อันตรายืนนิ่งอยู่หน้าห้อง ไม่กล้าเดินตามเขาเข้าไป แต่ภาวิชญ์เปิดประตูค้างเอาไว้ หันมายิ้มแบบกวน ๆ ให้เธอ และผงกหัวไปด้านข้างเชิงบอกว่า “เข้าไปสิยัยเฉิ่ม” ยิ่งทำให้อันตรารู้สึกอายมากขึ้น
“อ้าว…นั่นหนูอันใช่ไหม”
เมื่อนิลญาหันเป็นเห็นอันตรา ก็รีบเรียกให้เดินเข้ามา เธอจึงต้องรีบเดินมานั่งข้าง ๆ แม่ และทักทายคุณภาษิตและวิชุดา ซึ่งอีกฝ่ายดูพอใจมากที่เจอเธอในวันนี้ แต่ภาวิชญ์ที่นั่งข้าง ๆ แม่ของเขา แสดงอาการน่าเบื่อออกมาชัดเจน
“นี่ภีมอย่าลืมทักทายคุณอาสิ”
“อ้อ ครับ ๆ สวัสดีครับคุณอาเสกสรรค์ ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลย เดี๋ยวนี้ยังชอบท้าแข่งความเร็วอยู่หรือเปล่า”
“โธ่คุณอาก็ชอบแซวผมอยู่เรื่อยเลย ก็เพราะคุณอาเปิดโลกให้ผมนั่นแหละครับ”
“ฮ่า ๆ เด็กหนุ่มนี่ดีจริง ๆ”
“ครับ ผมชงเหล้าให้คุณอาดีกว่า”
“ได้เลย จัดมารู้ใจอยู่แล้วนี่”
ภาวิชญ์กับเสกสรรชอบแข่งรถ พวกเขาจึงคุยกันถูกคอ และก่อนหน้านี้ก็เป็นเสกสรรค์ ที่ชักชวนเขาไปลองแข่งรถที่สนาม ซึ่งหลังจากนั้นภาวิชญ์ก็ค้นพบความชอบของเขาเอง เรื่องนี้เขาจึงขอบคุณเสกสรรค์มาก
“หนูอันตรา แหมตายจริงไม่เจอกันไม่ถึงปี หนูสวยขึ้นมากเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า อันก็เหมือนเดิมค่ะ”
“เหมือนเดิมอะไร วันนี้หนูสวยมาก จริงไหมภีม”
ภาวิชญ์ที่นั่งคุยกับเสกสรรอยู่ หันมามองอันตรา เธอไม่ชอบสายตาเขาเสียเลย แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยิ้มสู้แบบนักธุรกิจ อย่างที่แม่เธอสอน
“ครับ ๆ สวยครับ ถ้าไม่พยายามฝืนยิ้มจนปากสั่นขนาดนั้น”
“ภีม! ทำไมพูดกับน้องแบบนั้นล่ะ”
“คุณอาครับ เมื่อวันก่อนผมไปลอง…”
แต่เขาไม่สนใจ และหันไปคุยกับเสกสรรค์เรื่องแข่งรถต่อ อันตราหน้าแดงจัดเพราะความอาย นิลญาและวิชุดาแทบจะทำตัวไม่ถูก เมื่อภาวิชญ์พูดแบบนั้นออกมา
“หนูอันอย่าไปถือสาเลยนะ ลูกชายป้าคนนี้ปากร้ายเอาเรื่อง แต่ไม่ได้คิดอะไรหรอก”
“ค่ะ หนูเข้าใจค่ะคุณป้า ถ้าคุณป้ามีลูกสาวก็คงจะไม่เป็นแบบนี้แน่ แต่หนูชินแล้วค่ะ ที่มหาลัยใครจะไม่รู้บ้างว่าพวกพี่ ๆ คณะวิศวะปากหมา…อุ๊ย หมายถึงปากเสียแค่ไหนน่ะค่ะ”
เสกสรรค์ลุกไปคุยกับภาษิตแล้ว ภาวิชญ์จึงได้ยินที่เธอพูด เขาหันมามองหน้าอันตรา ที่เอาคืนเขาได้เร็วกว่าที่คิด นานแล้วที่ไม่มีผู้หญิงคนไหน กล้าต่อว่าเขาตรง ๆ แบบนี้
“จริงสิคะคุณนิล เรื่องที่ฉันเสนอไป คุณคิดว่ายังไงคะ”
“เรื่อง เอ่อ… เรื่องนี้”
“เอาสิ! หมั้นไปก่อนเลย แล้วหลังจากอันตราเรียนจบค่อยว่ากัน”
""อะไรนะ หมั้นเหรอคะ / ครับ""
ทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน และหันไปมองหน้าพ่อทันที แม่ทั้งสองได้แต่นั่งนิ่ง เพราะคิดไม่ถึงว่า จู่ ๆ คุณภาษิตจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเร็วแบบนี้
“เอ่อ คุณคะฉันว่าเรื่องนี้ เอาไว้ให้เด็ก ๆ รู้จักกันมากกว่านี้อีกหน่อย แล้วค่อยว่ากันดีไหม คุณดื่มมากไปแล้วมั้งคืนนี้”
“นั่นสิคะคุณภาษิต อีกอย่างอันก็ยังเรียนอยู่”
“ผมไม่ได้ใจร้อนเกินไปหรอก ที่จริงเรื่องนี้เราคุยกันมานานแล้ว ใช่ไหมเสกสรรค์ คุณเองก็เห็นด้วยกับผม อีกอย่างคุณกับภีม ก็ชอบแข่งรถเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“พ่อครับ แต่เรื่องนี้”
“หนูไม่เห็นด้วยค่ะ”
อันตราลุกขึ้นเป็นครั้งแรก สีหน้าจริงจังของเธอ และใบหูที่แดงจัดเพราะความโกรธ ที่วันนี้เหมือนกับถูกหลอกมาให้คุยเรื่องนี้ ภาวิชญ์ไม่เคยเห็นเธอจริงจังแบบนี้ ก็นึกตกใจและทึ่งอยู่ไม่น้อย
“น้องอัน พี่ว่า…”
“พี่จะยอมเหรอคะ ถึงพี่จะยอม แต่ฉันไม่ยอม พี่เป็นคนแบบไหนทำไมทั้งมหาลัยจะไม่มีใครรู้”
“พี่…”
“เจ้าชู้ กินไม่เลือกที่ สำส่อนแล้วยังไม่ได้เรื่อง ที่เรียนมาได้ขนาดนี้เพราะมีเพื่อน ๆ ช่วยกันผลักดัน ไม่ใช่เหรอคะ”
“นี่! จะดูถูกกันมากเกินไปแล้วนะ”
“แล้วฉันพูดผิดเหรอ วันนั้น...”
“อันตรา!”
อันตราน้ำตาคลอ เธอรับไม่ได้ กับการที่ต้องถูกคลุมถุงชนแบบโบราณแบบนี้ แต่พอถูกภาวิชญ์ตะคอก เธอก็เริ่มนิ่งไป น้ำตาเริ่มรื้นและหายใจติดขัด
“อัน… อัน!”
แม่ของอันตรารีบวิ่งเข้าไป แต่ภาวิชญ์ที่อยู่ใกล้ เห็นถึงความผิดปกติของอันตราแล้ว เขาเข้าไปโอบตัวเธอก่อนจะล้มลง อันตราตาค้างและเริ่มหายใจหอบ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“อัน! คุณคะ! วันนี้เราอย่าพึ่งคุยเรื่องนี้กันเลยนะคะ อันเป็นหอบหืด อาการพึ่งจะดีขึ้นไม่นาน หมอบอกว่าถึงจะไม่เสี่ยงแล้ว แต่ก็ต้องดูแลให้ดี”
“เอ่อ นี่หนูอัน… ต้องไปโรงพยาบาลไหม”
“ไปสูดอากาศข้างนอกกับพี่ก่อน อย่าพึ่งพูดอะไรมากเลยครับ ผมขอพาน้องออกไปสูดอากาศหน่อย นะครับแม่”
“จ้ะ ๆ รีบไปเถอะ ดูแลน้องด้วยนะภีม”
“ไม่ต้องห่วงนะครับคุณน้า”
“น้าฝากน้องด้วยนะ”
อันตราไม่ทันได้ปฏิเสธ ภาวิชญ์ก็รีบพาเธอ เดินออกไปจากห้องทันที เขาไม่คิดว่า เด็กสาวรุ่นน้องจะมีโรคประจำตัวแบบนี้ วันนี้เธอคงตกใจมาก สีหน้าของเธอ ทำให้เขารู้สึกใจเต้นแรง ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เต้นแบบนี้มานานแล้ว
ระเบียงด้านนอก
“เป็นยังไงบ้าง หายใจโล่งขึ้นไหม”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณมาก”
ภาวิชญ์เองก็เดินไปเกาะที่ระเบียง และเริ่มหายใจลึก ๆ เข้าไปอีกครั้ง เขาเองก็ตกใจไม่ต่างกับเธอ ที่จู่ ๆ พ่อของเขาก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพียงแต่ว่าเขาชินแล้ว เพราะพ่อแม่ของเขาเคยพูดเรื่องนี้ แต่ไม่นึกว่า อีกฝ่ายจะเป็นอันตรา เมื่อเห็นว่าเธอรู้สึกดีขึ้นแล้ว จึงเดินมานั่งข้าง ๆ อันตรารู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย แต่ตอนนี้เธอไม่ร้องไห้แล้ว
“ทำไมผู้หญิงถึงชอบรัดผมเอาไว้แบบนั้นจังเลย ไม่ปวดหัวบ้างเหรอ ไว้ผมยาวน่าจะปล่อยแท้ ๆ”
“มันรุ่มร่ามค่ะ ฉันไม่ชอบ”
“แล้วทำไมไม่ตัดสั้นไปเลยล่ะ”
“มันชอบจี้คอ ฉันไม่ชอบ”
“เรื่องมากกว่าที่คิดแฮะ ว่าแต่ทำไมใส่ความพี่ขนาดนั้นล่ะ รู้จักพี่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ อะไรนะ สำส่อน กินไม่เลือกที่… แล้วยัง…”
“ระ เรื่องนั้นฉันขอโทษรุ่นพี่ด้วยค่ะ ที่จริงฉันไม่ได้รู้จักรุ่นพี่ขนาดนั้น เพียงแต่ว่าข่าวลือในมหาลัย…”
"เข้าใจล่ะ ว่าแต่... คิดยังไง"
“คิดยังไง อะไรคะ”
“เรื่องที่พ่อพี่พูดเมื่อกี้ โกรธมากเลยไม่ใช่เหรอ หรือว่าไม่ชอบขี้หน้าพี่ขนาดนั้นเชียว”
อันตราบอกได้ไม่เต็มปาก ว่าเธอไม่ชอบขี้หน้าเขา ก็ภาวิชญ์หล่อขนาดนี้ เธอเห็นเขาครั้งแรก ถ้าไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ก็คงชอบเขาเหมือนกัน
“เรื่องนั้น…”
"เพราะเคยได้ยินข่าวลือมา หรือว่า…เกี่ยวกับเรื่องที่ไปแอบฟัง ที่คณะวิศวะวันนั้น"
“ฉันไม่ได้แอบฟังนะคะ!”
“นั่นยังไง น้องอันโกหกไม่เก่งเลยนะ”
เขาหันไปดู ใบหูที่เริ่มแดงจัดของเธออีกครั้ง แต่เธอก้มหน้าลงแล้วเพราะความอาย เขาไม่ค่อยเจอผู้หญิงที่เงียบ และเรียบร้อยแบบนี้มานานแล้ว อีกอย่างอันตรา เป็นคนที่ไกลกว่าคำว่า “สเปก” ของเขามากจริง ๆ
“เรื่องนี้เอาไว้พี่จะคุยกับพ่อเอง ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ก็ไม่ชอบบังคับใจใคร อีกอย่างเราก็พึ่งเจอกันด้วย”
อันตรารู้สึกหัวใจของเธอหล่นวูบลง เมื่อภาวิชญ์พูดแบบนั้นขึ้นมา ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้คิดอะไรกับเขาก็จริง แต่พอเขามาคุยด้วยแบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าภาวิชญ์ ก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายแบบนั้น
“เอาล่ะ เรากลับเข้าไปคุยกับพวกเขาอีกทีดีไหม พี่ว่าพ่อแม่ก็คงจะยอมรับฟังความเห็นของเราบ้างล่ะ”
“ค่ะ”
ทั้งสองคนกำลังจะกลับเข้าไป แต่ยังไม่ทันได้ออกจากระเบียง ก็พบกับเค้ก ซึ่งมากับพี่สาว ทั้งคู่เหมือนจะมาทานข้าวที่โรงแรม เมื่อภาวิชญ์เห็น “ระรินทิพย์” หรือ “ครีม” เดินเข้ามา เขาก็นิ่งทันที จนอันตราหันไปมอง และทั้งสองก็เดินมาทักทาย
“พี่ภีม ทำไมถึงมาที่นี่ได้ละค่ะ แล้วผู้หญิงคนนี้คือใคร”
ภาวิชญ์หันมาดึงอันตราเข้ามาโอบกอด อันตราตกใจ และหันไปจนแก้มของเธอ ชนเข้ากับจมูกของเขา สองคนพี่น้องถึงกับตกตะลึง และนิ่งไปแต่สีหน้า บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ภาวิชญ์จึงใช้โอกาสนี้พูดออกไป
“น้องอัน นี่รุ่นน้องคณะพยาบาลชื่อเค้ก กับพี่สาวของเธอ ส่วนคนนี้คืออันตรา เธอเป็น “คู่หมั้น” ของผม ที่นี่ลมค่อนข้างแรง อากาศก็ไม่ค่อยดี รีบเข้าไปในห้องดีกว่า ขอตัวก่อนนะครับ”
“อะไรนะคะ! คู่หมั้นเหรอ เมื่อไหร่กัน”“ผมไม่จำเป็นต้องบอกรายละเอียด “คนอื่น” เอาเป็นว่าพวกเราขอตัวก่อนนะครับ ไปเถอะน้องอัน ทำไมตัวเย็นแบบนี้ล่ะ รอเดี๋ยวนะ”ภาวิชญ์ถอดเสื้อสูทของเขา สวมทับให้อันตรา ต่อหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “อดีตคนรัก” อย่างครีม ที่ได้แต่ยืนนิ่ง มองดูเขาแสดงความรักออกนอกหน้า อันตราที่ยืนงง ทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดขอบคุณ และปล่อยให้ภาวิชญ์พาเดินเข้าไปด้านใน“ขอโทษด้วยนะ ที่พี่เสียมารยาท โกรธไหม”“เปล่าค่ะ พี่บอกว่าคนนั้น คือรุ่นน้องเหรอคะ”“ใช่ คนที่อยู่กับพี่ในห้องเรียนวันก่อน ที่อันได้ยิน”“คะ? ก็บอกแล้วว่าไม่ได้แอบฟัง แค่ตกใจเสียงประตู ก็เลยเดินไปดู”“เลยทำไอ้นี่ ตกไว้ใช่ไหม”ภาวิชญ์หยิบปากกาของเธอออกมา อันตราคิดว่ามันหายไปแล้วเสียอีก ที่แท้ก็ตกตอนที่เธอกำลังเก็บของหนีนั่นเอง“เอาคืนมานะคะ”“ได้สิ แต่ต้องช่วยพี่ก่อน”“ช่วย… ให้ช่วยอะไร”“ก็ได้ยินแล้วนี่ เมื่อกี้นี้พี่ประกาศชัดเจน”“อะไรนะคะ แต่ว่าเราพึ่งคุยกันว่าจะไม่…”“ไม่ถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าให้พี่พูดเอง”“แต่ว่า…”"มาเถอะน่า"“อย่าเอาแต่ใจตัวเองสิคะ”ภาวิชญ์ดึงอันตราเข้ามาในห้องว่าง และดันเธอไปติดผนังอีกครั้ง ตรงน
“มึงบ่นอะไรของมึงวะภาวิชญ์”“เปล่า ไม่รีบกลับเหรอ”“ไปสิ วันนี้มีนัด”ตะวันแยกตัวกลับไปทันที ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกกลับไปเช่นกัน เขากับก้องภพว่าจะไปสนามแข่ง ก็เลยกลับพร้อมกัน“มึงเป็นอะไรไป ทำไมเอาแต่ยิ้ม”“เปล่านี่ เออนี่ไอ้ก้อง”“ว่าไง”“มึงเคยคบใครเป็นแฟนจริงจังไหมวะ”“เชี่ยย อะไรเข้าสิงมึงวะ จู่ ๆ ถามอะไรน่าขนลุกแบบนี้ มึงอย่าบอกนะว่าอินกับ “คู่หมั้น” ที่พ่อแม่มึงเลือกให้”“ก็ไม่ขนาดนั้น แค่คิดว่า… ก็น่าสนใจดี”“น่าสนใจเหรอ ขั้นไหนล่ะ น่าสนใจของมึงมันน่ากลัวนะ ขนาดลากขึ้นเตียง ขย่มแล้วแยกย้าย หรือว่าอยากสานต่อ”“ไม่รู้สิ ไปเถอะ คืนนี้กูอยากแข่งรถ อยากปลดปล่อยสักหน่อย”“ไปสิ มัวรออะไรอยู่ล่ะ”ภาวิชญ์ลองโทรหาอันตรา ซึ่งเธอไม่รับสายเขา ตอนแรกคิดว่าเธออาจจะไม่ได้เมมเบอร์เขาไว้ ก็เลยตัดสินใจทักแชตข้อความเข้าไป เธอเปิดอ่านแต่ก็ไม่ได้ตอบ“อะไรวะ ไม่ใช่บล็อกฉันไปแล้วล่ะอันตรา เล่นแบบนี้ก็สนุกสิสาวน้อย เห็นเงียบ ๆ แบบนี้ เล่นลูกไม้แกล้งเมินเป็นกับเขาด้วยเหรอ”วันถัดมา / คณะวิศวะ“นั่นไง ไอ้ตะวันมาแล้ว”ตะวันเดินลงจากรถ เขาเดินมาด้วยอารมณ์ที่ดีเกินเหตุ เขาถึงกับยิ้มควงกุญแจและผิวปากเข้ามา “อาร
คณะวิศวะ“โชคร้ายจริง ๆ ทำไมต้องโดนใช้เอาของมาเก็บให้อาจารย์ด้วยนะ”“เอามานี่เถอะ รีบกลับไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเราเอาไปเอง”“จะดีเหรออัน ไปด้วยกันเถอะ”“ไม่เป็นไร พอดีเราจะแวะไปที่นั่นอยู่แล้ว อีกอย่างของแค่ซองเดียวเอง นุ่นกลับไปก่อนเถอะ”“งั้นเราไปก่อนนะ ขอบใจมากนะอัน”“รีบไปเถอะ”“อันตรา” นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ปีสอง เธอและเพื่อนในคลาส ถูกอาจารย์ใช้ ให้นำเอกสารมาส่งที่คณะวิศวะ ซึ่งอยู่ห่างจากคณะของเธอพอสมควร อันตราเป็นคนเงียบขรึม เด็กเนิร์ดที่เรียนดี เป็นที่รักของอาจารย์ ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร อาจารย์ก็มักจะวานเธอบ่อย ๆ เพราะความมีน้ำใจ อันตราจึงไม่ค่อยปฏิเสธ“ห้องไหนนะ อ้อ ห้องนี้เอง”เธอเปิดเข้าไป และนำเอกสารไปวางบนโต๊ะของอาจารย์ ที่แจ้งอยู่หน้าซอง และกำลังเดินออกจากห้อง ก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ตรงสุดทางเดินปึง!เสียงเหมือนประตูกระแทกกับอะไรสักอย่าง เธอจึงเดินไปดูใกล้ ๆ แต่ยิ่งเข้าไปใกล้เท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ลอดออกมา ซึ่งเป็นเสียงเหมือนคนกระซิบกันอยู่ข้างใน ประตูสั่นอีกครั้งพร้อมกับเสียง“อย่านะคะ ไม่อย่างนั้นเค้กจะ…อ๊ะ! พี่ภาวิชญ์!”“ภาวิชญ์” เธอคุ้นกับชื่อนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะใช่คนท
เมื่อเขาเข้าไปในห้องแล้ว เธอก็รีบเดินกลับมาและรีบวิ่งเข้าห้องของตัวเองทันที “เป็นเขาหรอกเหรอ”เธอต้องจำเขาได้แน่นอน เพราะรุ่นพี่คณะวิศวะคนนี้ ค่อนข้างจะเสน่ห์แรง และดังในหมู่สาว ๆ แต่เธอจำไม่ได้เลยว่าเขาเป็นคนแบบนี้“ไหนบอกว่าเขาเป็นเด็กเนิร์ด ๆ เงียบและรักสงบไม่ใช่เหรอ”“ตะวัน” หนุ่มคณะวิศวะ ที่แต่งกายถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว เขาเป็นคนเงียบ ๆ แม้ว่าจะมีกลุ่มเพื่อนสนิทที่คบหากันอยู่ไม่กี่คน แต่พวกเขาก็โดดเด่น จนที่มหาลัยเรียกพวกเขาว่า “จตุรเทพคณะวิศวะ” เพราะนอกจากความหล่อแล้ว พวกเขายังเรียนเก่งอีกด้วย“แกว่ายังไงนะ จะ…จตุรเทพวิศวะงั้นเหรอ คนไหนละ”“คนที่ชื่อตะวัน”“พี่ตะวัน หล่อนุ่มเหมือนคอร์กเทลมาร์ตินี่น่ะเหรอ”“นุ่มเหรอ เนตรนี่แกเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”เธอนั่งคุยกับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ม้าหินอ่อน หน้าคณะของตัวเอง หลังเลิกเรียนแล้วรุ่นน้องก็เริ่มทยอยกลับ วันนี้พวกเธอเลยแวะนั่งคุยกันก่อนกลับ “ไม่ผิดนะ พี่ตะวันคนที่หล่อ ๆ เนี้ยบ ๆ หน่อยเป็นลูกชายเจ้าของธุรกิจขายรถยนต์หรู เงียบ นิ่งเหมือนเจ้าชาย”“เหอะ เจ้าชายกะผีน่ะสิ”สองคืนก่อน“อ๊าาส์ ตะวันคะเบาหน่อย รูจะแหกอยู่แล้ว อ๊าาส์…”เสียงร้
“มึงบ่นอะไรของมึงวะภาวิชญ์”“เปล่า ไม่รีบกลับเหรอ”“ไปสิ วันนี้มีนัด”ตะวันแยกตัวกลับไปทันที ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกกลับไปเช่นกัน เขากับก้องภพว่าจะไปสนามแข่ง ก็เลยกลับพร้อมกัน“มึงเป็นอะไรไป ทำไมเอาแต่ยิ้ม”“เปล่านี่ เออนี่ไอ้ก้อง”“ว่าไง”“มึงเคยคบใครเป็นแฟนจริงจังไหมวะ”“เชี่ยย อะไรเข้าสิงมึงวะ จู่ ๆ ถามอะไรน่าขนลุกแบบนี้ มึงอย่าบอกนะว่าอินกับ “คู่หมั้น” ที่พ่อแม่มึงเลือกให้”“ก็ไม่ขนาดนั้น แค่คิดว่า… ก็น่าสนใจดี”“น่าสนใจเหรอ ขั้นไหนล่ะ น่าสนใจของมึงมันน่ากลัวนะ ขนาดลากขึ้นเตียง ขย่มแล้วแยกย้าย หรือว่าอยากสานต่อ”“ไม่รู้สิ ไปเถอะ คืนนี้กูอยากแข่งรถ อยากปลดปล่อยสักหน่อย”“ไปสิ มัวรออะไรอยู่ล่ะ”ภาวิชญ์ลองโทรหาอันตรา ซึ่งเธอไม่รับสายเขา ตอนแรกคิดว่าเธออาจจะไม่ได้เมมเบอร์เขาไว้ ก็เลยตัดสินใจทักแชตข้อความเข้าไป เธอเปิดอ่านแต่ก็ไม่ได้ตอบ“อะไรวะ ไม่ใช่บล็อกฉันไปแล้วล่ะอันตรา เล่นแบบนี้ก็สนุกสิสาวน้อย เห็นเงียบ ๆ แบบนี้ เล่นลูกไม้แกล้งเมินเป็นกับเขาด้วยเหรอ”วันถัดมา / คณะวิศวะ“นั่นไง ไอ้ตะวันมาแล้ว”ตะวันเดินลงจากรถ เขาเดินมาด้วยอารมณ์ที่ดีเกินเหตุ เขาถึงกับยิ้มควงกุญแจและผิวปากเข้ามา “อาร
“อะไรนะคะ! คู่หมั้นเหรอ เมื่อไหร่กัน”“ผมไม่จำเป็นต้องบอกรายละเอียด “คนอื่น” เอาเป็นว่าพวกเราขอตัวก่อนนะครับ ไปเถอะน้องอัน ทำไมตัวเย็นแบบนี้ล่ะ รอเดี๋ยวนะ”ภาวิชญ์ถอดเสื้อสูทของเขา สวมทับให้อันตรา ต่อหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “อดีตคนรัก” อย่างครีม ที่ได้แต่ยืนนิ่ง มองดูเขาแสดงความรักออกนอกหน้า อันตราที่ยืนงง ทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดขอบคุณ และปล่อยให้ภาวิชญ์พาเดินเข้าไปด้านใน“ขอโทษด้วยนะ ที่พี่เสียมารยาท โกรธไหม”“เปล่าค่ะ พี่บอกว่าคนนั้น คือรุ่นน้องเหรอคะ”“ใช่ คนที่อยู่กับพี่ในห้องเรียนวันก่อน ที่อันได้ยิน”“คะ? ก็บอกแล้วว่าไม่ได้แอบฟัง แค่ตกใจเสียงประตู ก็เลยเดินไปดู”“เลยทำไอ้นี่ ตกไว้ใช่ไหม”ภาวิชญ์หยิบปากกาของเธอออกมา อันตราคิดว่ามันหายไปแล้วเสียอีก ที่แท้ก็ตกตอนที่เธอกำลังเก็บของหนีนั่นเอง“เอาคืนมานะคะ”“ได้สิ แต่ต้องช่วยพี่ก่อน”“ช่วย… ให้ช่วยอะไร”“ก็ได้ยินแล้วนี่ เมื่อกี้นี้พี่ประกาศชัดเจน”“อะไรนะคะ แต่ว่าเราพึ่งคุยกันว่าจะไม่…”“ไม่ถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าให้พี่พูดเอง”“แต่ว่า…”"มาเถอะน่า"“อย่าเอาแต่ใจตัวเองสิคะ”ภาวิชญ์ดึงอันตราเข้ามาในห้องว่าง และดันเธอไปติดผนังอีกครั้ง ตรงน
อันตรายืนนิ่งอยู่หน้าห้อง ไม่กล้าเดินตามเขาเข้าไป แต่ภาวิชญ์เปิดประตูค้างเอาไว้ หันมายิ้มแบบกวน ๆ ให้เธอ และผงกหัวไปด้านข้างเชิงบอกว่า “เข้าไปสิยัยเฉิ่ม” ยิ่งทำให้อันตรารู้สึกอายมากขึ้น“อ้าว…นั่นหนูอันใช่ไหม”เมื่อนิลญาหันเป็นเห็นอันตรา ก็รีบเรียกให้เดินเข้ามา เธอจึงต้องรีบเดินมานั่งข้าง ๆ แม่ และทักทายคุณภาษิตและวิชุดา ซึ่งอีกฝ่ายดูพอใจมากที่เจอเธอในวันนี้ แต่ภาวิชญ์ที่นั่งข้าง ๆ แม่ของเขา แสดงอาการน่าเบื่อออกมาชัดเจน“นี่ภีมอย่าลืมทักทายคุณอาสิ”“อ้อ ครับ ๆ สวัสดีครับคุณอาเสกสรรค์ ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ”“ไม่ได้เจอกันนานเลย เดี๋ยวนี้ยังชอบท้าแข่งความเร็วอยู่หรือเปล่า”“โธ่คุณอาก็ชอบแซวผมอยู่เรื่อยเลย ก็เพราะคุณอาเปิดโลกให้ผมนั่นแหละครับ”“ฮ่า ๆ เด็กหนุ่มนี่ดีจริง ๆ”“ครับ ผมชงเหล้าให้คุณอาดีกว่า”“ได้เลย จัดมารู้ใจอยู่แล้วนี่”ภาวิชญ์กับเสกสรรชอบแข่งรถ พวกเขาจึงคุยกันถูกคอ และก่อนหน้านี้ก็เป็นเสกสรรค์ ที่ชักชวนเขาไปลองแข่งรถที่สนาม ซึ่งหลังจากนั้นภาวิชญ์ก็ค้นพบความชอบของเขาเอง เรื่องนี้เขาจึงขอบคุณเสกสรรค์มาก “หนูอันตรา แหมตายจริงไม่เจอกันไม่ถึงปี หนูสวยขึ้นมากเลยนะ”“ขอบคุณค่ะคุ
เมื่อเขาเข้าไปในห้องแล้ว เธอก็รีบเดินกลับมาและรีบวิ่งเข้าห้องของตัวเองทันที “เป็นเขาหรอกเหรอ”เธอต้องจำเขาได้แน่นอน เพราะรุ่นพี่คณะวิศวะคนนี้ ค่อนข้างจะเสน่ห์แรง และดังในหมู่สาว ๆ แต่เธอจำไม่ได้เลยว่าเขาเป็นคนแบบนี้“ไหนบอกว่าเขาเป็นเด็กเนิร์ด ๆ เงียบและรักสงบไม่ใช่เหรอ”“ตะวัน” หนุ่มคณะวิศวะ ที่แต่งกายถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว เขาเป็นคนเงียบ ๆ แม้ว่าจะมีกลุ่มเพื่อนสนิทที่คบหากันอยู่ไม่กี่คน แต่พวกเขาก็โดดเด่น จนที่มหาลัยเรียกพวกเขาว่า “จตุรเทพคณะวิศวะ” เพราะนอกจากความหล่อแล้ว พวกเขายังเรียนเก่งอีกด้วย“แกว่ายังไงนะ จะ…จตุรเทพวิศวะงั้นเหรอ คนไหนละ”“คนที่ชื่อตะวัน”“พี่ตะวัน หล่อนุ่มเหมือนคอร์กเทลมาร์ตินี่น่ะเหรอ”“นุ่มเหรอ เนตรนี่แกเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”เธอนั่งคุยกับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ม้าหินอ่อน หน้าคณะของตัวเอง หลังเลิกเรียนแล้วรุ่นน้องก็เริ่มทยอยกลับ วันนี้พวกเธอเลยแวะนั่งคุยกันก่อนกลับ “ไม่ผิดนะ พี่ตะวันคนที่หล่อ ๆ เนี้ยบ ๆ หน่อยเป็นลูกชายเจ้าของธุรกิจขายรถยนต์หรู เงียบ นิ่งเหมือนเจ้าชาย”“เหอะ เจ้าชายกะผีน่ะสิ”สองคืนก่อน“อ๊าาส์ ตะวันคะเบาหน่อย รูจะแหกอยู่แล้ว อ๊าาส์…”เสียงร้
คณะวิศวะ“โชคร้ายจริง ๆ ทำไมต้องโดนใช้เอาของมาเก็บให้อาจารย์ด้วยนะ”“เอามานี่เถอะ รีบกลับไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเราเอาไปเอง”“จะดีเหรออัน ไปด้วยกันเถอะ”“ไม่เป็นไร พอดีเราจะแวะไปที่นั่นอยู่แล้ว อีกอย่างของแค่ซองเดียวเอง นุ่นกลับไปก่อนเถอะ”“งั้นเราไปก่อนนะ ขอบใจมากนะอัน”“รีบไปเถอะ”“อันตรา” นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ปีสอง เธอและเพื่อนในคลาส ถูกอาจารย์ใช้ ให้นำเอกสารมาส่งที่คณะวิศวะ ซึ่งอยู่ห่างจากคณะของเธอพอสมควร อันตราเป็นคนเงียบขรึม เด็กเนิร์ดที่เรียนดี เป็นที่รักของอาจารย์ ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร อาจารย์ก็มักจะวานเธอบ่อย ๆ เพราะความมีน้ำใจ อันตราจึงไม่ค่อยปฏิเสธ“ห้องไหนนะ อ้อ ห้องนี้เอง”เธอเปิดเข้าไป และนำเอกสารไปวางบนโต๊ะของอาจารย์ ที่แจ้งอยู่หน้าซอง และกำลังเดินออกจากห้อง ก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ตรงสุดทางเดินปึง!เสียงเหมือนประตูกระแทกกับอะไรสักอย่าง เธอจึงเดินไปดูใกล้ ๆ แต่ยิ่งเข้าไปใกล้เท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ลอดออกมา ซึ่งเป็นเสียงเหมือนคนกระซิบกันอยู่ข้างใน ประตูสั่นอีกครั้งพร้อมกับเสียง“อย่านะคะ ไม่อย่างนั้นเค้กจะ…อ๊ะ! พี่ภาวิชญ์!”“ภาวิชญ์” เธอคุ้นกับชื่อนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะใช่คนท