ฉันถอนหายใจ "ฉันต้องขอโทษสำเรื่องนี้เป็นอย่างมากเลยนะคะ ตระกูลตอร์เรสไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ฉันแน่ใจว่าพวกเขาต้องติดขัดอะไรบางอย่างแน่ ฉันจะพยายาม…”“แล้วค่าจ้างของฉันล่ะคะ? ฉันกลัวว่าจะต้องหยุดให้บริการ ถ้าฉัน…”“ฉันกำลังจะพูดอยู่พอดีเลยค่ะ ส่งหมายเลขบัญชีและอัตราค่าจ้างมาให้ฉันที่หมายเลขนี้นะคะ ฉันจะจ่ายเงินให้คุณทันที ดังนั้นได้โปรดช่วยดูแลเขาต่อไปนะคะ"“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ"“ฉันจะพยายาม…”ฉันกระพริบตาเมื่อได้ยินเสียงดังกริ๊กซึ่งบ่งบอกว่าเธอได้วางสายลงแล้ว ฉันเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับยักไหล่ในขณะที่วางโทรศัพท์ลง ฉันไม่ตำหนิเธอหรอก ถ้าฉันเป็นเธอฉันคงโกรธเกรี้ยวมากกว่านี้ เธอพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลมากจนฉันไม่คิดว่าเธอจะวางสายใส่ฉันฉันส่ายหัวในขณะเอนตัวลงบนที่นั่ง ช่างโชคร้ายเสียจริง ๆ มาร์คอยู่ในอาการโคม่าตั้งแต่ทำการผ่าตัดเสร็จ ใช่แล้ว เขาหมดสติไปตั้งแต่โดนผ่าตัด ซึ่งฉันอยู่ต่อไม่ได้ก็เลยต้องกลับมา แต่ในกรณีของฉันก็ยังเป็นที่เข้าใจได้ จริงไหม? ฉันมีการงานที่ต้องจัดการ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงด้วยแซนดร้าเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวมาโดยตลอด ดังนั้นฉันจึงไม่แปลก
"ก่อนอื่นเลย ทำไมเธอถึงพยายามติดต่อคนพวกนั้นด้วยล่ะ?” นั่นคือคำถามแรกที่เกรซโพล่งออกมาฉันชี้แจงให้เธอฟังว่าทำไมฉันถึงต้องติดต่อโรสหรือแซนดร้า แล้วเธอก็ทำปากจู๋จากนั้นเก็เบ้ปาก "ฉันรู้สึกแย่แทนเขาจริง ๆ"“ฉันก็เหมือนกัน" ฉันพึมพำตอบกลับไป ฉันมองตามเกรซในขณะที่เธอหันกลับไปทำงานต่อ ดูเหมือนเธอกำลังต่อผ้าด้วยเข็มเล่มเล็ก ๆ อยู่“ในเมื่อตอนนี้โรสไม่ยอมรับสาย ฉันก็คิดว่าคงต้องโทรหาแซนดร้าแล้วล่ะ" ฉันยักไหล่แล้วเบะปากด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็กดเบอร์โทรของแซนดร้า ในขณะกดหมายเลขของเธออยู่นั้น ฉันก็ได้แต่สงสัยว่าฉันได้เบอร์นี้มาได้ยังไง เธอรับสายเกือบจะในทันทีราวกับว่าเธอกำลังรอสายฉันอยู่“ฮัลโหล?”“แซนดร้า นี่ซิดนีย์นะ"จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง "ซิดนีย์เหรอ?” น้ำเสียงของเธอฟังดูประหลาดใจ "เธอต้องการอะไรเหรอ?”ฉันนั่งไขว่ห้าง "ฉันเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากผู้ดูแลอาการของมาร์ค" ฉันได้ยินเธอส่งเสียงครางเบา ๆ แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจแล้วพูดต่อ "ฉันเพิ่งรู้จากผู้หญิงคนนั้นว่าเธอไม่ได้ไปเยี่ยมคู่หมั้นของเธอเลยนับตั้งแต่เขาเข้าไปในโรงพยาบาล"“แล้วไงเหรอ"คิ้วของฉันยกขึ้นโดยอัตโนมัติ "นี่ผ่านไปหนึ่งสั
มุมมองของเบลล่าฉันขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจเมื่อมองดูเบอร์โทรของผู้ที่โทรเข้ามาเธอต้องการอะไร? ทำไมถึงโทรมาหาฉัน? ฉันคิดอย่างหงุดหงิด และที่สำคัญก็คือทำไมยังมีชื่อเธอบันทึกอยู่ในโทรศัพท์ของฉันด้วยฉันจ้องมองไปข้างหน้าโดยกวาดสายตามองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของผู้คนที่กำลังเดินออกมาจากประตู เมื่อเธอไม่ยอมหยุดโทรหาฉัน ฉันจึงตัดสินใจรับสาย“หล่อนต้องการอะไร?” ฉันโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฮัลโหลเพื่อนรัก นานแล้วนะ เธอว่าไหม?”ฉันทำเสียงเย้ยหยัน อีงั่งคนนี้พูดเหมือนเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ เธอเคยเป็นเพื่อนฉันด้วยเหรอ? เธอมักจะอ้างว่าเธอเกลียดซิดนีย์เพื่อเอาใจฉัน แต่ตลอดเวลานั้นเธอจ้องมองแต่ผู้ชายที่ฉันต้องการ“หล่อนต้องการอะไรยะ แซนดร้า?” ฉันส่งเสียงลอดฟันที่ขบแน่นออกไป ส่วนมือทั้งสองข้างก็กำวัตถุที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนทรงหลวมเอาไว้ ฉันรู้สึกหงุดหงิดจริง ๆ ที่ได้ยินแต่เสียงเธอ ถ้าเธอยืนอยู่ตรงหน้าฉันล่ะก็ ฉันคงใช้เจ้าวัตถุนั้นกับเธออย่างไม่รู้สึกผิดอะไรเลยเธอคร่ำครวญเหมือนทุกครั้งที่ฉันเริ่มร่ำร้องถึงความเจ็บปวดที่ฉันได้รับ "เธอยังเครียดอยู่อีกเหรอ? ทำไมถึงทำเสียงแข็งเวลาคุยอยู่กับเพ
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงวันที่ฉันจะได้พบเขา ฉันตรวจดูตัวเองในกระจก โดยมองเงาสะท้อนตัวเองด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ในขณะตรวจดูให้แน่ใจว่าเสื้อผ้าและสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ละเมิดนโยบายของพวกเขาฉันโบกมือเรียกแท็กซี่และบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับ แล้วเขาก็กวาดตามองฉันโดยไม่พูดอะไรพอฉันไปถึงที่นั่น ฉันก็ถูกพาไปยังห้องรับรองแล้วขอให้นั่งรออยู่ที่นั่น ซึ่งมีคนอื่น ๆ มานั่งรอเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังด้วยเหมือนกัน… ฉันนั่งมองโน่นมองนี่อยู่ประมาณยี่สิบนาที แล้วเริ่มรู้สึกอ่อนล้าทีละน้อยเมื่อมีตำรวจเข้ามาขานนามสกุลของใครก็ตามที่จะได้เข้าพบเป็นรายต่อไปฉันกระเด้งตัวลุกขึ้นเมื่อได้ยินตำรวจคนเดิมตะโกนเรียกนามสกุลของไอแซคออกมาฉันฝืนยิ้มในขณะเดินเข้าไปในห้องเยี่ยม ซึ่งมีโต๊ะตัวเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางห้อง และมีเก้าอี้สองตัววางอยู่ในแต่ละด้าน“ให้เวลายี่สิบนาที" ตำรวจคนนั้นพึมพำแล้วเดินห่างออกไปสองสามฟุตในช่วงแรก ๆ นั้นฉันกับไอแซคได้แต่นั่งจ้องหน้ากัน ฉันสงสัยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แล้วจากนั้นก็สงสัยเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ว่าทำไม?ทำไมเขาต้องนำความโชคร้ายมาสู่ชีวิตฉันในเมื่อฉันทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อเขา? เขาเป
เขาหัวเราะคิกคัก แล้วความทรงจำตอนที่เราเพิ่งคบกันก็แวบเข้ามาในหัวฉัน เขามักจะหัวเราะกับมุกตลกของฉันเสมอ บางทีการได้กลับไปเป็นแบบนั้นอีกก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนะ… หรืออาจจะแย่ก็ได้“ฉันกำลังคิดอยู่นะ" ฉันพูดหลังจากเขาเงียบเสียงลง นิ้วมือฉันประสานอยู่กับนิ้วเขา "ฉันอาจถอนฟ้องคุณก็ได้นะ"เขานั่งนิ่งแล้วอ้าปากค้างจ้องมาที่ฉัน "คุณพูดจริงเหรอ?” หัวใจฉันเต็มไปด้วยความสุข เมื่อเห็นประกายแห่งความหวังฉายอยู่ในดวงตาเขาฉันพยักหน้า“พระเจ้า คุณยินดีที่ให้โอกาสผมอีกครั้งเหรอ?”ฉันหัวเราะ "ใช่แล้ว ไอแซค คุณรักฉันใช่ไหม?”“ผมรักคุณสุดหัวใจเลย"“แล้วคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงกลับไปเป็นผู้ชายที่ฉันตกหลุมรักใช่ไหม?”เขาพยักหน้า“เราสามารถเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง"เขาเบิกตาโพลงและยิ้มกว้าง "เบลล่า ผมสาบานว่าจะรักคุณตลอดไป ผมยอมรับว่าเคยทำอะไรที่ไม่ดีกับคุณ ซึ่งเป็นความผิดของผม ผมยินดีที่จะกลับเนื้อกลับตัว ผม...”“หมดเวลาแล้ว" ผู้คุมเข้ามาขัดจังหวะการพูดของเขา และมือที่กำแน่นของฉันก็คลายลงเมื่อเขาหยุดพูด เขาจะกลับตัว...หรือว่า!เขาดึงฉันเข้าไปกอดแบบปุบปับ และฉันก็ไม่ได้สนใจกับความรู้สึกคลื่นเหียน
มุมมองของซิดนีย์“ว้าว!” ฉันส่งเสียงออกมาในที่สุด แล้วละสายตาออกมาจากโทรศัพท์ฉันเพิ่งรับสายจากกรมตำรวจ พวกเขาจับกุมเบลล่าในข้อฆ่าไอแซ็คในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่เรื่องของดอริสไปจนถึงเรื่องของมาร์ค เรื่อยไปจนถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องจัดการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำงานหรือในโรงพยาบาลที่มาร์คเข้ารับการรักษา มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย และฉันต้องจัดการกับเรื่องพวกนี้ราวกับถูกตั้งโปรแกรมมาให้ทำ ฉันจึงนั่งตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินข่าวนี้ โดยไม่สามารถประมวลผลในสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดออกมาได้ตอนนี้ฉันได้แต่ครุ่นคิดถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่ที่วนเวียนอยู่ในหัว ฉันสงสัยจังว่าทำไมฉันถึงเป็นคนที่พวกเขาโทรมา แล้วพ่อแม่ของเราล่ะ?ฉันรู้สึกพิศวงงงงวยที่ข่าวนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้ฉันอย่างที่ควรจะเป็น นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลให้ฉันใช้เวลานานมากกว่าจะโต้ตอบออกไปได้ จริง ๆ แล้วฉันไม่คิดว่าจะมีอะไรทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจได้อีกแล้วแต่ถึงกระนั้นด้วยความสัตย์จริง ฉันก็ต้องขอคารวะให้กับความกล้าหาญของเบลล่า เธอต้องใช้ความกล้าและความอดทนอย่างมากในการทำอย่างนั้น ถึงแ
"สวัสดีครับคุณซิดนีย์" คุณหมอยิ้มแฉ่งในขณะมองดูฉันเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขา“คุณมาถามเรื่องของคุณมาร…”“เปล่าค่ะ" ฉันส่ายหัว มันกลายเป็นนิสัยไปแล้ว ที่จะเข้ามาพบคุณหมอทุกครั้งที่มาดูอาการมาร์ค ฉันจะเข้ามาถามว่าอาการเขาเป็นอย่างไร และจะตื่นขึ้นเมื่อไหร่ แต่น้ำเสียงของเขามักจะฟังดูจริงจังเสมอในขณะตอบฉันฉันนั่งลงตรงที่นั่งตรงข้ามเขา "ฉันมาที่นี่เพื่อถามเรื่องคนไข้คนอื่นน่ะค่ะ"เขาเงียบเสียงลงแล้วพยักหน้า "อะไรเหรอครับ?”“นอกจากมาร์คกับคนที่อยู่ในรถเขาอีกสองคนแล้ว ยังมีคนไข้คนอื่นที่ต้องรีบมาที่นี่ในคืนนั้นด้วยไหมคะ?”เขาขมวดคิ้วแล้วส่ายหัว "ควรจะมีคนอื่นด้วยเหรอ?”“ก็ไม่รู้สิคะ นั่นคือเหตุผลที่ฉันเข้ามาที่นี่ มีรถคันหนึ่งพุ่งชนรถของมาร์ค แล้วจากนั้นก็ชนเสาหลังจากสูญเสียการควบคุม ฉันอยากพบคนขับรถคันนั้นน่ะค่ะ"“อ้อ เจ้าหน้าที่รถพยาบาลที่ขับรถไปยังที่เกิดเหตุในวันนั้น รายงานว่าไม่มีใครอยู่ในรถคันอื่นเลยตอนที่พวกเขาไปถึง"“อะไรนะ?” ฉันขมวดคิ้ว เป็นไปได้ยังไง? ฉันแน่ใจว่าเห็นเงาของคนที่กำลังพยายามบังคับพวงมาลัยในวันนั้นคุณหมอยักไหล่ "ผมก็ได้ยินมาอย่างนั้น คุณสามารถติดต่อกรมตำรวจ
มาร์คขมวดคิ้วมากขึ้น แล้วกวาดตามองฉันตั้งแต่หัวจดเท้าเกือบหนึ่งนาที ก่อนจะส่งเสียงออกมา "ผมอาจจะจำความเสื่อม แต่ไม่ได้โง่นะครับ ผมจะมีแม่อายุน้อยขนาดนั้นได้ยังไง? แล้วผมอายุเท่าไหร่เหรอ?ฉันอดที่จะปล่อยลมหายใจออกมาไม่ได้ ฉันเสียใจที่เขาสูญเสียความทรงจำ แต่รู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้เขากลับคืนมา เพื่อได้ยินเขาพูดอะไรแบบขวานฝ่าซากอย่างไม่ต้องคิดอะไรมากมายเรื่องราวกลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาสูญเสียไปเพียงอย่างเดียวก็คือความทรงจำ ขอบคุณพระเจ้า ฉันไม่คิดว่าจะสามารถรับมือกับเขาได้ ถ้าเขาสูญเสียความทรงจำแล้วกลายเป็นคนโง่เขลาไปมากกว่านี้ เขายังมีไหวพริบดีอยู่เลยฉันหย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ เตียงเขา แล้วเขาก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง "แน่นอนว่าฉันคงมีลูกชายที่อายุเท่าคุณไม่ได้ แต่ฉันเป็นแม่เลี้ยงของคุณ"ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันจึงยังแกล้งเขาต่อไป แต่มันสนุกจริง ๆ ฉันเดาว่าฉันคงอยากใช้โอกาสดี ๆ อย่างนี้ ซึ่งตอนนี้ฉันเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง แล้วเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นช่างก่ออิฐ ตำรวจ คนเมา...หรือใครต่อใครก็ได้ ไม่ได้เป็นสามีเก่าของฉันหรือมาร์ค ตอร์เรส ประธานบริหารของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ หรือแฟน
มุมมองของนักเขียนอาน่าถอนหายใจเสียงดังขณะเดินเข้าไปในห้องพักของเดนนิสและนั่งลงข้าง ๆ เขา เธอหยิบหนังสือออกมาและเริ่มอ่านเป็นครั้งคราว เธอจะเปิดโทรศัพท์เพื่อดูจัสตินนอนหลับหรือเล่นรอบบ้านในขณะที่พี่เลี้ยงยุ่งอยู่ หรือแค่ซุกตัวบนโซฟาตัวหนึ่งเพื่ออ่านหนังสือ โดยคอยจับตาดูจัสตินตอนนี้มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของอาน่าไปแล้วในวันที่เธอพักค้างคืนที่โรงพยาบาล เธอจะออกจากที่นั่นแต่เช้าเพื่อไปดูแลจัสตินและกลับมา ขณะที่เธอนั่งอยู่ข้างๆ เขา นิ้วอุ่นๆ ของเธอประสานกับนิ้วเย็นๆ ที่ยังคงนิ่งของเขา เธอจะอ่านหนังสือเดนนิสยังคงอยู่ในอาการโคม่า และในแต่ละวัน อาน่ารู้สึกว่าความกลัวกำลังเพิ่มขึ้น... กลัวว่าเขาอาจจะยังคงอยู่ในอาการโคม่าจนถึงแก่ชีวิต ทั้งหมดเป็นเพราะเธอคนเดียวเธอต้องการให้เขาลืมตาขึ้นมามองเธอด้วยความรักที่เขามีให้เธอเสมอ เธอต้องการบอกเขาว่าเธอรักเขามากแค่ไหนและรู้สึกขอบคุณที่มีเขาในชีวิตของเธอ แต่ที่สำคัญที่สุด เธอต้องการขอโทษเขาเธอเห็นแก่ตัวมาก คิดว่าความเจ็บปวดของพวกเขาไม่ยิ่งใหญ่เท่าของเธอ... พวกเขาทุกคนรักเอมี่อย่างสุดซึ้ง และพวกเขาทุกคนเจ็บปวดกับการจากไปของเธอจากชีวิตนี้ ห
มุมมองของนักเขียนชารอนถูกตัดสินว่าไม่มีความผิดฐานมีส่วนร่วมโดยตรงในการเสียชีวิตของเอมี่ แต่มีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด เธอโชคดีพอที่จะได้รับการลดหย่อนโทษ จำคุกในระยะเวลาอันสั้น ทนายของเธอทำให้แน่ใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น และทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อของเธอแม้ว่าพ่อของเธอจะผิดหวังกับทุกสิ่งที่เธอทำ แต่เธอก็เป็นลูกสาวของเขา ทายาทที่น่าเกรงขามเพียงคนเดียวของเขา ไม่มีทางที่เขาจะทอดทิ้งเธอได้ขณะที่เธอรับโทษจำคุก นับถอยหลังสู่วันที่เธอจะได้ออกไปจากที่นั่นในที่สุด เธอได้รับเอกสารหย่าร้างส่งมาให้เธอเธอคิดว่าเช้าวันนั้นหนาวเกินไปสำหรับฤดูกาล ห้องขังเล็กๆ ของเธอรู้สึกเล็กกะทันหัน มันรู้สึกเหมือนมันจะปิดล้อมเธอ และเธอเอามือสอดเข้าไปในช่องประตูเพื่อหายใจเมื่อหนึ่งในผู้คุมมาพาเธอไปเธอนั่งลง ได้รับปากกา และต่อหน้าเธอ บนโต๊ะเหล็ก มีจดหมายหย่าร้างวางอยู่ เหตุผลหลักที่เธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมและการกระทำสกปรกเหล่านี้ทั้งหมดคือเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไอเดนทิ้งเธอ มันน่าเศร้าจริงๆ ที่เธอทำงานอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ แต่กลับถูกโยนใส่อย่างแรงที่ใบหน้าของเธอในตอนท้ายดวงตาปวดหนึบด้วยน้ำตาขณะที่เธ
"หยุด!" เสียงของเธอสั่นเครือขณะที่เธอตะโกนบอกคนขับแท็กซี่แค่นั้นก็เพียงพอให้อาน่าหันกลับมา"ฉันทำอะไรลงไป?" ลมหายใจของเธอสั่นเทาขณะที่เธอเปิดประตูและรีบออกจากแท็กซี่ มือของเธอสั่นเทาขณะที่เธอสะดุดลงบนทางเท้า"เดนนิส!" เธอตะโกนขณะที่เข่าของเธอล้มลงบนพื้นคอนกรีตแข็ง "ได้โปรด อย่า" เธอพูดกระซิบ สายตาของเธอจ้องมองไปที่รถที่พังยับเยิน "เดนนิส ต้องรอดให้ได้นะ"เธอคลานไปที่รถ มองเข้าไปข้างในเพื่อดูเขา แต่ข้างในนั้นมืดมิดและเสียงสะอื้นของเธอก็ดังขึ้น "ทำไมฉันถึงออกมา? ทำไมฉันไม่รอเขา?"เธอเช็ดน้ำตา "ฉันสัญญา" เธอสะอื้น "ฉันจะไม่ไปหาเอมี่อีกแล้ว ฉันสัญญา เดนนิส ได้โปรดออกมา" เธอร้องไห้ขณะที่เธอจำได้เลือนรางว่าเขาบอกเธอว่าเอมี่ได้รับความยุติธรรมแล้ว และไม่จำเป็นต้องไปหาเธออีกต่อไปนี่เป็นความผิดของเธอทั้งหมด เธอควรจะฟังเขา เธอควรจะรอเขาก่อนที่เธอจะออกไป"อาน่า!" ไอเดนตะโกนขณะที่เขารีบออกจากรถ เขารู้สึกโล่งใจที่เห็นอาน่า เขาหารถแท็กซี่หลังจากที่เดนนิสขับออกไปสักพัก และตามเขาไป เมื่อเขาสังเกตเห็นฝูงชนและเห็นว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เขาก็กลัวว่าจะเป็นอาน่า"ให้ตายสิ!" เขาพึมพำขณะหยุดอยู่ต่อ
มุมมองของนักเขียนหลังจากที่ไอเดนได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาไม่ลังเลเลยก่อนที่จะเดินออกจากห้องพิจารณาคดีหัวใจของชารอนแตกสลายเมื่อมองดูไอเดนเดินออกไปอย่างโกรธจัด เขาเกลียดชังเธอมากจนทนดูการพิจารณาคดีของเธอไม่ได้เลยหรือ? น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ และเธอรีบเช็ดมันออกก่อนที่พ่อของเธอจะเห็นพ่อของเธอบอกเธอไปก่อนหน้านี้ว่า "พอได้แล้ว ชารอน อย่าร้องไห้เพราะผู้ชายอย่างเขาเลย" แต่นั่นหลังจากที่เขาตำหนิเธอสำหรับทุกสิ่งที่เธอทำ"มีการตัดสินแล้วหรือยัง คุณไอเดน? คุณจะประกันตัวภรรยาของคุณไหม?"คำถามทั้งหมดของพวกเขาไม่ได้เข้าหูไอเดนแม้แต่น้อย เขาไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยขณะที่เขาเร่งรีบไปที่รถของเขาและขับออกจากบริเวณศาลระหว่างทางไปโรงพยาบาล เขาโทรหาทีมรักษาความปลอดภัยของเขาที่ตามเขามาทันทีที่เขาขับรถออกไป "อาน่าสตาเซียเพิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลบ้า ตามหาเธอ" เขาออกคำสั่ง "ผมจะส่งรูปของเธอให้คุณตอนนี้""ครับ"เขาตัดสาย ขณะที่เขาขับรถ เขาหารูปอาน่าที่ชัดเจนและส่งให้ทีมรักษาความปลอดภัยที่เริ่มตามหาเธอทันทีจากนั้นไอเดนพยายามโทรหาเดนนิส แต่เขาก็ยังไม่รับสายเมื่อมาถึงโรงพยาบาล เขาพบเดนนิสอยู่ข้างนอก เขา
ไอเดนเมื่อเวลาผ่านไป คดีของเอมี่ได้รับความสนใจจากสื่อมากมาย ช่องข่าวทุกช่องมีรูปเด็กผู้หญิงน่าสงสารคนนั้นขณะที่พวกเขาพูดถึงการตายที่ไม่ยุติธรรมของเธอ และทุกคนที่รับผิดชอบต้องถูกลงโทษตามนั้นท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่าง จุดสนใจก็เปลี่ยนจากเอมี่มาเป็นชารอนและผม อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานของเราและการตั้งครรภ์ปลอมของเธอผมเริ่มได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่รู้จักหลายหมายเลข โทรมาถามคำถามไร้สาระทั้งหมดเพื่อต้องการข้อมูลโดยตรงจากแหล่งข่าว ผมต้องเปลี่ยนซิมการ์ดในโทรศัพท์ของผมเป็นซิมที่ผู้ช่วยของผมใช้ หากมีข้อมูลใดๆ เขาก็แค่ส่งต่อมา ผมเบื่อที่จะรับมือกับสายเรียกเข้าที่ไม่หยุดหย่อนเหล่านั้นเมื่อชารอนอาการดีขึ้นและเธอต้องถูกส่งตัวกลับไปที่สถานีตำรวจ พวกเขามาถึงสถานีพร้อมกับกลุ่มนักข่าวที่ทางเข้าตำรวจคุ้มกันเธอขณะพาเธอเข้าไปข้างใน แต่นั่นไม่ได้หยุดนักข่าวจากการตะโกนถามคำถามของพวกเขา"คุณเสแสร้งว่าท้องจริง ๆ เหรอ คุณนายไอเดน?""คุณชารอน คุณยังเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอยู่ไหม?""สามีของคุณอยู่ที่ไหน? เขายังรักคุณอยู่ไหม?""จะมีการหย่าร้างไหม?""คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสีย
เดนนิสอาน่าถูกส่งตัวไปยังศูนย์บำบัดวิกฤตสุขภาพจิต และผมใช้เวลาส่วนใหญ่ของผมที่นั่น แม้ว่าผมจะพยายามแบ่งเวลาอย่างเท่าเทียมกันระหว่างงาน จัสติน และเอมี่ แต่ผมก็พบว่าตัวเองใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่งานเป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง ตอนนี้ผมทำเงินได้มากกว่าที่เคยทำก่อนที่ผมจะถูกหลอก แต่ผมไม่มีความสุข คนที่ผมรักที่สุดอยู่ในบ้านพักผู้ป่วยทางจิต ทุกวันที่ผมไปที่นั่น ผมหวังว่าอาการของเธอจะเริ่มดีขึ้นในไม่ช้า ครึ่งหนึ่งของเวลา เธอดูปกติดี แค่นั่งอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าที่เป็นกลาง เธอจะไม่พูดคุยกับใครเป็นเวลาหลายชั่วโมง อีกครึ่งหนึ่งใช้ไปกับการร้องไห้และขอร้องให้ผมพาพวกเราไปหาเอมี่แพทย์บอกว่าเธอดีขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับผมจัสตินทำได้ดีมาก เขาดูเหมือนจะไม่โศกเศร้าอย่างที่ไอเดนแนะนำ มีบางครั้งที่เขาจะร้องไห้และไม่มีอะไรทำให้เขาหยุดได้จนกว่าเขาจะหลับไป แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นหายาก และผมคิดว่าเขาแค่คิดถึงแม่ของเขาผมทำให้แน่ใจว่าผมมีเวลาให้เขาเสมอ เหมือนกับที่ผมมีเวลาให้อาน่า ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน ผมไม่ต้องการปล่อยเขาไว้กับพี่เลี้ยงทั้งหมด แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่ดี แต่ผมต้องการให้ไอเดนเติ
ไอเดนนักสืบส่งที่อยู่โรงพยาบาลที่ชารอนถูกนำตัวส่งมาให้กับผมภายในห้อง ชารอนนอนขดตัวอยู่กับตนเองพร้อมกับกุญแจมือที่คล้องอยู่พอจะเอื้อมถึงเธอรีบลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นผมเข้ามาในห้อง "ไอเดน" เธอหายใจออกมา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว"ไม่เพียงแต่คุณจะเป็นอาชญากร แต่ยังเป็นคนโกหกด้วยเหรอ? คนโป้ปด!" ผมพูดออกมาขณะที่สายตาเหลือบไปที่ท้องแบนราบของเธอ ผมหัวเราะเยาะตัวเองขณะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่หันหน้าเข้าหาเตียงของเธอ ผมรู้สึกหมดแรงจนแทบจะยืนด้วยขาของตัวเองไม่ได้เธอส่ายหัว น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ เหมือนกับที่มันไหลลงมาบนใบหน้าของเธอตอนที่เธอถูกจับกุม "มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ฉันสาบานได้นะ ฉัน…" เธอพูดไม่ออกและไหล่ของเธอก็สั่นเทาขณะที่เธอร้องไห้หนักขึ้นผมเอียงศีรษะไปด้านข้างและมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่แปลกใจเลยที่ผมไม่รู้สึกสงสารเธอแม้แต่น้อย "ถ้ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แล้วมันคืออะไร? บอกมาสิ""คุณแกล้งทำเป็นท้องมาตั้งหลายเดือน!" เสียงหัวเราะขมขื่นหลุดออกจากริมฝีปากขณะที่ผมส่ายหัว มันยังคงรู้สึกเหมือนเรื่องตลก ผมคงไม่เชื่อนักสืบเลย ถ้าไม่มีสัญญาณทั้งหมดที่ผมมองข้ามไปผมโน้มตัวไปข้างหน้
ไอเดนผมตกใจกับคำพูดของเขา เดนนิสรู้แล้วเหรอ?เดนนิสก็มีส่วนร่วมในการสอบสวนด้วย เขาแค่ไม่ได้กระตือรือร้นเท่าผม ดังนั้นมันไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้ยินเรื่องนี้ นอกจากนี้ มันเป็นคดีของลูกสาวเขาด้วย เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะรู้แต่ผมเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำพูดที่รุนแรงของเขา ผมยังคงสับสนกับข่าวที่ว่าอนาอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชในขณะนี้ มันเป็นไปได้อย่างไร? เขาปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ผมอยากจะตะโกนใส่เขา แต่ผมก็สงบสติอารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของผมตั้งแต่แรก... และของชารอน"แล้วเธออยู่ที่โรงพยาบาลไหน?" มันฟังดูไม่จริง ผมรู้ว่าเธอรักเอมี่มาก แต่ผมไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเธอมากขนาดนี้เดนนิสหันมาหาผม คิ้วของเขาขมวดลึกขณะที่เขาขมวดคิ้ว "อยากรู้ไปทำไม? จะได้เอาไปบอกภรรยานายหรือไง?"ให้ตายสิ! ผมรู้สึกว่ามือกำแน่นโดยอัตโนมัติผมหายใจเข้าลึกๆ "ฉันโทรหาพวกนาย แต่ไม่มีใครรับสาย อาน่าก็ปิดโทรศัพท์อีก ฉันก็แค่เป็นห่วง..." ผมพูดเสียงแผ่วและไหล่สั่น “ฉันก็เลยตัดสินใจมาดูเธอนี่ไง"“ตอนนี้นายก็รู้แล้วนะว่าเธออยู่ไหน งั้นเชิญออกไปได้แล้ว”เขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะขอให้ผมออกจากบ้านและชีวิต แต่ผ
ไอเดน"ไม่เป็นไรแล้วค่ะ" ชารอนพูดขณะที่เธอโอบแขนรอบไหล่ "คุณต้องหยุดโทษตัวเองเรื่องนี้ได้แล้ว ที่รัก มันไม่ใช่ความผิดของคุณ และการทุ่มเทตัวเองให้กับการสอบสวนทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรด้วยเลย""ผมต้องหาตัวคนผิดมาให้ได้ ชารอน ผมต้องหาว่าใครทำเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำเพื่อลูกสาวผมได้ ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกผิดนี้ทุเลาลง" "ถ้ามันเป็นวิธีเดียว คุณก็ควรทำอยู่แล้ว" เธอให้กำลังใจ "ฉันจะคอยดูแลให้พ่อช่วยในคดีนี้ด้วย ฉันสัญญา"พ่อของเธอโทรหาผมครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความเสียใจกับการจากไปของลูกสาวผม ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรกับลูกสาวเขาเลย และเขาฟังดูไม่พอใจนัก ผมประหลาดใจด้วยซ้ำที่เธอจะบอกเรื่องนั้นกับพ่อของเธอ ผมสงสัยว่าเขาอยากจะช่วยเปิดโปงฆาตกรของเด็กที่ไม่ใช่ลูกของเขาในทางใดทางหนึ่งหรือไม่ แต่ผมเก็บเรื่องนั้นไว้กับตัวเอง"ขอบคุณครับ" ผมบอกเธอแทนเธอโอบกอดผมครึ่งหนึ่ง และคราวนี้ไม่ได้ผละออกทันที ในวันแบบนี้เองที่เธอไม่ได้กระโดดหนีจากผมเหมือนผมติดเชื้อเมื่อใดก็ตามที่ผมพยายามสัมผัสเธอ"แล้วคุณจะยิ้มให้ฉันไหม?" เธอยิ้มขณะที่ดึงผิวแก้มของผมเพื่อพยายามทำให้ผมยิ้มเมื่อผมเอามือของเธอออก เธอก็แสร้