“ซื่อเอ๋อร์...”เป่ยเฉินหยวนเรียกเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว“อืม?”เวินซื่อที่ยังงัวเงียได้ยินไม่ชัดก็ขานรับเสียงหนึ่ง เมื่อนางรู้สึกตัวก็เอ่ยถามอย่างงุนงง “เมื่อครู่ท่านอ๋องพูดว่าอะไรนะ?”เป่ยเฉินหยวนกำหมัดขึ้นมาแล้วปิดปากไอ แน่นอนว่าไม่กล้ายอมรับ “ไม่มีอะไร เพียงแต่ถามว่าท่านหิวหรือไม่ อยากจะลุกขึ้นมากินอะไรหน่อยไหม?”“อ้อ เอาสิ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว แต่ในหัวยังคงมึนงงเหตุใดนางจำได้ว่าเมื่อครู่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเพียงแค่เรียกชื่อ ไม่ได้พูดอะไรยาวเหยียดขนาดนี้?น่าเสียดายที่ยังไม่ทันที่นางจะคิดออก เป่ยเฉินหยวนก็ยกโจ๊กมาให้นางแล้ว“อืม? หอมจังเลย”กลิ่นหอมโชยมา ทำเอาเวินซื่อท้องร้องจ๊อกๆ ด้วยความหิวเป่ยเฉินหยวนที่ได้ยินเสียงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “หอมก็รีบลุกขึ้นมากิน กินเสร็จแล้วค่อยไปล้างหน้าล้างตา”เป่ยเฉินหยวนควบคุมมือของตนเอง เพียงแค่ยื่นโจ๊กให้เวินซื่อข่มความคิดที่อยากจะป้อนนางด้วยมือของตนเอง“ได้”เวินซื่อนอนหลับมาทั้งคืน ตอนนี้เลยเวลาอาหารเช้าไปสองชั่วยามแล้ว ใกล้จะเที่ยงแล้วนางหิวมาก ไม่สนใจอะไรมากนักเพียงแต่เพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่าเสื้อผ้าขอ
เมื่อก่อนในสนามรบ เมื่อข้าศึกรุกราน เป่ยเฉินหยวนก็นำกองทัพธงดำหนึ่งพันนายที่เพิ่งฝึกฝนเสร็จ บุกเข้าไปในดินแดนข้าศึก ตัดกำลังสนับสนุนของข้าศึก ทำให้ข้าศึกหวาดกลัวจนต้องถอยทัพไปห้าร้อยลี้ ก่อนที่สงครามใหญ่จะเริ่มขึ้นแน่นอนว่า เนื่องจากในตอนนั้นข้าศึกรู้สึกว่าเสียหน้ามาก จึงไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปและเป่ยเฉินหยวนก็ไม่ชอบทำตัวโดดเด่นเกินไปในสนามรบ ดังนั้นจึงมีคนรู้เรื่องนี้น้อยมากจริงๆ ทว่าหนิงหย่วนโหวกลับรู้เรื่องนี้แต่เขาไม่ได้มองเพียงแค่จำนวนคนง่ายๆ เช่นนั้น แต่มองจากท่าทีของเป่ยเฉินหยวนจำนวนสามพันคนนี้ ก็คือท่าทีของเป่ยเฉินหยวนหนิงหย่วนโหวพอรู้แล้ว จึงมอบค่ายใหญ่ให้เป่ยเฉินหยวนจัดการได้ตามสบายเป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดให้เวินซื่อฟังอีกครั้งเวินซื่อจึงเข้าใจ“ดังนั้น ท่านอยากจะจัดพิธีขอพรอย่างไรก็ได้ ขอเพียงแค่อย่าจงใจไปเสี่ยงอันตรายก็พอ”เวินซื่อก็อดหัวเราะไม่ได้ “เหตุใดในสายตาของท่าน ข้าถึงกลายเป็นคนที่ชอบเสี่ยงอันตรายไปแล้ว?”“หรือว่าไม่ใช่?”น้ำเสียงของเป่ยเฉินหยวนแฝงไปด้วยการตัดพ้อ มองนางอย่างมีนัยแอบแฝงเวินซื่อลองคิดดูอย่างละเอียด โอ
“ฮือๆๆ ข้าไม่อยากตาย ข้าไม่อยากตายนะ...”“ท่านหมอ ได้โปรด ช่วยพวกเราด้วยเถิด...”“ลูก ลูกของข้า!”“ปล่อยข้าออกไป ขอร้องล่ะ ท่านขุนนาง ปล่อยพวกเราออกไปเถอะ พวกเราไม่ได้ติดโรคจริงๆ !”“อ๊ากกก เขาติดเชื้อแล้ว เขาติดเชื้อแล้ว! รีบหนีเร็ว!”รถม้ายังมาไม่ถึง จากที่ไกลๆ เวินซื่อก็ได้ยินเสียงมากมายนับไม่ถ้วนดังมาจากภายในเขตกักกันที่ล้อมรอบด้วยหินและไม้ความกลัว ความตื่นตระหนก ความเศร้า ความเจ็บปวด...แน่นอนว่ามีบางคนที่นั่งเงียบๆ อยู่ในมุม พวกเขามีอาการของโรคระบาดแล้วแต่ละคนสีหน้าซีดเผือด ไร้สีเลือด ล้มลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยากบ้าง หรือไม่ก็พิงพื้นบ้าง ราวกับว่ายอมแพ้ต่อการมีชีวิตแล้ว นั่งรอความตายอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่ในมุม“เขตโรคระบาดแห่งนี้มีผู้ติดเชื้อสองร้อยกว่าคน ถือว่าน้อยที่สุดในบรรดาอำเภอทั้งหมดของลู่โจว”ม้าของเป่ยเฉินหยวนตามอยู่ข้างๆ รถม้าของเวินซื่อ เขาพูดกับนางถึงสถานการณ์ที่นี่ด้วยเสียงแผ่วเบาเนื่องจากจำนวนคนไม่มาก ดังนั้น จึงมีกองทหารรักษาการณ์ที่สวมหน้ากากเพียงร้อยกว่านายประจำการอยู่ที่นี่ รวมกับขุนนางจากที่ว่าการอำเภอ ก็เพียงพอที่จะควบคุมเขตโรคระบาดแห่งนี้“อ
เป่ยเฉินหยวน “ใช่ธิดาศักดิ์สิทธิ์!”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ด้วย!”“ดีเหลือเกิน ใต้เท้าหนิงหย่วนโหวเชิญธิดาศักดิ์สิทธิ์มาได้จริงๆ !”ชาวบ้านเหล่านั้นต่างพากันตื่นเต้นดีใจในทันที“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ พวกเราติดโรคระบาดแล้ว พวกเรายังจะรอดหรือไม่?”มีคนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ถาม“ได้”เวินซื่อกวาดสายตามองพวกเขาทุกคน นางกล่าวอย่างจริงจัง “โรคระบาดครั้งนี้ไม่น่ากลัว เพียงแค่พวกเจ้าปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ ร่วมมือรักษาโรคอย่างจริงจัง ก็จะต้องรอดได้อย่างแน่นอน”“ขอบคุณธิดาศักดิ์สิทธิ์!”“ขอบคุณธิดาศักดิ์สิทธิ์!”ในชั่วพริบตา ชาวบ้านในเขตโรคระบาดต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นทำให้เวินซื่อตกใจจนลุกขึ้นยืนทันที นางต้องการจะหลีกเลี่ยงแต่ในเวลานี้ เป่ยเฉินหยวนที่อยู่ด้านหลังนางกลับกดตัวนางไว้“รับไว้ นี่คือศรัทธาที่เป็นของเจ้า”เวินซื่อชะงัก นางหันกลับไปมองชาวบ้านเหล่านั้นครู่หนึ่ง มองดูสีหน้ายินดีบนใบหน้าของพวกเขา และความหวังที่จุดประกายขึ้นใหม่ในดวงตา นางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สวดมนต์ต่อน้ำเสียงอันบริสุทธิ์ชำระล้างเขตโรคระบาดแห่งแรกจนหมดสิ้นตั้งแต่ชาวบ้านภายในเขตโรคระบาด ไปจนถึงกองทหารรัก
เพียงแค่พวกเขาปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ ร่วมมือรักษาโรคอย่างจริงจัง พวกเขาก็จะต้องรอดได้อย่างแน่นอนเป็นจริงดังคาด ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หลอกพวกเขานี่คือเหตุการณ์หลังจากนั้นหนึ่งวัน ย้อนกลับไปยังวันแรกที่เริ่มขอพรหลังจากขอพรให้เขตโรคระบาดแห่งแรกเสร็จแล้ว เวินซื่อก็ใช้เวลาที่เหลือในวันนั้นอย่างเร่งรีบ ไปยังเขตโรคระบาดอีกสองแห่งลู่โจวมีเขตโรคระบาดทั้งหมดแปดแห่ง นอกจากอำเภอหนิงอันแล้ว เขตโรคระบาดอีกเจ็ดแห่งที่เหลือ เวินซื่อจำเป็นต้องไปสักรอบวันแรกนางไปเขตโรคระบาดสามแห่ง ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ที่สุดและอาการเบาที่สุดวันที่สองก็ไปเขตโรคระบาดอีกสองแห่ง ในเวลานี้ จำนวนชาวบ้านที่ติดเชื้อในแต่ละเขตโรคระบาดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เพิ่มขึ้นจนมากกว่าห้าร้อยคนแล้วเขตโรคระบาดสองแห่งสุดท้ายมีจำนวนมากกว่าหนึ่งพันคนตอนที่เวินซื่อเข้าไป เกือบจะถูกฝูงชนกลืนไปแล้วโชคดีที่เป่ยเฉินหยวนเคลื่อนไหวรวดเร็ว ประกอบกับครั้งนี้เขาเตรียมการไว้ล่วงหน้า นำกองทัพธงดำมาเพิ่มอีกสองร้อยนาย รวมกับความช่วยเหลือจากกองทหารรักษาการณ์ ทำให้สามารถควบคุมเขตโรคระบาดที่วุ่นวายได้อย่างรวดเร็วอย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาทราบสา
“ข้างหน้าดูเหมือนกำลังเผาอะไรอยู่?”ยังไม่ทันถึงอำเภอหนิงอัน เวินซื่อก็มองเห็นจากที่ไกลๆ ว่าข้างหน้าเหมือนมีแสงไฟเป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางออกคำสั่ง “ทุกคนตรวจสอบหน้ากาก จากนี้ไปห้ามเปิดปากและจมูกออกข้างนอก”“พ่ะย่ะค่ะ!”เวินซื่อที่นั่งอยู่ในรถม้าได้ยินดังนั้น ก็รีบตรวจสอบหน้ากากที่ตนเองสวมอยู่ทันทีแม้ว่านางจะมีน้ำทิพย์คุ้มกาย ไม่จำเป็นต้องกลัวโรคระบาดเข้าใกล้ แต่ก็ต้องทำเป็นแบบอย่าง อย่างน้อยในสายตาของคนอื่น การป้องกันของนางต้องดีมากพอ จึงจะไม่ทำให้เกิดข้อสงสัยหลังจากเข้าใกล้ ทุกคนก็พบต้นตอของแสงไฟอย่างรวดเร็วเวินซื่อเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง มองดูศพจำนวนมากที่กองสุมกันราวกับภูเขาในสุสานหมู่“น่าจะเป็นคำสั่งของหนิงหย่วนโหว”ศพของผู้ที่เสียชีวิตจากโรคระบาดเหล่านี้จะทิ้งไว้ไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นในไม่ช้าก็จะกลายเป็นแหล่งกำเนิดโรคระบาดแห่งใหม่เวินซื่อรู้เรื่องนี้ดีเพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกในสองชาติภพที่นางได้เห็นภาพเช่นนี้ แม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เมื่อได้เห็นกับตาจริงๆ ก็ยังทำใจให้สงบลงไม่ได้เป็นเวลานาน“ถึงแล้ว”ทันทีที่รถม้ามาถึงอำเภอหนิงอัน กองทหารรักษาการณ์
เวินซื่อหน้าแดงด้วยความเขินอาย โชคดีที่หนิงหย่วนโหวไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากทั้งสองชมเชยซึ่งกันและกันพอสมควรแล้ว ก็รีบพูดคุยเรื่องสำคัญทันที“สองสามวันนี้ต้องขอบคุณท่านที่ส่งสมุนไพรมาให้ สรรพคุณของสมุนไพรเหล่านั้นดีจริงๆ ท่านไปหามาจากที่ไหน ยังหามาให้ข้าได้อีกหรือไม่?”หนิงหย่วนโหวรีบเอ่ยถามเมื่อพูดถึงเรื่องสำคัญเป่ยเฉินหยวนส่ายหน้า “นั่นไม่ใช่สมุนไพรที่ข้าหามา เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์นำมาจากเมืองหลวง”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์นำมาหรือ?”หนิงหย่วนโหวหันไปมองเวินซื่ออีกครั้งด้วยความประหลาดใจเวินซื่อพยักหน้าเล็กน้อย “สมุนไพรเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ข้านำมาจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว เพราะทั้งหมดเป็นสิ่งที่ข้าปลูกเอง มีไม่มากนัก ของที่มีอยู่ก็ได้นำมาทั้งหมดแล้ว”สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของหนิงหย่วนโหวเปลี่ยนเป็นผิดหวังในทันทีแต่เวินซื่อกล่าวต่อ “สมุนไพรเหล่านั้นที่ข้านำมา ส่วนใหญ่นำมาส่งที่อำเภอหนิงอันแล้ว เพียงแค่สองวันนี้ หากท่านโหวทำตามที่ข้าบอก คือนำไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆ ก็เพียงพอสำหรับทั้งอำเภอหนิงอันแล้ว”สองวันมานี้ เหตุผลที่นางไม่ได้มาอำเภอหนิงอันเป็นที่แรก ก็เพื่อรอให้ฤทธิ์ของน้ำ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ขอบคุณท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ใจกว้าง ข้าจะไม่ปิดบังท่าน สองวันนี้ ต้องขอบคุณสมุนไพรที่ท่านส่งมาให้ เพียงวันเดียว ก็สามารถควบคุมอาการป่วยของคนส่วนใหญ่ในอำเภอหนิงอันได้ ตอนนี้ศพที่ถูกขนออกไปก็น้อยลงมาก”และในบรรดาศพเหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ร่างกายทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วมิฉะนั้น ก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสักหน่อย“ช่วยได้ก็ดีแล้ว แต่สมุนไพรก็เป็นเพียงสมุนไพร สิ่งสำคัญที่สุดคือโชคดีที่ใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าหนิงหย่วนโหวมีคนคิดค้นตำรับยารักษาโรคระบาดได้ มิฉะนั้นสมุนไพรของข้าก็คงไม่มีประโยชน์มากนัก”เวินซื่อจะไม่โอ้อวดในเวลานี้แม้ว่าน้ำทิพย์ของนางจะเกิดประโยชน์มากกว่าจริงๆ ก็ตามนางก็ต้องลดความโดดเด่นลงบ้างคนที่เข้าใจย่อมหันมาสนใจสมุนไพรของนางเหมือนกับหนิงหย่วนโหวเมื่อพูดเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “ในเมื่อสมุนไพรเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ปลูก เช่นนั้นท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์จะยังคงปลูกต่อไปในอนาคตใช่หรือไม่?”แน่นอนว่าเวินซื่อพยักหน้า “ข้าชอบปลูกสมุนไพร และเชี่ยวชาญในการปลูกสมุนไพร ที่เมืองหลวงก็มีแปลงสมุนไพรอยู่ไม่น้อย ครั้งนี้เก็บเกี่ย
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว