“ก็ใครกันล่ะที่นอกใจกันจนทำแฟนเก่าท้อง ใครกันที่ทำให้ปูนไม่สบายจนต้องนอนโรงพยาบาล โดยไม่ยอมโผล่หัวมาเยี่ยมกันสักครั้ง แต่กลับไปนอนเฝ้าชู้ที่โรงพยาบาลทั้งคืนได้”
ประโยคสุดท้ายทำให้ชายหนุ่มถึงกับผงะ ใจหล่นวูบ
“อย่ามายัดเยียดความเลวให้ปูนคนเดียว ในเมื่อพี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าปูนเลย”
“ปากกล้าดีนี่ อันที่จริง ฉันไม่สนหรอกนะว่าเธอจะไปสำส่อนกับใครบ้าง แต่อย่ามาทำอะไรข้ามหัวกันแบบนี้ ถ้าหากอยากมีผัวใหม่ ก็ช่วยมาหย่ากันให้จบๆ ก่อน แล้วจากนั้นจะไปตายที่ไหนก็ไป”
คำที่ออกจากปากเขาราวกับน้ำกรดที่กัดกร่อนหัวใจเธอจนขาดสะบั้น น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลรินอาบแก้มเป็นทาง
“ได้ค่ะ ปูนจะหย่าให้!”
ฉัตรินชะงักค้าง รู้สึกวูบลึกในอกกับสิ่งที่ได้ยินจากปากสวยๆ ของหญิงสาวที่เขาแสนจะชัง คำที่อยากได้ยินมาตลอด ในที่สุดเธอก็ยอมเอ่ยมันออกมาเสียที
แต่ทำไมนะ...เขาถึงไม่รู้สึกดีใจอย่างที่ควรเป็น
“ก็ดี หย่าให้จบ ฉันจะได้ไม่ต้องฟ้องหย่าให้เปลืองแรง”
“ไม่ต้องฟ้องหรอกค่ะ ปูนยอมหย่าให้ ทันทีที่กลับจากหัวหิน
ส่วนเขานั้นคงกระเดือกของเหลือเดนอย่างเธอไม่ลงอีกต่อไป คิดแล้วก็อยากจะลากคอเธอมาหย่ากันเสียเดี๋ยวนี้เลยให้จบๆ ไปจู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น แวบแรกคิดว่าเป็นคนที่ทำให้เขาหัวเสียจึงรีบคว้ามาดู พอเห็นชื่อที่หน้าจอ เขาก็สูดหายใจเข้าแรงๆ เพื่อตั้งสติก่อนรับสาย“ซีคะ นี่รัญเองนะคะ รัญโทรหาคุณทั้งวันเลย แต่คุณไม่รับสาย รัญเลยเป็นห่วง แวะมาหาคุณที่ออฟฟิศ เห็นเลขาคุณบอกว่าวันนี้คุณไม่เข้า”เสียงหวานบอกอย่างร้อนรน ทำให้คลื่นความโกรธในใจเบาบางลง“พอดีผมมาหัวหินกับคุณพ่อคุณแม่น่ะ”“อ้าว เหรอคะ ค่อยยังชั่วหน่อย รัญก็คิดว่าคุณลืมนัดของเราเสียอีก” ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเข้าหากัน เพราะเขาแน่ใจว่ายังไม่ได้รับนัดอีกฝ่าย“พูดถึงหัวหิน รัญก็คิดถึงบ้านตากอากาศของคุณ อยากไปอีกจัง ไว้คราวหน้าซีพารัญไปด้วยได้ไหมคะ”ฉัตรินนิ่งไม่ตอบ เพราะจิตใจกำลังว้าวุ่น คิดถึงคนที่ไม่ควรคิด“แล้วนี่คุณจะกลับกรุงเทพวันไหนคะ”“น่าจะวันสองวันนี้ครับ แต่ผมต้องวางสายแล้วล่ะ ที่นี่ฝนตกหนักมาก ผมกำลัง
“เป็นอะไรไปครับ เจ็บแผลอยู่เหรอ” เสียงอ่อนโยนถามเบาๆ ทันเห็นใครบางคนที่แอบยืนส่องมาจากด้านบนก่อนที่จะกระชากม่านปิด พร้อมกับที่หญิงสาวในอ้อมแขนก้มหน้างุด“ไม่ค่ะ พี่นนท์วางปูนลงตรงนี้ก็ได้นะคะ ปูนเกรงใจ”“พี่ต่างหากต้องเกรงใจ อุตส่าต์รับปากคุณลุงคุณป้าว่าจะดูแลน้องปูนให้ดี และพามาส่งก่อนค่ำ” วรนนท์เอ่ยพลางค่อยๆ วางตัวเธอลงบนโซฟาอย่างอ่อนโยนคุณโฉมฉายที่เดินตามสองหนุ่มสาวมาติดๆ ได้ยินคำพูดคำจาที่แสดงถึงความเป็นสุภาพบุรุษของพระเอกหนุ่มก็อดรู้สึกดีด้วยไม่ได้“ผมขอโทษด้วยนะครับคุณลุงคุณป้า ที่พาน้องมาส่งค่ำไปหน่อย แล้วก็ดูแลน้องไม่ดีจนทำให้น้องต้องเจ็บตัว”ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าทั้งสอง“ใช่ที่ไหนคะ ปูนล้มของปูนเองต่างหาก เกี่ยวอะไรกับพี่นนท์”ปรียากรรีบแก้ต่างให้ พลางแอบสะท้อนใจ คนหนึ่งที่เป็นต้นเหตุทำให้เธอต้องเจ็บตัวกลับไม่สนใจแม้จะยื่นมือมาช่วย แต่คนที่พาเธอไปหาหมอทำแผล และพาไปกินข้าวก่อนมาส่งถึงบ้าน ดูแลเธออย่างดีกลับขอยอมรับผิด หากสามีของเธอมีใจเอื้ออาทรต่อภรรยาคนนี้ได้เพียงครึ่งหนึ่งของวรนนท์ เธอคงจะดีใจมาก“เกี่ยวสิครับ ถ้าพี่ไม่มัวแต่ทำงานยุ่งทั้งวัน และดูแลน้องปูนโดยไม่
เวลาผ่านไปพักใหญ่ แต่ชายหนุ่มไม่อาจข่มตาหลับได้เสียที ได้แต่พลิกตัวไปมางุ่นง่าน จนสุดท้ายต้องผุดลุกขึ้นนั่งหน้ายุ่ง ง่วงจะตายแต่ดันนอนไม่หลับ ตาคมมองไปที่หน้าปัดมือถือที่บอกเวลาเลยเที่ยงคืนไปนานแล้ว ทำไมยังไม่มีเสียงเคาะประตูอีกวะหูหาเรื่องคอยเงี่ยฟังเสียงจากด้านล่างที่เงียบกริบอย่างสงสัย“ยัยนั่นโดนยุงหามไปหรือยังวะ”ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้ร่างสูงอดใจไม่ไหวต้องแอบลุกย่องกริบลงไปดูด้วยตาตัวเองกลางดึกห้องรับแขกกลางบ้าน ปิดไฟมืด เพราะฝนเทลงมาเมื่อตอนหัวค่ำเลยทำให้มีลมพัดเย็นสบายเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดรับลมที่โซฟากลางห้อง มีเงาตะคุ่มของใครบางคนนอนคุดคู้ตัวสั่นอยู่ ผ้าห่มที่เอาลงมาไม่ได้ช่วยเพราะเจ้าตัวถีบลงไปกองที่พื้นเสียแล้วชายหนุ่มย่องกริบเข้าไปใกล้ อาศัยแสงสลัวจากไฟกิ่งด้านนอกทำให้มองเห็นใบหน้าหวานที่กำลังหลับสนิท พลางกวาดสายตาลงไปมองที่หัวเข่าทั้งสองที่มีผ้าพันแผลไว้แต่กลับมีรอยเลือดซึมให้เห็นภาพเมื่อตอนบ่ายย้อนกลับมาฉายในสมองอีกหน หากบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอเจ็บตัว จะเชื่อไหม แต่ก็นั่นแหละ ไม่ได้ตั้งใจแต่เธอก็เจ็บทั้งตัวทั้งใจอยู่ดี เจ็บตอนนี้ก็ดีกว่าเจ็บไปมากกว่
ในที่สุดวันที่ฉัตรินรอคอยก็มาถึง เมื่อทั้งสองกลับมาจากหัวหิน และนัดไปเจอกันที่สำนักงานเขต เพื่อหย่ากันตามที่เขาต้องการ“เซ็นชื่อตรงนี้ครับ” นายทะเบียนกล่าวกับคนทั้งสองปรียากรรับเอกสารสำคัญการหย่าตรงหน้ามาอ่านทวนความถูกต้องทุกตัวอักษรด้วยหัวใจที่ด้านชาราวกับไร้ความรู้สึกรู้สาใดๆ ก่อนหันไปคว้าปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อลงไปโดยไม่ลังเลและไม่มีน้ำตาสักหยดให้ใครเห็น ท่ามกลางสายตาของสามีที่กำลังจะกลายเป็นอดีตข้างกายตอนแรกฉัตรินคิดว่าอีกฝ่ายจะฟูมฟาย อิดออดมารยาอ้อน หรือไม่ก็แสดงฤทธิ์เดชหาทางให้เขาเปลี่ยนใจไม่หย่า แต่กลับผิดคาด วันนี้อีกฝ่ายกลับนิ่งสงบเหมือนยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี และไม่ได้ทำอย่างที่เขาคิดสักอย่าง ก็ให้อดรู้สึกแปลกใจระคนใจหายแปลกๆ ไม่ได้หรือเธอจะสำนึกผิดในสิ่งที่ทำได้แล้ว เพราะรู้ว่าถึงอยู่กันไปก็มีแต่จะเสียเวลาชีวิตของเราทั้งคู่ เหอะ หากคิดได้และไม่ทำผิดวางแผนเจ้าเล่ห์จับเขาเสียแต่แรกก็คงดีกว่านี้ แต่เอาเถอะ คิดได้ช้าก็ดีกว่าคิดไม่ได้เลยพอเธอเซ็นเสร็จก็ถึงตาเขา ที่คว้าปากกามาเซ็นอย่างไม่รอช้า จากนั้นก็เป็นคิวของพยานสองคน คือเพื่อนข
“ตานอตด้วยนะ ถ้าว่างก็ไปด้วยกันสิ” คุณเกรียงไกรสำทับหน้าตาเฉย“ว่างสิครับคุณพ่อ นึกว่าจะไม่ชวนผมเสียแล้ว” ขนาดเพื่อนสนิทมาด้วยกันยังอุตส่าห์แปรพักตร์เอาเข้าไปๆ พ่อแม่เขาชักจะเอาใหญ่แล้ว แทนที่จะเลี้ยงฉลองอิสรภาพให้ลูกชายคนนี้ ดันลำเอียงรักและเอาใจแต่อดีตลูกสะใภ้คนโปรดอยู่ได้ ไม่รู้มีอะไรดีนักหนา คนถึงเข้าข้างกันนัก เจ้ามารยาจะตายฉัตรินได้แต่ค้อนตาคว่ำกับความอยุติธรรมในครอบครัวตัวเอง พลางมองตามทั้งคณะที่เดินลงจากสำนักงานเขตไปฉลองความโสดให้เมียเก่าของเขา“อ้าว แกไม่ไปด้วยกันเหรอวะไอ้ซี เมียจะฉลองความโสดทั้งที ไม่สิ ต้องเรียกเมียเก่าแล้วต่างหาก”“ไอ้เพื่อนเวร” ชายหนุ่มเจริญพร แต่ในใจกลับวูบโหวงลึกๆ เมื่อมองตามหลังคนที่เพิ่งหย่า มีอะไรบางอย่างกำลังก่อกวนใจเขาแปลกๆ“น่าเสียดายว่ะ น้องปูนทั้งสวยทั้งน่ารัก เหมาะจะเป็นแม่ของลูกชะมัด มึงว่าถ้ากูจะลองจีบน้องเขาจะติดไหมวะ”“จะไปรู้เหรอ” เสียงเข้มสะบัดใส่โดยไม่รู้ตัว“แล้วเรื่องยัยรัญกับลูกนี่ยังไงวะ ไหนว่าไม่ใ
“ซีโกรธรัญเหรอคะ”รัญชิสาหันไปถามเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดไร้รอยยิ้มของอีกฝ่าย“เปล่า”“แล้วทำไมทำหน้าขรึมแบบนั้น” ฉัตรินถอนหายใจเบาๆ เสียงอ่อนลง“คุณไม่ควรไปวุ่นวายที่ทำงานผมแบบนั้น”หญิงสาวหน้าเสีย“คุณโกรธรัญจริงด้วย แต่รัญไม่ได้ตั้งใจจะไปวุ่นวายนะคะ แค่อยากไปเซอร์ไพร์สซีก็เท่านั้นเอง รัญขอโทษนะคะที่ทำให้คุณไม่พอใจ”เสียงสั่นเครือนั่นทำให้คนฟังทอดถอนใจ เพราะอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้เสมอไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่ตอนคบกัน หากเห็นเขาเป็นไฟ เธอก็จะอ่อนให้และเข้ามาอ้อนให้หายโกรธ แล้วส่วนใหญ่มันก็ได้ผลเสมอ“เฮ้อ...คราวนี้ผมให้อภัยได้ แต่อย่าให้มีคราวหน้าอีก ผมไม่ชอบเป็นหัวข้อก๊อซซิปของพนักงานตัวเอง”“ก็ได้ค่ะ รัญจะทำตาม ซีอย่าโกรธรัญเลยนะคะ” มือนุ่มนิ่มเอื้อมไปกุมมือเขา ก่อนจะเอนลงซบที่ไหล่แข็งแรง“รัญ ผมขับรถอยู่นะ” เสียงเข้มเตือน สีหน้าเรียบเฉยในแบบที่คนเคยเป็นแฟนกันพอรู้ได้ว่าอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดี“ทำไมวันนี้คุณดูหงุดหงิด
“ซีคะ คุณปูนเขาจะโกรธรัญหรือเปล่าคะ ทำไมถึงไม่นั่งด้วยกัน” รัญชิสาแสร้งถามหน้าซื่อ“อย่าไปสนใจเขาเลย กินข้าวเถอะ” ปากบอกไม่สนใจแต่ตากลับเผลอมองไปทางโต๊ะของภรรยาเก่าเป็นระยะฉัตรินรู้สึกว่าวันนี้อาหารโปรดไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่ ยิ่งเห็นใครบางคนที่พูดคุย ยิ้ม หัวเราะกับเพื่อนราวกับไม่รู้สึกอะไร ไม่แม้แต่จะมองมาทางเขาด้วยซ้ำ มันก็ยิ่งทำให้หัวใจคันยิบๆ อย่างบอกไม่ถูก“ซีคะ ลองชิมจานนี้ดูสิคะ รสชาติดีออก” รัญชิสาตักห่อหมกจานอร่อยใส่จานให้อย่างเอาใจ แต่อีกฝ่ายกลับนิ่ง ตาลอยไปทางโต๊ะอื่น ก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ มองขนาดนั้น ทำไมไม่ไปนั่งด้วยกันเสียเลย“ซีคะ...”“หะ หืม คุณว่าอะไรนะรัญ” ดูเถอะ ดูเอา มากับเธอแท้ๆ แต่ดันเอาแต่มองโต๊ะอื่นมันน่าน้อยใจไหม จะโทษใครถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น“หรือเราควรไปนั่งกับเขาดีไหมคะ”นั่นแหละฉัตรินจึงยอมหันกลับมาใส่ใจอาหารตรงหน้า และยอมตักอาหารที่เธอวางใส่จานให้เข้าปากเสียที“เป็นไงคะ อร่อยไหม”“คุณก็กินด้วยสิ
“ฉันล่ะดีใจชะมัดที่แกหย่าเสียออกมาเสียได้ น่าขำนะ หย่าได้ไม่ถึงวันก็เกือบต้องมาม่องเท่งเพราะแฟนเก่าเสียแล้ว”ปรียากรถอนหายใจ พลางหันไปมองคนป่วยที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอย่างหนักใจ“แล้วนี่ยังไง ใครจะนอนเฝ้าไข้ล่ะคืนนี้ หรือจะโทรเรียกยัยคุณรัญนั่นมา”“ฉันโทรบอกคุณพ่อคุณแม่เขาแล้ว เดี๋ยวพวกท่านคงมา”“แล้วระหว่างนี้ล่ะ หรือแกจะเฝ้า”“มีทางเลือกอื่นไหมล่ะ” ปรียากรประชด หมั่นไส้ก็ส่วนหนึ่ง แต่จะให้เธอทิ้งเขาไว้คนเดียวก็ทำใจไม่ลงอีก“งั้นแกก็เฝ้าผัวเก่าไปแล้วกัน เดี๋ยวฉันต้องไปเตรียมเข้าเวรต่อแล้ว”“อืม”เวลาต่อมาคุณโฉมฉายและสามีก็มาถึงโรงพยาบาล เพราะอดีตลูกสะใภ้โทรไปบอกข่าว แต่พอเปิดเข้าไปในห้อง ทั้งสองก็ต้องถอนหายใจเมื่อเห็นภาพที่หญิงสาวนั่งสัปหงกข้างเตียงเฝ้าลูกชายตัวดีของท่านอย่างอ่อนเพลียสองสามีภรรยาหันไปสบตากันเงียบๆ อย่างอ่อนอกอ่อนใจ ในขณะที่ปรียากรป่วยไข้ ลูกชายพวกท่านไม่ยอมโผล่หัวมาดูดำดูดีเขา แต่พอถึงตาตัวเองป่วยเกือบตายบ้าง สุด
เป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะพิเศษเกินกว่าจะหาคำบรรยายใดๆ มาบอกได้ ในวินาทีที่ผิวกายอ่อนบางได้สัมผัสกับไออุ่นจากอกของพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต ฉัตรินรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัวนี่คือลูกของเขา ลูกที่เขาเกือบพลั้งทำลายด้วยทิฐิอย่างร้ายกาจ แต่มาวันนี้เขาสามารถเสียสละทุกสิ่งที่มีเพื่อให้คนในอ้อมอกนี้มีชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะให้ได้น่าเสียดายที่แม่ของเจ้าตัวน้อยยังไม่ฟื้น หาไม่เธอคงจะมีความสุขมากที่ได้เห็นลูกน้อยของเราในวันนี้หลังจากครบเวลาที่กำหนด ทารกน้อยก็ถูกอุ้มใส่รถเข็นสำหรับเด็ก เพื่อไปให้นมก่อนจะพาไปหาคุณแม่ที่ห้องพักฟื้นโดยปกติฉัตรินไม่ใช่คนรักเด็กหรืออินอะไรกับเด็กมาก่อน แต่ทว่าหลังจากที่มีลูก ชายหนุ่มกลับกลายเป็นคุณพ่อลูกอ่อนที่ใจบางเสมอเวลาที่ได้เจอหน้าเจ้าตุ๊กตาน้อยๆ ที่ชื่อน้องปูเป้“ไงคะลูกพ่อ ทักทายคุณแม่หน่อยสิลูก”เสียงสองก็มา เขาได้แต่ขำตัวเอง อย่าให้ใครที่บริษัทมาได้ยินเลยว่าท่านประธานทำเสียงแบบนี้ คงสิ้นความยำเกรงกันก็คราวนี้แต่ช่างประไร ใครสน ลูกเขาออกจะน
ท่ามกลางสายตาของครอบครัวทั้งสองฝ่ายรวมถึงเพื่อนสนิทของหญิงสาวอย่างจนิตา ที่คอยมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของคนที่เคยใจร้ายกับเพื่อนเธอมาสารพัดอย่างสงสารแกมสมน้ำหน้า ที่กว่าเขาจะรู้ว่าตัวว่ารักก็เกือบต้องสูญเสียปรียากรและลูกสาวไปตลอดกาลเสียแล้วยังดีที่เบื้องบนยังให้โอกาสแก้ตัว แต่ก็นับเป็นบทเรียนและบททดสอบชีวิตคู่ที่หนักหนาสาหัสเอาการทีเดียวเย็นวันหนึ่งหลังจากที่เขากลับมาจากบริษัท และเข้าไปเยี่ยมลูกสาวที่ห้อง NICU หรือห้องผู้ป่วยทารกแรกเกิดระยะวิกฤตเหมือนเช่นทุกวัน พออัดคลิปเสร็จและได้ข่าวดีว่าลูกสาวตัวน้อยจะได้ออกจากตู้อบแล้วในอีกสองวันข้างหน้า ชายหนุ่มจึงเก็บข่าวดีนี้มาบอกแม่ของลูกที่ห้องพักฟื้นของเธอ“ปูนจ๋า...วันนี้พี่มีข่าวดีมาบอกด้วยนะ”เขาชินเสียแล้วกับการต้องพูดเองเออเองคนเดียวให้เธอฟัง ทั้งที่อีกฝ่ายไม่รับรู้เรื่องราวอะไร นอกจากนอนหลับ“น้องปูเป้ ลูกสาวของเราจะได้ออกจากตู้อบวันมะรืนนี้แล้วนะ ดีใจไหม” ทุกครั้งที่เอ่ยถึงชื่อของลูกรัก ชายหนุ่มต้องมีรอยยิ้มเสมอปูเป้ ที่แปลว่า ตุ๊กตา ในภาษาฝรั่งเศสที่เขาเป็นคน
ความรักเป็นเช่นนี้เอง...ให้ได้ทุกอย่างกระทั่งชีวิต ขอเพียงคนที่รักปลอดภัยทำไมนะ เขาถึงเพิ่งมาเข้าใจในวันที่เกือบสายเพียงคิดว่าต้องเสียเธอกับลูกไปต่อหน้าต่อตา แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง ให้ตายแทนเสียยังดีกว่า ต้องอยู่ในโลกที่ไม่มีเธอกับลูก!เพียงคิด หัวใจก็ปวดหนึบ มันมึนมันชาไปหมด“ตั้งสติไว้ลูก ไม่ใช่เวลาร้องไห้ เขาไม่ใช่แค่ลูกเมียแก แต่ในนั้นก็ลูกสาวและหลานสาวของพ่อกับแม่เหมือนกัน หายใจลึกๆ เข้าไว้ อะไรจะเกิดเราต้องยอมรับให้ได้” คุณเกรียงไกรเตือนสติจนิตาหน้าเสียในฐานะหมอเธอยอมรู้ดีกว่าใคร แม้จะเคยผ่านความเป็นความตายมานักต่อนักบอกได้คำเดียว เคสนี้ยาก เอาแค่แม่หากผ่าตัดสำเร็จ โชคดีอาจฟื้น แต่โชคร้ายอาจกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไหนจะเด็กที่คลอดอีกล่ะ หกเดือนเศษตัวยังเล็กนัก หากโชคดีรอดก็อาจต้องอยู่ในตู้อบอีกนานเท่าไหร่ยังไม่รู้ แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับจะรอดในสภาพไหน สมบูรณ์ หรือไม่ต่างหากยากเกินไป ยากจริงๆทุกนาทีที่ผ่านไปช่างบีบหัวใจคนที่รอ นานหลายชั่วโมง ก่อนที่ประตูจะเปิดอีกครั้ง พร้อมกับตู้อบที่มีทารกร่างเล็กน
ปรียากรได้แต่เก็บความสงสัยไว้โดยไม่ถามต่อ ในเมื่อเธอกับ ฉัตรินจบกันไปนานแล้ว เธอก็ไม่อยากยุ่ง เขาจะมีใครใหม่ หรือคบใครต่อก็เป็นสิทธิ์ของเขา“อุ๊ย!” หญิงสาวเผลออุทาน เมื่อมีแรงเตะเบาๆ จากภายในท้อง ที่พักนี้มักจะมาบ่อย โดยเฉพาะเวลาที่คนเป็นแม่กำลังคิดมาก หรือไม่ก็คิดถึงพ่อของลูก“ตัวแสบของแม่ อย่าเตะแรงนักสิลูก แม่เจ็บนะ” ปรียากรบอกน้ำตาคลอ เธอชอบคุยกับลูกในท้องเสมอ สายใจความรักถูกถักทอในหัวใจเธอพร้อมกับสมานรอยแผลที่พ่อของลูกเคยทำให้เจ็บมาก่อนการดึงดันที่จะแต่งงานกับเขา อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้สูญเปล่า แม้จะต้องหย่ากัน เขาก็ยังอุตส่าห์ให้ลูกน้อยกับเธอมาเป็นรางวัลในความทุ่มเทที่สูญเปล่านั่นวันนี้เธอหันกลับมารักและทุ่มเทให้กับเจ้าตัวน้อยในท้องแทน“คิดถึงพ่อเขาล่ะสิ ไม่เป็นไรนะคะ ถึงหนูไม่มีพ่อ แต่แม่จะดูแลหนูให้ดีที่สุดเลยนะ อยากพบหน้าหนูเร็วๆ จัง”หญิงสาวลูบท้องกลมของตัวเองอย่างมีความสุข ดวงตาคู่งามมองไปด้านหน้าที่สัญญาณไฟจราจรเพิ่งเปลี่ยนเป็นสีเขียว“เอาล่ะ กลับบ้านเรานะลูกนะ”เธอว่าพ
ชีวิตเขามันโดดเดี่ยวอ้างว้างแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะชายหนุ่มนอนก่ายหน้าผากมองเพดาน ปล่อยใจให้ล่องลอยไปไกล ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายเรียกร้องที่จะหย่ากับเธอด้วยตัวเองมาตลอด แต่พอได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้มาสักนิดคิดถึง...คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้ง พร้อมกับใบหน้าหวานของใครคนนั้นที่มักจะมาก่อกวนในใจในยามที่เผลอ ตอนแรกเขาใช้การทำงานให้หนักขึ้นเพื่อหวังให้ความคิดถึงที่มีหายไป แต่มันก็ไม่ค่อยได้ผล พอมีเวลาว่างเมื่อไหร่ หัวใจก็ลอยกลับไปหาคนที่ไม่สมควรคิดถึงทุกทีอยากรู้นัก เธอจะรู้สึกเหมือนกันกับเขาหรือเปล่านะความคิดของเขามีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงรถคุ้นหูแล่นผ่านไปทางบ้านใหญ่ของพ่อแม่ ร่างสูงจึงเด้งตัวผึ่งไปที่หน้าต่างห้องทันทีรถเก๋งสีขาวแล่นเข้ามาจอดเทียบ พร้อมกับที่พ่อแม่เขาลงจากรถ แต่แล้วหัวใจที่เคยเฉยชาก็กลับเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นร่างอวบอิ่มที่ตอนนี้สวมชุดคลุมท้องสีฟ้าสดใสเปิดประตูตามลงมา เพื่อช่วยลำเลียงสิ่งของที่ซื้อออกจากท้ายรถให้ฉัตรินสะดุดลมหายใจตัวเองทันใด เมื่อเห็นใบหน้าหวานส่งยิ้มให้พ่อแม
คุณโฉมฉายขมวดคิ้ว ก่อนหันไปสบตากันกับสามีอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอดีตแคนดิเดตลูกสะใภ้ ที่วันนี้มาในชุดคลุมท้องแบบสวยทันสมัย“แล้วนี่คุณมาทำอะไรที่นี่คะ หรือมีใครเป็นอะไร เมื่อกี้รัญเห็นคุณปูนเพิ่งเดินออกไป หรือว่า...”“พวกเราพาหนูปูนมาฝากท้องน่ะจ้ะ”คุณโฉมฉายชิงตอบเสียเองด้วยความหมั่นไส้ หญิงสาวตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนตอนที่เคยคบกับลูกชายของเธอเลย ในสายตาอีกฝ่ายมักมองเห็นแต่ลูกชายของเธอคนเดียว โดยไม่สนใจคนรอบข้างกระทั่งผู้ใหญ่ที่ยืนหัวโด่ในฐานะพ่อแม่ของคนที่เธอหมายปอง สวยก็จริงอยู่ แต่จริตมารยาทในการเข้าหาผู้ใหญ่สอบตก เมื่อเทียบกับปรียากรแล้วยังห่างชั้น“อ้าว คุณพ่อคุณแม่ก็มาด้วยเหรอคะ ขอโทษนะคะ หนูไม่ทันเห็น” คนพูดยกมือไหว้แผล็บ ก่อนส่งยิ้มหวานปะเหลาะพ่อแม่ของชายหนุ่ม“จ้ะ แล้วนั่นหนูท้องได้กี่เดือนแล้วจ๊ะ”รัญชิสาหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำถามแสลงหู แต่ก็ฝืนยิ้มตอบกลับไป“รัญท้องได้สี่เดือนกว่าแล้วค่ะคุณแม่”“แล้วนี่ทำไมมาคนเดียวล่ะ พ่อของเด็กไม่มาด้วยหรือจ๊ะ&
ที่แผนกสูตินรีเวชกรรม ปรียากรพร้อมด้วยอดีตพ่อแม่สามีนั่งรอคิวเพื่อฟังผลตรวจและอัลตราซาวน์ ทั้งสามพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินและตื่นเต้นที่จะได้เห็นภาพแรกของลูกในท้องหญิงสาว โดยไม่ได้สนใจส่วนเกินที่เดินตามมานั่งที่ด้านหลังเงียบๆ“อ้าว แล้วแกไม่ไปทำงานทำการเหรอเจ้าซี” คุณเกรียงไกรหันไปถามลูกชายที่นั่งทำตัวเป็นอากาศ เพราะไม่มีใครคุยด้วย“เดี๋ยวเสร็จจากฝากครรภ์ค่อยไปครับพ่อ” ชายหนุ่มบอกราวกับจะมาฝากครรภ์เสียเอง“กลับไปเลยก็ได้มั้ง เดี๋ยวทางนี้พ่อกับแม่ดูเอง” คนเป็นแม่บอกอย่างไม่ไยดี แต่ฉัตรินกลับทำหูทวนลม ตาแอบมองอดีตเมียเก่าที่ทำตัวเฉยเมยไม่สนใจ แทบไม่มองหน้าเขาตั้งแต่ตอนนั่งรถมาด้วยกันก็อดขัดใจไม่ได้“คุณปรียากรค่ะ” เสียงพยาบาลหน้าห้องขานชื่อ ทำให้ทั้งคณะลุกพรึ่บขึ้นแทบพร้อมกัน“จะเข้าไปทั้งหมดนี่เลยเหรอคะ” ทุกคนพร้อมใจกันปรายตาไปมองส่วนเกินที่ทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้เป็นตาเดียว“ครับ ทั้งหมดนี่เลย” ฉัตรินตอบอย่างมั่นใจ ในเมื่อมาแล้วเขาก็อยากเห็นผลผลิตที่อาจเป็น
ปรียากรมองคนถามอย่างหยั่งเชิง“ถามทำไม อย่าบอกนะว่าเป็นห่วง” คิดว่าเขาคงโต้กลับทำนองว่าอย่าหลงตัวเองเหมือนทุกที แต่ก็เปล่า“ใช่ พี่เป็นห่วง”คำนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับอึ้ง ใจสั่นไหว“ห่วงลูกในท้อง”นั่นไง เธอว่าแล้ว“คุณเอาเวลาไปห่วงลูกในท้องพี่รัญเถอะ อย่ามาวุ่นวายกับลูกฉันเลย” เธอไม่ได้ประชด แต่พูดจากใจจริง เธอเหนื่อยกับเขาเต็มทีแล้วกระทั่งยอมแพ้และเดินออกจากชีวิตอีกฝ่าย“อย่าลืมสิคะว่าเราหย่ากันแล้ว”ชายหนุ่มนั่งนิ่งงัน เพราะบางสิ่งกำลังก่อกวนในหัวใจเขาอย่างหนักหน่วง“พี่รู้ แต่ถ้าเขาเป็นลูกพี่จริง”ปรียากรเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อระงับโทสะ ไม่ให้เผลอข่วนหน้าคนพูดจนเป็นแผลเหวอะหรือชกเขาไปสักหมัด ข้อหาพูดจาไม่เข้าหูไม่ใช่ลูกเขาจะเป็นลูกใครได้ล่ะ ในเมื่อคืนนั้นเขาเล่นเคี่ยวกรำเธอจนระทวยไปกี่รอบต่อกี่รอบก็จำไม่ได้ จนไข้ขึ้นต้องนอนโรงพยาบาลตั้งหลายวัน ยังจะมาสงสัยว่าลูกใครไม่เลิกไอ้ผัวผีบ้านี่! ไม่สิ ต้องเรียกว่าผัวเก่า ถึงจะถูก“เอาล่ะ งั้นฉันขอถามหน่อย ถ้าเขาใช่ลูกคุณจริงแล้วจะยังไงต่อ คุณจะกลับมารับผิดชอบฉันกับลูกหรือไง หรือว่าจะมาแย่งลูกไปจากฉัน หรือว่า...จะให้เอาออก เพราะคุณไม่อยากมีล
“เวรของกรรม!” จนิตาถึงกับอุทานลั่น เมื่อได้ยินเรื่องราวจากปากเพื่อนรัก หลังจากที่เธอรีบแจ้นมาหาถึงที่คอนโดทันทีที่วางสายจากฉัตริน“ท้องเกือบสองเดือนเนี่ยนะ ทำไมแกไม่รีบบอกฉันให้ไวกว่านี้”“ฉันก็เพิ่งรู้ไหม ช่วงก่อนย้ายบ้านก็วุ่นวายจนไม่ทันสังเกต” ปรียากรโบกยาดมไปมา พลางลูบที่หน้าท้องเบาๆ กลัวลูกในท้องตกใจเสียงแปดหลอดของเพื่อนแม่“แล้วนี่จะเอายังไง พ่อของลูก เขารู้เรื่องแล้วด้วย พี่ซีไม่ยอมปล่อยแกไปง่ายๆ แน่” ดูจากที่โทรจิกเธอทุกชั่วโมงก็พอรู้ได้“หรือจะคืนดี”“ไม่!” หญิงสาวตอบทันควัน “แกห้ามบอกเขาเด็ดขาดว่าฉันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่ด้วย บอกแค่แกแล้วก็พ่อแม่ฉัน”“ฉันน่ะไม่บอกแน่ แต่พ่อแม่ผัวเก่าแกล่ะ จะมั่นใจได้ยังไง เขาพ่อแม่ลูกกัน ยังไงรู้ว่ามีหลานต้องรีบบอกแน่” ปรียากรทำหน้าหนักใจ“ไม่หรอกแก พี่ซีเขาไม่เชื่อว่าลูกในท้องเป็นลูกเขา”“เชี่ยไรวะ!” คุณหมอสาวถึงกับสบถหยาบคาย