ไอเดนผมได้ยินเธอถอนหายใจยาว จากนั้น “ขอบคุณมากที่มา ฉันซาบซึ้งจริง ๆ”ผมพยักหน้าแข็ง ๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ลูกสาว“เอาล่ะ” เธอเริ่มต้นอย่างเคอะเขิน “เราต้องไปหาหมอ จะได้เริ่มกระบวนการรักษาทันที”ผมถอนหายใจ ใช่ กระบวนการรักษา นั่นคือเหตุผลที่ผมมาที่นี่… เหตุผลที่เธอจำใจบอกผมว่าเธอมีลูกกับผม… เหตุผลเดียวที่ผมได้รับอนุญาตให้รู้จักเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเองก็เพราะว่าเธอใกล้ตายผมรู้สึกว่าข้างในเริ่มเดือดพล่านด้วยความโกรธอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ผมก็ยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการหักหลัง และความเจ็บปวดจากสิ่งที่เธอทำหลังจากมองเอมี่เป็นครั้งสุดท้าย ผมกล้ำกลืนความโกรธทั้งหมดและพยักหน้า “ไปกันเถอะ”เราต้องเริ่มทันที เพื่อการพบหน้ากันกับลูกสาวจะได้ไม่สูญเปล่าในตอนท้ายเธอนำทาง การเดินระยะสั้น ๆ ไปยังห้องทำงานของคุณหมอนั้นเงียบและตึงเครียด แต่เราก็ผ่านมันมาได้“ถึงแล้วค่ะ” เธอพึมพำขณะหยุดอยู่หน้าประตูที่เขียนว่า ‘พบแพทย์’ทันทีที่เราก้าวเข้าไป สายตาหมอก็จับจ้องมาที่ผมด้วยรอยยิ้มมืออาชีพบนใบหน้า เขาชี้ไปยังที่นั่งอีกด้านหนึ่งของโต๊ะทำงานหลังจากเรานั่งลงแล้ว เขาก็จ้องมองมาที่ผมและถามว่า “เ
ไอเดนเสียงสะอื้นน่าสมเพชหยุดลงเมื่อผมรู้สึกว่านิ้วเธอขยับอยู่ในมือผมรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้าและเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ขณะที่เธอจ้องมองกลับมาชั่วขณะหนึ่ง ผมก็จ้องมองเช่นกัน เธอตื่นแล้วจริง ๆ หรือว่าผมกำลังเห็นสิ่งที่ตาอยากเห็น?เธอกะพริบตา ผมยิ้ม มือกระชับรอบมือเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย มันไม่ใช่ภาพลวงตา เธอตื่นแล้วจริง ๆ“ไง” ผมพูดด้วยเสียงแหบแห้ง“คุณลุงคนให้ปากกา” เธอพูดด้วยเสียงแหบแห้งและสีหน้าเรียบเฉยรอยยิ้มผมกว้างขึ้น “จำได้ด้วยเหรอ”เธอพยักหน้า “หนูชอบปากกาด้ามนั้นมาก ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ ยังอยู่ที่บ้านอยู่เลย เป็นปากกาแท่งโปรดเลยค่ะ”ถึงตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่าเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า “ดีจัง” ในเมื่อไม่มีอะไรจะพูด ผมรีบเสริม “ฉันซื้อให้เพิ่มได้นะ ถ้าหนูอยากได้ อยากได้กี่ด้ามล่ะ? หนึ่งโหล? สองโหล? ทั้งแพ็คเลยไหม?”ผมเค้นสมองขณะที่พยายามนึกว่าไปได้ปากกาด้ามนั้นมาจากที่ไหน เพื่อที่ผมจะได้ซื้อมาให้เธอเพิ่มเธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “ถึงคุณจะหยาบคาย แต่ก็ใจดี แต่ไม่ต้องกังวลค่ะ หนูไม่อยากทำให้คุณลำบากเกินไป อีกอย่าง หนูไม่คิดว่าแม่จะปล่อยให้หนูขนปากกาที่สะสมจากคนแปลกหน้าไปวางทั่วบ้าน
อนาสตาเซีย“เขาไม่ใช่พ่อหนูค่ะ” ฉันได้ยินเอมี่พูดด้วยน้ำเสียงปกป้องตัวเองขณะที่ก้าวกลับเข้าไปในห้องพวกเขายังไม่ทันสังเกตเห็นว่าฉันกำลังเดินเข้ามาในห้อง ดังนั้นฉันจึงยืนอยู่ที่นั่น ขณะที่ไอเดนเกร็งและไม่พูดอะไร ทั้งคู่ดูเหมือนเอาแต่จ้องตากันไปมา สายตาของเอมี่เปลี่ยนเป็นไม่เป็นมิตร และไอเดน… เขาดูหมดสภาพพยาบาลก็สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดในบรรยากาศ ท่าทางตะกุกตะกักว่าจะพูดอะไรต่อดี สายตาของเธอกะพริบเลื่อนจากลูกสาวไปหาพ่อในที่สุด เธอก็พึมพำออกมาอย่างเขินอาย “โอ้”ฉันเหลือบมองไปที่พยาบาล บางทีเธออาจจะเป็นคนถามคำถามที่ทำให้เอมี่พูดประโยคนั้นออกมา บางที เธออาจไม่เคยเห็นไอเดนมาก่อน จึงถามว่าเขาเป็นพ่อหรือเปล่าฉันไม่ได้ตำหนิเธอหรอก เธอเป็นพยาบาลคนใหม่ ดังนั้นเธออาจจะไม่รู้จักทั้งฉันและเดนนิสบางทีฉันอาจจะเป็นฝ่ายผิดเอง โอ้ ไม่ใช่บางทีสิ ฉันผิดเต็ม ๆ เลยล่ะ ฉันควรจะหาวิธีอธิบายให้เอมี่ฟังว่าเธอมีพ่ออีกคนนอกเหนือจากเดนนิส คนที่เธอมักจะถามหาเสมอ พอเป็นแบบนี้ เรื่องลำบากมากมายอาจแก้ไขได้ง่ายกว่าเดิมฉันสูดจมูกเบา ๆ กดส้นมือลงบนดวงตาเป็นครั้งสุดท้ายในที่สุด ไอเดนก็ละสายตาและยิ้มให้พยาบา
ฉันจ้องมองเอมี่ สายตาเธอก็จ้องมองมาที่ฉันเหมือนกันขณะเฝ้ารอคำตอบฉันไม่รู้จะพูดอะไร ไม่สามารถบอกได้ว่าไอเดนไม่ใช่พ่อของเธออีกต่อไป ไม่ใช่หลังจากที่เขาบอกเป็นนัยไปแล้ว หรือจะปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่พ่อของเธอก็ไม่ได้ เผื่อเพราะในอนาคตก็ต้องบอกเธออยู่ดี ว่าผู้ชายที่ฉันเคยบอกว่าไม่ใช่พ่อ ความจริงแล้วเป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอนั่นมันโง่มาก และเป็นการโกหก ฉันบอกเธอเสมอว่าอย่าโกหก แล้วฉันเป็นตัวอย่างแบบไหน?นอกจากนี้ ไอเดนอาจจะไม่ต้องการอย่างนั้นด้วยซ้ำใช่ไหม? มันอาจจะทำให้เขาโกรธ และฉันไม่อยากเสี่ยงให้เขากลับคำแต่มันถึงเวลาอันเหมาะสมที่จะบอกเธอหรือยัง?ในแง่ร่างกายภายนอก เธอกำลังทุกข์ทรมาน คงไม่ยุติธรรมที่จะทำให้เธอต้องเผชิญกับความวุ่นวายทางอารมณ์ที่การบอกความจริงอาจส่งผลกระทบต่อเธอ มันเป็นสิ่งที่เธอต้องเผชิญในสักวันหนึ่ง ไม่ว่าวันนี้ฉันจะตัดสินใจแบบไหน แต่ฉันไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ ไม่ต้องการให้เป็นตอนนี้เธอรู้จักเดนนิสในฐานะพ่อแล้ว ฉันอยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นต่อไป“แม่คะ? พ่อป่วยเหรอ?”ริมฝีปากของฉันโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มตึงเครียด ก่อนจะลูบผมเธอ เส้นผมหลุดร่วงมาตามนิ้วจนฉันต้องกลืนน้ำลาย“พ่อไ
อนาสตาเซียฉันเหนื่อยล้า ส่วนใหญ่เป็นความเหนื่อยล้าทางใจ แต่สุดท้ายฉันก็กลับถึงบ้านขณะที่ฉันลากเท้าไปที่ประตู ฉันก็ทดรายการสิ่งที่ต้องทำไว้ในใจเก็บสมุดภาพระบายสีให้เอมี่…หลังจากที่เราพยายามติดต่อเดนนิสและเขาไม่รับสาย เอมี่ก็ยอมรับว่าเขาอาจจะยุ่งกับงานจริง ๆ อย่างที่ฉันพูดจากนั้นเธอก็พูดว่า “วันนี้แม่จะกลับบ้านใช่ไหมคะ? พอกลับถึงบ้าน บอกพ่อด้วยนะคะว่าหนูคิดถึงพ่อมากเลย! ตอนพ่อมาหา ให้เอาอุปกรณ์ระบายสีของหนูมาด้วยนะคะ ตอนหนูไม่ได้หลับหนูเบื่อจะแย่” จากนั้นเธอก็ยิ้มกว้าง “แล้วก็ หนูสัญญาว่าจะวาดรูปให้พ่อค่ะ”ฉันใช้โอกาสนั้นเพื่อให้กำลังใจเธอ และขอร้องให้เธอบอกว่าเธอคิดจะวาดอะไรให้เขา แต่เธอไม่ยอมบอก พูดแค่ว่า “เป็นความลับระหว่างพ่อกับหนูค่ะ”หลังจากถอนหายใจ ฉันก็มาหยุดอยู่หน้าประตู พยายามไขกุญแจ แต่ก็แปลกใจที่มันไม่ได้ล็อกเดนนิสกลับมาแล้ว? หัวใจฉันอบอุ่น การที่เขาเลือกกลับบ้านเร็วเป็นเรื่องดี บางทีเขาอาจจะอยากไปเยี่ยมเอมี่แต่เช้าตรู่ก่อนจะไปทำงาน และหวังว่าไอเดนจะยุ่งเกินกว่าจะไปเยี่ยมเธอในวันพรุ่งนี้“เดนนิส?” ฉันเรียกขณะที่ฉันผลักประตูเปิด ไฟยังคงดับอยู่เหมือนตอนฉันออกไป ด
ชารอนฉันขยี้ตาขณะที่หาวออกมาขณะหรี่ตาดูเอกสารบนหน้าจอ ยิ่งฉันจ้องมอง ประโยคและตัวเลขก็ยิ่งพร่ามัว เปลือกตายิ่งหนักอึ้งฉันกลัวการเข้านอนไปเลย เพราะทุกครั้งที่ฉันหลับตาลง สิ่งที่ฉันเห็นก็คือไอเดนและอนาสตาเซียรักกันหวานชื่นทุกช่วงเวลาที่ฉันใช้ไปอย่างไร้ค่าเต็มไปด้วยจินตนาการว่าไอเดนและอนาสตาเซียอยู่ด้วยกัน ฉันไม่อยากมีความคิดเหล่านั้น ไม่อยากคิดว่าสามีตัวเองกำลังจะกลายเป็นพ่อของลูกกับผู้หญิงคนอื่นฉันไม่ได้ยินข่าวจากไอเดนเลยตั้งแต่นังบ้านั่นกลับเข้ามาในชีวิตเรา ฉันไม่รู้ว่าเขากลับบ้านหรือเปล่า เพราะสิ่งแรกที่ฉันทำในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากคืนที่ฉันเมาคือจองตั๋วเครื่องบิน เก็บข้าวของ และออกจากประเทศฉันทิ้งธุรกิจไว้ที่นี่และบินไปหาไอเดนโดยไม่คิดอะไรมาก คนที่ฉันฝากฝังธุรกิจไว้ให้ทำงานได้ดีพอสมควร แต่ฉันก็ยังไม่พอใจฉันไม่ต้องการแค่ดีพอสมควร แต่มันต้องออกมาดีที่สุด ฉันคงทำได้ดีกว่านี้ถ้าฉันอยู่ดังนั้นฉันจึงออกมาทำงาน งานก็เหมือนเช่นเคย สามารถช่วยฉันขับไล่ความคิดเหล่านั้น รวมถึงความกังวลที่ไม่สิ้นสุดออกไป สิ่งที่ฉันต้องทำคือเติมตัวเลขและตัวหนังสือให้เต็มหัวฉันยังตระหนักว่าตัวเองม
เดนนิสเสียงหัวเราะอันไพเราะของเธอเป็นเสียงแรกที่ผมได้ยินเมื่อผมลืมตาขึ้น แม้จะปวดหัว แต่ริมฝีปากผมก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเสียงนั้น… เพียงพอที่จะทำให้ทั้งวันของผมสดใสผมแอบมองเธอขณะที่สงสัยว่าเธอหัวเราะเรื่องอะไร เธอหันหลังให้ผมขณะที่เธอนั่งอยู่บนขอบเตียง กำลังคุยโทรศัพท์ ผมนึกสงสัยว่าเธอคุยกับใคร เอมี่เหรอ? ผมนึกไม่ออกว่าใครจะทำให้เธอหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงขนาดนี้ขณะที่มือของผมเอื้อมออกไปเพื่อดึงเธอเข้ามา ไหล่ของเธอก็สั่นด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ เธอส่ายหน้าและพูดว่า “ไอเดน” ลากพยางค์สุดท้ายรอยยิ้มโง่ ๆ บนใบหน้าผมหายไป ร่างกายเย็นชา มือแข็งค้างอยู่กลางอากาศแน่นอน ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ผมค่อย ๆ ชักมือกลับและวางมันไว้ที่เดิมเหนือใบหน้าตัวเองสัมผัสถึงอารมณ์อันคงที่… ความโกรธ ความขมขื่น ความเศร้า ความหึงหวงที่ผมพยายามกลบมันเมื่อวานค่อย ๆ ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้งผมลืมไปได้ยังไง? ไอเดนกลับมาอยู่ในชีวิตของเธอแล้ว ผมควรจะเดาได้ตั้งแต่แรก เขาคือผู้ชายที่เธอต้องการมาตลอด ผมเป็นแค่ตัวเลือกสำรองเท่านั้นเสียงนั้น… ผมถอนหายใจพยายามที่จะปล่อยผ่าน แต่ผมทำไม่ได้ ผมรู้ว่าอาน่ารักผม แต่ช่วยไม่ได้น
เดนนิสผมพิถีพิถันมากกับสิ่งที่ผมซื้อ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าในมือคือดอกไม้ที่เธอชอบ และของขวัญที่เธอจะพึงพอใจเท่านั้นผมเหลือบมองดอกไม้และของขวัญตรงที่นั่งผู้โดยสาร ขณะขับรถเข้าไปในบริเวณโรงพยาบาลพลางพยักหน้ากับตัวเอง เธอต้องชอบมัน ผมรีบหาที่จอดและจอดรถก่อนที่ผมจะลงจากรถ ผมเอื้อมมือไปหยิบของที่ผมซื้อให้เธอ แล้วมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน“คุณเดนนิส!” พยาบาลคนหนึ่งที่อยู่หลังเคาน์เตอร์แผนกต้อนรับส่งเสียงเรียก “คุณมาแล้ว ยินดีต้อนรับกลับมานะคะ”ผมพยักหน้าช้า ๆ ประหลาดใจจริง ๆ “ขอบคุณครับ” ผมพยายามยิ้มขณะพึมพำตอบกลับ จากนั้นก็เดินไปที่ห้องของเอมี่พอผมผลักประตูเปิด สายตาเอมี่ก็จับจ้องมาที่ประตู ใบหน้าของเธอสว่างขึ้นทันที“พ่อ!”ผมเร่งฝีเท้าเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายวิ่งมาหาผม แต่เธอก็ยังยืนขึ้นแล้วและก้าวมาสองสามก้าวก่อนที่ผมจะไปถึงตัวเธอ“พ่อ!” เธอพูดซ้ำขณะที่โอบแขนรอบขาผมไว้ ผมวางของในมือลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นมาในอ้อมแขน ดึงเธอเข้ามากอดอ่า ผมคิดถึงเธอมากเลย “พ่อคิดถึงลูกมากเลย ลูกรัก”“หนูก็คิดถึงพ่อมากค่ะ ทำไมพ่อไม่มาเยี่ยมหนูเลยล่ะคะ?”“ขอโทษที่พ่อหา
มุมมองของนักเขียนอาน่าถอนหายใจเสียงดังขณะเดินเข้าไปในห้องพักของเดนนิสและนั่งลงข้าง ๆ เขา เธอหยิบหนังสือออกมาและเริ่มอ่านเป็นครั้งคราว เธอจะเปิดโทรศัพท์เพื่อดูจัสตินนอนหลับหรือเล่นรอบบ้านในขณะที่พี่เลี้ยงยุ่งอยู่ หรือแค่ซุกตัวบนโซฟาตัวหนึ่งเพื่ออ่านหนังสือ โดยคอยจับตาดูจัสตินตอนนี้มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของอาน่าไปแล้วในวันที่เธอพักค้างคืนที่โรงพยาบาล เธอจะออกจากที่นั่นแต่เช้าเพื่อไปดูแลจัสตินและกลับมา ขณะที่เธอนั่งอยู่ข้างๆ เขา นิ้วอุ่นๆ ของเธอประสานกับนิ้วเย็นๆ ที่ยังคงนิ่งของเขา เธอจะอ่านหนังสือเดนนิสยังคงอยู่ในอาการโคม่า และในแต่ละวัน อาน่ารู้สึกว่าความกลัวกำลังเพิ่มขึ้น... กลัวว่าเขาอาจจะยังคงอยู่ในอาการโคม่าจนถึงแก่ชีวิต ทั้งหมดเป็นเพราะเธอคนเดียวเธอต้องการให้เขาลืมตาขึ้นมามองเธอด้วยความรักที่เขามีให้เธอเสมอ เธอต้องการบอกเขาว่าเธอรักเขามากแค่ไหนและรู้สึกขอบคุณที่มีเขาในชีวิตของเธอ แต่ที่สำคัญที่สุด เธอต้องการขอโทษเขาเธอเห็นแก่ตัวมาก คิดว่าความเจ็บปวดของพวกเขาไม่ยิ่งใหญ่เท่าของเธอ... พวกเขาทุกคนรักเอมี่อย่างสุดซึ้ง และพวกเขาทุกคนเจ็บปวดกับการจากไปของเธอจากชีวิตนี้ ห
มุมมองของนักเขียนชารอนถูกตัดสินว่าไม่มีความผิดฐานมีส่วนร่วมโดยตรงในการเสียชีวิตของเอมี่ แต่มีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด เธอโชคดีพอที่จะได้รับการลดหย่อนโทษ จำคุกในระยะเวลาอันสั้น ทนายของเธอทำให้แน่ใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น และทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อของเธอแม้ว่าพ่อของเธอจะผิดหวังกับทุกสิ่งที่เธอทำ แต่เธอก็เป็นลูกสาวของเขา ทายาทที่น่าเกรงขามเพียงคนเดียวของเขา ไม่มีทางที่เขาจะทอดทิ้งเธอได้ขณะที่เธอรับโทษจำคุก นับถอยหลังสู่วันที่เธอจะได้ออกไปจากที่นั่นในที่สุด เธอได้รับเอกสารหย่าร้างส่งมาให้เธอเธอคิดว่าเช้าวันนั้นหนาวเกินไปสำหรับฤดูกาล ห้องขังเล็กๆ ของเธอรู้สึกเล็กกะทันหัน มันรู้สึกเหมือนมันจะปิดล้อมเธอ และเธอเอามือสอดเข้าไปในช่องประตูเพื่อหายใจเมื่อหนึ่งในผู้คุมมาพาเธอไปเธอนั่งลง ได้รับปากกา และต่อหน้าเธอ บนโต๊ะเหล็ก มีจดหมายหย่าร้างวางอยู่ เหตุผลหลักที่เธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมและการกระทำสกปรกเหล่านี้ทั้งหมดคือเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไอเดนทิ้งเธอ มันน่าเศร้าจริงๆ ที่เธอทำงานอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ แต่กลับถูกโยนใส่อย่างแรงที่ใบหน้าของเธอในตอนท้ายดวงตาปวดหนึบด้วยน้ำตาขณะที่เธ
"หยุด!" เสียงของเธอสั่นเครือขณะที่เธอตะโกนบอกคนขับแท็กซี่แค่นั้นก็เพียงพอให้อาน่าหันกลับมา"ฉันทำอะไรลงไป?" ลมหายใจของเธอสั่นเทาขณะที่เธอเปิดประตูและรีบออกจากแท็กซี่ มือของเธอสั่นเทาขณะที่เธอสะดุดลงบนทางเท้า"เดนนิส!" เธอตะโกนขณะที่เข่าของเธอล้มลงบนพื้นคอนกรีตแข็ง "ได้โปรด อย่า" เธอพูดกระซิบ สายตาของเธอจ้องมองไปที่รถที่พังยับเยิน "เดนนิส ต้องรอดให้ได้นะ"เธอคลานไปที่รถ มองเข้าไปข้างในเพื่อดูเขา แต่ข้างในนั้นมืดมิดและเสียงสะอื้นของเธอก็ดังขึ้น "ทำไมฉันถึงออกมา? ทำไมฉันไม่รอเขา?"เธอเช็ดน้ำตา "ฉันสัญญา" เธอสะอื้น "ฉันจะไม่ไปหาเอมี่อีกแล้ว ฉันสัญญา เดนนิส ได้โปรดออกมา" เธอร้องไห้ขณะที่เธอจำได้เลือนรางว่าเขาบอกเธอว่าเอมี่ได้รับความยุติธรรมแล้ว และไม่จำเป็นต้องไปหาเธออีกต่อไปนี่เป็นความผิดของเธอทั้งหมด เธอควรจะฟังเขา เธอควรจะรอเขาก่อนที่เธอจะออกไป"อาน่า!" ไอเดนตะโกนขณะที่เขารีบออกจากรถ เขารู้สึกโล่งใจที่เห็นอาน่า เขาหารถแท็กซี่หลังจากที่เดนนิสขับออกไปสักพัก และตามเขาไป เมื่อเขาสังเกตเห็นฝูงชนและเห็นว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เขาก็กลัวว่าจะเป็นอาน่า"ให้ตายสิ!" เขาพึมพำขณะหยุดอยู่ต่อ
มุมมองของนักเขียนหลังจากที่ไอเดนได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาไม่ลังเลเลยก่อนที่จะเดินออกจากห้องพิจารณาคดีหัวใจของชารอนแตกสลายเมื่อมองดูไอเดนเดินออกไปอย่างโกรธจัด เขาเกลียดชังเธอมากจนทนดูการพิจารณาคดีของเธอไม่ได้เลยหรือ? น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ และเธอรีบเช็ดมันออกก่อนที่พ่อของเธอจะเห็นพ่อของเธอบอกเธอไปก่อนหน้านี้ว่า "พอได้แล้ว ชารอน อย่าร้องไห้เพราะผู้ชายอย่างเขาเลย" แต่นั่นหลังจากที่เขาตำหนิเธอสำหรับทุกสิ่งที่เธอทำ"มีการตัดสินแล้วหรือยัง คุณไอเดน? คุณจะประกันตัวภรรยาของคุณไหม?"คำถามทั้งหมดของพวกเขาไม่ได้เข้าหูไอเดนแม้แต่น้อย เขาไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยขณะที่เขาเร่งรีบไปที่รถของเขาและขับออกจากบริเวณศาลระหว่างทางไปโรงพยาบาล เขาโทรหาทีมรักษาความปลอดภัยของเขาที่ตามเขามาทันทีที่เขาขับรถออกไป "อาน่าสตาเซียเพิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลบ้า ตามหาเธอ" เขาออกคำสั่ง "ผมจะส่งรูปของเธอให้คุณตอนนี้""ครับ"เขาตัดสาย ขณะที่เขาขับรถ เขาหารูปอาน่าที่ชัดเจนและส่งให้ทีมรักษาความปลอดภัยที่เริ่มตามหาเธอทันทีจากนั้นไอเดนพยายามโทรหาเดนนิส แต่เขาก็ยังไม่รับสายเมื่อมาถึงโรงพยาบาล เขาพบเดนนิสอยู่ข้างนอก เขา
ไอเดนเมื่อเวลาผ่านไป คดีของเอมี่ได้รับความสนใจจากสื่อมากมาย ช่องข่าวทุกช่องมีรูปเด็กผู้หญิงน่าสงสารคนนั้นขณะที่พวกเขาพูดถึงการตายที่ไม่ยุติธรรมของเธอ และทุกคนที่รับผิดชอบต้องถูกลงโทษตามนั้นท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่าง จุดสนใจก็เปลี่ยนจากเอมี่มาเป็นชารอนและผม อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานของเราและการตั้งครรภ์ปลอมของเธอผมเริ่มได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่รู้จักหลายหมายเลข โทรมาถามคำถามไร้สาระทั้งหมดเพื่อต้องการข้อมูลโดยตรงจากแหล่งข่าว ผมต้องเปลี่ยนซิมการ์ดในโทรศัพท์ของผมเป็นซิมที่ผู้ช่วยของผมใช้ หากมีข้อมูลใดๆ เขาก็แค่ส่งต่อมา ผมเบื่อที่จะรับมือกับสายเรียกเข้าที่ไม่หยุดหย่อนเหล่านั้นเมื่อชารอนอาการดีขึ้นและเธอต้องถูกส่งตัวกลับไปที่สถานีตำรวจ พวกเขามาถึงสถานีพร้อมกับกลุ่มนักข่าวที่ทางเข้าตำรวจคุ้มกันเธอขณะพาเธอเข้าไปข้างใน แต่นั่นไม่ได้หยุดนักข่าวจากการตะโกนถามคำถามของพวกเขา"คุณเสแสร้งว่าท้องจริง ๆ เหรอ คุณนายไอเดน?""คุณชารอน คุณยังเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอยู่ไหม?""สามีของคุณอยู่ที่ไหน? เขายังรักคุณอยู่ไหม?""จะมีการหย่าร้างไหม?""คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสีย
เดนนิสอาน่าถูกส่งตัวไปยังศูนย์บำบัดวิกฤตสุขภาพจิต และผมใช้เวลาส่วนใหญ่ของผมที่นั่น แม้ว่าผมจะพยายามแบ่งเวลาอย่างเท่าเทียมกันระหว่างงาน จัสติน และเอมี่ แต่ผมก็พบว่าตัวเองใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่งานเป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง ตอนนี้ผมทำเงินได้มากกว่าที่เคยทำก่อนที่ผมจะถูกหลอก แต่ผมไม่มีความสุข คนที่ผมรักที่สุดอยู่ในบ้านพักผู้ป่วยทางจิต ทุกวันที่ผมไปที่นั่น ผมหวังว่าอาการของเธอจะเริ่มดีขึ้นในไม่ช้า ครึ่งหนึ่งของเวลา เธอดูปกติดี แค่นั่งอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าที่เป็นกลาง เธอจะไม่พูดคุยกับใครเป็นเวลาหลายชั่วโมง อีกครึ่งหนึ่งใช้ไปกับการร้องไห้และขอร้องให้ผมพาพวกเราไปหาเอมี่แพทย์บอกว่าเธอดีขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับผมจัสตินทำได้ดีมาก เขาดูเหมือนจะไม่โศกเศร้าอย่างที่ไอเดนแนะนำ มีบางครั้งที่เขาจะร้องไห้และไม่มีอะไรทำให้เขาหยุดได้จนกว่าเขาจะหลับไป แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นหายาก และผมคิดว่าเขาแค่คิดถึงแม่ของเขาผมทำให้แน่ใจว่าผมมีเวลาให้เขาเสมอ เหมือนกับที่ผมมีเวลาให้อาน่า ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน ผมไม่ต้องการปล่อยเขาไว้กับพี่เลี้ยงทั้งหมด แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่ดี แต่ผมต้องการให้ไอเดนเติ
ไอเดนนักสืบส่งที่อยู่โรงพยาบาลที่ชารอนถูกนำตัวส่งมาให้กับผมภายในห้อง ชารอนนอนขดตัวอยู่กับตนเองพร้อมกับกุญแจมือที่คล้องอยู่พอจะเอื้อมถึงเธอรีบลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นผมเข้ามาในห้อง "ไอเดน" เธอหายใจออกมา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว"ไม่เพียงแต่คุณจะเป็นอาชญากร แต่ยังเป็นคนโกหกด้วยเหรอ? คนโป้ปด!" ผมพูดออกมาขณะที่สายตาเหลือบไปที่ท้องแบนราบของเธอ ผมหัวเราะเยาะตัวเองขณะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่หันหน้าเข้าหาเตียงของเธอ ผมรู้สึกหมดแรงจนแทบจะยืนด้วยขาของตัวเองไม่ได้เธอส่ายหัว น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ เหมือนกับที่มันไหลลงมาบนใบหน้าของเธอตอนที่เธอถูกจับกุม "มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ฉันสาบานได้นะ ฉัน…" เธอพูดไม่ออกและไหล่ของเธอก็สั่นเทาขณะที่เธอร้องไห้หนักขึ้นผมเอียงศีรษะไปด้านข้างและมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่แปลกใจเลยที่ผมไม่รู้สึกสงสารเธอแม้แต่น้อย "ถ้ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แล้วมันคืออะไร? บอกมาสิ""คุณแกล้งทำเป็นท้องมาตั้งหลายเดือน!" เสียงหัวเราะขมขื่นหลุดออกจากริมฝีปากขณะที่ผมส่ายหัว มันยังคงรู้สึกเหมือนเรื่องตลก ผมคงไม่เชื่อนักสืบเลย ถ้าไม่มีสัญญาณทั้งหมดที่ผมมองข้ามไปผมโน้มตัวไปข้างหน้
ไอเดนผมตกใจกับคำพูดของเขา เดนนิสรู้แล้วเหรอ?เดนนิสก็มีส่วนร่วมในการสอบสวนด้วย เขาแค่ไม่ได้กระตือรือร้นเท่าผม ดังนั้นมันไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้ยินเรื่องนี้ นอกจากนี้ มันเป็นคดีของลูกสาวเขาด้วย เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะรู้แต่ผมเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำพูดที่รุนแรงของเขา ผมยังคงสับสนกับข่าวที่ว่าอนาอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชในขณะนี้ มันเป็นไปได้อย่างไร? เขาปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ผมอยากจะตะโกนใส่เขา แต่ผมก็สงบสติอารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของผมตั้งแต่แรก... และของชารอน"แล้วเธออยู่ที่โรงพยาบาลไหน?" มันฟังดูไม่จริง ผมรู้ว่าเธอรักเอมี่มาก แต่ผมไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเธอมากขนาดนี้เดนนิสหันมาหาผม คิ้วของเขาขมวดลึกขณะที่เขาขมวดคิ้ว "อยากรู้ไปทำไม? จะได้เอาไปบอกภรรยานายหรือไง?"ให้ตายสิ! ผมรู้สึกว่ามือกำแน่นโดยอัตโนมัติผมหายใจเข้าลึกๆ "ฉันโทรหาพวกนาย แต่ไม่มีใครรับสาย อาน่าก็ปิดโทรศัพท์อีก ฉันก็แค่เป็นห่วง..." ผมพูดเสียงแผ่วและไหล่สั่น “ฉันก็เลยตัดสินใจมาดูเธอนี่ไง"“ตอนนี้นายก็รู้แล้วนะว่าเธออยู่ไหน งั้นเชิญออกไปได้แล้ว”เขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะขอให้ผมออกจากบ้านและชีวิต แต่ผ
ไอเดน"ไม่เป็นไรแล้วค่ะ" ชารอนพูดขณะที่เธอโอบแขนรอบไหล่ "คุณต้องหยุดโทษตัวเองเรื่องนี้ได้แล้ว ที่รัก มันไม่ใช่ความผิดของคุณ และการทุ่มเทตัวเองให้กับการสอบสวนทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรด้วยเลย""ผมต้องหาตัวคนผิดมาให้ได้ ชารอน ผมต้องหาว่าใครทำเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำเพื่อลูกสาวผมได้ ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกผิดนี้ทุเลาลง" "ถ้ามันเป็นวิธีเดียว คุณก็ควรทำอยู่แล้ว" เธอให้กำลังใจ "ฉันจะคอยดูแลให้พ่อช่วยในคดีนี้ด้วย ฉันสัญญา"พ่อของเธอโทรหาผมครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความเสียใจกับการจากไปของลูกสาวผม ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรกับลูกสาวเขาเลย และเขาฟังดูไม่พอใจนัก ผมประหลาดใจด้วยซ้ำที่เธอจะบอกเรื่องนั้นกับพ่อของเธอ ผมสงสัยว่าเขาอยากจะช่วยเปิดโปงฆาตกรของเด็กที่ไม่ใช่ลูกของเขาในทางใดทางหนึ่งหรือไม่ แต่ผมเก็บเรื่องนั้นไว้กับตัวเอง"ขอบคุณครับ" ผมบอกเธอแทนเธอโอบกอดผมครึ่งหนึ่ง และคราวนี้ไม่ได้ผละออกทันที ในวันแบบนี้เองที่เธอไม่ได้กระโดดหนีจากผมเหมือนผมติดเชื้อเมื่อใดก็ตามที่ผมพยายามสัมผัสเธอ"แล้วคุณจะยิ้มให้ฉันไหม?" เธอยิ้มขณะที่ดึงผิวแก้มของผมเพื่อพยายามทำให้ผมยิ้มเมื่อผมเอามือของเธอออก เธอก็แสร้