“อะไรนะ?” กู้เซิ่งเหยียนหันขวับมาด้วยความตกใจ ชี้ไปที่กู้จือโม่พลางถามว่า “เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ?” ตัดขาดกันงั้นเหรอ?! ใบหน้าของกู้เซิ่งเหยียนเต็มไปด้วยความโกรธ เขาก้าวเท้าอย่างรวดเร็วไปยืนต่อหน้ากู้จือโม่ ชี้นิ้วไปที่หน้าเขาและตวาดเสียงดังว่า “พูดสิ่งที่แกเพิ่งพูดมาอีกครั้งสิ!” กู้จือโม่ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ผมบอกว่า ถ้าไม่ส่งตัวเฉินเยวี่ยไป ผมจะตัดขาดกับปู่...” “เพียะ!” กู้จือโม่ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง ศีรษะของเขาหันไปด้านข้างตามแรงตบ ใบหน้าชาไปทั้งแถบ ห้องหนังสือเงียบงันไปชั่วขณะ ชั่วครู่ต่อมา กู้จือโม่ใช้ลิ้นดุนแก้มที่ชา ก่อนเงยหน้าขึ้น มองด้วยสายตาคมกริบและแน่วแน่พร้อมพูดว่า “ในเมื่อปู่รักเฉินเยวี่ยขนาดนั้น งั้นก็รับเธอเป็นหลานสาวไปเลยสิครับ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผมไม่ขอมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับตระกูลกู้อีก” พูดจบ เขาก็หันหลังแล้วก้าวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เบื้องหลังเขา กู้เซิ่งเหยียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นเงาร่างของกู้จือโม่หายลับไปต่อหน้าต่อตา เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่กลางอกอย่างรุนแรง ทันใดนั้น
ฉันปฏิเสธไป ได้เจอเพื่อนสนิทของคุณย่าฉันดีใจมาก และก็อยากฟังเรื่องราวเกี่ยวกับคุณย่าจากปากของเธอให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้ฉันยังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ ฉันปฏิเสธน้ำใจของคุณย่าเพื่อนบ้านอย่างสุภาพ แล้วปิดประตูบ้าน ก่อนจะหันกลับมามองตัวบ้าน บ้านหลังนี้ฉันจัดเก็บจนพอจะอยู่ได้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีน้ำไฟใช้เลย ฉันหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา ยังเช้าอยู่ ถ้าเดินไปก็น่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงตัวอำเภอ ฉันหยิบเงินสดติดตัวมาบางส่วน ตัดสินใจเดินไปที่ตัวอำเภอ กว่าจะมาถึงตัวอำเภอก็เล่นเอาเหนื่อย ฉันหยิบมือถือออกมาค้นหาที่อยู่ของศูนย์บริการ แต่กลับหาไม่เจอในอินเทอร์เน็ต ไม่มีทางเลือก ฉันจึงต้องเรียกคนที่เดินผ่านฉันไป ซึ่งดูเป็นพี่สาวใจดี แล้วถามเธอทันที กว่าจะถามหาที่อยู่ได้สำเร็จ พอเตรียมจะไป จู่ ๆ ก็เหมือนฉันได้ยินเสียงเฉิงเฉิงเรียกฉันว่า “ลั่วเป่า” ฉันหยุดเดินโดยไม่รู้ตัว หันกลับไปมองรอบ ๆ ตัว รอบตัวมีแต่ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ฉันขมวดคิ้ว พลางรู้สึกขำตัวเองเล็กน้อยว่าทำไมถึงเกิดภาพหลอนไปแบบนั้น? ตอนที่ฉันจากมา ฉันไม่ได้บอกใครเลย และเรื่องของฉันกับคุณย่าฉันก็แทบไม่ได้เล่าให้พวกเขาฟัง
แต่ฉันไม่คาดคิดเลยว่า วันถัดมา จะมีกลุ่มคนที่ฉันไม่คาดฝันมาที่ลานบ้านเล็ก ๆ ของฉัน วันรุ่งขึ้น ขณะที่ฉันกำลังจัดเก็บของเก่าในลานบ้าน จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากหน้าประตูว่า “ลั่วเป่า” ฉันหันกลับไป ก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่แดงก่ำ เฉิงเฉิงเดินเข้ามาหาฉันอย่างรวดเร็ว อ้าแขนทั้งสองข้างและกอดฉันแน่น เสียงของเขาสั่นเครือพร้อมกับสะอื้นเบา ๆ “ลั่วเป่า ทำไมเธอจากมาโดยไม่บอกพวกเราเลย เธอทำให้ฉันตกใจแทบตาย” ฟางฉิงหยางเดินตามหลังเฉิงเฉิงมา สายตาจับจ้องมาที่ฉัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “หลังจากที่เธอไป พวกเราก็พยายามตามหาเธอมาตลอด จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ถึงได้ข่าวของเธอจากคนขับรถตู้คนหนึ่ง” “เฉิงจื่อทนอยู่เฉยไม่ได้ เดิมทีตั้งใจจะมาหาเธอตั้งแต่เมื่อคืน แต่ตอนนั้นดึกมากแล้ว ฉันเลยห้ามเธอไว้ และตัดสินใจมาหาเธอวันนี้แทน” เมื่อได้ยินคำพูดของฟางฉิงหยาง ความรู้สึกผิดก็แวบขึ้นมาในใจของฉันแต่ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากคำว่า “ขอโทษ” เฉิงเฉิงกอดฉันไว้ร้องไห้อยู่นาน พอเธอสงบลงได้ ก็เริ่มมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ และถามฉันด้วยความไม่พอใจว่าทำไมถึงไม่เปิดโทรศัพท์ ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยจนต้อ
ทันทีที่เฉิงเฉิงจากไป ลานบ้านก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เมื่อไม่มีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ จังหวะชีวิตของฉันก็ช้าลงเล็กน้อย ทุกวันฉันจัดระเบียบลานบ้าน และยังไปซื้อดอกไม้มามากมายเพื่อแต่งเติมลานบ้านให้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา วันเวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ ราวกับสายน้ำ ความรู้สึกของฉันก็สงบสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดที่ยุ่งเหยิง ในที่สุดก็ถูกจัดระเบียบได้เรียบร้อย ฉันจะล้างแค้น! ในเมื่อความยุติธรรมที่ฉันต้องการไม่มีใครมอบให้ได้ ฉันก็จะลงมือทำเอง มีตระกูลกู้อยู่ ฉันทำอะไรเฉินเยวี่ยไม่ได้ แต่โอกาสต้องมาถึงในสักวันแน่ ขณะที่ฉันอยู่ชนบทได้ครึ่งเดือน โทรศัพท์ของเฉียวเจี้ยนกั๋วก็โทรเข้ามา เดิมทีฉันไม่อยากรับสาย เพราะฉันไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ต้องพูดคุยกับเขาอีกแล้ว แต่ด้วยมือที่สั่น ฉันเผลอกดรับสายโดยไม่ตั้งใจยังไม่ทันที่ฉันจะวางสาย เสียงด่าด้วยความโกรธของเฉียวเจี้ยนกั๋วก็ดังขึ้นจากปลายสาย “เฉียวซิงลั่ว! แกไปก่อเรื่องอะไรอีก!” ฉันขมวดคิ้ว กำลังจะยกมือกดวางสาย แต่เสียงของเฉียวเจี้ยนกั๋วก็แทรกเข้ามาอีก “ฉันบอกแกไว้เลยนะ! หัดอยู่นิ่ง ๆ เวลาที่อยู่ข้างนอก ถ้ายังทำเรื่องที่ทำให้คนอื่นไม่
“อืม ฉันกลับมาแล้ว” ฉันกลับมาเพื่อแก้แค้น ฉันกอดกับเฉิงเฉิงอยู่สักพัก เธอก็ปล่อยฉัน แล้วรับกระเป๋าเดินทางจากฉันมาถือไว้ พร้อมกับจูงมือฉันพาเดินออกไปด้านนอกสนามบิน ระหว่างเดินเธอก็พูดไปด้วยว่า “เธอบอกว่าจะมาถึงวันนี้ ฉันรอคอยตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ” “แต่ก็น่าเสียดายนะ ฟางฉิงหยางติดธุระเลยมาไม่ได้ ช่วงนี้ลั่วอี้ฝานก็ยุ่งมากจนมาไม่ได้เหมือนกัน เขายังฝากบอกฉันด้วยว่า ให้ฉันจัดการต้อนรับเธอให้เต็มที่เลย” ฉันตอบรับเบา ๆ “อืม” แล้วเอียงหน้ามองเธอ “ช่วงนี้ลั่วอี้ฝานยุ่งมากเหรอ?” “ใช่สิ” เฉิงเฉิงพาฉันมาถึงข้างรถ เปิดฝากระโปรงหลังแล้วจัดการยกกระเป๋าเดินทางของฉันใส่เข้าไปให้เรียบร้อย จากนั้นก็ปิดฝากระโปรงแล้วพาฉันขึ้นรถ หลังจากแจ้งที่อยู่กับคนขับเสร็จ เธอก็พูดต่อ “ฉันได้ยินฟางฉิงหยางบอกว่า เขาเพิ่งได้งานอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ...โครงการพัฒนาอะไรสักอย่าง ตอนนี้เลยยุ่งมาก” ฉันนึกออกแล้ว เป็นโครงการพัฒนาที่ดินเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ นี่เป็นโครงการใหญ่ ลั่วอี้ฝานคงยุ่งน่าดูเลยเฉิงเฉิงเป็นคนร่าเริง ตลอดทางเธอพูดไม่หยุด เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่อวิ๋นเฉิงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา รวมถึงพ
เฉิงเฉิงได้รับการปกป้องจากพ่อแม่และครอบครัวของเธอเป็นอย่างดี แต่ช่วงนี้ เพราะเรื่องของฉัน เธอกลายเป็นเหมือน ‘วัวน้อยผู้กล้าหาญ’ ที่ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็พร้อมพุ่งชนทุกสิ่งที่ขวางหน้า เธอกำลังปกป้องฉัน และเป็นห่วงฉัน ฉันยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนยื่นมือไปกอดเธอไว้แน่น “เฉิงจื่อ เธอไม่ต้องห่วงนะ ถึงแม้คุณย่าจะจากไปแล้ว แต่ฉันยังมีพวกเธออยู่ ฉันจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องเสี่ยงอันตรายง่าย ๆ ส่วนเหตุผลที่ฉันต้องสืบเรื่องของโจวอวิ๋นกับลูกสาว...” ฉันยกยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “อีกไม่กี่วัน เธอก็จะได้รู้เอง” นักสืบบอกว่า อีกสองวันโจวอวิ๋นกับลูกสาวจะเดินทางออกนอกประเทศ ฉันต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยด่วน หากชักช้าเกินไป ของขวัญชิ้นนี้ก็คงมอบให้ไม่ทันแล้ว หลังจากนั้น ฉันก็พูดคุยเล่นกับเฉิงเฉิงไปพลาง พร้อมกับจัดการสิ่งต่าง ๆ ไปด้วย พอจัดการทุกอย่างเสร็จ รถก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางพอดี เฉิงเฉิงบอกว่าจะจัดการต้อนรับฉันอย่างเต็มที่ พูดแล้วก็ต้องทำจริง เธอพาฉันตรงไปที่ร้านจวี้เต๋อลั่ว สั่งอาหารอร่อยเต็มโต๊ะไว้เรียบร้อย และกำลังรอพวกเราไปลิ้มลองอยู่ ขณะที่ก้าวเข้าไปในประตู ร่างหนึ่งก็แวบผ่านไปในหา
ฉันไม่อยากเจอกู้จือโม่ ฉันรังเกียจเขา เกลียดเขา สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ คือจับตัวคนที่ทำร้ายเธอทั้งหมดมาส่งตรงถึงฉัน กู้จือโม่ขึ้นมานั่งบนรถ มองผ่านกระจกหน้าต่างจ้องไปยังห้องวีไอพีที่ฉันอยู่ หลังจากผ่านไปนานแสนนาน กู้จือโม่ก็สตาร์ตรถแล้วขับมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล…… สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะโทรหาเฉิงเฉิงอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เฉิงจื่อเคยบอกไว้ว่า ถ้ามีเรื่องสนุกต้องชวนเธอไปดูให้ได้ ฉันรู้ว่าเธอกลัวว่าฉันจะทำอะไรโง่ ๆ เพื่อให้เธอสบายใจ โทรศัพท์สายนี้ฉันต้องโทรให้ได้ อีกอย่าง นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องสนุกที่น่าดูจริง ๆ สายโทรศัพท์ถูกเชื่อมต่อ ฉันพูดว่า “ไปกันเถอะ ถึงเวลาชมเรื่องสนุกแล้ว” “ได้เลย ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!” เฉิงเฉิงตอบอย่างตื่นเต้น ความดีใจของเธอส่งผ่านคลื่นสัญญาณตรงเข้าสู่หัวใจของฉัน ฉันยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนวางสายแล้วเดินออกจากบ้าน หลังจากเจอกับเฉิงเฉิงแล้ว เรามุ่งหน้าไปยังสนามบินนานาชาติอวิ๋นเฉิงทันที “ที่สนามบินมีอะไรน่าสนุกหรอ?” ทันทีที่ลงจากรถ เฉิงเฉิงก็เริ่มขมวดคิ้ว เธอหันมามองฉันแล้วพูดว่า “ลั่วเป่า เธอไม่ได้หลอกฉัน
เฉินเยวี่ยได้ยินดังนั้น ก็รีบควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าทันที“หนูจะโทรเดี๋ยวนี้ จะโทรเดี๋ยวนี้เลย” ด้วยความร้อนรน มือของเฉินเยวี่ยสั่นไปหมด ค้นกระเป๋าอยู่หลายครั้งก็ยังหยิบโทรศัพท์ออกมาไม่ได้ ตำรวจดึงตัวโจวอวิ๋นขึ้น พร้อมแสดงเอกสารที่เกี่ยวข้องให้เฉินเยวี่ยดู “เราจะพาตัวเธอไปที่สถานีก่อน หากมีปัญหาอะไร พวกคุณสามารถให้ทนายมาติดต่อที่สถานีได้” พูดจบก็เตรียมจะพาตัวโจวอวิ๋นไปทันที โจวอวิ๋นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องไห้โวยวายลั่นว่า “ฉันจะไม่ไปสถานีตำรวจ! ฉันจะไปต่างประเทศ! ฉันต้องไปต่างประเทศ!” “เยวี่ยเยวี่ย รีบโทรหาคุณปู่กู้เดี๋ยวนี้!” เฉินเยวี่ยร้องไห้ พลางพยายามหาโทรศัพท์จนเจอและกดโทรออก แต่ทางฝั่งกู้เซิ่งเหยียนไม่มีใครรับสาย โทรติดต่อไปอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครรับสายเลยสักครั้ง เสียงประกาศดังขึ้นแจ้งเตือนว่าเที่ยวบินของเฉินเยวี่ยกำลังผ่านจุดตรวจ เฉินเยวี่ยหันไปมองโจวอวิ๋นด้วยความลนลาน พูดอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรว่า “แม่ โทรหาคุณปู่กู้ไม่ได้ หนูติดต่อเขาไม่ได้เลย จะทำยังไงดี?” “แม่ แม่บอกหนูมาเถอะ แม่ทำเรื่องผิดกฎหมายจริง ๆ ใช่ไหม?” “ถ้าแม่กู้เงินนอกร
ฉันง่วงมากจนไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน พอรู้ตัวอีกที เสียงของลั่วอี้ฝานก็ดังขึ้นปลุกฉัน“ซิงลั่ว ตื่นเถอะ”ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างงงงวย มองไปรอบ ๆ อย่างสับสนดูเหมือนว่าเราจะจอดอยู่หน้าร้านเช่าชุดราตรี ฉันเปิดประตูรถลงไปถามว่า “มาที่นี่ทำไม?”“ลืมแล้วเหรอ?”เสียงของลั่วอี้ฝานดังขึ้นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ลืมจริง ๆ เหรอ?”“อ๋อ” ฉันพึ่งจะนึกออก หลังจากที่เขาโทรมาบอกตอนกลางวันว่า ตอนเย็นจะพาฉันไปเจอใครบางคน ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเราคือไปร่วมงานเลี้ยงไม่นานนัก เราก็เลือกชุดราตรีจากร้านเสื้อผ้าได้หนึ่งชุด พร้อมทั้งจัดแต่งทรงผมและแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยเมื่อออกมาจากร้านชุดราตรี รถเบนท์ลีย์สีดำสำหรับนักธุรกิจจอดรออยู่ตรงหน้าฉันลั่วอี้ฝานผายมือเชิญอย่างสุภาพ ฉันหันไปมองเขาพลางถาม “เปลี่ยนรถแล้วเหรอ?”“อืม” เขาดูเวลาที่นาฬิกา จากนั้นเปิดประตูรถ “เร็วเข้า เดี๋ยวจะไม่ทันเอา”บนรถ เขาเพิ่งเล่าให้ฉันฟังว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เขาได้ขยายทีมงานเพิ่มขึ้น ทั้งจ้างคนขับรถและพนักงานใหม่ อีกทั้งยังเล่าถึงครั้งหนึ่งที่เขาไปเจรจาธุรกิจ แต่ถูกยกเลิกการนัดหมาย เพราะแต่งตัวไม่เป็นทางการและรถที่ใ
อัลเลนหมายถึงให้ฉันเข้าร่วมการแข่งขันออกแบบเสื้อผ้างั้นเหรอ?ก่อนกลับมาจากเมืองอวิ๋นเฉิง ฉันลาออกจากงานของเขาไปแล้วการออกแบบเสื้อผ้าเป็นความฝันของฉัน แต่ตอนนั้นมีหลายอย่างที่ต้องรีบทำจนต้องพักความฝันไว้ก่อน แล้วตอนนี้ล่ะ?ฉันควรสานต่อไหมนะ?ฉันคว้าหมอนอิงมาหนึ่งใบ เอนตัวขึ้นมานั่ง มองออกไปนอกหน้าต่างทั้งคืนฉันนอนไม่หลับเลย พอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น รู้สึกทั้งร่างกายอ่อนล้าและไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิดฉันเดินไปชงกาแฟในครัว หยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูกลุ่มแชทของเพื่อนในห้องมีข้อความที่หลี่เสี่ยวอวี่และเจี่ยนซินแท็กฉันไว้ พวกเธอบอกว่าอีกหนึ่งสัปดาห์จะมีการแข่งขันออกแบบเสื้อผ้า มีกรรมการชื่อดังมากมาย พวกเธอถามฉันว่าจะเข้าร่วมหรือเปล่าฉันกดลิงก์รายละเอียดการสมัครแข่งขันครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดโทรศัพท์ลงแล้วถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงขณะเหม่อลอยอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นสายจากลั่วอี้ฝานฉันคิดว่าเขาคงโทรมาเรื่องปัญหาโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์จึงกดรับสาย “มีอะไรเหรอ?”“อยู่ไหน?”“อยู่ที่อะพาร์ตเมนต์”“วันนี้วันศุกร์ เธอไม่มีเรียนแล้วใช่ไหม?” เสียงของลั่วอี้ฝานฟังดูสบาย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ ฉันกลับรู้สึกสนุก หัวเราะเย้ยเบา ๆ ทำให้สีหน้าที่ไม่พอใจอยู่แล้วยิ่งดูแย่ลงไปอีกบางทีลูกน้องข้างกายเขาอาจรู้สึกว่าคำพูดของฉันล้ำเส้นไป และล่วงเกินคุณปู่กู้เกินงาม จึงได้ก้าวออกมาข้างหน้า“คุณหนูเฉียว ข้อเสนอของคุณท่านนั้นเอื้อเฟื้อมากกว่าคนส่วนใหญ่เยอะ คุณลองคิดดูสิครับ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขาจะให้ได้มากขนาดนี้ไหม?”ฉันส่ายหัว “แน่นอนว่าไม่”เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นกู้เซิ่งเหยียนเขานี่ช่างใจกว้างจริง ๆแต่ในความเป็นจริงล่ะ?มีแค่คนใกล้ชิดเขาเท่านั้นที่จะรู้ว่าความจริงเขาเป็นคนยังไงเงื่อนไขที่ดูดี?ก็ต้องดูด้วยว่าต้องแลกมากับอะไรบ้างการให้และผลตอบแทนที่มากมายเช่นนี้ สำหรับฉันแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากโจรกู้เซิ่งเหยียนไม่ชอบฉัน และฉันก็เกลียดเขายิ่งกว่าฉันอ่านเอกสารข้อตกลงตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกครั้งที่อ่านผ่านหนึ่งข้อ ความโกรธในใจก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเมื่ออ่านจบ ฉันก็ฉีกมันเป็นชิ้น ๆ ด้วยมือของตัวเอง!กู้เซิ่งเหยียนนิ่งอึ้งไป ก่อนที่ใบหน้าของชราจะขึ้นสีแดงจัดนั่นเพราะเขาโกรธ“คุณท่าน อย่าเพิ่งโกรธเลยครับ!” ลูกน้องรีบปลอบใจ“ใช่ค่ะ ต้องโกรธอยู่แล
ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตระกูลกู้เลยสักนิด ฉันลังเลว่าจะไปที่ภัตตาคารจิ่งเฮ่อดีไหม แต่ปลายสายกลับส่งหมายเลขห้องที่จองไว้มาให้เรียบร้อยแล้วรวดเร็วขนาดนี้ คุณปู่กู้ดูมั่นใจเหลือเกิน ไม่กลัวว่าฉันจะเบี้ยวนัดในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะกล้าทำลายความหวังดีของเขาได้ยังไงล่ะ?ฉันปรับอารมณ์ หอบความสงสัยไปที่ภัตตาคารจิ่งเฮ่อเมื่อมาถึงห้องสองศูนย์หนึ่งชั้นสาม ก็พบว่ามีสองคนรอฉันอยู่ในนั้น ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย คนหนึ่งคือผู้ดูแลของกู้เซิ่งเหยียน และอีกคนก็คือตัวเขาเองจะบอกว่าฉันให้ความเคารพหรือยกย่องเขาน่ะเหรอ? คงไม่มี มีเพียงความไม่ชอบเท่านั้น“คุณปู่กู้เรียกฉันมาที่นี่โดยเฉพาะ คงไม่ใช่แค่เพื่อมารำลึกความหลังหรอกใช่ไหมคะ?” ฉันพูดเย้ยหยันอย่างเย็นชาเมื่อรู้ว่ากู้จือโม่ทำให้เขาโมโหจนต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วมองดูร่างกายที่ร่วงโรยใกล้สิ้นลมของเขาในตอนนี้ ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของโรครุมเร้าแม้จะอยู่ห่างออกไป ฉันก็ยังได้กลิ่นยาจากตัวเขาน่าเสียดายที่กู้จือโม่ไม่ได้ทำให้เขาโมโหจนตายไปเสียเลยคุณปู่กู้ขมวดคิ้ว พยายามใช้อำนาจของเขาเพื่อกดดันฉันฉันหัวเราะเยาะในใจ หยิบกาน้ำชาขึ้นมา เทชาดื่มด้วยท่
"ดึกดื่นขนาดนี้ ยังมีหน้ามาดื่มอีก! ว่าไง บอกมาเลยว่าทำไมถึงดื่ม?" เฉิงเฉิงถาม เธอนี่สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริง ๆ แค่คำพูดประโยคเดียวก็เดาเรื่องราวได้มากมาย แถมคงจินตนาการเสริมอีกเพียบแน่นอนฉันหลุดขำเบา ๆ "เธอมานี่ก่อนสิ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันยาว ๆ"เฉิงเฉิงตอบกลับทันที "ได้" แล้วเธอก็วางสายไปฉันรู้ว่าตอนนี้เธอคงกำลังมุ่งหน้ามาหาฉันแล้วพอมาถึง เฉิงเฉิงยังไม่ทันพูดอะไร ก็เริ่มไล่บ่นพลางนับจำนวนขวดไวน์ที่ฉันดื่มทันที มิตรภาพราวกับพี่น้องแบบนี้ ต้องยอมรับเลยว่าจริงใจมาก…"ดื่มเยอะขนาดนี้เชียว?" เฉิงเฉิงอุทานอย่างตกใจฉันมองขวดเปล่าบนพื้นอย่างเลื่อนลอย "เยอะเหรอ?"เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "เยอะสิ! ดื่มเยอะมันไม่ดีต่อสุขภาพนะ บอกมาสิว่าทำไมคืนนี้ถึงดื่มหนักขนาดนี้?"เมื่อถูกเธอถาม ฉันก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เธอฟัง"เธอถูกกู้จือโม่ทำให้จิตใจปั่นป่วนใช่ไหม? ถึงได้มานั่งดื่มเหล้าคนเดียวตอนดึก ๆ แบบนี้ แล้วยังเรียกฉันมาคุยเป็นเพื่อนอีก!" เธอพูดด้วยน้ำเสียงแทบจะกรีดร้องออกมา"ก็แน่ล่ะ เธอเป็นเพื่อนรักของฉันนี่ ฉันไม่เรียกเธอแล้วจะให้ไปเรียกใครล่ะ?" ฉันยิ้มหวานให้
บรรยากาศเงียบงันโดยไร้สาเหตุ ฉันเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า "ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว งั้นฉันก่อนนะ"ถึงอย่างไรฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้โดยไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา มีก็แต่ความกระอักกระอ่วนใจและความลำบากใจ“ลั่ว...” ในที่สุด กู้จือโม่ก็เปิดปากพูด แต่พูดได้เพียงคำเดียวก่อนจะหยุดลงฉันรู้ว่าเขาอยากจะเรียกฉันว่า "ลั่วเป่า" แต่สำหรับตอนนี้ ชื่อเรียกนั้นมันเป็นเพียงเรื่องตลกร้ายสำหรับฉันและเขาเท่านั้นกู้จือโม่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ จ้องมองฉันด้วยแววตาลึกซึ้ง ฉันกลับมองไม่ออกว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร“คุณกู้?” ฉันเรียกเขา เพียงแค่อยากให้สถานการณ์ตอนนี้จบลงโดยเร็วแต่การเรียกของฉันกลับทำให้ความเงียบงันในสายตาของเขาเกิดประกายแห่งความยินดีและความแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับกลายเป็นความหม่นหมองดังเดิมในชั่วขณะนั้น ฉันกลับรู้สึกใจอ่อนขึ้นมานิดหน่อยในใจฉันเกิดเพลิงโทสะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งที่เขาเป็นคนที่มีส่วนทำให้คุณย่าของฉันต้องตาย แต่เมื่อได้พบเขาอีกครั้ง ฉันก็นึกว่ามันควรจะเหลือเพียงความเกลียดชังและความไม่พอใจเท่านั้นแต่เมื่อฉันมองเขาในตอนนี้ ท่าทีที่เหมือนอยากพูดแต่ก็ไม่กล้าพูด อยากเ
เมื่อเฉียวกรุ๊ปล้มละลาย เฉียวเจี้ยนกั๋วก็ไม่ต้องการเป็นผู้แพ้เพียงคนเดียว เขาจึงต้องการให้ฉันจบชีวิตไปพร้อมกับเฉียวกรุ๊ปด้วย!ตลกน่า! นั่นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ฉันกัดฟันแน่น ก่อนจะวิ่งพุ่งเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่งในตึกยังมีคนอยู่ ดูเหมือนพวกเขากำลังประชุมกันตอนที่ฉันเข้าไป คนในนั้นเพียงแค่ตกใจเล็กน้อย แต่ทันทีที่เฉียวเจี้ยนกั๋วถือมีดบุกเข้ามา ทุกคนถึงกับแตกตื่นทันที!เสียงกรีดร้องและการวิ่งหนีเกิดขึ้นแทบจะพร้อมกันแต่สายตาของเขาฉับไวมาก เขาเลือกที่จะวิ่งไล่ตามฉันเพียงคนเดียว!วิ่งมาไกลขนาดนี้ ตอนที่ไม่ได้หยุดรู้สึกเหมือนยิ่งวิ่งก็ยิ่งเร็วขึ้น แต่พอหยุดกะทันหันกลับรู้สึกได้ทันทีถึงความเหนื่อยล้าอย่างแท้จริง"นางลูกทรพี แกตายพร้อมกับเฉียวกรุ๊ปของฉันเสียเถอะ!" เฉียวเจี้ยนกั๋วตะโกนพล่ามราวกับคนเสียสติ ไม่สนใจสายตาใครทั้งนั้น แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการฆ่าฉันขณะที่เขาถือมีดพุ่งเข้ามาจะจ้วงแทงฉัน ฉันกำลังจะวิ่งหนีอีกครั้ง แต่ทันใดนั้น เสียง “ปัง" ก็ดังขึ้น เก้าอี้ตัวหนึ่งกระแทกเข้าที่ด้านหลังของเฉียวเจี้ยนกั๋วเต็มแรงเฉียวเจี้ยนกั๋วเซถลาไปสองสามก้าว ก่อนจะหันกลับมาฟันด้วยมีดตามสัญชาตญา
"ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยเฉียวกรุ๊ป" แต่เมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฉันเอง เมื่อได้รับคำรับรองจากฉัน เฉียวเจี้ยนกั๋วที่เคยบ้าคลั่งก็ดูสงบลงบ้าง เขาดูอารมณ์ดีขึ้นมาก ก่อนจะร้องว่าฟ้าไม่ทอดทิ้งฉันแล้ว และชมฉันว่าในที่สุดก็ทำตัวกตัญญูสักที ฉันยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมรอยยิ้มหยันบาง ๆ ที่มุมปากหลังจากนั้นฉันก็ให้ลั่วอี้ฝานไปวางแผนล่อให้เฉียวกรุ๊ปมาติดกับฉันให้เขาโยนโครงการหนึ่งในโปรเจกต์ "โครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์" ไปให้เฉียวกรุ๊ปจัดการด้วยความโลภของเฉียวกรุ๊ป พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่ใช้วิธีลักไก่ในโครงการนี้ ฉันแค่ต้องรอให้พวกเขาติดกับดักเท่านั้นเองวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉียวเจี้ยนกั๋วดูมีความสุขราวกับทุกอย่างกำลังไปได้สวย ไม่มีร่องรอยของความตกอับก่อนหน้านี้เลยส่วนฉันยังคงใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ กับการเรียนของตัวเองต่อไป จนเมื่อเวลาสุกงอม ฉันจึงสั่งให้ลั่วอี้ฝานลงมือเก็บตาข่ายจับเป้าหมายทันทีในวันที่ปิดเกม ฉันเห็นข่าวบนโลกออนไลน์เต็มไปหมด ทุกข่าวต่างประณามเฉียวกรุ๊ปว่าเรื่องการลดต้นทุนจนคุณภาพต่ำเมื่อฉันยื่นฟ้องเฉียวกรุ๊ปเรื่องคุณภาพโครงการที่ไม่ผ่านมาตรฐาน เฉียว
จริงดังคาด พอเขากลับถึงบ้าน เพียงคิดถึงหน้าฉันในตอนกลางคืน ใบหน้าก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธจัด ส่วนเรื่องที่เขาพยายามจะหลอกเอาเงินจากฉัน ฉันก็ได้บอกกับลั่วอี้ฝานแล้วเหมือนกัน ตอนที่เขารู้เรื่องนี้ สีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีนักและเต็มไปด้วยความสับสน “ทั้งที่เป็นครอบครัวกันแท้ ๆ ทำไมต้องมาถึงขั้นนี้ด้วย?” ลั่วอี้ฝานถามด้วยความไม่เข้าใจ ดวงตาเผยให้เห็นถึงความสับสนและไม่แน่ใจ ฉันตอบเขาอย่างตรงไปตรงมา “บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่ทำทุกอย่างเพียงเพราะผลประโยชน์ และพวกเขาก็เหมือนกับปลิงฝูงหนึ่ง ที่นอกจากดูดเลือดก็ไม่รู้จะทำอะไรได้อีกแล้ว” ใบหน้าของลั่วอี้ฝานเผยความตกตะลึงออกมา คงไม่เคยคาดคิดว่าคำพูดจากปากของฉันจะไร้ความปรานีถึงเพียงนี้ “เราจำเป็นต้องทำลายตระกูลเฉียวจริง ๆ เหรอ?” ลั่วอี้ฝานจ้องหน้าฉัน พยายามจับความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของฉัน น่าเสียดาย ที่ฉันยังเหมือนเดิม เย็นชาเหมือนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง และจะแสดงความเป็นมนุษย์ออกมาเพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาที่ไม่มีใครล่วงรู้เท่านั้น “ตระกูลเฉียวโลภไม่รู้จักพอ ฉันเคยถูกพวกเขาดูดจนหมดตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้จะไม่ยอมอีกต่อไป” ฉันจะไม่คาดหวัง