกัน เธออยากไปไหม?"“ไม่ไป” ฉันง่วงมาก จึงยื่นมือข้างนั้นที่บาดเจ็บออกมาให้เธอดู “หมอบอกว่าห้ามโดนน้ำ”ฉันเอ่ยเตือน เฉิงเฉิงถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอเลยเลิกเซ้าซี้จะให้ฉันลุกขึ้นเพียงแค่กำชับฉันไม่กี่ประโยคแล้วจากไปผ่านไปประมาณห้านาที อาการง่วงนอนก็หายเป็นปลิดทิ้ง ฉันลุกขึ้นจากเตียงอย่างจำนนในโชคชะตาพออาบน้ำทำธุระเสร็จแล้ว ฉันก็ไปค้นหาเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางกระเป๋าเดินทางถูกเปิดออก มีชุดกระโปรงอยู่หลายชุดข้างในนั้นฉันเลือกชุดสีขาวบริสุทธิ์ตัวหนึ่งแล้วหยิบมันออกมา แต่เมื่อฉันกางออกก็พบว่าความยาวของกระโปรงยาวถึงแค่ต้นขาของฉันฉันขมวดคิ้วแล้วหยิบสีน้ำเงินอีกตัวหนึ่งออกมา ตัวนี้ยาวกว่าเล็กน้อย แต่ช่วงเอวกับหลังเว้าจนเปิดกว้างเสื้อผ้าทั้งกระเป๋าเดินทาง ฉันเลือกได้แค่เดรสคอวีสีดำตัวเล็กที่รัดเอวแน่นมากมาสวมอย่างแสนจะฝืนใจหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ฉันก็ออกจากห้องเมื่อคืนฉันแทบไม่ได้กินอะไรเลย เลยรู้สึกหิวนิดหน่อยจึงอยากเข้าครัวไปหาอะไรกินเมื่อฉันออกจ
......ฉันร้อนมาก คนทั้งคนรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกย่างบนเตาถ่านอยากจะหนี แต่หนียังไงก็หนีไม่พ้นฝันร้ายสลับซ้ำไปซ้ำมามา เดี๋ยวก็ฝันว่าก่อนที่จะกลับมาเกิดใหม่ กู้จือโม่รับโทรศัพท์ของเฉินเยวี่ยแล้วเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย เดี๋ยวก็ฝันว่าฉันอยู่ในห้องอาหารกับกู้จือโม่ เขาบอกให้ฉันปล่อยเฉินเยวี่ยไปด้วยสีหน้าเย็นชาสุดท้ายภาพก็ตัดมาตอนที่เราสองคนมีอะไรกันเสร็จแล้ว เขามองมาที่ฉันเหมือนกำลังมองขยะ "เฉียวซิงลั่ว เธอมันน่าขยะแขยงมากจริง ๆ"“ไม่...ไม่ใช่ฉัน...”ฉันลืมตาขึ้นมาทันที มองเห็นแสงอาทิตย์กระทบผิวน้ำทะเลหักเหสะท้อนบนเพดาน“ตื่นแล้วเหรอ?”เสียงทุ้มลึกของกู้จือโม่ดังก้องอยู่ข้างหู ฉันจึงค่อย ๆ หันศีรษะไปช้า ๆหนวดขึ้นเป็นตอสีเขียวบนใบหน้าของเขา สภาพดูเหนื่อยล้ามากฉันไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน จึงเอื้อมมือควานหาโทรศัพท์ แต่ทันทีที่ขยับกู้จือโม่ก็คว้าข้อมือของฉันไว้“อย่าขยับ เธอกำลังให้น้ำเกลืออยู่”หลังจากที่เขาพูดจบ ฉันถึงได้สังเกตเห็นถุงน้ำเกลือหลายถุงแขวนอยู่ริมหน้าต่าง“นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้ว?” ฉันเอ่ยปากถาม แม้แทบไม่มีเสียงก็ตาม แถมยังเจ็บคอมากเหมือนอมมีดหลาย
ฉันก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว พยายามซ่อนมือที่กำเม็ดยาไว้ด้านหลังบางทีฉันอาจจะกระโตกกระตากมากเกินไป เพราะหลังจากที่กู้จือโม่จับมือฉันยกค้างกลางอากาศเพียงไม่กี่วินาที เขาก็เก็บมือกลับไป "มือของเธอมีเลือดออก"ฉันเม้มริมฝีปากลงแน่น แต่ยังไม่ทันได้ตอบ เฉิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็กลับมาแล้วเฉิงเฉิงถือถังเล็ก ๆ อยู่ในมือพร้อมวิ่งมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ฉันอย่างรวดเร็ว เธอเอามันให้ฉันดูราวกับว่ากำลังถวายสมบัติ "ลั่วเป่า ดูแมงกะพรุนที่ฉันตกได้สิ ฟางฉิงหยางบอกว่ามันจะเรืองแสงตอนกลางคืนล่ะ"“จริงเหรอ?” ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก และถือโอกาสเหลือบมองแมงกะพรุนสีขุ่น ๆ ในถัง “งั้นเราไปหาตู้ปลามาใส่มันกันเถอะ”เมื่อพูดอย่างนั้น ฉันก็ดึงแขนเฉิงเฉิงกลับไปที่ห้องโดยไม่ได้หันหลังมองกู้จือโม่อีกในห้องไม่มีภาชนะที่เหมาะสมสำหรับเลี้ยงแมงกะพรุน เฉิงเฉิงจึงให้ฟางฉิงหยาง ไปเอาแจกันแก้วใสมาจากที่ไหนสักแห่งมาแทนหลังจากใส่แมงกะพรุนเข้าไปแล้ว เฉิงเฉิงถึงพบว่ามีคราบเลือดแห้ง ๆ บนหลังมือของฉันเฉิงเฉิงจับมือของฉันแล้วขมวดคิ้ว "ลั่วเป่า มือของเธอ"“ไม่เป็นไร” ฉันเหลือบมองหลังมือที่มีเลือดไหลจากการดึงเข็มออก แล้วดึงกระ
“ว้าว” เฉิงเฉิงอุทานอย่างตื่นเต้น “ลั่วเป่า พวกมันน่ารักจังเลย ใจฉันละลายไปหมดแล้ว”เมื่ออยู่ท่ามกลางความสดใสของเฉิงเฉิง อารมณ์ของฉันผ่อนคลายขึ้นมากผ่านไปประมาณยี่สิบนาที ฝูงโลมาก็ค่อย ๆ ว่ายหายไป จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นโลมาสีชมพูเลยสักตัวเฉิงเฉิงผิดหวังเล็กน้อย แต่ฉันคิดว่าแค่นี้ก็ดีมากแล้วเพราะท้ายที่สุด พวกเราคือคนที่เข้ามาบุกรุกชีวิตของพวกมันฟางฉิงหยางเข้ามาเย้าแหย่เฉิงเฉิง ฉันมองพวกเขาสองคน แล้วรู้สึกว่าสองคนนี้ทะแม่ง ๆฉันจากไปอย่างไม่อยากเป็นก้างขวางคอ จึงเดินไปหยิบน้ำผลไม้บนโต๊ะแต่จู่ ๆ กู้จือโม่ก็เข้ามาคว้าข้อมือของฉันไว้ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา เขาก็ส่งสัญญาณให้ฉันมองไปยังทิศทางฝั่งพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อฉันมองออกไปก็เห็นโลมาสีชมพูลอยอยู่บนผิวน้ำทะเลฉันยกมือขึ้นปิดปากด้วยความประหลาดใจ กู้จือโม่ถามฉันว่า "สวยไหม?"ฉันพยักหน้า แล้วกู้จือโม่ก็พูดขึ้นข้างหูฉันว่า "มันมีชื่อด้วยล่ะ"ฉันหันไปมองเขา กู้จือโม่ยิ้ม "มันชื่อว่าทังเปา[footnoteRef:0]" [0: ซาลาเปาน้ำซุป] ทังเปาฉันนึกออกทันทีว่าตอนมัธยมปลายปีสอง ฉันชอบนั่งกินข้าวกลางวันกับเขาเพราะวันนั้นไปช้าเลยเหลือแต่ซา
กู้จือโม่พาฉันเข้าไปในห้องของเขา ฉันแกล้งทำเป็นไม่สบาย ในไม่ช้าเขาก็วางฉันลงบนเตียงฉันประสานสองมือไว้แน่น และสังเกตเห็นว่าเขากำลังใกล้เข้ามาทีละนิดเมื่อหายใจเข้า กลิ่นต้นสนหิมะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆฉันเอื้อมมือเจอโคมไฟบนหัวเตียง และเมื่อกำลังจะฟาดไปนั้น กู้จือโม่ก็จับข้อมือของฉันแล้วพูดว่า "อย่าขยับ"ดวงตาของกู้จือโม่มืดมนราวกับเหวลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุดฉันจ้องเขา แล้วเขาก็เอียงศีรษะมาจูบที่หูฉัน "เฉียวซิงอวี่กำลังดูอยู่ข้างนอก"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉันก็มองกู้จือโม่โดยไม่รู้ตัว“อดทนหน่อย” มือสองข้างของคนสองคนประสานกันแนบแน่น เขาบรรจงจูบลงบนคอของฉันเป็นครั้งคราว “เมื่อก่อนตอนที่ฉันไปส่งโครงการให้ตระกูลเฉียว เขามองออกว่าฉันชอบเธอ”“ช่วงนี้ตระกูลกู้เปิดตัวโครงการศูนย์พักฟื้นระดับไฮคลาส เฉียวเจี้ยนกั๋วจึงโทรหาฉันและบอกว่าเนื่องจากปัญหาสุขภาพคุณย่าของเธอ ทำให้เธอไม่สบายใจนัก เขาจึงเสนอให้ฉันพาเธอออกมาเที่ยว”กู้จือโม่จูบเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันเริ่มทนไม่ไหวไม่รู้ว่าตัวเองได้เรี่ยวแรงมาจากไหน ฉันผลักเขาออกไปแล้วพลิกไปนั่งบนตัวเขาวางสองมือบนตัวเขา ผมยาวที่สยายไหลลงมาจากไหล่จนถึงอ
ถึงขนาดที่ว่า ต่อให้เธอวางยาฉันตอนนี้เพราะอยากให้ฉันอับอายต่อหน้าทุกคนในวันพรุ่งนี้ แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะใช้วิธีเดียวกันเล่นงานเธอกลับ“ฉันช่วยเธอได้นะ” กู้จือโม่เอ่ยปาก "ฐานะของตระกูลหลี่ไม่ได้แย่อะไร และเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเฉียวเจี้ยนกั๋วด้วย"ฉันหันกลับไป แต่กู้จือโม่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างช้า ๆวันต่อมาเมื่อเรือสำราญเทียบท่าที่ท่าเรือ เฉียวเจี้ยนกั๋วก็รีบวิ่งกรูเข้ามาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งพวกเขาตรงไปที่ห้องนอนของกู้จือโม่ ฉันได้ยินหลี่เหม่ยอิงแกล้งทำเป็นพูดปลอบโยนมาแต่ไกลว่า "คุณเฉียว อย่าโกรธไปเลย ลูกสาวคุณโตแล้ว มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกัน"ไม่ช้าพวกเขาก็ผลักประตูเข้ามา“คุณชายกู้ ซิงลั่วลูกของเราน่ะเป็นเด็กใสสะอาด ต่อไป…”เสียงของเฉียวเจี้ยนกั๋วหยุดลงกะทันหันฉันยืนอยู่ข้างหลังเขา แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น "หนูทำไมเหรอคะ?"กู้จือโม่เดินออกมาในชุดสีดำทั้งตัว "ที่ประธานเฉียวพูดเมื่อกี้หมายความว่าอะไรครับ?"“แล้วก็” กู้จือโม่กวาดสายตามองคนอื่น ๆ ด้วยดวงตาอันลึกล้ำ "คุณพาคนพวกนี้มาถามหาความผิดจากผมเหรอ?"“พ่อกับป้ามารับน้องใช่ไหมคะ?” ฉันส่งยิ้มให้พวกเข
เสียงของกู้จือโม่เย็นชาลงอย่างชัดเจนฉันเงยหน้ามองเขาก็เห็นใบหน้าที่ดูหม่นหมองลงทันทีลมพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆเสื้อผ้าบางเบาที่ฉันสวมอยู่ปลิวพลิ้วไปตามแรงลมความเย็นยะเยือกจู่โจมเข้ามาฉันยิ้มเล็กน้อย "เราไม่เคยมีเส้นแบ่งอะไรอยู่แล้ว เพราะเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลยตั้งแต่แรก"สิ้นคำพูด ฉันก้าวเดินจากไปเพราะเรื่องของเฉียวซิงอวี่ ทำให้บ้านตระกูลเฉียววุ่นวายกันไปหมดตอนที่ฉันกลับไป ทุกคนในบ้านต่างวุ่นอยู่กับเฉียวซิงอวี่ภายนอก เฉียวซิงอวี่ยังไม่อายุครบสิบแปดปีแต่ความจริงแล้ว เธอคือหลักฐานที่ยืนยันว่าเฉียวเจี้ยนกั๋วเคยนอกใจหลังแต่งงานเธออายุน้อยกว่าฉันแค่สามเดือนเท่านั้นฉันจับราวบันไดค่อยๆ เดินขึ้นไปข้างบนพลางได้ยินเสียงเฉียวซิงอวี่ร้องไห้"ฉันไม่อยากอยู่แล้ว! คนเห็นตั้งมากมาย มันน่าอายเกินไป ฉันจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง?""ทั้งหมดเป็นความผิดของทุกคน! เพราะว่าให้ฉันเอายาไปใส่ในน้ำของเฉียวซิงลั่ว เฉียวซิงลั่วเลยตั้งใจแก้แค้นฉัน!""เฉียวซิงลั่ว!"เสียงของเฉียวซิงอวี่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น"ฉันจะฆ่าเธอให้ได้!"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉันยิ้มออกมาเฉียวซิงอวี่ถูกตามใจจนเสียคนจ
ฉันพูดจบ เฉียวเจี้ยนกั๋วก็ดูเหมือนจะโกรธจัดหน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายเขาก็ยกมือค้ำโต๊ะก่อนจะเอ่ยว่า“เดี๋ยวฉันจะให้ลุงหวังพาแกไปหาย่าเดี๋ยวนี้”“แต่ถ้าฉันได้ยินเรื่องพวกนี้หลุดไปที่ไหน รับรองว่าย่าแกจะไม่มีโอกาสได้เห็นแสงตะวันของวันพรุ่งนี้แน่นอน”...... เฉียวเจี้ยนกั๋วเจ้าเล่ห์มาก ระหว่างทางที่ไปหาย่า เขาให้ลุงหวังเอาผ้าปิดตามาให้ฉันใส่ เพื่อไม่ให้ฉันมีโอกาสรู้ว่าเรากำลังไปที่ไหนตลอดทางกระจกรถถูกปิดสนิท มองอะไรไม่เห็นเลย ฉันไม่สามารถเดาได้เลยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รถก็จอดลงลุงหวังจับแขนฉันและพาฉันเข้าไปข้างใน จนกระทั่งเราเข้ามาในตัวอาคาร เขาถึงถอดผ้าปิดตาออก“คุณหนู ที่นี่แหละครับ ผมจะรอคุณข้างนอก ครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ผมจะมารับคุณกลับ”ลุงหวังพูดจบก็รีบเดินออกไปเมื่อสายตาสัมผัสกับแสงสว่างกะทันหัน ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตา จึงหลับตาลงชั่วครู่ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งฉันมองไปรอบๆ และพบว่านี่ดูเหมือนจะเป็นบ้านพักหลังหนึ่งการตกแต่งเรียบง่ายมาก ห้องต่างๆ ถูกจัดเรียงเป็นสองแถว ตรงสุดทางเดินเป็นผนังสีขาวไม่มีผู้คน และไม่มีอะไร
“อย่าให้เธอหนีไปได้!”เสียงคำรามของหัวหน้าชายดังมาจากด้านหลัง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และแฝงความเร่งรีบอย่างชัดเจนแต่ฉันรู้ดีว่า นี่คือโอกาสสุดท้ายของฉันฉันพุ่งเข้าไปในห้องนอนโดยไม่ลังเล โถมตัวเข้าหาหน้าต่างทันที ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักเปิดบานหน้าต่างที่หนักและเก่าไปสุดแรงสายลมเย็นพัดกระทบใบหน้า พร้อมกับกลิ่นอายของค่ำคืน ทำให้ฉันลืมความหวาดกลัวและความเหนื่อยล้าไปชั่วขณะฉันลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันตัวเตรียมหนีไป แต่ทันใดนั้นเอง ปลายเสื้อของฉันก็ถูกกระชากเอาไว้!“ปล่อยฉันนะ!”ฉันอุทานออกมาด้วยความตกใจ พยายามดิ้นรนสุดแรง แต่แรงที่จับฉันไว้นั้นแข็งแกร่งอย่างน่ากลัว ราวกับจะดึงฉันกลับเข้าไปในห้องอย่างไม่ปรานีในช่วงเวลาที่คับขันที่สุด ฉันเหวี่ยงมีดปอกผลไม้ในมือออกไปอย่างสุดแรง แม้ว่าจะไม่ได้แทงเข้าเป้าตรง ๆ แต่คมมีดก็เฉือนเข้าที่แขนของเขา ทิ้งรอยแผลลึกไว้พร้อมกับเลือดที่ไหลซึมออกมา!ความเจ็บปวดทำให้เขาเผลอคลายมือโดยไม่รู้ตัว ฉันฉวยโอกาสนี้สะบัดตัวหลุดจากการควบคุม แล้วกระโจนออกไปทันที ร่างของฉันลอยอยู่กลางอากาศ แขวนตัวอยู่เหนือพื้นด้านล่าง!‘กระโดดเร็ว!’ฉันตะโกน
ในตอนนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของฉันอย่างกะทันหันฉันต้องการหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ตัวตนของพวกเขา หรืออย่างน้อยก็ถ่วงเวลาไว้ เพื่อรอโอกาสที่อาจเปลี่ยนสถานการณ์ได้แต่ฉันก็นึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเขากำลังทดสอบขีดจำกัดของฉันฉันเป็นผู้หญิงที่อาศัยอยู่ตามลำพัง ไร้ที่พึ่งพาเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ฉันรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ จำเป็นต้องรักษาความสงบและใช้สติปัญญาอย่างถึงที่สุดฉันกวาดตามองชายเหล่านั้นอย่างเงียบ ๆ โดยประมาณแล้วดูเหมือนว่าจะมีเพียงสามคนฉันคำนวณในใจเงียบ ๆ หากจำเป็นต้องลงมือ อย่างน้อยฉันต้องพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาเสียก่อนดังนั้น ฉันจึงจงใจเพิ่มระดับเสียง ทำท่าเหมือนกำลังหาโทรศัพท์ไปด้วย ขณะเดียวกันก็ใช้หางตาสังเกตปฏิกิริยาของพวกเขาอย่างระมัดระวัง“ขอโทษค่ะ ดูเหมือนว่าโทรศัพท์ของฉันจะอยู่ในห้องนั่งเล่น รอสักครู่ค่ะ เดี๋ยวฉันกลับมา”พูดจบ ฉันค่อย ๆ หมุนตัวทำท่าเหมือนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง แต่แท้จริงแล้ว ฉันใช้ปลายเท้าเกี่ยวเข้ากับกระถางต้นไม้ที่วางอยู่ตรงขอบประตู กระถางนั้นเป็นเพียงของตกแต่งในชีวิตประจ
ชายคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่ยังคงแฝงไปด้วยความหนักแน่นฉันพยักหน้า พยายามทำให้เสียงของตัวเองฟังดูนิ่งสงบที่สุด“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอคะ?”“พวกเราเป็นทีมปฏิบัติการพิเศษของตำรวจ เกี่ยวกับเหตุการณ์ปล้นในช่วงเช้าวันนี้ เรามีบางเรื่องที่ต้องสอบถามคุณเพิ่มเติม”ชายที่เป็นผู้นำยื่นบัตรประจำตัวให้ดู น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังที่ไม่อาจมองข้ามได้ฉันชะงักไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเหตุปล้นที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา จะโยงมาถึงตัวฉันได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ฉันก็พยายามทำตัวให้สงบที่สุด ก่อนจะขยับตัวหลบไปด้านข้าง เตรียมให้พวกเขาเข้ามาในบ้านแต่ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ดึกขนาดนี้ ตำรวจจะมาหาฉันถึงบ้านได้อย่างไรกัน?ฉันหยุดเดินทันที ความระแวงพุ่งขึ้นสุดขีด สายตากวาดมองไปมาระหว่างชายเหล่านั้น พยายามจับพิรุธจากแววตาของพวกเขาในตอนนั้นเอง เบาะแสเล็กน้อยบางอย่างก็สะดุดตาฉันชายที่เป็นหัวหน้าถึงแม้จะแสดงบัตรออกมา แต่ในสายตาที่พร่ามัวของฉัน บัตรใบนั้นดูเหมือนจะมีแสงสะท้อนที่ผิดปกติ ไม่เหมือนกับวัสดุพลาสติกทั่วไปที่ควรจะเป็นเมื่ออยู่ใต้แสงไฟ
สำหรับกู้จือโม่ ความรักของเขามีหรือไม่มี ก็ไม่สำคัญสำหรับฉันอีกต่อไปบางที สักวันหนึ่ง เขาอาจยอมทิ้งฉันเพื่อครอบครัวของเขาก็เป็นได้คิดมาถึงตรงนี้ ฉันเผลอแสดงรอยยิ้มขมขื่นออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปด้วยความปล่อยวางเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันเก็บข้าวของเสร็จล่วงหน้าแล้วและออกเดินไปตามทางแสงแดดลอดผ่านกลุ่มเมฆบางเบา โปรยเป็นลวดลายลงบนพื้น เติมความอบอุ่นให้กับเช้าวันนี้ที่เงียบเหงาขึ้นมาเล็กน้อยฉันสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปลึก ๆ พยายามปล่อยความหม่นหมองของเมื่อคืนออกไปทั้งหมด และเตรียมตัวต้อนรับวันใหม่บนท้องถนน ผู้คนเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนต่างก้าวเดินอย่างเร่งรีบและวุ่นวายกับชีวิตของตัวเองฉันเดินไปอย่างไร้จุดหมาย แต่ในใจกลับมีทิศทางที่ชัดเจน ฉันจะมุ่งมั่นกับชีวิตและหน้าที่ของตัวเองให้มากขึ้น และจะไม่ให้ความรู้สึกมาผูกมัดฉันอีกต่อไปขณะที่ฉันกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังขึ้น ทำลายความเงียบสงบรอบตัวฉันหันกลับไปมอง เห็นชายคนหนึ่งวิ่งตรงมาหาฉันด้วยท่าทางตื่นตระหนก ขณะที่ด้านหลังของเขามีกลุ่มชายฉกรรจ์สีหน้าดุดันไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด เห็นได้ชัดว
เมื่อหลินเฉี่ยนได้ยินดังนั้น ดวงตาของเธอแดงก่ำ แต่เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมาการอยู่ที่นี่ต่อไปจะยิ่งทำให้สถานการณ์น่าอึดอัดขึ้น ฉันหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาแล้วเดินออกไปทันทีเดินอยู่บนถนนอันเงียบสงัด ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เด็กหนุ่มที่เคยอ่อนโยนและน่ารักในวันวาน กลับมาทะเลาะกันเพราะเรื่องของความรู้สึกในตอนนี้ดูเหมือนจะสามารถสืบทอดกิจการของครอบครัวได้ แต่กลับสูญเสียอิสรภาพในการเลือกความรักของตัวเองไม่รู้ว่าเดินมาได้นานแค่ไหน ฉันก็พบว่าตัวเองมาถึงริมแม่น้ำแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงพลบค่ำพอดีสายลมยามค่ำคืนพัดผ่านเบา ๆ นำพาความเย็นเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนจะช่วยพัดพาความหงุดหงิดในใจให้จางหายไปด้วยฉันเดินทอดน่องเพียงลำพังบนถนนที่มีแสงไฟสลัว ในหัวยังคงฉายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านกาแฟซ้ำแล้วซ้ำเล่าความรัก ความรับผิดชอบ ผลประโยชน์ของครอบครัว... คำเหล่านี้สานกันเป็นใยซับซ้อนในความคิดของฉัน ทำให้ยากที่จะหลุดพ้นบางเรื่องฉันเคยผ่านมันมาแล้ว แต่บางเรื่องกลับทำให้ฉันเจ็บปวดเหลือเกิน แม้ว่าจะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ฉันก็ยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการอยู่ดีฉันหยุดเดิน เ
สีหน้าของลู่เฉินเต็มไปด้วยความสับสน เขามองฉันแวบหนึ่งก่อนจะรีบหลบสายตากลับไป ราวกับกำลังชั่งใจและตัดสินใจบางอย่างในใจฉันรับรู้ได้ถึงความสับสนและความเจ็บปวดในใจของเขา ไม่ใช่แค่เพราะหลินเฉี่ยนที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังเป็นเพราะทางเลือกที่เขาเคยทำ รวมถึงความไม่แน่นอนต่ออนาคตของตัวเอง“หลินเฉี่ยน เธอใจเย็น ๆ ก่อนนะ”น้ำเสียงของลู่เฉินพยายามรักษาความสงบ แต่ความเหนื่อยล้าและความสิ้นหวังที่ซ่อนอยู่กลับไม่อาจปกปิดได้“ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคุยเรื่องนี้ เราหาเวลาคุยกันให้ดีอีกทีได้ไหม?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหลินเฉี่ยนไม่ได้ดีขึ้นมากนัก แต่เธอดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตรงนี้ไม่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยเรื่องนี้ เธอจึงสูดลมหายใจลึก พยายามระงับอารมณ์ของตัวเอง“ก็ได้ แต่ฉันต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากคุณตอนนี้เลย เกี่ยวกับการหมั้นของเรา คุณคิดยังไงกันแน่?”ลู่เฉินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างช้า ๆ ในที่สุด“หลินเฉี่ยน ผมรู้ว่าฉันติดค้างคำอธิบายกับคุณ เกี่ยวกับการหมั้น ผมไม่เคยคิดจะหนี เพียงแต่... ผมต้องใช้เวลาเพื่อจัดการความคิดของตัวเอง ธุรกิจของครอบครัว อนาคตของเราสักหน่อย เร
ในคำพูดของเขา มีทั้งความจำใจต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ความคิดถึงอดีต และความสับสนต่ออนาคตที่ไม่แน่นอนฉันตระหนักได้ว่าหนทางชีวิตของแต่ละคนล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราต่างก็ใช้วิธีของตัวเองในการประนีประนอมกับโลกใบนี้ และพูดคุยกับตัวเองภายในใจฉันแตะหลังมือของเขาเบา ๆ อย่างแผ่วเบา มอบกำลังใจให้เขาโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ๆ“จริง ๆ แล้ว ทุกเส้นทางชีวิตล้วนมีคุณค่าและความหมายในแบบของตัวเอง การที่นายรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว นั่นก็เป็นความรับผิดชอบและความกล้าหาญในอีกรูปแบบหนึ่ง ส่วนเรื่องการแต่งงาน แม้ว่าตอนแรกอาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคย แต่ชีวิตเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ใครจะรู้ได้ล่ะว่า คู่ชีวิตในอนาคตอาจกลายเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนายก็ได้?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของเขาฉายแววคลายกังวลขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากค่อย ๆ ปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ อย่างไม่รู้ตัว“เธอพูดถูกนะ เฉียวเฉียว บางทีฉันอาจจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป”ท่ามกลางบทสนทนา กลิ่นหอมของกาแฟอบอวลไปทั่วอากาศ ราวกับพาเราย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลามัธยมที่ไร้กังวลอีกครั้ง“จริง ๆ แล้ว นายอาจรู้สึกว่าชีวิตตอนนี้เหมือนกรงขัง แต่พวกเราที่ดิ้นรนต่อสู้อยู่
ในตอนนั้น หัวใจของฉันเจ็บปวดราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แต่ยังต้องฝืนยิ้มต่อหน้าผู้คน และเล่นตามบทบาทในพิธีศพอันแสนไร้สาระทุกครั้งที่ฉันมองแผ่นหลังของไอ้สารเลวนั่น ความโกรธและความเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ก็เอ่อล้นขึ้นมาในใจคนที่ควรจะเป็นที่พึ่งพาที่มั่นคงที่สุดของฉัน กลับเลือกที่จะใช้การจากไปของคุณย่าเพื่อตอบสนองความต้องการเห็นแก่ตัวของตัวเอง ในช่วงเวลาที่ฉันต้องการความเข้าใจและการสนับสนุนมากที่สุดหลังจากพิธีศพจบลง ฉันเดินวนเวียนอยู่เพียงลำพังในสวนหลังบ้าน แสงจันทร์สาดส่องลงมา ทำให้บรรยากาศยิ่งเย็นเยียบและเงียบเหงาเป็นพิเศษฉันหวนคิดถึงทุกช่วงเวลาที่แสนอบอุ่นที่เคยใช้ร่วมกับคุณย่า รอยยิ้มของเธอ คำสอนของย่า ราวกับยังคงก้องอยู่ข้างหูน้ำตาไหลรินอย่างเงียบงันในช่วงเวลานี้ ความคับแค้น ความโกรธ และความไม่ยอมรับทุกอย่าง ถูกปลดปล่อยออกมาในที่สุดแต่ตอนนี้ คนที่เจ็บปวดจริง ๆ คือเฉิงเฉิง ฉันรู้สึกทรมานใจเหลือเกินเห็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันกลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยากหลังจากการจากไปของคุณย่า ฉันเองก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกันฉันสูดลมหายใจลึก พยายามทำให้ตัวเองสงบลง แล้วหันไปมองเฉิงเฉิงด้วยความต
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอ เฉียวเฉียว การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือน แต่เช่นเดียวกับที่เธอกล่าวไว้ เราทุกคนจำเป็นต้องหาหนทางที่จะก้าวออกจากความเศร้าและกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง คุณทำได้ และฉันเชื่อว่าฉันก็ทำได้เช่นกัน”เสียงของเฉิงเฉิงเต็มไปด้วยความหนักแน่นมากขึ้น แม้ว่าดวงตาจะยังคงแดงก่ำ แต่ความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ“ฉันจำได้ว่า คุณย่าเคยบอกฉันว่า ชีวิตก็เหมือนการเดินทาง เราจะได้พบเจอผู้คนมากมาย และก็ต้องลาจากกับหลายคนเช่นกัน การจากไปของแต่ละคนมีไว้เพื่อให้เราซาบซึ้งกับคนที่ยังอยู่เคียงข้างเรามากขึ้น และให้เห็นคุณค่าของเส้นทางชีวิตข้างหน้าของตัวเอง ฉันคิดว่า ตอนนี้ย่าคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง มองฉันด้วยความอ่อนโยน และหวังให้ฉันเข้มแข็งก้าวต่อไป”ฉันจับมือเธอเบา ๆ มอบกำลังใจให้เธอโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ๆ“เฉิงเฉิง คำพูดของย่าเธอถูกต้องแล้ว เราต้องก้าวต่อไปโดยมีความรักของเธออยู่กับเรา พรุ่งนี้เราจะเผชิญกับพิธีศพด้วยกัน แม้ว่ามันจะยาก แต่ก็นับเป็นการอำลาย่าของเธอ และเป็นก้าวสำคัญของการเติบโตของเราเอง”คืนนั้น เราคุยกันมากมาย ตั้งแต่ความทรง