เด็กชายขมวดคิ้วก้มมองน้องสาว เขามองไปรอบ ๆ หาสิ่งที่น้องสาวต้องการฉันมองไปรอบ ๆ และพบว่าไม่มีลูกกวาดเหลืออยู่แล้ว “ลูกกวาดหมดแล้วสินะ” ฉันพึมพำ“น่าจะมีอยู่ในห้องเก็บของนะ” เดนนิสตอบ “เดี๋ยวฉันไปเอามาให้ รอนี่นะ แป๊บเดียว” ฉันบอกเดนนิสแล้วเดินออกมา ไม่กี่วินาทีต่อมาฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ข้างหลัง ฉันมองอ้อมไหล่ไปและส่ายหัวพลางซ่อนรอยยิ้ม “อะไรเล่า? ผมเองก็อยากได้ลูกกวาดเหมือนกันนะ” “อ๋อ” ฉันลากเสียงพร้อมหัวเราะ เมื่อเราเข้าไปในห้องเก็บของ นิ้วมือของเขาก็เกี่ยวรอบข้อมือของฉันและดึงให้ฉันโถมตัวใส่เขาขณะที่เราสบตากัน สายตาของเขาก็มองสลับไปมาระหว่างดวงตาและริมฝีปากของฉัน ฉันพูดแหย่ “สงสัยว่าลูกกวาดจะอยู่ในดวงตาฉันละมั้ง”เขาหัวเราะคิกคักพลางโน้มตัวลงมาผนึกริมฝีปากของเราด้วยจูบอันวาบหวามฉันกำแขนเสื้อสองข้างเขาไว้แน่นพลางเบียดตัวแนบชิดกับเขาเขาจูบฉันอย่างดูดดื่ม ฉันครางออกมาในตอนที่ร่างกายของเราเสียดสีกัน เขายกตัวฉันขึ้นไว้ในอ้อมแขนของเขา ส่วนฉันเกี่ยวขาของตัวเองไว้รอบสะโพกของเขาทันทีจากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือประคองบั้นท้ายของฉันไว้พลางนวดเฟ้นและดันให้ตัวฉันแนบแน่นกับเขาเ
อนาสตาเซียใบหน้าของฉันอาบไปด้วยน้ำตาขณะที่ฉันเขย่าตัวเพื่อปลุกเอมี่ ฉันกอดเธอไว้แนบอกและร้องไห้ ฉันสับสนและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรขณะที่ฉันกำลังร้องไห้ เดนนิสก็รีบเข้ามาในห้อง“เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น?” เขารีบเข้ามาหาฉันจากนั้นก็มองมายังเอมี่และเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที เขารู้ว่าจะต้องทำอะไร เขาเข้ามาเอาตัวเอมี่ออกจากแขนอันสั่นเทาของฉันและหยิบกุญแจรถออกมา ขณะที่เขาอุ้มเธอเข้าไปในรถ ฉันเดินตามหลังและยังคงร้องไห้พลางร้องเรียกชื่อเธอเขาขับรถพาเราไปยังโรงพยาบาล ความสนใจครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ที่ฉัน “ไม่เป็นไรนะ อาน่า” เขาบีบมือฉัน สายตาจับจ้องไปยังเอมี่ที่อยู่ในอ้อมแขนฉัน “เธอต้องไม่เป็นไร”ในตอนที่เรามาถึงโรงพยาบาล เตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยก็พร้อมรอรับและนำเอมี่เข้าไปยังห้องฉุกเฉิน เราถูกห้ามไม่ให้เข้าไปพร้อมกับเธอฉันร้องไห้ใส่เสื้อของเดนนิสขณะที่เราทั้งคู่รอให้หมอหรือพยาบาลสักคนมาแจ้งอาการของเธอหลังจากนั้นพักหนึ่งก็มีพยาบาลเดินเข้ามาหาเรา “หมอขอพบพวกคุณค่ะ” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม“ลูกฉันเป็นยังไงบ้างคะ? เอมี่ของฉันน่ะค่ะ?”“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ” พยาบาลกล่าวก่อนจะเดินจากไปเดนน
ฉันพยักหน้า “ฉันเป็นแม่แท้ ๆ ของเธอค่ะ แต่เขาไม่ใช่”เขาส่ายหัว “ครับ คุณสามารถเป็นผู้บริจาคได้ถ้าไขกระดูกของคุณเข้ากันได้กับของเอมี่ แต่ผมต้องบอกไว้ก่อนว่า เป็นเรื่องยากมากที่พ่อแม่แท้ ๆ จะเข้ากันได้ ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้ยอมแพ้ง่ายนะครับ คุณต้องเข้ารับการตรวจหาความเข้ากันได้ก่อนครับ”เขาเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มมาจากกองเอกสารบนโต๊ะ “คุณพร้อมตรวจหาความเข้ากันได้ตอนนี้เลย หรือว่าอยากให้เรานัดวันกันทีหลังล่ะ?”“ตอนนี้เลยเถอะค่ะ” ฉันเช็ดน้ำตาออกจากหน้าและยืดหลังนั่งตัวตรงเขาเปิดแฟ้มเอกสารออกมาและถามคำถามหลายข้อ ระหว่างนั้นเขาก็อธิบาย “เราต้องการข้อมูลทั้งหมดนี้เพื่อดูโอกาสประสบความสำเร็จและผลการทดสอบที่แม่นยำ”“ค่ะ ฉันเข้าใจ” ฉันพยักหน้า เขาถามคำถามและฉันก็ตอบในทันที“โอเค คุณไปตรวจให้เสร็จได้เลยเถอะนะ” เขาลุกจากที่นั่งและมองมายังเดนนิสที่ลุกตามฉันมา ฉันจับมือของเดนนิสไว้ “ฉันอยากให้เขาไปด้วย”หมอพยักหน้าและพาเราไปยังห้องทดสอบประมาณยี่สิบนาที พวกเขาก็ได้ตัวอย่างที่พวกเขาต้องการจากฉันครบ“ผลตรวจออกมาเมื่อไหร่ เราจะติดต่อไปหาคุณทันทีนะครับ” หมอบอกกับเราเดนนิสและฉันอยู่ข้าง ๆ เอมี
ฉันได้รับวิดีโอลามกมา“คุณชอบแบบนี้ไหม?”ผู้ชายที่กำลังพูดอยู่ในวิดีโอนี้คือมาร์ค สามีของฉันเอง ฉันไม่ได้เจอหน้าเขามาหลายเดือนแล้ว เขาเปลือยกายล่อนจ้อน เสื้อและกางเกงวางเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น เขาพยายามดันมังกรยักษ์เข้าไปในร่างกายผู้หญิงคนหนึ่งที่มองไม่เห็นหน้า หน้าอกอันอวบอิ่มและกลมกลึงกระเด้งกระดอนอย่างแรง ฉันได้ยินเสียงกระแทกกระทั้นในวิดีโอนั้นอย่างชัดเจน ผสมกับเสียงครวญครางและคำรามอันเร่าร้อน“นั่นแหละ แบบนั้นแหละ กระแทกมาแรง ๆ เลยที่รัก" ผู้หญิงคนนั้นโต้ตอบด้วยร้องครางอย่างมีความสุข“ยั่วสวาทจริง ๆ เลยนะ!” มาร์คลุกขึ้นยืนแล้วพลิกตัวเธอให้คว่ำลง พร้อมตบก้นเธอและพูดว่า "แอ่นก้นขึ้นมา!”ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะอย่างแผ่วเบา พลิกตัวคว่ำลง ส่ายก้นไปมา แล้วนอนคุกเข่าอยู่บนเตียง ฉันรู้สึกเหมือนมีคนเทน้ำในกระติกน้ำแข็งราดมาบนหัว การที่สามีนอกใจก็แย่พออยู่แล้ว แต่ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือผู้หญิงคนนั้นคือเบลล่า ผู้เป็นน้องสาวของฉันเองฉันปล่อยให้วิดีโอเล่นต่อไป โดยดูและฟังพวกเขาสองคนบรรเลงเพลงรักกัน ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่ฉันได้ยินเสียงครวญครางของพวกเขา ฉันก็รู้สึกเ
สายลมอ่อน ๆ ในยามค่ำคืนยังคงพัดเส้นผมไปมา ขณะที่ฉันยืนอยู่ข้างนอกพร้อมกับมีกระเป๋าเดินทางวางอยู่ข้าง ๆ ในที่สุด ฉันก็ออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้วเมื่อเดินไปบนถนนได้ไม่ไกลนัก ฉันก็สังเกตเห็นไฟหน้ารถคันหนึ่งกะพริบเจิดจ้าเข้ามาหา แล้วรอยยิ้มจาง ๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปาก เนื่องจากจำได้ทันทีว่าคนคนนั้นเป็นใครรถสปอร์ตสีแดงสดใสแล่นเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าฉัน และมีผู้หญิงที่ดูสดใสยิ่งกว่านั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ เธอกระดิกนิ้วเรียกฉันในขณะลดกระจกลงเกรซนั่นเองเกรซไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเท่านั้น แต่ยังเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจด้วย เราสองคนไม่เคยแยกจากกันเลยนับตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันมา และด้วยความที่เราทั้งสองคนหลงใหลในแฟชั่นเหมือนกัน เราจึงตัดสินใจทำความฝันให้เป็นจริง ด้วยการร่วมกันก่อตั้งลักซ์ โว้คขึ้นมา ซึ่งเป็นเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่ล้ำสมัย และกลายเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มผู้นำเทรนด์รุ่นใหม่ในเวลาอันรวดเร็วเกรซมีสายตาที่เฉียบคมมากในเรื่องการดีไซน์ เธอจึงรับหน้าที่ออกแบบเสื้อผ้าสวย ๆ ในคอลเลคชั่นต่าง ๆ ในขณะที่ฉันพุ่งความสนใจไปที่การออกแบบเครื่องประดับของอเทลิเย่ ซึ่งเป็นสตูดิโอแ
มุมมองของมาร์คผมขับรถเข้าไปในทางเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยล้า เป็นวันยาวนานอีกวันหนึ่งทั้งจากการทำงานและเรื่องสนุก ๆ ที่ทำให้ผมหมดแรง และสิ่งเดียวที่ผมต้องการก็คือการผ่อนคลายและพักผ่อน ผมก้าวออกจากรถแล้วคลายเนกไทออก อยากเดินเข้าไปด้านในเต็มทนและได้พักผ่อนในที่สุด เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน ผมมองเห็นซิดนีย์นั่งอยู่ตรงนั้น จ้องมองผมด้วยสายตาอันว่างเปล่าเหมือนเคย ผมแทบจะไม่ชายตามองเธอเลยในขณะที่มุ่งตรงไปที่ห้องทำงาน“ฉันต้องการหย่า" ซิดนีย์พูดออกมาก่อนที่จะผมจะเดินไปถึงห้องทำงานด้วยซ้ำไปหย่าหรือ? คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวผมก็คือคำว่าไร้สาระ และช่างเป็นอะไรที่ไร้สาระจริง ๆ ธุรกิจครอบครัวของพ่อแม่ซิดนีย์ได้ให้บริษัทจีที กรุป ซึ่งเป็นบริษัทของผมยืมไปใช้ นี่เป็นสัญญาที่ให้ประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายในทุกแง่มุม ซิดนี่ย์เป็นเพียงผู้หญิงที่ผมแต่งงานด้วย ที่ต้องพึ่งพาผมและพ่อแม่ของเธอเพื่อความอยู่รอดหย่าหรือ? เห็นได้ชัดว่านี่เป็นวิธีใหม่ในการเรียกร้องความสนใจของเธอ อย่างที่เธอชอบทำนั่นแหละ เดิมทีเธอมีท่าทีน่าสงสาร ซึ่งเพียงพอจะทำให้คนนอกเชื่อว่าเธอได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเกิดเรื่
มุมมองของซิดนีย์ทันทีที่ฉันกลับมายังสนามบิน ฉันก็เห็นเกรซโบกมือให้อย่างกระตือรือร้นจากอีกฝั่งหนึ่ง รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนริมฝีปากเมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น ทริปแสนสั้นของฉันได้สิ้นสุดลงแล้ว และอาจพูดได้เลยว่าสามเดือนที่ผ่านมานั้น เป็นสามเดือนที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตในรอบหลายปีฉันลากกระเป๋าตามหลังให้เร็วขึ้นแล้วรีบวิ่งไป พร้อมทั้งโบกมือกลับไปให้เกรซและรีบวิ่งไปหาตรงที่เธอยืนอยู่ ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สังเกตเห็นหรอกนะ แต่มีคนคุ้นเคยเดินผ่านฉันไปอย่างรวดเร็ว ฉันอดที่หันไปมองไม่ได้ ฉันสาบานได้เลยว่าฉันรู้จักแผ่นหลังนั้น ไม่มีใครจะบอกเป็นอย่างอื่นได้ ต้องเป็นมาร์คไม่ผิดแน่ เป็นเขาแน่ ๆฉันดูไม่ผิด ฉันยืนยันกับตนเองตอนที่หยุดหันไปมองคนคนนั้น เขาคือมาร์ค ฉันไม่มีทางพลาดได้หรอก เขาเดินแบบก้าวเท้าเร็ว ๆ เหมือนเคย เขามองไม่เห็นฉัน? หรือว่าเขาอาจจำฉันไม่ได้อีกแล้วมั้ง? ฉันหายไปแค่สามเดือนเอง แต่ถ้านั่นเป็นเวลาที่เพียงพอจะทำให้เขาไม่รู้ว่าฉันเป็นใครอีกครั้งจากแค่มองเพียงแวบเดียว ก็นับว่าประสบความสำเร็จที่สามารถลบผู้หญิงที่เขาเคยรู้จักออกไปจากชีวิตได้ แน่นอนว่าด้วยรูปลักษณ์ของฉันตอนนี้ ฉัน
มุมมองของซิดนีย์"ผมโยนไอ้กระดาษบ้าบอพวกนั้นเข้าไปในเครื่องทำลายเอกสารแล้ว" เขาขึ้นเสียง "ผมได้ยกเลิกการประชุมสำคัญไปเพราะคุณเลย จะให้เสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว"เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เขายังเป็นผู้ชายขี้โมโหและใจร้อนซึ่งฉันไม่ได้ใส่ใจอีกแล้ว เขาคิดว่าโลกหมุนอยู่รอบตัวเขามากกว่าจะเป็น "โลกของฉัน" ถ้าเขาไม่อยากให้เวลาสูญเปล่าล่ะก็ มาตามฉันกลับไปมาทำไมกันเล่า?ไม่ว่าเขาจะโยนเอกสารพวกนั้นเข้าไปในเครื่องทำลายเอกสาร หรือเผาให้เป็นเถ้าถ่านด้วยไฟแช็กจากห้องทำงานของเขา หรือเก็บเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของฉันฉันก้าวถอยห่างออกจากประตู แล้วจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างโกรธเกรี้ยว“ฉันตั้งใจจะหย่ากับคุณอย่างเป็นจริงเป็นจังนะ ถ้าคุณไม่ยอมรับการหย่านี้ล่ะก็ ฉันก็จะต้องยื่นฟ้องหย่าคุณแล้วล่ะ แน่นอน มันจะยิ่งทำให้คุณเสียเวลา "อันมีค่า" เข้าไปกันใหญ่นะ คุณผู้ชาย!” ฉันประกาศออกไปอย่างชัดเจนณ ตอนนี้ จิตใจของฉันก็หวนนึกไปถึงผู้ชายที่อาจยังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้าน ฉันยังอยู่หน้าประตูเพื่อคอยบังไม่ให้มาร์คแอบมองเข้ามาเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นข้างใน เรื่องนี้อาจจะยิ่งลุกลาม
ฉันพยักหน้า “ฉันเป็นแม่แท้ ๆ ของเธอค่ะ แต่เขาไม่ใช่”เขาส่ายหัว “ครับ คุณสามารถเป็นผู้บริจาคได้ถ้าไขกระดูกของคุณเข้ากันได้กับของเอมี่ แต่ผมต้องบอกไว้ก่อนว่า เป็นเรื่องยากมากที่พ่อแม่แท้ ๆ จะเข้ากันได้ ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้ยอมแพ้ง่ายนะครับ คุณต้องเข้ารับการตรวจหาความเข้ากันได้ก่อนครับ”เขาเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มมาจากกองเอกสารบนโต๊ะ “คุณพร้อมตรวจหาความเข้ากันได้ตอนนี้เลย หรือว่าอยากให้เรานัดวันกันทีหลังล่ะ?”“ตอนนี้เลยเถอะค่ะ” ฉันเช็ดน้ำตาออกจากหน้าและยืดหลังนั่งตัวตรงเขาเปิดแฟ้มเอกสารออกมาและถามคำถามหลายข้อ ระหว่างนั้นเขาก็อธิบาย “เราต้องการข้อมูลทั้งหมดนี้เพื่อดูโอกาสประสบความสำเร็จและผลการทดสอบที่แม่นยำ”“ค่ะ ฉันเข้าใจ” ฉันพยักหน้า เขาถามคำถามและฉันก็ตอบในทันที“โอเค คุณไปตรวจให้เสร็จได้เลยเถอะนะ” เขาลุกจากที่นั่งและมองมายังเดนนิสที่ลุกตามฉันมา ฉันจับมือของเดนนิสไว้ “ฉันอยากให้เขาไปด้วย”หมอพยักหน้าและพาเราไปยังห้องทดสอบประมาณยี่สิบนาที พวกเขาก็ได้ตัวอย่างที่พวกเขาต้องการจากฉันครบ“ผลตรวจออกมาเมื่อไหร่ เราจะติดต่อไปหาคุณทันทีนะครับ” หมอบอกกับเราเดนนิสและฉันอยู่ข้าง ๆ เอมี
อนาสตาเซียใบหน้าของฉันอาบไปด้วยน้ำตาขณะที่ฉันเขย่าตัวเพื่อปลุกเอมี่ ฉันกอดเธอไว้แนบอกและร้องไห้ ฉันสับสนและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรขณะที่ฉันกำลังร้องไห้ เดนนิสก็รีบเข้ามาในห้อง“เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น?” เขารีบเข้ามาหาฉันจากนั้นก็มองมายังเอมี่และเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที เขารู้ว่าจะต้องทำอะไร เขาเข้ามาเอาตัวเอมี่ออกจากแขนอันสั่นเทาของฉันและหยิบกุญแจรถออกมา ขณะที่เขาอุ้มเธอเข้าไปในรถ ฉันเดินตามหลังและยังคงร้องไห้พลางร้องเรียกชื่อเธอเขาขับรถพาเราไปยังโรงพยาบาล ความสนใจครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ที่ฉัน “ไม่เป็นไรนะ อาน่า” เขาบีบมือฉัน สายตาจับจ้องไปยังเอมี่ที่อยู่ในอ้อมแขนฉัน “เธอต้องไม่เป็นไร”ในตอนที่เรามาถึงโรงพยาบาล เตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยก็พร้อมรอรับและนำเอมี่เข้าไปยังห้องฉุกเฉิน เราถูกห้ามไม่ให้เข้าไปพร้อมกับเธอฉันร้องไห้ใส่เสื้อของเดนนิสขณะที่เราทั้งคู่รอให้หมอหรือพยาบาลสักคนมาแจ้งอาการของเธอหลังจากนั้นพักหนึ่งก็มีพยาบาลเดินเข้ามาหาเรา “หมอขอพบพวกคุณค่ะ” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม“ลูกฉันเป็นยังไงบ้างคะ? เอมี่ของฉันน่ะค่ะ?”“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ” พยาบาลกล่าวก่อนจะเดินจากไปเดนน
เด็กชายขมวดคิ้วก้มมองน้องสาว เขามองไปรอบ ๆ หาสิ่งที่น้องสาวต้องการฉันมองไปรอบ ๆ และพบว่าไม่มีลูกกวาดเหลืออยู่แล้ว “ลูกกวาดหมดแล้วสินะ” ฉันพึมพำ“น่าจะมีอยู่ในห้องเก็บของนะ” เดนนิสตอบ “เดี๋ยวฉันไปเอามาให้ รอนี่นะ แป๊บเดียว” ฉันบอกเดนนิสแล้วเดินออกมา ไม่กี่วินาทีต่อมาฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ข้างหลัง ฉันมองอ้อมไหล่ไปและส่ายหัวพลางซ่อนรอยยิ้ม “อะไรเล่า? ผมเองก็อยากได้ลูกกวาดเหมือนกันนะ” “อ๋อ” ฉันลากเสียงพร้อมหัวเราะ เมื่อเราเข้าไปในห้องเก็บของ นิ้วมือของเขาก็เกี่ยวรอบข้อมือของฉันและดึงให้ฉันโถมตัวใส่เขาขณะที่เราสบตากัน สายตาของเขาก็มองสลับไปมาระหว่างดวงตาและริมฝีปากของฉัน ฉันพูดแหย่ “สงสัยว่าลูกกวาดจะอยู่ในดวงตาฉันละมั้ง”เขาหัวเราะคิกคักพลางโน้มตัวลงมาผนึกริมฝีปากของเราด้วยจูบอันวาบหวามฉันกำแขนเสื้อสองข้างเขาไว้แน่นพลางเบียดตัวแนบชิดกับเขาเขาจูบฉันอย่างดูดดื่ม ฉันครางออกมาในตอนที่ร่างกายของเราเสียดสีกัน เขายกตัวฉันขึ้นไว้ในอ้อมแขนของเขา ส่วนฉันเกี่ยวขาของตัวเองไว้รอบสะโพกของเขาทันทีจากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือประคองบั้นท้ายของฉันไว้พลางนวดเฟ้นและดันให้ตัวฉันแนบแน่นกับเขาเ
ห้าเดือนต่อมาอนาสตาเซีย“ไงคะ!” ฉันโบกมือให้กับเพื่อนอีกคนของเอมี่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาพร้อมกับแม่ของเธอ“ยินดีต้อนรับค่ะ” ฉันเดินเข้าไปหาเธอและแม่“ขอบคุณที่มานะคะ”เธอยิ้ม “ถ้าฉันไม่มา เคย์ล่าคงร้องไห้กรอกหูฉันทั้งวัน”เราหัวเราะและเคย์ล่าก็หน้าแดง ฉันปิดประตู และขณะที่เราเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ฉันเห็นเธอมองกรอบรูปที่แขวนอยู่บนผนัง เหมือนกับที่คนอื่น ๆ ทำเมื่อพวกเขาเข้ามาในบ้านเราริมฝีปากเธอโค้งเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย และฉันก็มองตามสายตาเธอไปเพื่อดูรูปที่ทำให้เธอยิ้ม ฉันถอนหายใจขณะที่ชื่นชมผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ ฉันในรูปเดนนิสสวมชุดสูทที่ดีที่สุดอย่างที่เขาเคยบอกไว้ เขาโอบแขนรอบตัวฉันและก้มลงมองฉัน ฉันยังคงจำวันนั้นได้ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานช่างภาพเบื่อที่จะบอกให้เขามองกล้องบ้าง เพราะไม่ว่ารูปไหน ๆ เขาก็จะเอาแต่จ้องมองมาที่ฉัน มันเป็นแบบเดียวกันในทุกรูปแต่งงานของเรา เขาไม่ได้มองกล้องเพราะมัวแต่ถามว่าฉันไหวไหม“แน่ใจนะว่าชุดมันไม่ยาวเกินไป? ผมไม่อยากให้คุณสะดุด ผมถือชายกระโปรงให้ได้นะ คุณอยากให้ผมช่วยถือไหม?” คำถามและความกังวลมากมาย จนฉันเริ่มกังวลว่าเขาอาจจะใช้เวลาทั้
ฉันเดาว่าพวกเขาทั้งคู่ก็มีส่วนผิดในบางแง่มุม แต่คลาร่าไม่ควรทำแบบนั้น ใช่ เธอไม่ควรทำ เธอทำเกินไป รู้ทั้งรู้ว่าฉันท้องลูกเขาอยู่ และเธอก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้าไม่เห็นแก่อะไรเลย อย่างน้อยก็เห็นแก่เด็กก็ยังดี เธอควรจะบอกความจริงกับฉัน แต่เปล่าเลย เธอมองดูฉันดิ้นรนเลี้ยงดูเอมี่เพียงลำพังมาโดยตลอดเธออยู่ที่นั่นตลอดคืนที่ฉันร้องไห้อย่างเงียบ ๆ เพื่อที่เสียงฉันจะได้ไม่ปลุกเอมี่ตื่น นี่มันโหดร้ายเกินไป เธออยู่ที่นั่นตลอดมา อยู่เพื่อเฝ้าดูเอมี่เติบโตขึ้นมาโดยไม่มีพ่ออย่างโหดร้าย พระเจ้า! เธอเคยลูบหัวเธอเพื่อปลอบให้เธอหยุดร้องไห้หาพ่อด้วยซ้ำ!และนั่นก็ยิ่งทำให้ฉันโกรธมากขึ้น เธอกล้าอ้างว่าตัวเองรักเอมี่ได้อย่างไร ในเมื่อเธอพรากส่วนสำคัญในชีวิตของเด็กไป“เธอไม่มีเหตุผลที่จะแก้ตัวสำหรับการกระทำของตัวเอง คลาร่า” เสียงฉันสั่นเครือ แต่ฉันก็ยังคงพูดต่อไป “ต่อให้ไม่เห็นแก่ฉัน เธอก็ควรจะคำนึงถึงเอมี่ และบอกความจริงกับฉัน แต่เธอทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่มีพ่อ!”“เดนนิสอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เหรอ? ฉันอยู่ตรงนี้เพราะฉันรักเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะแย่งผู้ชายคนเดียวที่ฉันเคยรักไปจากฉัน ฉันก็ยังอยู่เคียงข้างเธอมาตลอด เธอต่
อนาสตาเซียใบหน้าของคลาร่าสะบัดไปด้านข้างด้วยแรงตบดังก้องที่ฉันเพิ่งฟาดฝ่ามือไปที่แก้มเธอเธอเซถอยหลัง เอามือกุมหน้า และจ้องมองไปที่พื้นเป็นเวลานานแรงตบนั้นเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่สุดในบรรดาสิ่งที่ฉันอยากจะทำกับเธอ ฉันพยายามอย่างมากที่จะไม่ด่าทอเธอขณะที่ฉันทุบตีเธอไปด้วย แต่นั่นจะทำอะไรได้? ไม่ได้อะไรเลย สิ่งที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นไปแล้ว ตอนนี้มันเป็นอดีตไปแล้ว“รู้แล้วสินะ” เธอเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ “เดนนิสบอกเธอ ใช่ไหม?”“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอแบล็กเมล์ให้เขาเก็บเรื่องแบบนี้เป็นความลับ คิดว่าเขาเป็นเหมือนเธอหรือไง? หน้าไหวหลังหลอกใช่ไหม? เธอยิ้มให้ฉัน แต่ลึก ๆ แล้วเธอเกลียดฉันเพราะ…” ฉันยกนิ้วขึ้น “แย่งไอเดนไปจากเธอ”คลาร่ายังคงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร“คลาร่า เธอทำแบบนี้ได้ยังไง? เธอเป็นเพื่อนฉันนะ! ฉันไว้ใจเธอ บอกคุณทุกอย่าง ขอคำแนะนำจากเธอในทุกสิ่งที่ฉันทำ”ฉันเอนศีรษะไปข้างหลังและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ต่อหน้าเธอ ไม่ใจฉันล่องลอยกลับไปสู่การทะเลาะวิวาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไอเดนและฉันเคยมี ความเข้าใจผิดครึ่งหนึ่งระหว่างเร
อนาสตาเซีย“เอมี่ลูก…” ฉันบ่นขณะที่ร้องเรียกด้วยเสียงหัวเราะ “ยังไม่เสร็จอีกเหรอ? แม่เมื่อยมือแล้วนะ”เอมี่หัวเราะคิกคัก “ทำหน้าเหมือนเดิมก่อนสิคะ หนูต้องวาดริมฝีปากของแม่ให้ถูกต้อง”หลังจากถอนหายใจ ฉันก็ยกมือขึ้นกลางอากาศและยิ้มกว้าง ทำไมเธอถึงอยากจะวาดรูปฉันให้เป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่เข้าใจตอนนี้ ในห้องพักผู้ป่วยของเอมี่ ฉันนั่งไขว่ห้างขณะที่ยกมือขึ้นกลางอากาศพร้อมกับรอยยิ้มกว้างฉันยังคงอยู่ในท่านั้นอีกหลายนาทีจนกระทั่งเอมี่ทำสมุดวาดรูปหล่น เธอปรบมือ “เสร็จแล้วค่ะแม่ แม่สวยมากเลย”เอมี่ใช้เวลาฝึกวาดรูปอยู่ที่โรงพยาบาลมากพอสมควร ดังนั้นทักษะการวาดจึงเก่งขึ้น ดังนั้นขณะที่ฉันทรุดตัวลงข้างๆ เธอบนเตียงเพื่อดูตัวเอง ก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่มีลักษณะคล้ายแท่งไม้ถูกวาดอยู่บนสมุดวาดรูป มันยกมือขึ้น ขาไขว้กันเป็นรูปตัว X และฟันที่เกือบจะกินพื้นที่เต็มใบหน้าของมันฉันมองหน้าเอมี่ สงสัยว่าเธอจงใจทำอย่างนั้น หรือเธอคิดว่าเธอกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องจริง ๆมันเป็นอย่างหลัง และขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองฉัน ดวงตาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจ รอคำวิจารณ์จากฉัน ฉันไม่สามารถปล่อยให้รอยยิ้มหรือสีหน้านั
ไอเดนผมกัดฟันกรอด มือกำพวงมาลัยแน่นขณะที่ผมขับรถไปยังที่อยู่ที่เขาส่งมาความคิดผมสับสนวุ่นวาย แม้ว่าผมจะรู้ว่าตัวเองสูญเสียอนาสตาเซียไปแล้ว เธอก็ยังคงอยู่ในความคิด ผมยังคงโทษตัวเองที่ไม่พยายามตามหาเธอให้มากกว่านี้ในครั้งแรกที่เธอจากไป ผมโทษตัวเองที่ไม่วิ่งตามแท็กซี่ที่เธอขึ้นในวันที่เธอขอตัดความสัมพันธ์ระหว่างเรา จนกระทั่ง… จนกระทั่งอะไร? บางทีอาจจะจนกว่าเธอจะขอให้คนขับหยุดรถชารอนก็อยู่ในความคิดผมเช่นกัน หรือพูดให้ถูกคือ สัญญาการแต่งงานบ้า ๆ ของผมกับเธอนั้นอยู่ในความคิดตลอดเวลา และตอนนี้พ่อเธอโทรมา ขอให้ผมไปพบเขาตามที่อยู่ที่เขาส่งมา ผมก็แน่ใจว่าเรื่องวุ่นวายทั้งหมดกำลังจะเกิดขึ้นถ้าเขาขอให้ผมมาพบเขาที่นี่ นั่นหมายความว่าเขาบินเข้ามาในประเทศนี้แล้วผมสามารถเพิกเฉยต่อสายของเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ผมเพิ่งตระหนักว่าผมสูญเสียอาน่าไปแล้วจริงๆ เพราะสิ่งที่ผมต้องการคือ… ไม่ทำอะไรเลย ผมแค่อยากจะนอนหลับเป็นเวลานาน หรือไม่ก็กลับไปเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่อาน่าและผมยังคงรักกันมากแต่ทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พ่อของชารอนเรียกตัวผม และผมต้องไปหาเขา พ่อของชารอน ชายผู้แข็งแกร
เขาดูตกตะลึง ซึ่งทำให้ฉันประหลาดใจ ฉันแค่หวังว่าเขาจะไม่สงสัยในตัวเอง เพราะเมื่อคืนนี้เขาเพอร์เฟ็กต์มากเขาส่ายหน้า ดื่มสิ่งที่เหลืออยู่ในแก้วจนหมด “ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”ฉันหยุดชั่วคราว มือแข็งค้างจากการคนชา “มีอะไรเหรอ?”เขาละสายตาและจ้องมองไปที่บางสิ่งข้างหลังฉัน จากนั้นเขาก็หันกลับมามอง “มันเกี่ยวกับไอเดน จริงๆ แล้วมันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน การนอกใจที่ถูกจัดฉากของเขา”“โอ้” ฉันพึมพำอย่างแห้งแล้ง “เรื่องนั้น” มันเป็นความสูญเสียของฉันจริง ๆ ถึงอย่างนั้น ตอนนี้มันก็โอเคแล้ว เขากำลังจะแต่งงานกับคนที่รักและไว้ใจเขา และฉันก็ได้พบกับคนที่ฉันชอบและคนที่รักฉัน มันโอเค นี่คือเส้นทางที่เราถูกกำหนดให้เดิน“ใช่ เรื่องนั้นแหละ” เดนนิสพูดต่ออย่างระมัดระวัง เข้าใจผิดกับสีหน้าที่ฉันแสดงออก "จริงๆ แล้วเขาไม่ได้…”“ฉันรู้ค่ะ” ฉันขัดเขาคิ้วเขายกขึ้นสูง “คุณรู้เหรอ? เรื่องที่เธอทำน่ะเหรอ?”“ใช่ค่ะ!” ฉันพูดขึ้นพลางพยักหน้า ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้จริง ๆ “ถึงฉันจะเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ แต่…” ฉันยักไหล่ “มันไม่สำคัญกับฉันอีกต่อไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว แต่อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ได้รู