เมื่อคิดว่าตระกูลของพวกเขาเป็นเหมือนโรงเรียนชายล้วนมากกว่าตระกูลจวินในเมือง A จ้านหยินจึงแอบสาบานว่า จะหาปรมาจารย์ซินแส มาช่วยตระกูลตรวจสอบฮวงจุ้ยไหนบ้าง ที่ขัดขวางไม่ให้พวกเขามีลูกสาว"ที่รัก คุณคิดว่าตอนนี้อี้เฉินกับอวิ๋นชูไปถึงไหนกันแล้ว? ฉันคิดว่าอี้เฉินกำลังจะหาเรื่องตาย"ไห่ถงเปลี่ยนเรื่องเพื่อป้องกันไม่ให้สามีหมกมุ่นเรื่องการมีลูกสาว และนั่นทำให้เธอกดดันมาก"เข้ากันได้ดี ตราบใดที่ดวงตาของคุณหนูหนิงกลับมาสดใสอีกครั้ง พวกเขาก็จะเข้ากันได้ดียิ่งขึ้น ทำไมอี้เฉินถึงทำอย่างหุนหันพลันแล่นแบบนี้?"จ้านหยินยังคงไม่รู้ว่าน้องชายของเขาทำอะไรไปไห่ถงบอกเขา: "เขาโทรไปที่ร้านดอกไม้และขอให้อวิ๋นชูเอาช่อดอกไม้มาให้เขาโดยเฉพาะ เขาไม่ยอมให้ใครพาอวิ๋นชูไปและเรียกร้องให้อวิ๋นชูต้องไปเอง เขาไม่เข้าใจหรือไงว่าอวิ๋นชูมองไม่เห็น“ถ้านั่นไม่ใช่ความหายนะ ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร ฉันรู้สึกว่าเขาจะต้องเผชิญกับบทเรียนที่ยากลำบากในอนาคต”การพูดถึงบทเรียนที่ยาก ทำให้ใบหน้าของจ้านหยินรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อยเขาทำเรื่องขายหน้ามามากมาย“ถ้าเขาต้องการเดินไปตามเส้นทางนั้น นั่นก็เป็นทางเลือกของเขา เขาก็มีฉัน
จ้านอี้เฉินจองห้องอาหารที่หรูหราไว้หลังจากที่ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะ จ้านอี้เฉินหันไปมองพนักงานเสิร์ฟ พนักงานเสิร์ฟมีปฏิกิริยาและยื่นเมนูอาหารให้เขาทันทีพนักงานเสิร์ฟมีความสงสัยในใจ นายน้อยสองมาทานอาหารทุกวัน ยังต้องดูเมนูอีกเหรอ?ไม่ว่าพนักงานเสิร์ฟจะคิดอะไรอยู่ จ้านอี้เฉินก็เปิดเมนู อ่านชื่อและราคาของอาหารให้หนิงอวิ๋นชูฟัง แล้วขอให้หนิงอวิ๋นชูสั่ง"นายน้อยสองสามารถสั่งอาหารอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ"หนิงอวิ๋นชูทำท่าเชิญชวนแขกและขอให้จ้านอี้เฉินสั่งอาหาร"คุณนำเงินมาแค่ไม่กี่พันบาท ผมกลัวว่าอาหารที่ผมสั่งจะแพงเกินไป"หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หนิงอวิ๋นชูก็พูด: "นายน้อยสองไม่ได้บอกว่าเขาจะให้ฉันยืมเงินได้หรอกเหรอ?"จ้านอี้เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม: "ผมพูดไปแล้ว แต่ผมไม่คิดว่าคุณต้องการติดหนี้ผม สั่งอาหารที่ถูกกว่า เช่น ผักกวางตุ้งนึ่ง ขาไก่หั่นบาง ปลากะพงนึ่ง กุ้งนึ่ง และซุปซี่โครงมันเทศ"เมื่อได้ยินอาหารสี่จานที่เรียบง่ายและซุปที่จ้านอี้เฉินเลือก ซึ่งล้วนมีราคาไม่แพงนัก หนิงอวิ๋นชูก็ไม่คัดค้านหลังจากจดเมนูอาหารสี่จานและซุปหนึ่งจานที่สั่งโดยคนสองคนแล้ว พนักงานเสิร์ฟก็กล่าวอย่างนอบน้อม: "
จ้านอี้เฉินไม่ได้พูดอะไรเมื่อไม่ได้รับคำตอบ หนิงอวิ๋นชูก็เงียบไปเช่นกันเธอสัมผัสได้ว่าจ้านอี้เฉินกำลังเฝ้าดูเธออยู่สักพัก พนักงานเสิร์ฟก็มาพร้อมกับอาหาร"ถึงเวลากินแล้ว"ในที่สุดจ้านอี้เฉินก็พูด แต่ไม่ได้ตอบคำถามของหนิงอวิ๋นชูเนื่องจาก หนิงอวิ๋นชูมองไม่เห็น จ้านอี้เฉินจึงเสิร์ฟชามซุปให้เธอและวางไว้ตรงหน้าเธอแล้วพูดว่า “เริ่มด้วยซุป หลังจากคุณทานเสร็จแล้ว ฉันจะเสิร์ฟข้าวให้คุณ”“ขอบคุณนายน้อยสอง”"ด้วยความยินดี"จ้านอี้เฉินเสิร์ฟชามซุปให้ตัวเองด้วย และในขณะที่เขากิน เขาก็ใช้ช้อนเสิร์ฟเป็นครั้งคราวเพื่อวางอาหารลงบนจานของหนิงอวิ๋นชูโดยปกติแล้ว หนิงอวิ๋นชูจะสั่งอาหารกลับบ้าน โดยที่อาหารและข้าวของเธอมารวมกัน และเธอก็สามารถกินมันช้าๆ ได้ด้วยตัวเองตอนนี้กินข้าวกับจ้านอี้เฉิน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจานวางอยู่ที่ไหน และถ้าเธอเอื้อมมือไปหยิบจาน เธอก็ไม่รู้ว่าเธอหยิบจานอะไรเธอทำได้แค่ยอมรับการดูแลของจ้านอี้เฉินอย่างอดทนเท่านั้นถ้าหลีกเลี่ยงได้ เธอคงไม่อยากกินข้าวกับจ้านอี้เฉินตลอดชีวิตของเธอ"คุณชอบกินกุ้งไหม?"หลังจากกินชามซุปเสร็จ จ้านอี้เฉินก็วางชามลงและถามคำถามหนิงอวิ๋นชู โ
อากาศในเดือนตุลาคมของเมืองกวนเฉิงยังร้อนจัด มีเพียงตอนเช้าและตอนเย็นเท่านั้นที่สามารถทําให้ผู้คนรู้สึกถึงความเย็นของปลายฤดูใบไม้ร่วงได้หลังจากไห่ถงตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและทําอาหารเช้าให้ครอบครัวพี่สาวทั้งสามคนแล้ว เธอก็หยิบทะเบียนบ้านและจากไปอย่างเงียบ ๆ"จากนี้ไปเราจะใช้ระบบAAกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพหรือค่าผ่อนรถและผ่อนบ้าน ทุกอย่างก็ต้องAAกัน! น้องสาวคุณมาอยู่ที่บ้านเรา ก็ต้องบอกให้เธอช่วยจ่ายค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งด้วยแค่ให้เงินมา 10,000 บาทละเดือนเอาไปใช้อะไรได้? มันจะไปต่างอะไรกับมากินฟรีอยู่ฟรีล่ะ?"นี่คือสิ่งที่ไห่ถงได้ยินพี่เขยของเธอพูด ตอนที่พี่สาวและพี่เขยทะเลาะกันเมื่อคืนนี้เธอต้องย้ายออกจากบ้านของพี่แต่มีทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พี่วางใจก็คือแต่งงานเธออยากจะรีบแต่งงานไปให้เร็ว แต่ว่าแม้แต่แฟนก็ยังไม่มี เธอจึงตัดสินใจรับคำขอของคุณยายจ้าน หญิงชราที่เธอได้ช่วยเหลือไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ เธอจะแต่งงานกับหลานชายคนโตของคุณยายจ้านซึ่งชื่อจ้านหยินที่การแต่งงานเป็นเรื่องยากยี่สิบนาทีต่อไป ไห่ถงก็ลงจากรถหน้าประตูสํานักงานเขต"ไห่ถง"ทันทีที่ลงจากรถ ไห่ถงก็ได้ยินเสียงตะโก
"หากตัดสินใจแล้ว ฉันก็จะไม่เปลี่ยนใจค่ะ"ไห่ถงคิดไตร่ตรองอยู่สองสามวันก่อนตัดสินใจ และตอนนี้เธอตัดสินใจดีแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่คืนคำเมื่อจ้านหยินได้ยินเธอพูดแบบนั้น เขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปเพื่อให้เธอเปลี่ยนใจ แต่หยิบเอกสารของตัวเองออกมา แล้วมอบแก่เจ้าหน้าที่ไห่ถงก็หยิบเอกสารของตัวเองออกมาเช่นกันพวกเขาจดทะเบียนสมรสเสร็จอย่างรวดเร็ว ทั้งกระบวนการใช้เวลาเพียงไม่ถึง 10 นาทีเมื่อไห่ถงรับทะเบียนสมรสมาจากเจ้าหน้าที่ จ้านหยินล้วงกุญแจที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วส่งให้ไห่ถงพร้อมกับพูดว่า "บ้านที่ผมซื้อไว้อยู่ที่หมิงหยวนฮวา การ์เด้น ได้ยินคุณยายบอกว่าคุณเปิดร้านขายหนังสืออยู่ที่ประตูหน้าโรงเรียนมัธยมกวนเฉิง บ้านของผมไม่ไกลจากร้านขายหนังสือของคุณ ถ้านั่งรถเมล์ก็ใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีเท่านั้น""คุณมีใบขับขี่รถยนต์ไหมครับ? ถ้ามีใบขับขี่ผมสามารถจ่ายเงินดาวน์รถยนต์ให้ได้ครับ แต่คุณต้องผ่อนชำระงวดรถยนต์ทุกเดือน เมื่อมีรถยนต์แล้วคุณก็จะสะดวกในการเดินทางไปทำงานแล้วก็กลับบ้าน"“งานของผมยุ่งมาก ผมออกจากบ้านเช้าตรู่กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึก บางครั้งก็ต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด
"คุณยายคะ หนูไม่เป็นไรแน่นอนค่ะ"ไห่ถงตอบกลับแบบปัดๆถึงแม้ว่าคุณยายจ้านจะดูแลเธอดี แต่ทว่าจ้านหยินเป็นหลานแท้ๆ เธอเป็นเพียงแค่หลานสะใภ้ หากเราทั้งคู่มีปัญหาขัดแย้งกันจริงๆ ครอบครัวจ้านจะเข้าข้างเธอหรือไม่?ไม่ใช่ว่าไห่ถงไม่เชื่อแต่อาจเหมือนกับพ่อแม่สามีของพี่สาวเธอก่อนแต่งงานพ่อแม่สามีดูแลพี่สาวดีมาก ดีมากจนทำให้ลูกสาวแท้ๆ ของพวกเขาอิจฉาริษยาหลังจากแต่งงานพวกเขากลับกลายเป็นคนละคน ทุกครั้งที่พี่สาวกับสามีมีปัญหาขัดแข้งกัน แม่สามีจะตั้งใจกล่าวหาว่าเป็นเพราะพี่สาวทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่ดีสุดท้ายแล้วลูกชายยังไงก็คือลูกในไส้ของพวกเขา แต่ลูกสะใภ้ก็ยังเป็นคนนอกวันยันค่ำ"หลานทำงานไปก่อนนะ ยายไม่รบกวนล่ะ เดี๋ยวตอนเย็นยายจะเรียกอาหยินมารับหลานมาบ้านมากินข้าวเย็นด้วยกัน""คุณยายคะ หนูปิดร้านดึก น่าจะไม่สะดวกไปทานข้าวเย็นด้วยค่ะ แต่ถ้าเลื่อนเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์นี้แทนได้ไหมคะ?"เพราะว่าโรงเรียนจะหยุดสุดสัปดาห์ ร้านหนังสือของพวกเขาต้องพึ่งพาโรงเรียนในการทำรายได้ เมื่อโรงเรียนหยุด ธุรกิจของพวกเขาก็จะซบเซา แล้วบางครั้งอาจจะไม่เปิดร้านเลย เธอจึงมีเวลาว่าง"ได้จ้ะ"คุณยายจ้านพูดอย่างเห็น
"พี่คะ แบบนั้นไม่ได้นะ นั้นเป็นทรัพทย์สินของเขาก่อนแต่งงาน ฉันไม่ได้ออกเงินช่วยซื้อสักบาท แล้วจะให้เขาเพิ่มในใบครอบครองทรัพย์สินร่วมกันอีกได้อย่างไร เรื่องนี้เราจะไม่พูดกันอีกนะคะ"เมื่อได้รับใบทะเบียนสมรสมา จ้านหยินก็มอบกุญแจบ้านให้ ทำให้เธอสามารถย้ายเข้าบ้านนั้นได้ทันที ปัญหาเรื่องบ้านก็ได้รับการแก้ไขเรียบร้อย แค่นี้ก็ดีมากแล้วเธอจะไม่ขอให้จ้านหยินเพิ่มชื่อเธอในใบครอบครองทรัพย์สินร่วมกัน ถ้าเขาต้องการเพิ่มชื่อของเธอในใบครอบครองทรัพย์สินเอง เธอก็จะไม่ปฏิเสธในฐานะสามีภรรยาที่ตัดสินใจว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตไห่หลิงแค่พูดแบบไปนั้น เพราะรู้ว่าน้องสาวพึ่งพาตนเองก่อนและไม่โลภมาก เธอจึงหยุดกังวลเกี่ยวกับปัญหานี้หลังจากที่ถูกพี่สาวสอบถามทุกเรื่องแล้ว ไห่ถงจึงสามารถย้ายออกจากบ้านพี่สาวได้สำเร็จพี่สาวต้องการไปส่งเธอที่หมิงหยวนฮวา การ์เด้น แต่ทันใดนั้นหลานชายโจวหยางตื่นขึ้นพอดี เจ้าตัวเล็กตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้และมองหาแม่ของเขา"พี่คะ พี่ไปดูแลหยางหยางก่อน สัมภาระของฉันไม่เยอะ ฉันไปคนเดียวได้"ไห่หลิงต้องป้อนข้าวลูกชาย เมื่อป้อนข้าวเสร็จแล้วก็ต้องเตรียมอาหารกลางวันต่อ เพราะสามีตอนเที่ยง
จ้านหยินพูดอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น "ประชุมต่อไป"คนที่สนิทกับเขามากที่สุดคือลูกพี่ลูกน้องคนโตของเขา และเป็นนายน้อยคนที่สองของตระกูลจ้าน ชื่อ จ้านอี้เฉินจ้านอี้เฉินเข้ามา กระซิบถามว่า "พี่ใหญ่ ผมได้ยินที่คุณยายพูดกับพี่แล้ว พี่แต่งงานกับคนที่ชื่อถงอะไรสักอย่างจริงๆ เหรอ"จ้านหยินมองเขาตาขวางจ้านอี้เฉินลูบจมูกและนั่งตัวตรง โดยไม่กล้าถามต่ออีกแต่ก็ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจถึงพี่ชายคนโตอย่างมากแม้ว่าลูกชายหลานชายของตระกูลจ้านไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่อยกระดับฐานะของตน แต่พี่ชายคนโตและพี่สะใภ้ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ฐานะเหมาะสมกัน เพียงเพราะคุณยายชอบผู้หญิงที่ชื่อไห่ถง จึงต้องการให้พี่ชายคนโตแต่งงาน พี่ชายคนโตน่าสงสารจริง ๆจ้านอี้เฉินยังคงส่งความเห็นอกเห็นใจแก่พี่ชายคนโตอีกครั้งโชคดีที่เขาไม่ใช่หลายชายคนโต มิฉะนั้นคนที่แต่งงานกับผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของคุณยายก็เป็นเขาแล้วไห่ถงไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เธอต้องถามให้ชัดเจนว่าบ้านใหม่ของเธออยู่ที่ชั้นไหน และเธอลากกระเป๋าเดินทางและหาบ้านใหม่จนเจอหลังจากเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เธอพบว่าบ้านค่อนข้างใหญ่ ใหญ่กว่าบ้านพี่สาวของเธอและตกแต่งอ