เดิมทีม่อโฉวซือไท่ที่กำลังตรวจดูบาดแผลให้เวินจื่อเฉินอยู่ ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย“เลือกสถานที่ได้แล้วหรือ?”“เจ้าค่ะ”เวินซื่อพยักหน้า“ที่ตรงนั้นทิวทัศน์ดีหรือไม่? ลับตาคนพอหรือไม่? จะถูกคนมาพบเข้าหรือเปล่า?”ม่อโฉวซือไท่ถามคำถามสามข้อรวดเวินซื่อตอบคำถามทั้งสามข้อของนางอย่างใจเย็น “ท่านอาจารย์วางใจเถิด ที่นั่นทิวทัศน์ดีมาก ลับตาคนมาก ไม่มีผู้ใดพบนางอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”“ดี...ดี”ม่อโฉวซือไท่กล่าวคำว่าดีสองครั้งอย่างช้าๆ จากนั้นก็รับกระดูกของหลานจื่อจวินจากมือของเวินซื่อเวินซื่อได้รวบรวมโครงกระดูกของท่านแม่นางเรียบร้อยแล้ว ใส่ลงไปในกล่องบูชาซึ่งเดิมทีเป็นของที่นำมาพร้อมกับสินเจ้าสาวของสกุลหลาน ด้านบนของกล่องบูชามีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกล้วยไม้ ปกปิดกลิ่นเน่าเหม็นภายในได้ม่อโฉวซือไท่ถือกล่องบูชาใบนั้นด้วยความทะนุถนอมและหวงแหนอย่างยิ่ง ขอบตาของนางแดงก่ำเล็กน้อย “อาจารย์...ขอพูดคุยกับมารดาของเจ้าสักครู่ แล้วค่อยไปหาเจ้าทีหลัง”“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”คำว่าทีหลังนี้ ล่วงเลยไปจนถึงมืดค่ำของวันรุ่งขึ้นเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ในที่สุดม่อโฉวซือไท่ก็อุ้มกล่องบูชามาคืนใ
นางฟุบอยู่ข้างๆ ป้ายหลุมศพของหลานจื่อจวิน เหมือนกับตอนเด็กๆ ที่เคยนอนอยู่ข้างๆ ท่านแม่ของนางหลังจากนอนหลับไปสามวันเต็มๆ นางก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนหวานนั้นในความฝัน ท่านแม่ไม่ได้จากไป ท่านพ่อไม่ได้ทรยศ พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม และพี่สี่ก็ยังคงรักและเอ็นดูนาง และที่สำคัญคือไม่มีบุคคลเช่นเวินเยวี่ยอยู่ครอบครัวของพวกเขามีความสุขมากขนาดนั้น...น่าเสียดาย มันเป็นเพียงแค่ความฝันเวินซื่อที่ตื่นขึ้นมาได้สลัดความอ่อนโยนในใจทิ้งไป และมุ่งหน้าเข้าไปในมิติเพื่อปรุงยาถอนพิษแมงป่องออกมา นำไปถอนพิษแมงป่องที่อยู่ในตัวของเวินจื่อเฉินจากนั้น ม่อโฉวซือไท่ก็ได้ส่งเวินจื่อเฉินลงจากเขาก่อนออกจากอารามสุ่ยเยว่ เวินจื่อเฉินยังคงเดินไปพลางหันกลับไปมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังว่าร่างนั้นจะปรากฏตัวขึ้นน่าเสียดาย สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เห็นกลายเป็นคนที่สองที่จากไปด้วยความผิดหวัง“อู๋โยวน่ะ ถูกทำร้ายมาหนักมาก อยากให้นางยกโทษให้เจ้านั้น ยากมาก”ประโยคนี้เป็นคำพูดของม่อโฉวซือไท่ที่พูดตอนส่งเวินจื่อเฉินจากไปเวินจื่อเฉินก้มหน้าลง เม้มริมฝีปาก เขาเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร ข้าจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อชดใช้ให้
ดวงตากลมโตเหมือนลูกกวางของเวินเยวี่ยมีน้ำตาคลอ มองพี่ชายทั้งสามคนด้วยท่าทางน่าสงสาร“พี่ใหญ่ พี่สาม พี่สี่ ข้ารู้ว่าตอนนี้พวกท่านไม่เชื่อคำพูดของเยวี่ยเอ๋อร์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของเยวี่ยเอ๋อร์จริงๆ ”เวินฉางอวิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่มีคนเห็นกับตาว่าคนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าได้นำศพและโลงศพของท่านแม่เราไป เจ้ายังกล้าพูดอีกหรือว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า?”เวินเยวี่ยรู้ว่าเรื่องนี้นางไม่สามารถล้างความผิดได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนวิธีพูด “จริงๆ แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเยวี่ยเอ๋อร์ แต่เยวี่ยเอ๋อร์บอกว่าไม่ใช่เยวี่ยเอ๋อร์ทำ ก็เพราะว่าคนทั้งสามคนที่พี่ใหญ่เห็นนั้น เป็นคนที่ท่านแม่ของข้าทิ้งไว้ให้ เพื่อปกป้องข้า เพียงแต่เพราะข้าถูกท่านพ่อพามาที่จวนเจิ้นกั๋วกง พวกเขาจึงไม่ได้ตามมาที่เมืองหลวง”นางมองไปที่ทั้งสามคนที่ตั้งใจฟังนางพูด ก่อนจะค่อยๆ แต่งเรื่องโกหกต่อไป “เมื่อหลายวันก่อน หลังจากที่ข้าโดนทำร้าย ข้าก็รู้สึกอัดอั้นตันใจจริงๆ ด้วยความโมโหเพียงชั่ววูบ จึงได้เขียนจดหมายบอกพวกเขา อยากให้พวกเขามาที่เมืองหลวงเพื่อปกป้องข้า แต่ไม่คิดว่าหลังจากที่พวกเขาได้ยินเรื่องนี้ พวกเข
“เจ้าพูดอะไรไร้สาระ? ข้าเคยพูดตอนไหนว่าจะไม่เอาเจ้าแล้ว?!”เวินเฉวียนเซิ่งโกรธจนลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที กล่าวตำหนินางด้วยความผิดหวัง “เจ้าดูเรื่องวุ่นวายที่เจ้าก่อไว้ในช่วงหลายวันมานี้สิ! มีเรื่องไหนที่ข้าไม่ได้ตามไปสะสางให้เจ้าบ้าง? แต่ครั้งนี้เจ้าทำเกินไปแล้วจริงๆ! หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าที่เป็นเจิ้นกั๋วกงก็จะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีก เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องที่จะไปพบแม่ของเจ้า ใช้คำพูดแบบนี้มาข่มขู่ข้า!”พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ หันหลังให้ ทำท่าทางไม่อยากพูดอะไรกับเวินเยวี่ยมากไปกว่านี้อีกเวินเยวี่ยร้อนใจขึ้นมาทันที “ไม่...ไม่ใช่แบบนั้นท่านพ่อ เยวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้ข่มขู่ท่านจริงๆ เยวี่ยเอ๋อร์แค่กลัวว่าท่านพ่อจะทิ้งเยวี่ยเอ๋อร์ไปจริงๆ จึงพูดผิดไปเพราะความใจร้อน ท่านพ่อโปรดอย่าโกรธเลย เยวี่ยเอ๋อร์สำนึกผิดแล้วจริงๆ!”นางพูดไปพลางร้องไห้ไปพลางตั้งแต่เด็กนางได้ยินคนพูดว่า นางไม่เพียงแต่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมารดาของนางในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่ตอนร้องไห้ก็ยังเหมือนกันมากรูปลักษณ์ที่น่าสงสารนั้นเหมือนกับตอนที่นางตกหลุมรักใครบางคนเป็นครั้งแรกเมื่อยังเยาว์วัย จะไม่ทำให้เวินเฉวียนเซิ
เนื่องจากการสักการะครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกหน้า ดังนั้นเวินซื่อและบรรดาซือไท่จากอารามสุ่ยเยว่จึงไม่ได้มาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีสักการะแล้ว ก็มีการจัดงานเลี้ยงรับรองในวังขุนนางทุกคนต่างพาครอบครัวและบุตรหลานมาร่วมงานเลี้ยงในงานเลี้ยง เนื่องจากวันนี้เป็นเพียงงานเลี้ยงฉลองเทศกาล กฎระเบียบจึงไม่เข้มงวด และบรรยากาศก็มีชีวิตชีวามากฮ่องเต้น้อยประทับอยู่ด้านบน ทอดพระเนตรการแสดงเบื้องล่างร่วมกับไทเฮาส่วนบรรดาฮูหยินและคุณหนูต่างจับกลุ่มกัน พูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อเห็นคนมากมายขนาดนี้ เวินเยวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะอยากไปหาใครสักคนคุยเล่นด้วย เพราะช่วงที่ผ่านมาถูกขังอยู่ในห้องมาโดยตลอด ทำเอานางอัดอั้นตันใจแทบแย่ดังนั้น เวินเยวี่ยจึงมองไปที่เวินเฉวียนเซิ่งที่กำลังคุยกับลูกน้อง ก่อนจะหันหลังเดินไปยังบริเวณที่เหล่าคุณหนูจากตระกูลขุนนางต่างๆ อยู่“เอ๊ะ พวกเจ้าอยู่ที่นี่...” ทำอะไรกัน?เวินเยวี่ยกำลังจะเอ่ยปากทักทายพวกนาง ก็ได้ยินหญิงสาวคนหนึ่งที่หันหลังให้นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบา“เฮ้อ มิใช่บอกว่าวันนี้เวินซื่อจะมาร่วมงานเลี้ยงด้วยหรือ? เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังไม่ม
เวินเยวี่ยไม่คิดว่าตัวเองจะถูกคนอื่นพูดถึงในทางที่ไม่ดี แถมพวกนางยังกล้าที่จะใส่ร้ายป้ายสีนางอีก?!เวินเยวี่ยโกรธจนเอ่ยถามขึ้นมาทันที “พวกเจ้าเป็นคนของคนตระกูลไหน? เหตุใดข้าถึงไม่เคยเจอพวกเจ้า? คงจะเป็นพวกตระกูลขุนนางเล็กๆ ถึงได้กล้าพูดจาใส่ร้ายป้ายสีข้าแบบนี้!”เวินเยวี่ยเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้ว่า บุตรสาวตระกูลขุนนางเหล่านี้ ดูเหมือนนางจะไม่เคยเห็นมาก่อนเนื่องจากตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกง เวินเยวี่ยได้พบแต่ขุนนางใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อ ซึ่งแต่ละคนล้วนมีอำนาจและมีอิทธิพล แต่ท้ายที่สุดก็เทียบกับท่านพ่อของนางไม่ได้ ดังนั้นบุตรสาวของพวกเขาจึงคอยประจบประแจงนางทว่าบรรดาเด็กสาวที่เห็นในตอนนี้ กลับดูไม่เหมือนบรรดาคุณหนูจากตระกูลขุนนางที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อดังนั้น เวินเยวี่ยจึงคิดไปเองว่าพวกนางเป็นบุตรสาวของขุนนางต่ำต้อยพวกนั้น ซึ่งปกติแล้วไม่มีคุณสมบัติพอที่จะก้าวเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกงที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของนางก็เผยให้เห็นถึงความดูถูกเหยียดหยาม “ตอนนี้ข้าเห็นแก่หน้าท่านพ่อของพวกเจ้า ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าก้มหัวขอโทษข้าเสียดีๆ ไม่เช่นนั้นข้า
สิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ภายใต้น้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนักก็คือ เจ้าในฐานะบุตรสาวของเจิ้นกั๋วกงที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น กลับวิ่งไปหาคุณหนูจากตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊ นี่มิใช่การหาเรื่องโดนรังแกเองหรือ?จริง ๆ แล้ว จวนเจิ้นกั๋วกงในอดีตไม่ได้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่กลับเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ เพียงแต่ภายหลังเวินเฉวียนเซิ่งที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งมา ได้เลือกทางเดินเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ประกอบกับการร่วมมือกับสกุลหลาน อาศัยเส้นสายของสกุลหลานที่ปูทางไว้อย่างดีในหมู่ขุนนางฝ่ายบุ๋น ทำให้เส้นทางนี้จึงง่ายดายอย่างมากดังนั้น เวินเฉวียนเซิ่งจึงนำพาจวนเจิ้นกั๋วกงให้กลายเป็นผู้นำของกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นโดยปริยายและขุนนางฝ่ายบู๊ก็มักจะต่อต้านขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเวินเฉวียนเซิ่งที่ทรยศพวกเขาขุนนางฝ่ายบู๊ จึงยิ่งเกลียดชังมากขึ้นไปอีกดังนั้น ไม่ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจะรุ่งเรืองแค่ไหน พวกขุนนางฝ่ายบู๊ก็ไม่มีทางเหยียบย่างเข้าไปในจวนของพวกเขาแม้เพียงครึ่งก้าวถึงแม้ว่าการทำเช่นนี้มีโอกาสที่จะทำให้เวินเฉวียนเซิ่งขุ่นเคือง แต่พวกเขาขุนนางฝ่ายบู๊ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครหนุนหลังลองดูท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนของพวก
ดังนั้น ในงานเลี้ยงต่อจากนี้ เวินเยวี่ยจึงได้สัมผัสประสบการณ์การถูกกลั่นแกล้ง เดินไปที่ไหนก็โดนกลั่นแกล้งที่นั่นเวินเยวี่ยแทบจะระเบิดความโกรธออกมาแล้วทว่าบุตรสาวของขุนนางฝ่ายบู๊ที่คิดอะไรตื้นๆ แต่ร่างกายแข็งแรงพวกนั้น ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ถึงได้เอาแต่ดูถูกเหยียดหยามนางสารพัด ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ก็แค่พูดจาดูถูกนาง ไม่ได้ลงมือทำร้ายร่างกายหลังจากที่ทำให้เวินเยวี่ยโกรธจนควันออกหู พวกนางก็จากไปอย่างสบายใจจากนั้นก็มีคนกลุ่มใหม่เดินเข้ามาอย่างสบายๆ ...หลังจากผ่านไปสามถึงห้ากลุ่ม ในที่สุดเวินเยวี่ยก็ตระหนักได้ว่าวันนี้คนพวกนี้วางแผนกันไว้ล่วงหน้าแล้ว!หากนางออกไปอีก ก็คงจะโดนพวกนางดักรออยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วกลั่นแกล้งนางด้วยคำพูดดังนั้น เวินเยวี่ยจึงข่มความโกรธนั่นเอาไว้ และนั่งอยู่ที่งานเลี้ยงไม่ไปไหนแล้วที่นี่มีฮ่องเต้อยู่ มีไทเฮาอยู่ มีท่านพ่อและพี่ใหญ่ของนางอยู่ ดูสิว่าใครจะกล้ารังแกนางอีก!แต่เวินเยวี่ยไม่รู้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นหลังจากที่นางกลับมานั่งลงแล้ว ผ่านไปไม่นานนัก ฮ่องเต้น้อยที่อยู่ด้านบนของงานเลี้ยงก็ทอดพระเนตรมาที่นาง หลังจากที่มองน
สมุนไพรทั้งหมดนี้ในที่ดินกุยอวิ๋น เป็นสิ่งที่นางได้ตกลงไว้แล้วว่าจะมอบให้กับเป่ยเฉินหยวนเป็นสมุนไพรสำหรับทหารในกองทัพธงดำที่ออกรบเพื่อราชวงศ์ต้าหมิงมาหลายปี จนสุดท้ายร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พิการ และเจ็บปวดบัดนี้ สมุนไพรที่ปลูกไว้ได้หนึ่งเดือนแล้วกลับถูกพวกเขาทำลายไปกว่าครึ่ง แถมยังไม่เว้นแม้แต่แปลงสมุนไพรร้ายกาจถึงเพียงนี้ นางจะกลืนความโกรธแค้นนี้ลงไปได้อย่างไรนางจะไม่ปล่อยคนที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไป และคนร้ายตรงหน้าเหล่านี้ นางก็จะไม่ปล่อยไปเช่นกัน“ท่านลุงหลาน ต้องรับพวกเขาให้ดี”ผู้เฒ่าหลานไม่คิดว่าเวินซื่อจะมีด้านนี้ด้วยเดิมทีเขาคิดว่าปกติแล้วคุณหนูน้อยผู้อ่อนโยนและใจดีมาโดยตลอดนั้น จะเหมือนกับคุณหนูใหญ่มากแต่คาดไม่ถึงว่า ภายใต้ความอ่อนโยนของคุณหนูน้อย จะยังมีด้านที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ซ่อนอยู่ช่าง...เหมือนกับนายท่านในตอนนั้นไม่มีผิด!ดวงตาที่แก่ชราของผู้เฒ่าหลานฉายแววเฉียบคม จ้องมองเวินซื่อด้วยสายตาร้อนแรง ราวกับว่าเขามองเห็นภาพของเจ้าบ้านสกุลหลานในอดีตในตัวของนางมองจนหัวใจที่สงบนิ่งมานานหลายปีของเขาถึงกับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานายท่าน สกุลหลานของพวกเ
“รบกวนลุงหลานเริ่มจัดหาคนในวันพรุ่งนี้ ช่วงสองสามวันนี้ลำบากท่านแล้ว”“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ลำบากหรอก เพียงแต่ว่าคนร้ายที่วางยาพิษยังจับตัวไม่ได้ หากพวกเราแก้ไขตอนนี้ เกรงว่าคนร้ายนั่นจะกลับมาอีก”เวินซื่อย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีนางยิ้มเล็กน้อย “ลุงหลานวางใจได้ พรุ่งนี้ท่านจัดหาคนได้เลย คืนนี้พวกเราจะจับคน”......คืนนั้นควรจะเป็นเวลาที่เข้าสู่ห้วงนิทรา แต่กลับมีคนจำนวนหนึ่งถือถังไม้คนละใบ หลบเลี่ยงคนลาดตระเวนเหล่านั้นอย่างเงียบๆ พวกเขาแอบเข้าไปในที่ดินกุยอวิ๋นอีกครั้งอย่างชำนาญ“หัวหน้า เมื่อวานพวกเราสาดยาพิษที่แปลงสมุนไพรทางตะวันออก ทางใต้ก็สาดไปหลายแห่งแล้ว คืนนี้จะเปลี่ยนไปสาดทางตะวันตกหรือทางเหนือดี?”“ได้ ไปดูทางตะวันตกก่อนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรคุณชายสามก็บอกว่าต้องสาดให้หมด ต้องทำหมดทุกทาง”ดังนั้น คนร้ายที่ปิดบังใบหน้าทั้งเจ็ดแปดคนจึงอ้อมผ่านไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกไม่นานนัก พวกเขาก็วิ่งมาถึงที่หมาย“เจ้าสอง เจ้าสาม พวกเจ้าสองคนไปดูต้นทาง มีอะไรก็รีบเป่านกหวีด เจ้าสี่ เจ้าห้า เจ้าหก พวกเจ้าสามคนไปตักน้ำ เจ้าเจ็ด เจ้ามาทำลายสมุนไพรกับข้า”“ได้เลย
“คนร้ายกระจอกๆ พวกนั้นจับตัวได้หรือไม่?”“พวกที่มาครั้งแรกจับได้แล้วขอรับ แต่ไม่กี่วันต่อมา ก็มีมาอีกสองสามคน แถมยังระมัดระวังตัวยิ่งกว่า เจ้าเล่ห์มาก พิษที่เทในแปลงสมุนไพรก็เป็นฝีมือของพวกที่มาครั้งที่สองนี้”เวินซื่อเอ่ยถาม “มีคนได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่?”ผู้เฒ่าหลานส่ายหน้า “ยาพิษที่เทนั้นดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่แปลงสมุนไพรของเราเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนมากนัก”เวินซื่อแค่นหัวเราะ “หากวางยาพิษคน เรื่องนี้คงไม่ง่ายดายเช่นนี้แล้ว”หลังจากที่นางทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็กำชับว่า “รบกวนลุงหลานเดินทางรอบนี้ ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด ข้าจะไปดูที่ดินกุยอวิ๋นก่อน”ม่อโฉวซือไท่ก็อยู่ด้วยพอดี นางได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์จะไปกับพวกเจ้าด้วย ไปดูสักหน่อย”“ข้าก็ไปด้วยๆ !”ฉางเสี่ยวหานรีบยกมือออกจากอารามสุ่ยเยว่ ก็มีรถม้าเรียบง่ายคันหนึ่งจอดรออยู่ด้านนอกนี่เป็นสิ่งที่เวินซื่อสั่งให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาระยะทางระหว่างที่ดินกุยอวิ๋นถึงอารามสุ่ยเยว่ก็ไม่ถือว่าใกล้ จะให้พ่อบ้านหลานที่อายุมากแล้วเดินไปเดินมาก็คงไม่ได้ดังนั้น เวินซื่อจึงให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง เ
เป่ยเฉินหยวนไม่คิดว่านางจะยังจำเรื่องนี้ได้ และยังจัดสรรที่ดินไว้ให้เขาแล้วเขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งอู๋โยวที่ดีเช่นนี้ เขาจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?เพียงแต่ว่าคนสกุลอันนั่นพูดถูก เขามีความคิดต่ำทราม หากถูกคนอื่นรู้เข้า นั่นก็เท่ากับทำลายการปฏิบัติธรรมของผู้อื่น ทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของผู้อื่น เป็นเรื่องที่เลวทรามอย่างยิ่งดังนั้น เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้จึงทำได้เพียงเก็บซ่อนไว้อย่างระมัดระวังเมื่อไม่มีอันหลันซิน ขบวนก็ไม่ได้ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ไม่นานก็ออกเดินทางต่อสองวันต่อมา ขบวนที่เดินทางไกลไปยังลู่โจวในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองหลวงแล้วครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ฝ่าบาททรงนำเหล่าขุนนางมาต้อนรับที่ประตูเมืองหลวงด้วยพระองค์เองสถานการณ์ยิ่งใหญ่เอิกเกริกเช่นนี้ ทำเอาเวินซื่อตกใจไม่น้อยภายหลังเวินซื่อถึงได้รู้ว่า ที่แท้ข่าวคราวจากลู่โจวก็แพร่เข้ามาถึงในเมืองหลวงแล้วหลังจากขอฝนที่จินโจวแก้ปัญหาภัยแล้งได้แล้ว เวินซื่อก็มีชื่อเสียงเรื่องการสวดอธิษฐานขอพรให้ผู้ประสบภัยพิบัติที่ลู่โจวเพิ่มขึ้นมาอีกตอนนี้ชื่อเสียงของนางไม่ได้เลื่องลือแค่ในเมืองหลวงและจินโจวสองแห่งเท่าน
ภายในป่า เงียบสงบไปครู่หนึ่ง ถึงมีเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ ดังขึ้น“เจ้าพูดถูก ข้าไม่คู่ควร”เป่ยเฉินหยวนสีหน้าเย็นชา สายตาเย็นเยียบ “แต่เจ้าไม่คู่ควรยิ่งกว่า”“เจ้าอยากจะใช้คนร้ายที่หลบหนีไปได้มาบีบบังคับข้า น่าเสียดาย ข้าไม่หลงกลเจ้า”เป่ยเฉินหยวนพูดจบก็ยกมือขึ้น กองทัพธงดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นทันที ล้อมอันหลันซินเอาไว้อันหลันซินตกใจทันที ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี“ท่านคิดจะทำอะไร?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวอย่างเย็นชา “ขอบคุณอู๋โยวให้ดีเถอะ หากมิใช่เพราะนาง หัวของเจ้าคงถูกข้าตัดเอาไปเตะเล่นนานแล้ว”พูดจบเขาก็หันหลังกลับไปออกคำสั่ง “เอาตัวไป มัดให้แน่นแล้วส่งไปให้หนิงหย่วนโหว ให้เขาเฝ้าไว้ให้ดีๆ ขอแค่ไม่ตาย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่เขา แต่ถ้าคนหนีไป ข้าจะเอาเรื่องกับเขา”“พ่ะย่ะค่ะ!”กองทัพธงดำหลายนายรีบเข้ามาทันทีไม่!ไม่ได้!นางจะถูกพาตัวไปไม่ได้!นางอุตส่าห์รอโอกาสนี้มาอย่างยากลำบาก หากถูกพาตัวไปแล้ว ต่อไปนางจะกลับมาหาอาซื่อได้อย่างไร!อันหลันซินเห็นท่าไม่ดี อ้าปากกำลังจะร้องตะโกน“อึก...”น่าเสียดายที่นางเพิ่งจะส่งเสียงออกมา ฝักกระบี่ก็ฟาดลงบนคอของนางอย่างแรงทำให้นางสลบไ
คนที่ปรากฏตัวอยู่ด้านนอกรถม้าของเป่ยเฉินหยวนคืออันหลันซิน“ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน หม่อมฉันจะทำอะไรท่านได้ ท่านจะระแวงหม่อมฉันขนาดนี้ไปทำไมเพคะ?”อันหลันซินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นเป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้ว สายตาไม่พอใจ “มีธุระก็พูด ไม่มีธุระก็ไสหัวไป”ท่าทีที่ไม่เกรงใจเมื่อเทียบกับรอยยิ้มที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆอันหลันซินแค่นเสียงหัวเราะในใจเสแสร้งอะไรกันตอนนี้รู้จักปฏิบัติต่อสตรีอื่นอย่างแตกต่างเพราะอาซื่อ แต่ต่อไปความพิเศษเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะตกไปอยู่กับสตรีอื่นอย่างไรเสีย บุรุษในโลกนี้ก็เหมือนกันหมดอันหลันซินระงับความรังเกียจในใจ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “เอาละ รู้ว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ชอบหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันมีข้อแลกเปลี่ยน อยากจะคุยกับท่านสักหน่อยเพคะ”นางพูดเช่นนี้ เป่ยเฉินหยวนกลับไม่มองนางแม้แต่น้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดูถูก “อย่างเจ้า มีคุณสมบัติอะไรมาทำข้อตกลงกับข้า?”“ที่ข้ายอมให้เจ้าอยู่ในขบวนนี้จนถึงตอนนี้ ก็เพียงเพราะเห็นแก่หน้าอู๋โยว”รอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลันซินแข็งค้าง กัดฟันเล็กน้อย“เหอะๆ หม่อมฉั
เป่ยเฉินหยวนนอนเอนกายอย่างสบายอารมณ์อยู่ในรถม้า ในขณะเดียวกันก็นอนอยู่ข้างกายเวินซื่อ หลับตาพริ้มขยับศีรษะอย่างมีความสุข ตอบคำถามของนางทีละประโยค“ได้ ไม่แรง ไม่ได้ดึงเลย ปวดนิดหน่อย เพราะซื่อเอ๋อร์ลูบให้ หัวก็เลยไม่ปวดมากแล้ว”เวินซื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่นางยังจำตำแหน่งกดจุดต่างๆ บนศีรษะที่อาจารย์ม่อโฉวสอนได้ ผสมผสานกับวิธีการนวด แล้วนวดให้เป่ยเฉินหยวน ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะดีเลยทีเดียวเวินซื่อที่คิดว่าได้ผลจริงๆ ก็ยังคงตั้งใจจ้องมองศีรษะของเป่ยเฉินหยวน จดจ่ออยู่กับการผสมผสานวิธีการนวดและกดจุดต่างๆ ของนางหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในรถม้าดูเหมือนจะเงียบสงบลงอย่างสิ้นเชิงเงียบจนแม้ว่าภายนอกจะมีเสียงล้อรถดังอยู่ ก็ยังได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอภายในรถม้าเวินซื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเป่ยเฉินหยวนไม่รู้ว่าหลับตาลงตั้งแต่เมื่อไรแล้วเวินซื่อเห็นดังนั้น มือที่วางอยู่บนศีรษะของเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง จนกระทั่งพอสมควรแล้ว นางถึงได้ชักมือกลับก้มหน้าลงมองสีหน้าที่อ่อนล้าระหว่างคิ้วของเป่ยเฉินหยวน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เวินซื่อก็หยิบขวดน้ำทิพย์ออกมาจ
“ปวดหัวหรือ? เกิดอะไรขึ้น? ปวดเป็นพักๆ หรือว่าปวดมากตลอดเวลา?”พอเวินซื่อได้ยินเป่ยเฉินหยวนบอกว่าตนเองปวดหัว ก็ไม่ทันได้ใส่ใจกับคำเรียกที่ดูเหมือนจะสนิทสนมเกินไปนั่น รีบถามอย่างกระวนกระวาย“ปวดเป็นพักๆ เหมือนกับมีคนมากมายพูดอยู่ในหัวของข้า หนวกหูมาก ปวดเหลือเกิน”เป่ยเฉินหยวนมองนางอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มผู้ซึ่งปกติแล้วสูงใหญ่และพึ่งพาได้เสมอ เวลานี้กลับดูอ่อนแอเหมือนหมาป่าตัวใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บ ทำได้เพียงส่งเสียงร้องครางกับคนตรงหน้าเพื่อระบายความเจ็บปวดของตนเวินซื่อไม่เคยเห็นเป่ยเฉินหยวนในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้มาก่อนแม้แต่ครั้งแรกที่เห็นเขาป่วยที่ริมลำธารเล็กๆ หลังภูเขานั่น เป่ยเฉินหยวนในตอนนั้นก็ยังคงสติไว้ได้บ้างแต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้ กลับเหมือนแสดงด้านที่อ่อนแอยามเจ็บป่วยออกมาให้นางเห็นอย่างไม่มีปิดบังเวินซื่อจึงลูบหน้าผากเขาด้วยความสงสารทันที แล้วจับชีพจร “ไม่ปวดแล้วๆ ตอนนี้ข้าจะสวดมนต์ให้ท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ ท่านนั่งฟังดีๆ อีกเดี๋ยวก็จะไม่ปวดแล้ว”แต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้กลับเหมือนจะมีความคิดต่อต้านขึ้นมาเล็กน้อย ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเวินซื่อที่กำลังจะชักกลับ เอ่ยด้วยน้
นางมองเวินซื่อด้วยความอาลัยอาวรณ์หางตากลับเหลือบไปมองเป่ยเฉินหยวนและเด็กสาวที่อยู่ข้างโต๊ะนั่นอย่างเย็นชาเพิ่มมาอีกคนแล้วแต่ไม่เป็นไร ยังไม่จบหรอกหลังจากที่นายท่านสกุลผังกลับไปแล้ว ไม่นานก็ส่งสัญญาขายตัวมาให้ตามคาด ทั้งยังเขียนหนังสือหย่าอนุภรรยาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาหนึ่งฉบับจริงๆเมื่อได้สัญญาขายตัวและหนังสือหย่าอนุภรรยา อันหลันซินก็ไปจากที่นี่เวินซื่อให้จู๋เยวี่ยติดตามไประยะหนึ่งแน่นอนว่าเพื่อจับตาดู“เป็นอย่างไรบ้าง?”หลังจากที่จู๋เยวี่ยกลับมา เวินซื่อก็เอ่ยถาม“ดูเหมือนว่าจะมีเศษเงินที่ซ่อนเอาไว้ ซื้อของกินเล็กน้อย ห่อไว้แล้วก็ออกจากเมืองไป ดูท่าทางน่าจะกลับเมืองหลวง”กลับเมืองหลวง...จินโจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงขนาดนี้ นางคิดจะเดินเท้ากลับไปหรือ?แล้วยังมีบิดาของนางในเมืองหลวง ทั้งภรรยาเอกและพี่สาวต่างมารดาพวกนั้น คงจะไม่ปล่อยนางไปกระมัง?ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคิดจะกลับไป?เวินซื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลายปมคิ้วไม่สิ นางจะเป็นห่วงอันหลันซินทำไมกัน?ต่อจากนี้ไปอันหลันซินจะเป็นตายร้ายดีก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางที่นางช่วยครั้งนี้ก็เพราะเห็นแก่คว