เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา ขุนนางทั้งหลายต่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง“จริงหรือท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์?!”“ท่านยินดีที่จะไปยังเขตโรคระบาดจริงๆ หรือ?”“นี่จะไม่อันตรายเกินไปหน่อยหรือ?”หน่อยที่ไหนกัน?!เห็นได้ชัดว่าอันตรายมากๆ ๆ ๆ ต่างหาก!สีหน้าของเป่ยเฉินหยวนแทบจะควบคุมไว้ไม่อยู่ โกรธจนหางตาเรียวยาวกระตุกเขาอยากจะถามเวินซื่อเดี๋ยวนี้เลยว่า ขอพรได้ แต่เหตุใดไม่รอให้เขาควบคุมสถานการณ์โรคระบาดทั้งสี่แห่งให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยจัดพิธีขอพรครั้งใหญ่ทีเดียว!เขาสามารถช่วยนางขจัดอันตรายทั้งหมดได้ แต่ทำไมนางต้องไปที่เขตโรคระบาดทุกแห่งด้วย?!นี่มันต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย?เป่ยเฉินหยวนข่มความหุนหันพลันแล่นไว้ รอจนขุนนางเหล่านั้นจากไปหมดแล้ว เขาจึงหันกลับมามองเวินซื่อ แล้วเอ่ยอย่างร้อนรน “เขตโรคระบาดอันตรายเกินไป ท่านไปไม่ได้!”“ข้าต้องไป”หลังจากที่เวินซื่อป่วย ลำคอของนางก็ไม่ค่อยสบาย ดังนั้นเมื่อพูดจึงเบาลง ช้าลง และดูอ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิมนางมองเป่ยเฉินหยวนแล้วกล่าวว่า “การร้องขอจากลู่โจวในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นคำร้องขอของชาวบ้าน ข้ารู้ว่าพวกเขาคาดหวังอะไรจากข้า แม้ว่าข้าจะไม่มีวิธีการวิเศษ
“ซื่อเอ๋อร์...”เป่ยเฉินหยวนเรียกเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว“อืม?”เวินซื่อที่ยังงัวเงียได้ยินไม่ชัดก็ขานรับเสียงหนึ่ง เมื่อนางรู้สึกตัวก็เอ่ยถามอย่างงุนงง “เมื่อครู่ท่านอ๋องพูดว่าอะไรนะ?”เป่ยเฉินหยวนกำหมัดขึ้นมาแล้วปิดปากไอ แน่นอนว่าไม่กล้ายอมรับ “ไม่มีอะไร เพียงแต่ถามว่าท่านหิวหรือไม่ อยากจะลุกขึ้นมากินอะไรหน่อยไหม?”“อ้อ เอาสิ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว แต่ในหัวยังคงมึนงงเหตุใดนางจำได้ว่าเมื่อครู่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเพียงแค่เรียกชื่อ ไม่ได้พูดอะไรยาวเหยียดขนาดนี้?น่าเสียดายที่ยังไม่ทันที่นางจะคิดออก เป่ยเฉินหยวนก็ยกโจ๊กมาให้นางแล้ว“อืม? หอมจังเลย”กลิ่นหอมโชยมา ทำเอาเวินซื่อท้องร้องจ๊อกๆ ด้วยความหิวเป่ยเฉินหยวนที่ได้ยินเสียงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “หอมก็รีบลุกขึ้นมากิน กินเสร็จแล้วค่อยไปล้างหน้าล้างตา”เป่ยเฉินหยวนควบคุมมือของตนเอง เพียงแค่ยื่นโจ๊กให้เวินซื่อข่มความคิดที่อยากจะป้อนนางด้วยมือของตนเอง“ได้”เวินซื่อนอนหลับมาทั้งคืน ตอนนี้เลยเวลาอาหารเช้าไปสองชั่วยามแล้ว ใกล้จะเที่ยงแล้วนางหิวมาก ไม่สนใจอะไรมากนักเพียงแต่เพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่าเสื้อผ้าขอ
เมื่อก่อนในสนามรบ เมื่อข้าศึกรุกราน เป่ยเฉินหยวนก็นำกองทัพธงดำหนึ่งพันนายที่เพิ่งฝึกฝนเสร็จ บุกเข้าไปในดินแดนข้าศึก ตัดกำลังสนับสนุนของข้าศึก ทำให้ข้าศึกหวาดกลัวจนต้องถอยทัพไปห้าร้อยลี้ ก่อนที่สงครามใหญ่จะเริ่มขึ้นแน่นอนว่า เนื่องจากในตอนนั้นข้าศึกรู้สึกว่าเสียหน้ามาก จึงไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปและเป่ยเฉินหยวนก็ไม่ชอบทำตัวโดดเด่นเกินไปในสนามรบ ดังนั้นจึงมีคนรู้เรื่องนี้น้อยมากจริงๆ ทว่าหนิงหย่วนโหวกลับรู้เรื่องนี้แต่เขาไม่ได้มองเพียงแค่จำนวนคนง่ายๆ เช่นนั้น แต่มองจากท่าทีของเป่ยเฉินหยวนจำนวนสามพันคนนี้ ก็คือท่าทีของเป่ยเฉินหยวนหนิงหย่วนโหวพอรู้แล้ว จึงมอบค่ายใหญ่ให้เป่ยเฉินหยวนจัดการได้ตามสบายเป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดให้เวินซื่อฟังอีกครั้งเวินซื่อจึงเข้าใจ“ดังนั้น ท่านอยากจะจัดพิธีขอพรอย่างไรก็ได้ ขอเพียงแค่อย่าจงใจไปเสี่ยงอันตรายก็พอ”เวินซื่อก็อดหัวเราะไม่ได้ “เหตุใดในสายตาของท่าน ข้าถึงกลายเป็นคนที่ชอบเสี่ยงอันตรายไปแล้ว?”“หรือว่าไม่ใช่?”น้ำเสียงของเป่ยเฉินหยวนแฝงไปด้วยการตัดพ้อ มองนางอย่างมีนัยแอบแฝงเวินซื่อลองคิดดูอย่างละเอียด โอ
“ฮือๆๆ ข้าไม่อยากตาย ข้าไม่อยากตายนะ...”“ท่านหมอ ได้โปรด ช่วยพวกเราด้วยเถิด...”“ลูก ลูกของข้า!”“ปล่อยข้าออกไป ขอร้องล่ะ ท่านขุนนาง ปล่อยพวกเราออกไปเถอะ พวกเราไม่ได้ติดโรคจริงๆ !”“อ๊ากกก เขาติดเชื้อแล้ว เขาติดเชื้อแล้ว! รีบหนีเร็ว!”รถม้ายังมาไม่ถึง จากที่ไกลๆ เวินซื่อก็ได้ยินเสียงมากมายนับไม่ถ้วนดังมาจากภายในเขตกักกันที่ล้อมรอบด้วยหินและไม้ความกลัว ความตื่นตระหนก ความเศร้า ความเจ็บปวด...แน่นอนว่ามีบางคนที่นั่งเงียบๆ อยู่ในมุม พวกเขามีอาการของโรคระบาดแล้วแต่ละคนสีหน้าซีดเผือด ไร้สีเลือด ล้มลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยากบ้าง หรือไม่ก็พิงพื้นบ้าง ราวกับว่ายอมแพ้ต่อการมีชีวิตแล้ว นั่งรอความตายอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่ในมุม“เขตโรคระบาดแห่งนี้มีผู้ติดเชื้อสองร้อยกว่าคน ถือว่าน้อยที่สุดในบรรดาอำเภอทั้งหมดของลู่โจว”ม้าของเป่ยเฉินหยวนตามอยู่ข้างๆ รถม้าของเวินซื่อ เขาพูดกับนางถึงสถานการณ์ที่นี่ด้วยเสียงแผ่วเบาเนื่องจากจำนวนคนไม่มาก ดังนั้น จึงมีกองทหารรักษาการณ์ที่สวมหน้ากากเพียงร้อยกว่านายประจำการอยู่ที่นี่ รวมกับขุนนางจากที่ว่าการอำเภอ ก็เพียงพอที่จะควบคุมเขตโรคระบาดแห่งนี้“อ
เป่ยเฉินหยวน “ใช่ธิดาศักดิ์สิทธิ์!”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ด้วย!”“ดีเหลือเกิน ใต้เท้าหนิงหย่วนโหวเชิญธิดาศักดิ์สิทธิ์มาได้จริงๆ !”ชาวบ้านเหล่านั้นต่างพากันตื่นเต้นดีใจในทันที“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ พวกเราติดโรคระบาดแล้ว พวกเรายังจะรอดหรือไม่?”มีคนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ถาม“ได้”เวินซื่อกวาดสายตามองพวกเขาทุกคน นางกล่าวอย่างจริงจัง “โรคระบาดครั้งนี้ไม่น่ากลัว เพียงแค่พวกเจ้าปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ ร่วมมือรักษาโรคอย่างจริงจัง ก็จะต้องรอดได้อย่างแน่นอน”“ขอบคุณธิดาศักดิ์สิทธิ์!”“ขอบคุณธิดาศักดิ์สิทธิ์!”ในชั่วพริบตา ชาวบ้านในเขตโรคระบาดต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นทำให้เวินซื่อตกใจจนลุกขึ้นยืนทันที นางต้องการจะหลีกเลี่ยงแต่ในเวลานี้ เป่ยเฉินหยวนที่อยู่ด้านหลังนางกลับกดตัวนางไว้“รับไว้ นี่คือศรัทธาที่เป็นของเจ้า”เวินซื่อชะงัก นางหันกลับไปมองชาวบ้านเหล่านั้นครู่หนึ่ง มองดูสีหน้ายินดีบนใบหน้าของพวกเขา และความหวังที่จุดประกายขึ้นใหม่ในดวงตา นางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สวดมนต์ต่อน้ำเสียงอันบริสุทธิ์ชำระล้างเขตโรคระบาดแห่งแรกจนหมดสิ้นตั้งแต่ชาวบ้านภายในเขตโรคระบาด ไปจนถึงกองทหารรัก
เพียงแค่พวกเขาปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ ร่วมมือรักษาโรคอย่างจริงจัง พวกเขาก็จะต้องรอดได้อย่างแน่นอนเป็นจริงดังคาด ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หลอกพวกเขานี่คือเหตุการณ์หลังจากนั้นหนึ่งวัน ย้อนกลับไปยังวันแรกที่เริ่มขอพรหลังจากขอพรให้เขตโรคระบาดแห่งแรกเสร็จแล้ว เวินซื่อก็ใช้เวลาที่เหลือในวันนั้นอย่างเร่งรีบ ไปยังเขตโรคระบาดอีกสองแห่งลู่โจวมีเขตโรคระบาดทั้งหมดแปดแห่ง นอกจากอำเภอหนิงอันแล้ว เขตโรคระบาดอีกเจ็ดแห่งที่เหลือ เวินซื่อจำเป็นต้องไปสักรอบวันแรกนางไปเขตโรคระบาดสามแห่ง ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ที่สุดและอาการเบาที่สุดวันที่สองก็ไปเขตโรคระบาดอีกสองแห่ง ในเวลานี้ จำนวนชาวบ้านที่ติดเชื้อในแต่ละเขตโรคระบาดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เพิ่มขึ้นจนมากกว่าห้าร้อยคนแล้วเขตโรคระบาดสองแห่งสุดท้ายมีจำนวนมากกว่าหนึ่งพันคนตอนที่เวินซื่อเข้าไป เกือบจะถูกฝูงชนกลืนไปแล้วโชคดีที่เป่ยเฉินหยวนเคลื่อนไหวรวดเร็ว ประกอบกับครั้งนี้เขาเตรียมการไว้ล่วงหน้า นำกองทัพธงดำมาเพิ่มอีกสองร้อยนาย รวมกับความช่วยเหลือจากกองทหารรักษาการณ์ ทำให้สามารถควบคุมเขตโรคระบาดที่วุ่นวายได้อย่างรวดเร็วอย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาทราบสา
“ข้างหน้าดูเหมือนกำลังเผาอะไรอยู่?”ยังไม่ทันถึงอำเภอหนิงอัน เวินซื่อก็มองเห็นจากที่ไกลๆ ว่าข้างหน้าเหมือนมีแสงไฟเป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางออกคำสั่ง “ทุกคนตรวจสอบหน้ากาก จากนี้ไปห้ามเปิดปากและจมูกออกข้างนอก”“พ่ะย่ะค่ะ!”เวินซื่อที่นั่งอยู่ในรถม้าได้ยินดังนั้น ก็รีบตรวจสอบหน้ากากที่ตนเองสวมอยู่ทันทีแม้ว่านางจะมีน้ำทิพย์คุ้มกาย ไม่จำเป็นต้องกลัวโรคระบาดเข้าใกล้ แต่ก็ต้องทำเป็นแบบอย่าง อย่างน้อยในสายตาของคนอื่น การป้องกันของนางต้องดีมากพอ จึงจะไม่ทำให้เกิดข้อสงสัยหลังจากเข้าใกล้ ทุกคนก็พบต้นตอของแสงไฟอย่างรวดเร็วเวินซื่อเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง มองดูศพจำนวนมากที่กองสุมกันราวกับภูเขาในสุสานหมู่“น่าจะเป็นคำสั่งของหนิงหย่วนโหว”ศพของผู้ที่เสียชีวิตจากโรคระบาดเหล่านี้จะทิ้งไว้ไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นในไม่ช้าก็จะกลายเป็นแหล่งกำเนิดโรคระบาดแห่งใหม่เวินซื่อรู้เรื่องนี้ดีเพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกในสองชาติภพที่นางได้เห็นภาพเช่นนี้ แม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เมื่อได้เห็นกับตาจริงๆ ก็ยังทำใจให้สงบลงไม่ได้เป็นเวลานาน“ถึงแล้ว”ทันทีที่รถม้ามาถึงอำเภอหนิงอัน กองทหารรักษาการณ์
เวินซื่อหน้าแดงด้วยความเขินอาย โชคดีที่หนิงหย่วนโหวไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากทั้งสองชมเชยซึ่งกันและกันพอสมควรแล้ว ก็รีบพูดคุยเรื่องสำคัญทันที“สองสามวันนี้ต้องขอบคุณท่านที่ส่งสมุนไพรมาให้ สรรพคุณของสมุนไพรเหล่านั้นดีจริงๆ ท่านไปหามาจากที่ไหน ยังหามาให้ข้าได้อีกหรือไม่?”หนิงหย่วนโหวรีบเอ่ยถามเมื่อพูดถึงเรื่องสำคัญเป่ยเฉินหยวนส่ายหน้า “นั่นไม่ใช่สมุนไพรที่ข้าหามา เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์นำมาจากเมืองหลวง”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์นำมาหรือ?”หนิงหย่วนโหวหันไปมองเวินซื่ออีกครั้งด้วยความประหลาดใจเวินซื่อพยักหน้าเล็กน้อย “สมุนไพรเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ข้านำมาจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว เพราะทั้งหมดเป็นสิ่งที่ข้าปลูกเอง มีไม่มากนัก ของที่มีอยู่ก็ได้นำมาทั้งหมดแล้ว”สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของหนิงหย่วนโหวเปลี่ยนเป็นผิดหวังในทันทีแต่เวินซื่อกล่าวต่อ “สมุนไพรเหล่านั้นที่ข้านำมา ส่วนใหญ่นำมาส่งที่อำเภอหนิงอันแล้ว เพียงแค่สองวันนี้ หากท่านโหวทำตามที่ข้าบอก คือนำไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆ ก็เพียงพอสำหรับทั้งอำเภอหนิงอันแล้ว”สองวันมานี้ เหตุผลที่นางไม่ได้มาอำเภอหนิงอันเป็นที่แรก ก็เพื่อรอให้ฤทธิ์ของน้ำ
สมุนไพรทั้งหมดนี้ในที่ดินกุยอวิ๋น เป็นสิ่งที่นางได้ตกลงไว้แล้วว่าจะมอบให้กับเป่ยเฉินหยวนเป็นสมุนไพรสำหรับทหารในกองทัพธงดำที่ออกรบเพื่อราชวงศ์ต้าหมิงมาหลายปี จนสุดท้ายร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พิการ และเจ็บปวดบัดนี้ สมุนไพรที่ปลูกไว้ได้หนึ่งเดือนแล้วกลับถูกพวกเขาทำลายไปกว่าครึ่ง แถมยังไม่เว้นแม้แต่แปลงสมุนไพรร้ายกาจถึงเพียงนี้ นางจะกลืนความโกรธแค้นนี้ลงไปได้อย่างไรนางจะไม่ปล่อยคนที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไป และคนร้ายตรงหน้าเหล่านี้ นางก็จะไม่ปล่อยไปเช่นกัน“ท่านลุงหลาน ต้องรับพวกเขาให้ดี”ผู้เฒ่าหลานไม่คิดว่าเวินซื่อจะมีด้านนี้ด้วยเดิมทีเขาคิดว่าปกติแล้วคุณหนูน้อยผู้อ่อนโยนและใจดีมาโดยตลอดนั้น จะเหมือนกับคุณหนูใหญ่มากแต่คาดไม่ถึงว่า ภายใต้ความอ่อนโยนของคุณหนูน้อย จะยังมีด้านที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ซ่อนอยู่ช่าง...เหมือนกับนายท่านในตอนนั้นไม่มีผิด!ดวงตาที่แก่ชราของผู้เฒ่าหลานฉายแววเฉียบคม จ้องมองเวินซื่อด้วยสายตาร้อนแรง ราวกับว่าเขามองเห็นภาพของเจ้าบ้านสกุลหลานในอดีตในตัวของนางมองจนหัวใจที่สงบนิ่งมานานหลายปีของเขาถึงกับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานายท่าน สกุลหลานของพวกเ
“รบกวนลุงหลานเริ่มจัดหาคนในวันพรุ่งนี้ ช่วงสองสามวันนี้ลำบากท่านแล้ว”“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ลำบากหรอก เพียงแต่ว่าคนร้ายที่วางยาพิษยังจับตัวไม่ได้ หากพวกเราแก้ไขตอนนี้ เกรงว่าคนร้ายนั่นจะกลับมาอีก”เวินซื่อย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีนางยิ้มเล็กน้อย “ลุงหลานวางใจได้ พรุ่งนี้ท่านจัดหาคนได้เลย คืนนี้พวกเราจะจับคน”......คืนนั้นควรจะเป็นเวลาที่เข้าสู่ห้วงนิทรา แต่กลับมีคนจำนวนหนึ่งถือถังไม้คนละใบ หลบเลี่ยงคนลาดตระเวนเหล่านั้นอย่างเงียบๆ พวกเขาแอบเข้าไปในที่ดินกุยอวิ๋นอีกครั้งอย่างชำนาญ“หัวหน้า เมื่อวานพวกเราสาดยาพิษที่แปลงสมุนไพรทางตะวันออก ทางใต้ก็สาดไปหลายแห่งแล้ว คืนนี้จะเปลี่ยนไปสาดทางตะวันตกหรือทางเหนือดี?”“ได้ ไปดูทางตะวันตกก่อนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรคุณชายสามก็บอกว่าต้องสาดให้หมด ต้องทำหมดทุกทาง”ดังนั้น คนร้ายที่ปิดบังใบหน้าทั้งเจ็ดแปดคนจึงอ้อมผ่านไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกไม่นานนัก พวกเขาก็วิ่งมาถึงที่หมาย“เจ้าสอง เจ้าสาม พวกเจ้าสองคนไปดูต้นทาง มีอะไรก็รีบเป่านกหวีด เจ้าสี่ เจ้าห้า เจ้าหก พวกเจ้าสามคนไปตักน้ำ เจ้าเจ็ด เจ้ามาทำลายสมุนไพรกับข้า”“ได้เลย
“คนร้ายกระจอกๆ พวกนั้นจับตัวได้หรือไม่?”“พวกที่มาครั้งแรกจับได้แล้วขอรับ แต่ไม่กี่วันต่อมา ก็มีมาอีกสองสามคน แถมยังระมัดระวังตัวยิ่งกว่า เจ้าเล่ห์มาก พิษที่เทในแปลงสมุนไพรก็เป็นฝีมือของพวกที่มาครั้งที่สองนี้”เวินซื่อเอ่ยถาม “มีคนได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่?”ผู้เฒ่าหลานส่ายหน้า “ยาพิษที่เทนั้นดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่แปลงสมุนไพรของเราเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนมากนัก”เวินซื่อแค่นหัวเราะ “หากวางยาพิษคน เรื่องนี้คงไม่ง่ายดายเช่นนี้แล้ว”หลังจากที่นางทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็กำชับว่า “รบกวนลุงหลานเดินทางรอบนี้ ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด ข้าจะไปดูที่ดินกุยอวิ๋นก่อน”ม่อโฉวซือไท่ก็อยู่ด้วยพอดี นางได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์จะไปกับพวกเจ้าด้วย ไปดูสักหน่อย”“ข้าก็ไปด้วยๆ !”ฉางเสี่ยวหานรีบยกมือออกจากอารามสุ่ยเยว่ ก็มีรถม้าเรียบง่ายคันหนึ่งจอดรออยู่ด้านนอกนี่เป็นสิ่งที่เวินซื่อสั่งให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาระยะทางระหว่างที่ดินกุยอวิ๋นถึงอารามสุ่ยเยว่ก็ไม่ถือว่าใกล้ จะให้พ่อบ้านหลานที่อายุมากแล้วเดินไปเดินมาก็คงไม่ได้ดังนั้น เวินซื่อจึงให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง เ
เป่ยเฉินหยวนไม่คิดว่านางจะยังจำเรื่องนี้ได้ และยังจัดสรรที่ดินไว้ให้เขาแล้วเขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งอู๋โยวที่ดีเช่นนี้ เขาจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?เพียงแต่ว่าคนสกุลอันนั่นพูดถูก เขามีความคิดต่ำทราม หากถูกคนอื่นรู้เข้า นั่นก็เท่ากับทำลายการปฏิบัติธรรมของผู้อื่น ทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของผู้อื่น เป็นเรื่องที่เลวทรามอย่างยิ่งดังนั้น เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้จึงทำได้เพียงเก็บซ่อนไว้อย่างระมัดระวังเมื่อไม่มีอันหลันซิน ขบวนก็ไม่ได้ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ไม่นานก็ออกเดินทางต่อสองวันต่อมา ขบวนที่เดินทางไกลไปยังลู่โจวในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองหลวงแล้วครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ฝ่าบาททรงนำเหล่าขุนนางมาต้อนรับที่ประตูเมืองหลวงด้วยพระองค์เองสถานการณ์ยิ่งใหญ่เอิกเกริกเช่นนี้ ทำเอาเวินซื่อตกใจไม่น้อยภายหลังเวินซื่อถึงได้รู้ว่า ที่แท้ข่าวคราวจากลู่โจวก็แพร่เข้ามาถึงในเมืองหลวงแล้วหลังจากขอฝนที่จินโจวแก้ปัญหาภัยแล้งได้แล้ว เวินซื่อก็มีชื่อเสียงเรื่องการสวดอธิษฐานขอพรให้ผู้ประสบภัยพิบัติที่ลู่โจวเพิ่มขึ้นมาอีกตอนนี้ชื่อเสียงของนางไม่ได้เลื่องลือแค่ในเมืองหลวงและจินโจวสองแห่งเท่าน
ภายในป่า เงียบสงบไปครู่หนึ่ง ถึงมีเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ ดังขึ้น“เจ้าพูดถูก ข้าไม่คู่ควร”เป่ยเฉินหยวนสีหน้าเย็นชา สายตาเย็นเยียบ “แต่เจ้าไม่คู่ควรยิ่งกว่า”“เจ้าอยากจะใช้คนร้ายที่หลบหนีไปได้มาบีบบังคับข้า น่าเสียดาย ข้าไม่หลงกลเจ้า”เป่ยเฉินหยวนพูดจบก็ยกมือขึ้น กองทัพธงดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นทันที ล้อมอันหลันซินเอาไว้อันหลันซินตกใจทันที ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี“ท่านคิดจะทำอะไร?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวอย่างเย็นชา “ขอบคุณอู๋โยวให้ดีเถอะ หากมิใช่เพราะนาง หัวของเจ้าคงถูกข้าตัดเอาไปเตะเล่นนานแล้ว”พูดจบเขาก็หันหลังกลับไปออกคำสั่ง “เอาตัวไป มัดให้แน่นแล้วส่งไปให้หนิงหย่วนโหว ให้เขาเฝ้าไว้ให้ดีๆ ขอแค่ไม่ตาย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่เขา แต่ถ้าคนหนีไป ข้าจะเอาเรื่องกับเขา”“พ่ะย่ะค่ะ!”กองทัพธงดำหลายนายรีบเข้ามาทันทีไม่!ไม่ได้!นางจะถูกพาตัวไปไม่ได้!นางอุตส่าห์รอโอกาสนี้มาอย่างยากลำบาก หากถูกพาตัวไปแล้ว ต่อไปนางจะกลับมาหาอาซื่อได้อย่างไร!อันหลันซินเห็นท่าไม่ดี อ้าปากกำลังจะร้องตะโกน“อึก...”น่าเสียดายที่นางเพิ่งจะส่งเสียงออกมา ฝักกระบี่ก็ฟาดลงบนคอของนางอย่างแรงทำให้นางสลบไ
คนที่ปรากฏตัวอยู่ด้านนอกรถม้าของเป่ยเฉินหยวนคืออันหลันซิน“ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน หม่อมฉันจะทำอะไรท่านได้ ท่านจะระแวงหม่อมฉันขนาดนี้ไปทำไมเพคะ?”อันหลันซินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นเป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้ว สายตาไม่พอใจ “มีธุระก็พูด ไม่มีธุระก็ไสหัวไป”ท่าทีที่ไม่เกรงใจเมื่อเทียบกับรอยยิ้มที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆอันหลันซินแค่นเสียงหัวเราะในใจเสแสร้งอะไรกันตอนนี้รู้จักปฏิบัติต่อสตรีอื่นอย่างแตกต่างเพราะอาซื่อ แต่ต่อไปความพิเศษเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะตกไปอยู่กับสตรีอื่นอย่างไรเสีย บุรุษในโลกนี้ก็เหมือนกันหมดอันหลันซินระงับความรังเกียจในใจ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “เอาละ รู้ว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ชอบหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันมีข้อแลกเปลี่ยน อยากจะคุยกับท่านสักหน่อยเพคะ”นางพูดเช่นนี้ เป่ยเฉินหยวนกลับไม่มองนางแม้แต่น้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดูถูก “อย่างเจ้า มีคุณสมบัติอะไรมาทำข้อตกลงกับข้า?”“ที่ข้ายอมให้เจ้าอยู่ในขบวนนี้จนถึงตอนนี้ ก็เพียงเพราะเห็นแก่หน้าอู๋โยว”รอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลันซินแข็งค้าง กัดฟันเล็กน้อย“เหอะๆ หม่อมฉั
เป่ยเฉินหยวนนอนเอนกายอย่างสบายอารมณ์อยู่ในรถม้า ในขณะเดียวกันก็นอนอยู่ข้างกายเวินซื่อ หลับตาพริ้มขยับศีรษะอย่างมีความสุข ตอบคำถามของนางทีละประโยค“ได้ ไม่แรง ไม่ได้ดึงเลย ปวดนิดหน่อย เพราะซื่อเอ๋อร์ลูบให้ หัวก็เลยไม่ปวดมากแล้ว”เวินซื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่นางยังจำตำแหน่งกดจุดต่างๆ บนศีรษะที่อาจารย์ม่อโฉวสอนได้ ผสมผสานกับวิธีการนวด แล้วนวดให้เป่ยเฉินหยวน ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะดีเลยทีเดียวเวินซื่อที่คิดว่าได้ผลจริงๆ ก็ยังคงตั้งใจจ้องมองศีรษะของเป่ยเฉินหยวน จดจ่ออยู่กับการผสมผสานวิธีการนวดและกดจุดต่างๆ ของนางหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในรถม้าดูเหมือนจะเงียบสงบลงอย่างสิ้นเชิงเงียบจนแม้ว่าภายนอกจะมีเสียงล้อรถดังอยู่ ก็ยังได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอภายในรถม้าเวินซื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเป่ยเฉินหยวนไม่รู้ว่าหลับตาลงตั้งแต่เมื่อไรแล้วเวินซื่อเห็นดังนั้น มือที่วางอยู่บนศีรษะของเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง จนกระทั่งพอสมควรแล้ว นางถึงได้ชักมือกลับก้มหน้าลงมองสีหน้าที่อ่อนล้าระหว่างคิ้วของเป่ยเฉินหยวน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เวินซื่อก็หยิบขวดน้ำทิพย์ออกมาจ
“ปวดหัวหรือ? เกิดอะไรขึ้น? ปวดเป็นพักๆ หรือว่าปวดมากตลอดเวลา?”พอเวินซื่อได้ยินเป่ยเฉินหยวนบอกว่าตนเองปวดหัว ก็ไม่ทันได้ใส่ใจกับคำเรียกที่ดูเหมือนจะสนิทสนมเกินไปนั่น รีบถามอย่างกระวนกระวาย“ปวดเป็นพักๆ เหมือนกับมีคนมากมายพูดอยู่ในหัวของข้า หนวกหูมาก ปวดเหลือเกิน”เป่ยเฉินหยวนมองนางอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มผู้ซึ่งปกติแล้วสูงใหญ่และพึ่งพาได้เสมอ เวลานี้กลับดูอ่อนแอเหมือนหมาป่าตัวใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บ ทำได้เพียงส่งเสียงร้องครางกับคนตรงหน้าเพื่อระบายความเจ็บปวดของตนเวินซื่อไม่เคยเห็นเป่ยเฉินหยวนในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้มาก่อนแม้แต่ครั้งแรกที่เห็นเขาป่วยที่ริมลำธารเล็กๆ หลังภูเขานั่น เป่ยเฉินหยวนในตอนนั้นก็ยังคงสติไว้ได้บ้างแต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้ กลับเหมือนแสดงด้านที่อ่อนแอยามเจ็บป่วยออกมาให้นางเห็นอย่างไม่มีปิดบังเวินซื่อจึงลูบหน้าผากเขาด้วยความสงสารทันที แล้วจับชีพจร “ไม่ปวดแล้วๆ ตอนนี้ข้าจะสวดมนต์ให้ท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ ท่านนั่งฟังดีๆ อีกเดี๋ยวก็จะไม่ปวดแล้ว”แต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้กลับเหมือนจะมีความคิดต่อต้านขึ้นมาเล็กน้อย ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเวินซื่อที่กำลังจะชักกลับ เอ่ยด้วยน้
นางมองเวินซื่อด้วยความอาลัยอาวรณ์หางตากลับเหลือบไปมองเป่ยเฉินหยวนและเด็กสาวที่อยู่ข้างโต๊ะนั่นอย่างเย็นชาเพิ่มมาอีกคนแล้วแต่ไม่เป็นไร ยังไม่จบหรอกหลังจากที่นายท่านสกุลผังกลับไปแล้ว ไม่นานก็ส่งสัญญาขายตัวมาให้ตามคาด ทั้งยังเขียนหนังสือหย่าอนุภรรยาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาหนึ่งฉบับจริงๆเมื่อได้สัญญาขายตัวและหนังสือหย่าอนุภรรยา อันหลันซินก็ไปจากที่นี่เวินซื่อให้จู๋เยวี่ยติดตามไประยะหนึ่งแน่นอนว่าเพื่อจับตาดู“เป็นอย่างไรบ้าง?”หลังจากที่จู๋เยวี่ยกลับมา เวินซื่อก็เอ่ยถาม“ดูเหมือนว่าจะมีเศษเงินที่ซ่อนเอาไว้ ซื้อของกินเล็กน้อย ห่อไว้แล้วก็ออกจากเมืองไป ดูท่าทางน่าจะกลับเมืองหลวง”กลับเมืองหลวง...จินโจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงขนาดนี้ นางคิดจะเดินเท้ากลับไปหรือ?แล้วยังมีบิดาของนางในเมืองหลวง ทั้งภรรยาเอกและพี่สาวต่างมารดาพวกนั้น คงจะไม่ปล่อยนางไปกระมัง?ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคิดจะกลับไป?เวินซื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลายปมคิ้วไม่สิ นางจะเป็นห่วงอันหลันซินทำไมกัน?ต่อจากนี้ไปอันหลันซินจะเป็นตายร้ายดีก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางที่นางช่วยครั้งนี้ก็เพราะเห็นแก่คว