ฉัตรินสะบัดศีรษะไล่ความมึนปนง่วงงุน ก่อนจะคว้าโทรศัพท์มาดูเวลา ก็พบว่ามันปิดเครื่องอยู่ จึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขากดปิดเครื่องเพราะรำคาญใครบางคนที่โทรจิก‘หนูปูนไม่สบายอาการไม่ค่อยดีเลย ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล ลูกรีบมาด่วนเลย’ คำนั้นของมารดาดังเข้ามาในหูจริงสิ ยัยนั่นก็เข้าโรงพยาบาลเหมือนกันนี่นาเพียงเขากดเปิดเครื่อง เสียงสัญญาณเตือนข้อความต่างๆ ก็ดังขึ้นรัวๆ ทั้งเบอร์ที่ไม่ได้รับหลายสาย หรือไลน์ที่ไม่ได้เปิดอ่าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากคนเดียวกัน คิ้วเข้มขมวดแน่น เมื่อความรู้สึกบางอย่างโจมตีเข้ามาในหัวใจหรือว่ายัยนั่นอาการจะหนักจริง“มีอะไรหรือเปล่าวะซี” นราธิปหันไปถามเพื่อนที่ทำหน้ายุ่งเหยิง “หรือว่าเกี่ยวกับที่แม่มึงโทรหากูเมื่อวาน”“อืม...มีเรื่องที่บ้านนิดหน่อย”“อ้าว แล้วทำไมไม่รีบบอกวะ งั้นมึงรีบกลับไปจัดการก่อนเลย ทางนี้ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว เดี๋ยวกูจัดการให้เอง”“มีเรื่องอะไรหรือคะซี” คนป่วยถาม แต่หางตาจิกไปทางก้างขวางคออย่างขัดใจ“ไม่มีอะไรหรอก งั้นรัญพักผ่อนก่อน ไอ้นอตกูฝากด้วยแล้วกัน”“อืม รีบไปเถอะ”“ซีคะ...”รัญชิสาทำท่าจะรั้งตัวอีกฝ่ายไว้ แต่ก็ไม่ทันเพราะอีกฝ่ายผลุนผลันออ
“แล้วถ้าหนูไม่อยากโยนหินถมทะเลอีกต่อไปแล้วล่ะคะ คุณแม่จะว่ายังไง”ประโยคนั้นทำให้หญิงมากวัยกว่าใจหายวาบ“หนูได้ยินที่พ่อกับแม่คุยกันที่โรงพยาบาลคืนนั้นหรือลูก”ปรียากรพยักหน้ารับ“ค่ะ ได้ยินทุกอย่าง และปูนขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่มันทำให้ปูนได้คิด จริงๆ น่าจะคิดได้นานแล้วด้วยซ้ำ”“หนูปูน...”“คุณแม่จะว่ายังไงคะ ถ้าปูนจะหย่ากับพี่ซี”ประโยคนั้นทำเอาคนฟังสตั้นไปพักใหญ่ แม้จะเคยคิดว่าต้องมีวันนี้ แต่ก็อดใจหายไม่ได้คนเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนมองหญิงสาวที่เธอเห็นมาแต่เล็กอย่างเห็นใจ ในเมื่อความรักมันบังคับใจกันไม่ได้ ชีวิตคู่ที่ทุ่มเทอยู่ฝ่ายเดียวสักวันมันก็ต้องพังทลายเมื่อความอดทนของฝ่ายหนึ่งสิ้นสุด“ถ้าหนูคิดดีแล้ว แม่ก็เคารพการตัดสินใจของหนู ชีวิตคู่ที่เราพยายามอยู่ฝ่ายเดียวมันเหนื่อย แม่เข้าใจหนูนะลูก”คำนั้นทำให้คนฟังสะเทือนไปทั้งใจ จนน้ำตาไหลอาบแก้ม ก่อนเข้าสวมกอดคนที่เธอรักไม่ต่างจากแม่แท้ๆ อย่างตื้นตันระคนใจหายคุณโฉมฉายลูบหลังลูบไหล่บางปลอบ
ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมา พลางมองใบหน้าซีดเผือดที่หลับตานิ่ง เธอกำลังฝันอะไรอยู่นะ ที่เรียกชื่อเขาเมื่อกี้หรือว่ากำลังฝันถึงเขา แต่ฝันถึงแบบไหนกันหนอ ฝันดีหรือฝันร้ายก็ไม่รู้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน รีบปัดความใจอ่อนที่แทรกซึมเข้ามาออกไปจากความรู้สึกทันใดจะฝันอะไรก็ช่างเธอสิ ทางที่ดีควรฝันร้ายๆ แล้วรีบตัดใจหย่าขาดคืนอิสรภาพให้เขาเสียที จะได้หมดเวรหมดกรรมต่อกันจะดีมาก...ฉัตรินถอนสายตาจากใบหน้าของคนป่วย ก่อนตัดใจผละออกไปจากห้องไม่เหลียวหลังโดยเขาหารู้ไม่ว่าคนที่คิดว่าหลับกลับค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ และมองตามร่างสูงสง่าที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องผ่านม่านน้ำตาอันเลือนลางในที่สุดเขาก็มาหาเธอ ความรู้สึกที่มืออุ่นๆ แนบที่หน้าผากยังคงไม่จางหายไป หากนี่เป็นความฝัน เธอคงไม่อยากตื่นขึ้นอีกเลยหลังจากนั้นเพียงสองวัน อาการของปรียากรก็ดีขึ้น ไข้ลดลงรวมถึงรอยจ้ำสีแดงก็จางหายไปแทบไม่เหลือ คุณหมอจึงอนุญาตให้เธอกลับบ้านได้อาการทางกายดีขึ้น แต่อาการทางใจต่างหากที่ดูเหมือนจะแย่ลง“กินอีกสักคำสิลูก”คุณโฉมฉายคะยั้นคะยอลูกสะใภ้ที่เธอรั
ปรียากรรู้สึกราวกับโดนน้ำกรดสาดใส่หน้าอย่างแรง จนแสบสะท้านไปทั้งตัว หูอื้อ หน้าชาไปหมดในขณะที่เธอป่วยแทบโงหัวไม่ขึ้นเพราะเขา ร้องขอน้ำใจจากสามีสุดที่รักให้มาเหลียวแลบ้างสักนิด เขากลับไม่เชื่อคิดว่าเธอหลอกและปฏิเสธกันอย่างเลือดเย็น แต่กับผู้หญิงอีกคน เพียงแค่หกล้ม เขาถึงกับพามาส่งโรงพยาบาลและนอนเฝ้าไข้ด้วยตัวเองคนตาไม่บอดดูก็รู้แล้วว่าใครคือคนสำคัญกว่าในหัวใจของฉัตรินใช่! เธอมันคนไม่สำคัญ ไม่เคยสำคัญสำหรับเขาเลยสักนิด รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่รัก แต่ก็ยังรักเขาอยู่ได้เมื่อเห็นสีหน้าปวดร้าวของเพื่อนรักเท่านั้น คุณหมอสาวก็นึกอยากตีปากตัวเองค่าที่พูดไม่คิด“ยัยปูน...ฉันขอโทษนะ” คุณหมอสาวเอื้อมมือมากุมมืออันสั่นเทาของเพื่อนอย่างเห็นใจ“ขอโทษทำไม แกไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ฮึก...” หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป จนคนเป็นเพื่อนอดตกใจไม่ได้ รีบเข้ามาสวมกอดปลอบใจ“แก อย่าร้องไห้สิ ฉันปลอบคนไม่เก่งนะ”ยิ่งปลอบ อีกฝ่ายก็ยิ่งร้องหนักกว่าเดิม สุดท้ายคนปลอบเลยเลิกปลอบ แล้วหันมา
ฉัตรินขมวดคิ้วแน่นเมื่อกลับจากที่ทำงานแล้วพบว่าทั้งบ้านปิดไฟมืดราวกับไม่มีใครอยู่ มองไปทางบ้านใหญ่ของพ่อแม่เขาก็ดูเงียบเชียบผิดไปจากที่เคยก็ไหนแม่เขาโทรมาบอกว่ายัยนั่นจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ยังถามเขาว่าจะไปรับเธอที่โรงพยาบาลไหมด้วยซ้ำ แต่เป็นเขาที่ปฏิเสธไปเพราะงานยุ่งแถมยังต้องเข้าประชุม หรือถึงไม่เข้าประชุม เขาก็ไม่ไปอยู่ดี เรื่องอะไรเขาต้องทำให้ยัยนั่นได้ใจด้วยเล่า“ทำไมบ้านเงียบจัง ไปไหนกันหมด” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เมื่อเห็นเด็กรับใช้วิ่งออกมาเปิดประตูให้ช้า ตาคมเผลอแลไปทางโซฟากลางบ้านที่ใครบางคนมักจะมานั่งสัปหงกคอยต้อนรับเขากลับบ้านทุกวันไม่ว่าดึกดื่นแค่ไหนแต่วันนี้มันกลับว่างเปล่า ไม่สิ จริงๆ มันก็ว่างเปล่ามาตั้งแต่วันที่เธอเข้าโรงพยาบาลแล้วต่างหาก เขาก็แค่ยังไม่ชิน“คุณพ่อคุณแม่ล่ะ ยังไม่กลับจากโรงพยาบาลหรือไง”“กลับมาตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ”“อ้าว แล้วหายไปไหนกันหมด หรือว่าขึ้นนอนแล้ว”เขาก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ ก็พบว่ายังไม่ถึงเวลาที่พ่อแม่เขาพักผ่อนตามปกต
มือหนากดปัดผ่านไล่ดูภาพที่ปรียากรลงไว้ ไม่ใช่อยากดูเจ้าของเฟซหรอก ก็แค่อยากดูภาพตอนพ่อกับแม่เขาที่ดูมีความสุขเพราะได้เที่ยวพักผ่อนต่างหากพ่อกับแม่มัวแต่พาลูกสะใภ้เที่ยวเพลินจนลืมลูกชายที่บ้านไปแล้วนานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เขาไม่ได้เที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว นับดูแล้วก็คงตั้งแต่เขาแต่งงานกับปรียากรมา แล้วก็ทำตัวบ้างานมาเท่าเวลาที่แต่งงานกับเธอนั่นแหละจนกระทั่งมือเลื่อนลงไปเจอรูปภาพหนึ่งเข้า ทำให้คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากันจนเกือบผูกโบได้ เมื่อเห็นใครบางคนสวมชุดว่ายน้ำแบบบิกินี่ แต่มีผ้าซีทรูสีขาวผืนบางพันรอบเอวคอดกิ่วยืนอยู่ริมทะเล ดูแปลกตาจากที่เคย แม้ไม่ได้ดูโป๊เปลือยหรือน่าเกลียด ถ้าดวงตาไม่อคติจนเกินไป ก็ต้องบอกว่านางแบบในรูปนั้นสวยมาก หุ่นดีน่ามองไปทั้งตัว เขาเองก็พิสูจน์มาด้วยตัวเองแล้วในคืนนั้นแต่เขากลับรู้สึกขวางหูขวางตาอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นใบหน้าหวานกำลังส่งยิ้มผ่านหน้าจอมาราวกับยิ้มเยาะคนถูกทิ้งไว้ที่บ้านคนเดียวเพิ่งหายไข้ ออกจากโรงพยาบาลมาแท้ๆ แต่ดันแต่งตัวไม่เจียมบอดี้ อยากแต่งโชว์ใครไม่ทราบ บ่นในใจพลางเลื่อนลงมาดูคอมเมนต์ด้านล่างภาพ ทำให้ยิ่งห
“อ้าว ตาซีมาเมื่อไหร่กัน”“เพิ่งมาถึงเมื่อกี้ครับแม่ ขับรถมาทั้งคืนเลย”“แล้วแกจะขับมาทำไมทั้งคืนล่ะอันตรายจะตาย แล้วนี่วันนี้ไม่ทำงานทำการหรือไง” คุณเกรียงไกรถามพลางหันไปรับแก้วน้ำส้มจากลูกสะใภ้ ก่อนที่เธอจะหันไปวางกาแฟให้สามีโดยแทบไม่มองหน้าขวางตาอีกแล้วยัยนี่ กินยาลืมเขย่าขวดมาหรือไงนะ“นั่นสิ ไหนว่างานยุ่งนักยุ่งหนา แล้วจะมาที่นี่ทำไม”“ก็ผมเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่นี่ครับ โทรมาก็ปิดโทรศัพท์ทั้งคู่ เลยมาดูให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นอะไร”“โฮ้ย พ่อกับแม่มีหนูปูนคอยดูแลอย่างดี แกจะต้องมาห่วงทำไม ปกติแกก็ไม่เคยมาดูดำดูดีนี่ ตอนโทรหาก็ไม่ค่อยจะรับสายด้วยซ้ำ” คุณโฉมฉายได้ทีประชดลูกชายอย่างหมั่นไส้“พ่อกับแม่แบตหมดลืมชาร์ตน่ะสิ แล้วทำไมแกไม่โทรหาเมียตัวเองเสียล่ะ หรือว่าไม่ได้โทรหานานจนลืมเบอร์น้องไปแล้ว”คนถูกประชดค่อนขอดในใจ ใครจะไปลืมเบอร์ที่คอยโทรจิกทุกเมื่อเชื่อวันได้ พอเขารำคาญมากๆ หาเรื่องบล็อกเบอร์เธอตั้งหลายครั้ง ยัยนั่นก็ยังอุตส่าห์เปลี่ยนเบอร์ใหม
พอเสร็จจากมื้อเช้าได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงรถจอดที่หน้าบ้าน ก่อนที่แม่บ้านจะวิ่งขึ้นมารายงาน“มีแขกมาขอพบคุณปูนค่ะ บอกว่านัดไว้”คนนอนเอกเขนกหลับตาที่โซฟากลางบ้านถึงกับหูผึ่งทันใด“คงเป็นเพื่อนหนูปูนคนที่ว่าน่ะสิ”“งั้นเดี๋ยวปูนออกไปดูเองค่ะ” ปรียากรที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเดินลงมาจากห้องเอ่ยขึ้น โดยไม่สนสายตาที่จ้องเขม็งมาของสามีที่ดีตามกฎหมาย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่พ้นจะหาเรื่อง“ชุดอะไรของเธอน่ะ” นั่นไง เดาผิดเสียที่ไหน“ก็ชุดปกตินี่คะ” เธอตอบเสียงเรียบตามความจริง ก่อนจะรีบออกไปต้อนรับและพาแขกของตนเข้ามาเพื่อทักทายพ่อแม่สามี โดยไม่แคร์สายตาไม่ปกติที่จ้องตามอย่างจับผิดปกติตรงไหน จะออกไปกับผู้ชายอื่นต้องแต่งตัวสวยขนาดนั้นด้วยหรือไง ยิ่งมองก็ยิ่งขัดตา แล้วไอ้เสื้อปาดไหล่แขนตุ๊กตาโชว์ลาดไหล่ขาวๆ เกือบเห็นเนินอกอิ่มรำไรนั่นคืออะไร ไหนจะกางเกงยีนส์ขาสั้นที่อวดเรียวขาขาวสวยนั่นอีกล่ะ ถึงไม่ได้สั้นมากจนเสมอหูเห็นไปถึงไหนต่อไหน แต่ก็น่าเกลียดอยู่ดีสำหรับคนที่แต่งงานมีสามีแล้ว&l
เป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะพิเศษเกินกว่าจะหาคำบรรยายใดๆ มาบอกได้ ในวินาทีที่ผิวกายอ่อนบางได้สัมผัสกับไออุ่นจากอกของพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต ฉัตรินรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัวนี่คือลูกของเขา ลูกที่เขาเกือบพลั้งทำลายด้วยทิฐิอย่างร้ายกาจ แต่มาวันนี้เขาสามารถเสียสละทุกสิ่งที่มีเพื่อให้คนในอ้อมอกนี้มีชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะให้ได้น่าเสียดายที่แม่ของเจ้าตัวน้อยยังไม่ฟื้น หาไม่เธอคงจะมีความสุขมากที่ได้เห็นลูกน้อยของเราในวันนี้หลังจากครบเวลาที่กำหนด ทารกน้อยก็ถูกอุ้มใส่รถเข็นสำหรับเด็ก เพื่อไปให้นมก่อนจะพาไปหาคุณแม่ที่ห้องพักฟื้นโดยปกติฉัตรินไม่ใช่คนรักเด็กหรืออินอะไรกับเด็กมาก่อน แต่ทว่าหลังจากที่มีลูก ชายหนุ่มกลับกลายเป็นคุณพ่อลูกอ่อนที่ใจบางเสมอเวลาที่ได้เจอหน้าเจ้าตุ๊กตาน้อยๆ ที่ชื่อน้องปูเป้“ไงคะลูกพ่อ ทักทายคุณแม่หน่อยสิลูก”เสียงสองก็มา เขาได้แต่ขำตัวเอง อย่าให้ใครที่บริษัทมาได้ยินเลยว่าท่านประธานทำเสียงแบบนี้ คงสิ้นความยำเกรงกันก็คราวนี้แต่ช่างประไร ใครสน ลูกเขาออกจะน
ท่ามกลางสายตาของครอบครัวทั้งสองฝ่ายรวมถึงเพื่อนสนิทของหญิงสาวอย่างจนิตา ที่คอยมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของคนที่เคยใจร้ายกับเพื่อนเธอมาสารพัดอย่างสงสารแกมสมน้ำหน้า ที่กว่าเขาจะรู้ว่าตัวว่ารักก็เกือบต้องสูญเสียปรียากรและลูกสาวไปตลอดกาลเสียแล้วยังดีที่เบื้องบนยังให้โอกาสแก้ตัว แต่ก็นับเป็นบทเรียนและบททดสอบชีวิตคู่ที่หนักหนาสาหัสเอาการทีเดียวเย็นวันหนึ่งหลังจากที่เขากลับมาจากบริษัท และเข้าไปเยี่ยมลูกสาวที่ห้อง NICU หรือห้องผู้ป่วยทารกแรกเกิดระยะวิกฤตเหมือนเช่นทุกวัน พออัดคลิปเสร็จและได้ข่าวดีว่าลูกสาวตัวน้อยจะได้ออกจากตู้อบแล้วในอีกสองวันข้างหน้า ชายหนุ่มจึงเก็บข่าวดีนี้มาบอกแม่ของลูกที่ห้องพักฟื้นของเธอ“ปูนจ๋า...วันนี้พี่มีข่าวดีมาบอกด้วยนะ”เขาชินเสียแล้วกับการต้องพูดเองเออเองคนเดียวให้เธอฟัง ทั้งที่อีกฝ่ายไม่รับรู้เรื่องราวอะไร นอกจากนอนหลับ“น้องปูเป้ ลูกสาวของเราจะได้ออกจากตู้อบวันมะรืนนี้แล้วนะ ดีใจไหม” ทุกครั้งที่เอ่ยถึงชื่อของลูกรัก ชายหนุ่มต้องมีรอยยิ้มเสมอปูเป้ ที่แปลว่า ตุ๊กตา ในภาษาฝรั่งเศสที่เขาเป็นคน
ความรักเป็นเช่นนี้เอง...ให้ได้ทุกอย่างกระทั่งชีวิต ขอเพียงคนที่รักปลอดภัยทำไมนะ เขาถึงเพิ่งมาเข้าใจในวันที่เกือบสายเพียงคิดว่าต้องเสียเธอกับลูกไปต่อหน้าต่อตา แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง ให้ตายแทนเสียยังดีกว่า ต้องอยู่ในโลกที่ไม่มีเธอกับลูก!เพียงคิด หัวใจก็ปวดหนึบ มันมึนมันชาไปหมด“ตั้งสติไว้ลูก ไม่ใช่เวลาร้องไห้ เขาไม่ใช่แค่ลูกเมียแก แต่ในนั้นก็ลูกสาวและหลานสาวของพ่อกับแม่เหมือนกัน หายใจลึกๆ เข้าไว้ อะไรจะเกิดเราต้องยอมรับให้ได้” คุณเกรียงไกรเตือนสติจนิตาหน้าเสียในฐานะหมอเธอยอมรู้ดีกว่าใคร แม้จะเคยผ่านความเป็นความตายมานักต่อนักบอกได้คำเดียว เคสนี้ยาก เอาแค่แม่หากผ่าตัดสำเร็จ โชคดีอาจฟื้น แต่โชคร้ายอาจกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไหนจะเด็กที่คลอดอีกล่ะ หกเดือนเศษตัวยังเล็กนัก หากโชคดีรอดก็อาจต้องอยู่ในตู้อบอีกนานเท่าไหร่ยังไม่รู้ แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับจะรอดในสภาพไหน สมบูรณ์ หรือไม่ต่างหากยากเกินไป ยากจริงๆทุกนาทีที่ผ่านไปช่างบีบหัวใจคนที่รอ นานหลายชั่วโมง ก่อนที่ประตูจะเปิดอีกครั้ง พร้อมกับตู้อบที่มีทารกร่างเล็กน
ปรียากรได้แต่เก็บความสงสัยไว้โดยไม่ถามต่อ ในเมื่อเธอกับ ฉัตรินจบกันไปนานแล้ว เธอก็ไม่อยากยุ่ง เขาจะมีใครใหม่ หรือคบใครต่อก็เป็นสิทธิ์ของเขา“อุ๊ย!” หญิงสาวเผลออุทาน เมื่อมีแรงเตะเบาๆ จากภายในท้อง ที่พักนี้มักจะมาบ่อย โดยเฉพาะเวลาที่คนเป็นแม่กำลังคิดมาก หรือไม่ก็คิดถึงพ่อของลูก“ตัวแสบของแม่ อย่าเตะแรงนักสิลูก แม่เจ็บนะ” ปรียากรบอกน้ำตาคลอ เธอชอบคุยกับลูกในท้องเสมอ สายใจความรักถูกถักทอในหัวใจเธอพร้อมกับสมานรอยแผลที่พ่อของลูกเคยทำให้เจ็บมาก่อนการดึงดันที่จะแต่งงานกับเขา อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้สูญเปล่า แม้จะต้องหย่ากัน เขาก็ยังอุตส่าห์ให้ลูกน้อยกับเธอมาเป็นรางวัลในความทุ่มเทที่สูญเปล่านั่นวันนี้เธอหันกลับมารักและทุ่มเทให้กับเจ้าตัวน้อยในท้องแทน“คิดถึงพ่อเขาล่ะสิ ไม่เป็นไรนะคะ ถึงหนูไม่มีพ่อ แต่แม่จะดูแลหนูให้ดีที่สุดเลยนะ อยากพบหน้าหนูเร็วๆ จัง”หญิงสาวลูบท้องกลมของตัวเองอย่างมีความสุข ดวงตาคู่งามมองไปด้านหน้าที่สัญญาณไฟจราจรเพิ่งเปลี่ยนเป็นสีเขียว“เอาล่ะ กลับบ้านเรานะลูกนะ”เธอว่าพ
ชีวิตเขามันโดดเดี่ยวอ้างว้างแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะชายหนุ่มนอนก่ายหน้าผากมองเพดาน ปล่อยใจให้ล่องลอยไปไกล ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายเรียกร้องที่จะหย่ากับเธอด้วยตัวเองมาตลอด แต่พอได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้มาสักนิดคิดถึง...คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้ง พร้อมกับใบหน้าหวานของใครคนนั้นที่มักจะมาก่อกวนในใจในยามที่เผลอ ตอนแรกเขาใช้การทำงานให้หนักขึ้นเพื่อหวังให้ความคิดถึงที่มีหายไป แต่มันก็ไม่ค่อยได้ผล พอมีเวลาว่างเมื่อไหร่ หัวใจก็ลอยกลับไปหาคนที่ไม่สมควรคิดถึงทุกทีอยากรู้นัก เธอจะรู้สึกเหมือนกันกับเขาหรือเปล่านะความคิดของเขามีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงรถคุ้นหูแล่นผ่านไปทางบ้านใหญ่ของพ่อแม่ ร่างสูงจึงเด้งตัวผึ่งไปที่หน้าต่างห้องทันทีรถเก๋งสีขาวแล่นเข้ามาจอดเทียบ พร้อมกับที่พ่อแม่เขาลงจากรถ แต่แล้วหัวใจที่เคยเฉยชาก็กลับเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นร่างอวบอิ่มที่ตอนนี้สวมชุดคลุมท้องสีฟ้าสดใสเปิดประตูตามลงมา เพื่อช่วยลำเลียงสิ่งของที่ซื้อออกจากท้ายรถให้ฉัตรินสะดุดลมหายใจตัวเองทันใด เมื่อเห็นใบหน้าหวานส่งยิ้มให้พ่อแม
คุณโฉมฉายขมวดคิ้ว ก่อนหันไปสบตากันกับสามีอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอดีตแคนดิเดตลูกสะใภ้ ที่วันนี้มาในชุดคลุมท้องแบบสวยทันสมัย“แล้วนี่คุณมาทำอะไรที่นี่คะ หรือมีใครเป็นอะไร เมื่อกี้รัญเห็นคุณปูนเพิ่งเดินออกไป หรือว่า...”“พวกเราพาหนูปูนมาฝากท้องน่ะจ้ะ”คุณโฉมฉายชิงตอบเสียเองด้วยความหมั่นไส้ หญิงสาวตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนตอนที่เคยคบกับลูกชายของเธอเลย ในสายตาอีกฝ่ายมักมองเห็นแต่ลูกชายของเธอคนเดียว โดยไม่สนใจคนรอบข้างกระทั่งผู้ใหญ่ที่ยืนหัวโด่ในฐานะพ่อแม่ของคนที่เธอหมายปอง สวยก็จริงอยู่ แต่จริตมารยาทในการเข้าหาผู้ใหญ่สอบตก เมื่อเทียบกับปรียากรแล้วยังห่างชั้น“อ้าว คุณพ่อคุณแม่ก็มาด้วยเหรอคะ ขอโทษนะคะ หนูไม่ทันเห็น” คนพูดยกมือไหว้แผล็บ ก่อนส่งยิ้มหวานปะเหลาะพ่อแม่ของชายหนุ่ม“จ้ะ แล้วนั่นหนูท้องได้กี่เดือนแล้วจ๊ะ”รัญชิสาหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำถามแสลงหู แต่ก็ฝืนยิ้มตอบกลับไป“รัญท้องได้สี่เดือนกว่าแล้วค่ะคุณแม่”“แล้วนี่ทำไมมาคนเดียวล่ะ พ่อของเด็กไม่มาด้วยหรือจ๊ะ&
ที่แผนกสูตินรีเวชกรรม ปรียากรพร้อมด้วยอดีตพ่อแม่สามีนั่งรอคิวเพื่อฟังผลตรวจและอัลตราซาวน์ ทั้งสามพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินและตื่นเต้นที่จะได้เห็นภาพแรกของลูกในท้องหญิงสาว โดยไม่ได้สนใจส่วนเกินที่เดินตามมานั่งที่ด้านหลังเงียบๆ“อ้าว แล้วแกไม่ไปทำงานทำการเหรอเจ้าซี” คุณเกรียงไกรหันไปถามลูกชายที่นั่งทำตัวเป็นอากาศ เพราะไม่มีใครคุยด้วย“เดี๋ยวเสร็จจากฝากครรภ์ค่อยไปครับพ่อ” ชายหนุ่มบอกราวกับจะมาฝากครรภ์เสียเอง“กลับไปเลยก็ได้มั้ง เดี๋ยวทางนี้พ่อกับแม่ดูเอง” คนเป็นแม่บอกอย่างไม่ไยดี แต่ฉัตรินกลับทำหูทวนลม ตาแอบมองอดีตเมียเก่าที่ทำตัวเฉยเมยไม่สนใจ แทบไม่มองหน้าเขาตั้งแต่ตอนนั่งรถมาด้วยกันก็อดขัดใจไม่ได้“คุณปรียากรค่ะ” เสียงพยาบาลหน้าห้องขานชื่อ ทำให้ทั้งคณะลุกพรึ่บขึ้นแทบพร้อมกัน“จะเข้าไปทั้งหมดนี่เลยเหรอคะ” ทุกคนพร้อมใจกันปรายตาไปมองส่วนเกินที่ทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้เป็นตาเดียว“ครับ ทั้งหมดนี่เลย” ฉัตรินตอบอย่างมั่นใจ ในเมื่อมาแล้วเขาก็อยากเห็นผลผลิตที่อาจเป็น
ปรียากรมองคนถามอย่างหยั่งเชิง“ถามทำไม อย่าบอกนะว่าเป็นห่วง” คิดว่าเขาคงโต้กลับทำนองว่าอย่าหลงตัวเองเหมือนทุกที แต่ก็เปล่า“ใช่ พี่เป็นห่วง”คำนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับอึ้ง ใจสั่นไหว“ห่วงลูกในท้อง”นั่นไง เธอว่าแล้ว“คุณเอาเวลาไปห่วงลูกในท้องพี่รัญเถอะ อย่ามาวุ่นวายกับลูกฉันเลย” เธอไม่ได้ประชด แต่พูดจากใจจริง เธอเหนื่อยกับเขาเต็มทีแล้วกระทั่งยอมแพ้และเดินออกจากชีวิตอีกฝ่าย“อย่าลืมสิคะว่าเราหย่ากันแล้ว”ชายหนุ่มนั่งนิ่งงัน เพราะบางสิ่งกำลังก่อกวนในหัวใจเขาอย่างหนักหน่วง“พี่รู้ แต่ถ้าเขาเป็นลูกพี่จริง”ปรียากรเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อระงับโทสะ ไม่ให้เผลอข่วนหน้าคนพูดจนเป็นแผลเหวอะหรือชกเขาไปสักหมัด ข้อหาพูดจาไม่เข้าหูไม่ใช่ลูกเขาจะเป็นลูกใครได้ล่ะ ในเมื่อคืนนั้นเขาเล่นเคี่ยวกรำเธอจนระทวยไปกี่รอบต่อกี่รอบก็จำไม่ได้ จนไข้ขึ้นต้องนอนโรงพยาบาลตั้งหลายวัน ยังจะมาสงสัยว่าลูกใครไม่เลิกไอ้ผัวผีบ้านี่! ไม่สิ ต้องเรียกว่าผัวเก่า ถึงจะถูก“เอาล่ะ งั้นฉันขอถามหน่อย ถ้าเขาใช่ลูกคุณจริงแล้วจะยังไงต่อ คุณจะกลับมารับผิดชอบฉันกับลูกหรือไง หรือว่าจะมาแย่งลูกไปจากฉัน หรือว่า...จะให้เอาออก เพราะคุณไม่อยากมีล
“เวรของกรรม!” จนิตาถึงกับอุทานลั่น เมื่อได้ยินเรื่องราวจากปากเพื่อนรัก หลังจากที่เธอรีบแจ้นมาหาถึงที่คอนโดทันทีที่วางสายจากฉัตริน“ท้องเกือบสองเดือนเนี่ยนะ ทำไมแกไม่รีบบอกฉันให้ไวกว่านี้”“ฉันก็เพิ่งรู้ไหม ช่วงก่อนย้ายบ้านก็วุ่นวายจนไม่ทันสังเกต” ปรียากรโบกยาดมไปมา พลางลูบที่หน้าท้องเบาๆ กลัวลูกในท้องตกใจเสียงแปดหลอดของเพื่อนแม่“แล้วนี่จะเอายังไง พ่อของลูก เขารู้เรื่องแล้วด้วย พี่ซีไม่ยอมปล่อยแกไปง่ายๆ แน่” ดูจากที่โทรจิกเธอทุกชั่วโมงก็พอรู้ได้“หรือจะคืนดี”“ไม่!” หญิงสาวตอบทันควัน “แกห้ามบอกเขาเด็ดขาดว่าฉันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่ด้วย บอกแค่แกแล้วก็พ่อแม่ฉัน”“ฉันน่ะไม่บอกแน่ แต่พ่อแม่ผัวเก่าแกล่ะ จะมั่นใจได้ยังไง เขาพ่อแม่ลูกกัน ยังไงรู้ว่ามีหลานต้องรีบบอกแน่” ปรียากรทำหน้าหนักใจ“ไม่หรอกแก พี่ซีเขาไม่เชื่อว่าลูกในท้องเป็นลูกเขา”“เชี่ยไรวะ!” คุณหมอสาวถึงกับสบถหยาบคาย