ฉันไม่อยากขยับตัวเลยสักนิด แต่พอคิดถึงเงื่อนไขการจ้างงานที่บอกไว้ว่านอกจากให้บริการด้านงานแล้ว ฉันยังต้องช่วยเหลือในเรื่องส่วนตัวของอัลเลนบ้างเป็นครั้งคราว ฉันจึงตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับไปแค่คำว่า "ได้"ไม่นานหลังจากนั้น อัลเลนก็ส่งข้อความมาอีกครั้งเขาบอกให้ฉันเพิ่มเขาเป็นเพื่อนในวีแชทและบันทึกเบอร์โทรของเขาไว้ เผื่อมีอะไรจะได้ติดต่อกันสะดวกฉันทำตามที่เขาบอก เพิ่มวีแชทของเขาและบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ไว้หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ ฉันก็ทำใจลุกขึ้น กินยาที่โรงพยาบาลให้มา แล้วเรียกรถไปที่บาร์ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉันก็มาถึงที่อยู่ที่อัลเลนบอกไว้ฉันให้พนักงานพาฉันไปที่ห้องส่วนตัว พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกู้จือโม่ที่เมาจนหมดสภาพฉันหันหลังเตรียมจะเดินออกไป แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสายจากอัลเลนฉันกดรับสาย อัลเลนก็ถามขึ้นมาทันที “แอนนา เธอรับคนหรือยัง? รบกวนเธอหน่อยนะ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง เมื่อกี้ตอนฉันกำลังวาดแบบอยู่ที่บาร์โทรมาบอกให้ฉันไปรับเขา แต่ฉันออกไปไม่ได้”“ฉันไม่รู้จักใครในปักกิ่ง ก็เลยนึกถึงเธอ หวังว่าเขาจะไม่ทำให้เธอลำบากเกินไป”“สิ้นเดือนฉันจะจ่ายโบนัสให้ ขอบคุณม
ดูเหมือนว่าเขาจะเจ็บจริง ๆ เพราะกู้จือโม่ปล่อยมือออกในที่สุดฉันดึงมือกลับมาโดยไม่สนใจที่จะมองเขาอีกแม้แต่นิดเดียวครึ่งชั่วโมงต่อมา รถก็จอดที่หน้าบ้านของกู้จือโม่ฉันพยายามดึงเขาลงมาจากรถ น้ำหนักตัวทั้งหมดของเขากดทับอยู่บนตัวฉันฉันเองเพิ่งฟื้นตัวจากการป่วยหนัก ทำให้แบกร่างใหญ่ขนาดนี้ไม่ไหว พยายามพยุงเขาเดินไปได้สองก้าว แต่ยังไม่ทันถึงหน้าประตู เท้าของฉันก็สะดุดและเราทั้งคู่ก็ล้มลงไปกับพื้นแต่ความเจ็บปวดที่คาดหวังไว้กลับไม่เกิดขึ้น เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตำแหน่งของเราสลับกัน คนที่ล้มลงไปก็คือกู้จือโม่ฉันได้ยินเสียงเขาครางออกมาเบา ๆ และเห็นเขาขมวดคิ้วเพราะความเจ็บปวด เขาลืมตาขึ้นฉันรีบลุกขึ้นจากตัวเขาและถามด้วยความเป็นห่วง "นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"กู้จือโม่ยกมือขึ้นกุมที่ท้ายทอย "เจ็บ"เสียง "ตุบ" ที่ได้ยินเมื่อกี้คือศีรษะเขากระแทกพื้นหรือเปล่านะ?ฉันรีบย่อตัวลงไปช่วยพยุงเขานั่งขึ้น "เจ็บตรงไหน? มีเลือดออกไหม?"พูดจบ ฉันก็เอื้อมมือไปตรวจดูบริเวณท้ายทอยของเขาไม่มีเลือดออก แต่มีรอยบวมปูดใหญ่มากฉันแตะเบา ๆ ที่รอยบวมนั้น ทำให้กู้จือโม่สูดลมหายใจเข้าอย่างเจ็บปวด "ซี้ด"
"แล้วก็เรื่องย่าของเธอ เฉียวเจี้ยนกั๋วจะไม่กล้ามาใช้ย่าเธอข่มขู่เธออีกแล้ว""ลั่วลั่ว" กู้จือโม่พยายามยื่นมือมาจับมือฉัน "อย่าเกลียดฉันได้ไหม?""กู้จือโม่" ฉันดึงมือกลับไปไว้ด้านหลังแล้วจ้องเข้าไปในตาของเขา "นายชอบฉันใช่ไหม?"กู้จือโม่เป็นคนหยิ่งทะนงและไม่ถนัดในการแสดงออกทางคำพูด หลายครั้งที่คำพูดของเขามักไม่ตรงกับสิ่งที่เขาคิดในใจ เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะ ทำให้ตั้งแต่เกิดเขาก็ได้รับสิทธิพิเศษในการที่คนอื่นต้องมารุมล้อมชื่นชมเขา ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่ค่อยรู้วิธีแสดงออกทางอารมณ์ฉันคุ้นชินกับความดื้อรั้นและปากแข็งของเขา แต่ท่าทีที่เขาตั้งใจลดลงในตอนนี้ ทำให้ฉันรู้สึกไม่คุ้นเคย และไม่อาจมองข้ามความเปลี่ยนแปลงของเขาที่มีต่อฉันได้แต่ทั้งหมดนี้มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กู้จือโม่เริ่มมีความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิมกับฉัน?ฉันจ้องมองกู้จือโม่ แต่ก็นึกถึงสัญญาณอะไรของเรื่องนี้ไม่ออกเลยฉันหวังให้กู้จือโม่ตอบว่า "ไม่ใช่" แต่หลังจากที่ฉันถามออกไป สีหน้าของเขากลับดูผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกู้จือโม่มองฉันอย่างตรงไปตรงมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ "ใช่
ไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยคนนั้นพูดอะไรกับเฉินเยวี่ย แต่เธอก็ซบอยู่ในอ้อมกอดของเขา หัวเราะอย่างมีความสุขท่ามกลางสายตาของคนรอบข้าง พวกเขากอดกันอย่างไม่อายใครหรือว่ากู้จือโม่ถูกเฉินเยวี่ยนอกใจแล้ว?ฉันมองอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งพนักงานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ทักขึ้น "คุณผู้หญิงคะ จะเลือกหม้อไฟแบบไหนดีคะ?"ฉันจึงได้สติกลับมาและรีบหลบสายตา "ขอโทษทีค่ะ" ฉันยิ้มอย่างขอโทษและมองไปที่เมนู "เอาหม้อไฟแบบยวนยาง[footnoteRef:0]นะคะ ขอบคุณค่ะ" [0: หม้อไฟแบบที่แบ่งช่องใส่ได้สองน้ำซุป] หลังจากพนักงานเดินจากไป ฉันก็สั่งอาหารเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยมื้อนั้นเป็นมื้อที่สนุกมากอาจจะเป็นเพราะความเผ็ดทำให้ฉันเจริญอาหาร ฉันเลยกินได้เยอะกว่าปกติระหว่างที่ฉันไปเข้าห้องน้ำ พอออกมาฉันก็เห็นเฉินเยวี่ยยืนเติมเครื่องสำอางอยู่ที่อ่างล้างหน้าพอเธอเห็นฉัน ดวงตาของเธอก็มีแววหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่นานเธอก็กลับมาทำตัวเป็นปกติฉันเดินไปเปิดก๊อกน้ำล้างมือ พอเช็ดมือเสร็จ เฉินเยวี่ยก็พูดขึ้นมา "เฉียวซิงลั่ว ตอนนี้เธอคงรู้สึกภูมิใจมากสินะ?"ภูมิใจงั้นเหรอ?ฉันภูมิใจเรื่องอะไร?ฉันเอียงหัวมองเฉินเยวี่ย กำลังจะถามเธอว่าฉันภูมิใจ
ฉันหัวเราะเบา ๆ “น่าเสียดายเหมือนกันนะ พวกเขาก็ดูเหมาะสมกันดีอยู่แท้ ๆ”ตอนที่เฉินเยวี่ยใส่ร้ายฉัน ฉันได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อน ๆ ฟังแล้วหลี่เสี่ยวอวี่และเจี่ยนซินสบตากัน เจี่ยนซินดูเหมือนจะอยากถามอะไรบางอย่าง แต่หลี่เสี่ยวอวี่รีบเอามือปิดปากเธอและลากตัวเธอออกไป “พอแล้ว ๆ เล่าข่าวซุบซิบจบแล้ว ทีนี้เรามาคิดกันดีกว่าว่าคืนนี้จะกินอะไรกัน”“จริงด้วย” หลี่เสี่ยวอวี่กดเจี่ยนซินให้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วหันกลับมาถามฉัน “เธอจะกลับบ้านพรุ่งนี้ใช่ไหม? แล้วไฟลต์บินกี่โมง?”“บ่ายสามโมง”…… ที่อวิ๋นเฉิงพอฉันออกมาจากสนามบิน ก็สัมผัสได้ถึงลมร้อนที่พัดมาปะทะหน้าคงเพราะฉันชินกับฤดูหนาวของปักกิ่งแล้ว ฉันจึงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อปรับตัว ก่อนจะถอดเสื้อโค้ตขนเป็ดออก“คุณหนู”ขณะที่ฉันเพิ่งถอดเสื้อโค้ตลง คนขับรถของบ้านก็มาถึงพอดีฉันพยักหน้าให้ ส่งกระเป๋าเดินทางให้เขา แล้วก้มตัวขึ้นรถในกรุ๊ปแชทหอพัก หลี่เสี่ยวอวี่กับเจี่ยนซินถามฉันว่าถึงหรือยังฉันตอบพวกเธอแล้วก็พูดคุยกันสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าทางที่เรากำลังไปนั้นไม่ใช่ทางกลับบ้านตระกูลเฉียวฉันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ลุงหวัง เร
หลังจากที่เฉิงเฉิงพูดจบ ฉันก็ขมวดคิ้วฉันไม่คุ้นเคยกับฟางฉิงหยางเลย ปกติก็ไม่ได้ติดต่อกัน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะต้องขึ้นเรือไปกับพวกเขา เขาสามารถบอกกับเฉิงเฉิงล่วงหน้าได้ยังไง?มีคำตอบหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว แต่ฉันไม่อยากคิดไปในทางนั้นฉันหันกลับมามองเฉิงเฉิง "ฟางฉิงหยางบอกเธอเมื่อไหร่?"“วันพุธไง ตอนนั้นพวกเรากำลังกินข้าวกันอยู่ที่โรงอาหาร เขารับประกันกับฉันเลยว่าเธอจะกลับมา ฉันถึงได้แอบกลับมาอย่างลับ ๆ”“เดิมทีฉันจะส่งข้อความทางวีแชทไปหาเธอ” เฉิงเฉิงขมวดคิ้ว “แต่ฟางฉิงหยางไม่ยอม บอกว่าอยากให้เธอเซอร์ไพรส์ดีใจตอนเจอฉัน”วันที่หนึ่งมกราคมปีสองพันยี่สิบห้าเป็นวันเสาร์พอดี และก็เป็นวันที่เฉียวเจี้ยนกั๋วโทรหาฉันพอดีด้วยเฉียวเจี้ยนกั๋วและกู้จือโม่วางแผนกันมาก่อนแล้วหรือเปล่า?ฉันเบือนสายตาไปตกอยู่ที่ร่างของกู้จือโม่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอกู้จือโม่ในรอบกว่าครึ่งเดือน นับตั้งแต่เราจากกันไม่ดีที่อพาร์ตเมนต์ของเขาเมื่อครั้งที่แล้วเขาสวมแว่นกันแดด เผยให้เห็นเพียงครึ่งล่างของใบหน้าที่ริมฝีปากเม้มลงเท่านั้น ดูไปแล้วช่างเย็นชาและเข้าถึงยาก ชุดลำลองสีดำทั้งตัวที่สวมใส่อยู่ ทำให้เขาดู
หนุ่ม ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์เองก็ไม่มีใครตอบสนองกลับมาสักคน ฉันมองดูหวังเยวี่ยนเขวี้ยงแก้วไวน์มาทางฉัน จากนั้นยื่นมือออกไปโดยสัญชาตญาณครู่ต่อมา แก้วทรงสูงที่โปร่งใสก็กระแทกเข้ากับหลังมือของฉันเศษแก้วที่แหลมคมตกลงมา และในไม่ช้าเลือดสด ๆ ก็ไหลจากหลังมือแล้วหยดลงไปที่พื้นฉันเจ็บจนต้องนั่งยอง ๆ ลงกับพื้น เฉิงเฉิงรีบปรี่เข้ามาช่วยประคองฉัน "ลั่วเป่า"เมื่อได้ยินเสียงความวุ่นวายกู้จือโม่และฟางฉิงหยางก็ลงมาจากดาดฟ้า ทันทีที่เขาเห็นว่ามือของฉันเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของกู้จือโม่ก็มืดครึ้มลงเขาเดินเข้ามาหาฉันอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบผ้าสะอาดมาพันบริเวณจุดที่เลือดออก “เจ็บตรงไหนบ้าง?”ฉันกลัวเจ็บมาก แต่ก็ทนได้เก่งมากเช่นกันเมื่อก่อนฉันป่วยหนักถึงขนาดนั้น ไข้ขึ้นสูงจนสะลึมสะลือไปหมด ฉันก็ไม่เคยร้องไห้ทว่าตอนนี้น้ำตากลับเอ่อคลอขึ้นเต็มขอบตา ฉันเงยหน้าขึ้นมองกู้จือโม่ ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล "ไม่รู้ เจ็บ"หลังจากที่ฉันพูดว่า "เจ็บ" ความวิตกกังวลของกู้จือโม่ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเขาตะโกนบอกฟางฉิงหยางให้ไปตามหมอประจำเรือมา จากนั้นก็อุ้มฉันแล้วเดินเข้าไปในห้อง "ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวหมอก็
ฉันรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่มีเหตุผล การเคลื่อนไหวที่ถอยกลับอยากที่จะหลบเขา จึงหยุดลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติกู้จือโม่ร้อง "หืม?" ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งฉันเม้มริมฝีปากลงแล้วจงใจพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ไม่อยากเห็น"ความขบขันในน้ำเสียงของกู้จือโม่ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เขาพูดด้วยเสียงต่ำว่า "แต่ฉันอยากให้ลั่วเป่าเห็น ทำยังไงดี?"ที่ปลายหูของฉันมีความรู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ฉันรีบหันหน้าไปอย่างแรง กู้จือโม่ก็หันหน้ามามองฉันในเวลาเดียวกันทันใดนั้น ระยะห่างระหว่างเราสองคนก็เปลี่ยนเป็นใกล้กันมาก ใกล้พอที่จะได้กลิ่นครีมโกนหนวดจากบนคางของเขา"เสร็จแล้ว"เสียงของหมอดังขึ้น ฉันถึงได้สติขึ้นมา ยกมือขึ้นแล้วดันมือของกู้จือโม่ที่ปิดตาของฉันออกไปหมอถอดถุงมือที่ใช้แล้วทิ้งออกแล้ว “มือข้างนี้ห้ามสัมผัสน้ำเป็นเวลาสามวัน ทางที่ดีที่สุดคืออย่าขยับมันบ่อยด้วย ผมจะมาเปลี่ยนยาให้ทุกวัน”“ใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนก็จะหายดีแล้ว” หมอพูดพลางเก็บกล่องยาเสร็จเรียบร้อย “จริงสิ ผมใช้ไหมพีดีโอ[footnoteRef:0]ในการเย็บ คุณหนูเฉียวไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผลเป็นนะครับ” [0: ไหมคอลลาเจน ไหมละลายได้]
การไม่รบกวนเขา คือสิ่งที่ฉันสามารถทำได้มากที่สุด เมื่อฉันก้าวเข้าไปในโรงแรมด้วยชุดเดรสยาวสีฟ้าน้ำทะเล สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมาที่ฉันในทันที บางทีสำหรับฉันในตอนนี้ ความอ่อนเยาว์และความงามอาจเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด คนจำนวนมากมักจะมองแต่เปลือกนอกของผู้อื่นอย่างผิวเผิน หากแม้แต่ความตั้งใจที่จะทำความเข้าใจยังไม่มี แล้วโอกาสที่จะพัฒนาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? โชคดีที่ตอนนี้ฉันมีทุกอย่างแล้ว ใบหน้าที่ซีดเซียวในอดีตหายไปแล้ว แต่สิ่งที่ได้มาคือร่างกายที่สดใหม่ อ่อนเยาว์ และงดงามกว่าเดิม เมื่อฉันไปร่วมงานเลี้ยงเพียงลำพัง มองดูอาหารอันโอชะบนโต๊ะและกลุ่มคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ใจฉันก็พอจะเข้าใจแล้วว่างานเลี้ยงคืนนี้มีความหมายว่าอย่างไรไม่ใช่เงินทุกก้อนที่จะหามาได้ง่าย ๆ บางก้อนนั้นต้องแลกด้วยชีวิต เพื่อแสดงถึงความจริงใจของตัวเอง และเพื่อให้โดดเด่นท่ามกลางคนเหล่านี้ ฉันยกแก้วขึ้นกล่าวคำเชิญดื่มก่อนเป็นคนแรก จากนั้นก็แสดงเจตจำนงของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาและมั่นใจ คนเหล่านี้ก็ดูจะคอแข็งกันทั้งนั้น อาจเป็นเพราะเก่งเรื่องงานสังคม พอดื่มไปได้สักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย
เดิมทีอากาศค่อนข้างแจ่มใส แต่ตอนนี้กลับมีฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ฝนที่ตกลงมาอย่างกะทันหัน ทำให้ฉันรู้สึกกระวนกระวายยิ่งขึ้น และยังเกิดความไม่สบายใจขึ้นมาในใจ โชคดีที่ไม่นานฉันก็กลับถึงบ้าน และพอถึงบ้าน ฉันรีบลงไปแช่น้ำร้อนในอ่างทันที ฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปล่อยวางทุกอย่าง ทำให้จิตใจของตัวเองค่อย ๆ กลับมาสงบอีกครั้ง อย่าให้เรื่องใดมาส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของฉัน และอย่าให้ความรู้สึกใด ๆ มาควบคุมเส้นทางชีวิตของฉัน ชาติที่แล้วฉันใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นที่น่าพอใจ แถมยังทำให้ฉันรู้สึกขำตัวเอง เพราะการทุ่มเทความรู้สึกทั้งหมดไปกับความรักนั้น สุดท้ายก็แค่ทำให้ตัวเองยิ่งลำบากและน่าสมเพชมากขึ้นเท่านั้น ครั้งนี้ ฉันมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แต่ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้หรือไม่ เมื่อฉันยืนอยู่ในห้องมืด ๆ สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำ มองลงไปข้างล่างผ่านหน้าต่าง ฝนที่เทกระหน่ำภายใต้แสงไฟถนนกลับดูงดงามอย่างน่าเศร้าใจ พาให้ความคิดของฉันย้อนกลับไปในชาติที่แล้ว ซึ่งเป็นค่ำคืนฝนตกที่เย็นชาและเงียบงันไม่ต่างกัน วันนั้นฉันสวมเสื้อโค้ตผ้าขนสั
เขาเป็นพ่อของฉันจริง ๆ ซึ่งฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อนี้ได้ แต่เขากลับต้องการขายลูกสาวเพื่อไต่เต้า แถมยังมองฉันเป็นเพียงเครื่องมือที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ตามใจอีก เขามีลูกสาวสองคน แต่ชีวิตของเราสองคนกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ราวกับว่าฉันเป็นเพียงรองเท้าคู่หนึ่งที่ใครก็สามารถหยิบไปใส่ได้ เขาไม่เคยใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับฉันเลย บางทีอาจเป็นเพราะฉันคาดหวังในความสัมพันธ์นี้มากเกินไป หรือเพราะฉันต้องการความรักจากครอบครัวที่ไม่เคยได้รับมาก่อน จึงผลักดันตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงทางตัน “ตอนนั้นตระกูลเฉียวได้รับผลประโยชน์จากฉันไปไม่น้อย ฉันก็หวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ แต่ภายหลังก็เพิ่งเข้าใจว่า เรื่องดี ๆ จะมีมากมายขนาดนั้นได้ยังไงกัน?” บางทีอาจมีเพียงในสถานการณ์แบบนี้เท่านั้นที่ฉันจะพูดอะไรออกมาได้ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะช่วยให้ฉันสงบลงได้ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเรื่องตลกที่น่าขัน ทำได้เพียงบอกความในใจที่ไม่กล้าพูดออกไปให้คนข้าง ๆ ฟัง เขาเพียงรับฟังอย่างเงียบ ๆ เป็นผู้ฟังที่ซื่อสัตย์ที่สุด ส่วนฉันในตอนนั้นก็ได้แต่ครุ่นคิดทุกสิ่งเงียบ ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ระบายความเจ็บปวดในใจออก
ผู้อาวุโสหนานเผยรอยยิ้มเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ ท่าทีที่มองฉันก็แฝงไว้ด้วยความภูมิใจเล็กน้อย ฉันรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก แต่การจะคว้ามันไว้ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของฉันเองล้วน ๆ “สาวน้อยเฉียว เธออย่าเพิ่งดีใจไป ฉันอยากแนะนำเขาให้เธอก็จริง แต่เขานิสัยประหลาดกว่าฉันอีกนะ จะทำให้เขายอมรับนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ผู้อาวุโสหนานรีบพูดขัดทันที ทำให้ฉันยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าตอนที่ฉันกำลังตกอยู่ในวิกฤต ฉันคว้าไว้ได้เพียงฟางเส้นสุดท้าย แต่กลับพบว่าฟางเส้นนี้ช่วยอะไรฉันไม่ได้เลย “แต่ด้วยความสามารถของเธอ ฉันเชื่อว่าเธอจัดการได้แน่นอน” ความกดดันถาโถมเข้ามาอย่างมหาศาล จนฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะล้มลง และในชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี ทุกสิ่งในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย การจะดำเนินไปตามเส้นทางในชาติที่แล้วนั้นเป็นเรื่องยากเหลือเกิน แต่ข้อมูลที่ฉันมีอยู่มากพอที่จะทำให้ฉันคว้าความได้เปรียบล่วงหน้ามื้อนี้เป็นมื้อที่น่าพึงพอใจ แม้จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ก็ได้พบกับวิธีแก้ไขใหม่ ๆ แทน เม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรตลอดทางกลับบ้าน นั่งอยู่
เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ฉันรู้สึกผิดหวังทันที แต่ก็รีบรวบรวมกำลังใจกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ฉันรู้ดีว่าโอกาสมักเป็นของคนที่เตรียมพร้อม ฉันจึงไม่อาจยอมแพ้ไปง่าย ๆ แบบนี้ นี่คือหนทางเดียวที่ฉันจะพิสูจน์ตัวเองได้ และยังเป็นก้าวแรกในชีวิตของฉันด้วย ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดอย่างช้า ๆ ว่า “ผู้อาวุโสหนาน ฉันเข้าใจถึงความกังวลของคุณค่ะ แต่ได้โปรดเชื่อว่าโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานใหม่สำหรับคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่สามารถทำให้แสงแห่งศิลปะของคุณเปล่งประกายได้อีกครั้งด้วย อีกทั้งฉันเชื่อว่าโครงการที่คุณกำลังทำอยู่และโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ต้องมีความเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์บางอย่าง ซึ่งสามารถสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ค่ะ” หลังจากที่ผู้อาวุโสหนานได้ยินดังนั้น แววตาก็ฉายแววความสงสัยขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนคำพูดของฉันจะดึงดูดความสนใจของเขา จนเขาเริ่มพิจารณาข้อเสนอของฉันอีกครั้ง ฉันรีบฉวยโอกาสกล่าวต่อไปว่า “ผู้อาวุโสหนาน คุณทราบหรือเปล่าคะว่าฉันชื่นชมคุณมาโดยตลอด ผลงานของคุณมอบทั้งแรงบันดาลใจและข้อคิดให้ฉันมากมาย ส่วนโครงการเซาท์เ
ฉันสูดลมหายใจลึก ตัดสินใจที่จะพูดคุยกับผู้อาวุโสหนานให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หวังว่าจะสามารถกระตุ้นความรักและความมุ่งมั่นที่เขามีต่อศิลปะสวนภูมิทัศน์ในใจของเขาได้ “ผู้อาวุโสหนาน คุณรู้ไหมคะ? ฉันคิดมาตลอดว่าสวนไม่ได้เป็นแค่การจัดวางสิ่งปลูกสร้างกับต้นไม้ แต่มันเหมือนภาพวาดที่มีชีวิต เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและเรื่องราว และในฐานะที่คุณเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะจีน น่าจะเข้าใจเสน่ห์ของการผสมผสานศิลปะกับการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ฉันมองผู้อาวุโสหนานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความปรารถนา หวังว่าสายตานั้นจะสื่อความรู้สึกของฉันออกไปได้ ผู้อาวุโสหนานได้ยินดังนั้น แววตาก็เปล่งประกายวาบหนึ่ง ก่อนจะวางถ้วยชาลงและดูเหมือนจะจมอยู่ในความคิด ฉันรู้ว่าฉันได้แตะต้องจุดที่อ่อนไหวบางอย่างในใจของเขาเข้าแล้ว คนระดับปรมาจารย์ในแวดวงวิชาการแบบนี้มักไม่ใส่ใจเรื่องเงินทอง สำหรับพวกเขา เป็นเพียงของนอกกายเท่านั้น พวกเขาเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ลอยล่องกลางทะเล ซึ่งต้องการคนที่เข้าใจและเข้าถึงได้อย่างแท้จริง และฉันสามารถมอบคุณค่าทางอารมณ์ที่เพียงพอให้กับเขาได้ อีกทั้งยังตอบสนองความปรารถนาของเขาได้อ
ขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิดหนักเพื่อหาเรื่องคุย ก็ไม่คาดคิดว่าผู้อาวุโสหนานจะเป็นฝ่ายพูดถึงโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ขึ้นมาก่อนเอง โครงการนี้เดิมทีตั้งใจจะสร้างสวนสไตล์พิเศษ คล้ายกับพระราชวังต้องห้ามสมัยโบราณ แต่ต้องตอบสนองความต้องการด้านความงามยุคสมัยใหม่ โดยผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับความงดงามของสวนโบราณอย่างลงตัว ตอนนี้แบบร่างเบื้องต้นได้ออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีรายละเอียดหลายจุดที่ยังไม่ได้ปรับแก้ มีเพียงโครงร่างคร่าว ๆ เท่านั้น แน่นอนว่าฉันหวังว่าเขาจะเข้าร่วมโครงการนี้ เพื่อช่วยเราเติมเต็มรายละเอียดให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น “โครงการในตอนนี้ยังอยู่ขั้นตอนเริ่มต้น จำเป็นต้องมีแบบร่างและแนวคิดการออกแบบที่ยอดเยี่ยมเพียงพอ เพื่อให้โครงการนี้พัฒนาต่อไปได้อย่างราบรื่นในอนาคตค่ะ” ความหมายข้างต้นชัดเจนมาก หากเราไม่สามารถนำเสนอแบบร่างที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามพึงพอใจได้อย่างเต็มที่ ก็จะไม่สามารถเจรจาธุรกิจนี้ต่อได้ ผู้อาวุโสหนานดูเหมือนจะใส่ใจอยู่ไม่น้อย แต่เพียงแค่นั่งจิบชาโดยไม่เอ่ยคำใด ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แววตาของเขาแฝงด้วยความคิดคำนึงเล็กน้อย บางครั้ง การอยู่
“เริ่มพยายามตั้งแต่เนิ่น ๆ งั้นเหรอ?” ผู้อาวุโสหนานทวนคำพูดของฉัน ดวงตาแสดงความชื่นชมเล็กน้อย “หนุ่มสาวที่มีความคิดแบบนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริง ๆ” เขาลุกขึ้นยืน เดินช้า ๆ ไปยังริมหน้าต่าง มองออกไปไกลราวกับกำลังนึกถึงบางสิ่งในความทรงจำ “เธอรู้ไหม สาวน้อยเฉียว ตอนฉันยังหนุ่ม ฉันเองก็เคยเป็นเหมือนเธอ มีทั้งความฝันและความมุ่งมั่น อยากสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาให้ได้” เสียงของผู้อาวุโสหนานเจือด้วยความเก่าแก่และความรู้สึกซาบซึ้ง “แต่กาลเวลาไม่เคยปรานีใคร ตอนนี้ฉันก็หมดเรี่ยวแรงไปมากแล้ว แค่หวังว่าจะหาหนุ่มสาวที่มีศักยภาพสักคน มารับช่วงต่อจากฉันได้” ฉันยืนอยู่เงียบ ๆ ที่ข้าง ๆ ฟังคำพูดของผู้อาวุโสหนาน พลันเกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฉันรู้ดีว่านี่อาจเป็นโอกาสที่ใกล้เคียงกับความสำเร็จที่สุดสำหรับฉัน “ผู้อาวุโสหนาน คุณไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ค่ะ” ฉันพูดอย่างจริงจัง “ไม่ใช่แค่เพื่อตัวฉันเอง แต่เพื่อความคาดหวังของคุณด้วย”ผู้อาวุโสหนานหันกลับมามองฉัน ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจเล็กน้อย “ดีมาก สาวน้อย ฉันเชื่อในตัวเธอ แต่จำไว้นะ ความสำเร็จไม่ใช
บนใบหน้าของลั่วอี้ฝานมีแววประหลาดใจเล็กน้อย คล้ายกับได้เจอเพื่อนรู้ใจที่เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ผู้อาวุโสหนานก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “สาวน้อย เธอเล่นหมากรุกเป็นไหม?” จู่ ๆ ก็ถูกเรียกชื่อ ฉันนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติกลับมาแล้วตอบว่า “เคยเล่นในมือถือไม่กี่ครั้งเองค่ะ ดูเหมือนว่าจะเล่นไม่เป็นค่ะ” ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งดูเหมือนผู้อาวุโสหนานจะชอบความตรงไปตรงมาของฉันเช่นกัน ท่านโบกมือเรียกฉันพร้อมพูดว่า “มานี่สิ เดี๋ยวฉันสอนให้” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปหา นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของกระดานหมากรุก ผู้อาวุโสหนานอธิบายกฎของหมากล้อมให้ฉันฟัง ฉันตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ ไม่นานนักผู้ช่วยก็เอากระดานหมากรุกชุดใหม่มาให้ ผู้อาวุโสหนานส่งหมากสีดำให้ฉันพร้อมพูดว่า “ลองดูไหม?” ฉันรับมาก่อนจะพูดด้วยความลำบากใจปนลังเลว่า “แต่คุณปู่ต้องอย่าโกรธจนปาแผ่นกระดานนะคะ” “แล้วก็ห้ามไล่พวกเราออกไปด้วยนะคะ”ฉันกอดถ้วยหมากล้อมไว้ มือขวาหยิบหมากสองตัวขึ้นมา พร้อมกล่าวว่า “แม่น้ำแยงซีคลื่นลูกเก่าผลักดันคลื่นลูกใหม่ คุณต้องให้โอกาสพวกเราเติบโตบ้างนะคะ” ความจริงตอนที่พูดคำพวก