วันนี้เพราะมีหยางเชวียนมาด้วยทำให้หยางเสี้ยวกำลังตัดสินใจว่าจะไปที่ภูเขาอู๋หลงดีหรือไม่ เพราะการที่เขาเข้าป่าลึกไปทุกวันนั้นเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ ทุกคนเข้าใจว่าเขาไปขุดผักป่าและวางกับดักที่ภูเขาซิ่วสือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขาอู๋หลง แต่หลังจากคิดไตร่ตรองรอบคอบแล้ว หยางเสี้ยวคิดว่าตัวเองสมควรจะพูดจาตกลงกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตัวเองให้เข้าใจ
ตอนนี้ท่านลุงยังไม่กลับบ้าน ลำพังอาศัยแค่ท่านปู่คนเดียวคงจะไม่ได้ ป้าสะใภ้เจ็บป่วยอ่อนแอ ท่านย่าเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเช่นเดียวกัน หยางเสี้ยวคิดว่าที่ทุกคนร่างกายไม่แข็งแรงมักเจ็บป่วยอยู่เสมอนั้นอาจจะเป็นเพราะขาดสารอาหาร เมื่อความเป็นอยู่ไม่ดีอาหารมีไม่เพียงพอ
เนื้อสัตว์คือสิ่งที่หายาก อาหารแต่ละมื้อไม่ผักป่าผัดกับน้ำเติมเกลือนิดหน่อยก็เป็นโจ๊กที่หาเม็ดข้าวไม่เจอ น้ำมันสำหรับทำอาหารนั้นเป็นสิ่งที่หายากสำหรับชาวบ้านยากจน ส่วนเกลือก็ราคาแพง แต่ที่แพงกว่าเกลือก็น้ำตาล ไม่ว่าจะอะไรล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น
“อาเสี้ยว มีอะไรหรือเปล่า ข้าเห็นเจ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน แล้วนี่เราจะไปขุดผักป่าที่ไหนหรือ ทำไมเจ้าพาข้าเดินมาทางนี้ล่ะ เราไม่ได้จะไปที่ภูเขาซิ่วสือหรอกหรือ”
“พี่ใหญ่ ท่านรับปากข้าสักเรื่องจะได้หรือไม่ เก็บเป็นความลับของพวกเราสองคน”
“ได้สิ เจ้ามีเรื่องอะไรพูดมาได้เลย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าหรือ”
“คือพวกเราไม่ได้จะไปที่ภูเขาซิ่วสือ เพราะข้าเห็นว่าชาวบ้านทุกคนต่างไปหาของป่าที่ภูเขาซิ่วสือกันทั้งนั้น คนมาก อาหารน้อย แล้วเรายังจะได้อะไรกลับมาเล่า ท่านว่าหรือไม่”
“แล้วปกติเจ้าไปหาของป่าที่ไหนล่ะ แล้วที่เจ้าบอกว่าเจ้าไปวางกับดักเอาไว้ ไม่ใช่ที่ภูเขาซิ่วสือหรอกหรือ”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ ข้าไปที่ภูเขาอู๋หลงต่างหาก”
“อะไรนะ! ภูเขาอู๋หลง นั่นมันอันตรายมากไม่ใช่หรือ อาสะใภ้รู้เรื่องที่เจ้าไปที่ภูเขาอู๋หลงหรือไม่”
“ก็ไม่รู้น่ะสิ ถึงได้บอกให้ท่านเก็บเป็นความลับอยู่นี่ยังไงล่ะ”
“ทำไมเจ้าถึงได้กล้าเข้าไปในภูเขาอู๋หลงคนเดียวล่ะอาเสี้ยว นั่นมันอันตรายมากเลยนะ ข้าว่าเราอย่าไปเลยดีกว่า ภูเขาซิ่วสือถึงจะมีชาวบ้านไปหาผักป่าทุกวันแต่ก็ยังพอมีผักป่าให้พวกเราเก็บอยู่”
“สำหรับคนที่เคยตายมาครั้งหนึ่งอย่างข้าแล้ว ข้ากลัวว่าจะอดตายมากกว่า ท่านเชื่อข้าเถอะ ความจริงแล้วมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น”
“อาเสี้ยว เจ้าพูดว่าเจ้าเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งเหรอ เรื่องจริงหรือเปล่า” หยางเชวียนเมื่อได้ฟังก็ตกใจจนหน้าซีด
“ตอนที่ข้าป่วยยังไงล่ะ ไม่ตายก็เหมือนตายนั่นล่ะ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้สติอยู่ตั้งหลายวัน หลังจากที่ข้าหายป่วย ข้าตั้งใจว่าจะทำทุกอย่างให้ครอบครัวของพวกเรามีอาหารกินอิ่มท้องไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ ไม่ว่าอะไรที่สามารถกินได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะกินมันหรอกนะ คนเราหากอยากมีชีวิตรอดก็ย่อมต้องเข้มแข็งไม่ใช่หรือยังไง หากมัวแต่กลัวนั่นหวาดระแวงนี่ แล้วจะมีชีวิตรอดไปได้ยังไง ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าทำไมลูกชายของผู้ใหญ่บ้านไม่รวมกลุ่มกับชาวบ้านไปล่าสัตว์ แต่เขากลับไปล่าสัตว์ที่ภูเขาอู๋หลง แต่กลับพูดว่าภูเขาอู๋หลงนั้นอันตรายมาก มีสัตว์ป่าดุร้ายแล้วเหตุใดเขาจึงยังไปล่าสัตว์ ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองแต่พูดจาให้ชาวบ้านกลัว ท่านไม่คิดบ้างว่าเพราะอะไร ข้ามาคิด ๆ ดูแล้ว บนภูเขาอู๋หลงต้องมีของดีมากมายเป็นแน่ แต่ลูกชายผู้ใหญ่บ้านเอาแต่สร้างข่าวลือให้ชาวบ้านกลัว ชาวบ้านเองก็เชื่อในคำพูดของเขา ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดชาวบ้านจึงเชื่อในคำพูดของเขา”
“เพราะอะไรหรือ”
“เพราะเขาอาศัยว่าเป็นลูกชายของผู้ใหญ่บ้านยังไงล่ะ อาศัยความเชื่อถือที่ชาวบ้านมีให้กับพ่อของเขา ในเมื่อเขาเป็นถึงลูกชายของผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านก็ย่อมต้องเชื่อคำพูดของเขาอยู่แล้ว ท่านเองก็รู้ ชาวบ้านในหมู่บ้านของเราส่วนใหญ่เป็นคนซื่อสัตย์กันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ทำไร่ทำนา ไม่ใช่พรานป่ามีฝีมือ ป่าที่ไหน ๆ ก็อันตรายเหมือนกันหมด แต่สำหรับภูเขาอู๋หลงข้าคิดว่ามันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เอาล่ะตอนนี้ข้าให้ท่านตัดสินใจเองว่าจะไปต่อกับข้าหรือจะกลับไปหาผักป่าที่ภูเขาซิ่วสือ ส่วนข้ายืนยันคำเดิม ข้าจะไปที่ภูเขาอู๋หลง”
“ตกลง ข้าจะไปกับเจ้า ลองดูสักตั้ง”
“นี่เป็นความลับระหว่างเราสองคน ข้าหวังว่าท่าจะรักษาสัญญา”
“ข้าย่อมต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน เป็นเจ้าที่พูดถูก หากอยากมีชีวิตรอดต้องเข้มแข็ง ในฐานะลูกชายคนโตภาระบนบ่าย่อมมีมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกแล้ว เป็นเจ้าที่เตือนสติข้า ตลอดเวลาข้าเพียงตามอยู่ข้างหลังท่านพ่อกับท่านปู่เพียงเท่านั้น แต่เจ้าอายุน้อยกว่าข้าตั้งสองปี เจ้ากลับกล้าหาญและเข้มแข็งกว่าข้าเสียอีก”
“เอาล่ะเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวแดดจะร้อนมากกว่านี้ เมื่อไหร่พวกท่านพ่อกับท่านลุงจะกลับมา ครั้งนี้พวกท่านพ่อเข้าป่าไปนานมากกว่าทุกครั้ง ท่านแม่ข้าเป็นห่วงมาก ถึงนางจะพยายามเข้มแข็งเพื่อพวกเราพี่น้อง แต่ข้ารู้ดีท่านแม่นอนหลับไม่สนิทสักคืน”
“ท่านแม่ข้ากับท่านปู่ท่านย่าเองก็เป็นห่วงท่านพ่อกับอารองเหมือนกัน ท่านปู่ท่านย่ากับท่านแม่ของข้าเองสุขภาพไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่”
“ต่อไปถ้าหากเรามีอาหารเพียงพอข้าเชื่อว่าทุกคนจะดีขึ้น ที่พวกเราเจ็บป่วยอ่อนแอ เพราะกินไม่อิ่ม ร่างกายขาดสารอาหาร ว่าแต่พี่ใหญ่เชวียนท่านเอาเสียมมาด้วยหรือไม่”
“ข้าเอาเสียมเล็กมาน่ะ”
“เสียมเล็กก็พอแล้ว”
“ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงได้วางกับดักเป็นล่ะ แถมเจ้ารู้อะไรหลาย ๆ อย่างมากมายทีเดียว”
“ก็ไม่ใช่ว่าข้าเคยตามท่านพ่อเข้าไปในเมืองอยู่หลายหนเหรอ ทั้งไปขายสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ ทั้งไปซื้อยาให้ท่านแม่ของข้า ตอนไปขายสัตว์ป่าข้าบังเอิญพบนายพรานใจดีคนหนึ่งช่วยสอนข้าน่ะ ข้าตามท่านพ่อไปในเมืองสามครั้ง ท่านลุงนายพรานบอกว่าข้าอายุเท่าลูกชายของเขาเลยเข้ามาพูดคุยด้วยและได้สอนข้าตั้งหลายอย่างเลยล่ะ” หยางเสี้ยวแต่งเรื่องขึ้นอย่างแนบเนียน
“นายพรานคนนั้นใจดีมากเลยนะ ปกตินายพรานจะไม่สอนคนอื่นนอกจากลูกหลานของตัวเองหรอกนะ”
“เขาคงให้เพราะว่าข้าน่ารักน่าเอ็นดูน่ะสิ หรือท่านว่าไม่จริง ข้าออกจะหน้าตาดีขนาดนี้”
“มันก็จริง ในบรรดาพวกเราพี่น้องดูเหมือนว่าเจ้ากับอาเสียนจะหน้าตาดีจริง ๆ เพราะอาสะใภ้รองเองก็หน้าตาสะสวยถึงเพียงนั้น สวยกว่าท่านแม่ของข้าอีก”
“ของมันแน่อยู่แล้ว ท่านแม่ของข้าขึ้นชื่อว่าเป็นดอกไม้งามของหมู่บ้านเลยนะ"
เด็กชายทั้งสองเดินมุ่งหน้าเข้าไปในภูเขาอู๋หลง หยางเสี้ยวหวังว่าการที่เขาเข้าป่ามาในครั้งนี้จะต้องได้ของกินกลับไปแน่นอน จากความทรงจำของหยางเสี้ยวที่แห่งนี้มีมันเทศแล้วแต่ไม่มีใครปลูกเพียงแต่หาขุดตามป่าเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเผือกหรือมันเทศ ชาวบ้านเพียงหาขุดเอาตามป่าแต่ไม่มีใครคิดจะปลูกพวกมันขึ้นมา มิน่าล่ะถึงได้มีอาหารไม่พอกิน
“เราต้องเข้าไปลึกอีกมากเท่าไหร่หรืออาเสี้ยว”
“ข้าเองก็ไม่รู้ เพียงแต่เดินไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาของที่กินได้เจอนั่นล่ะ”
“พวกเราอุตส่าห์เข้าป่าลึกมาทั้งที แต่เสียดายข้าไม่รู้จักสมุนไพรสักชนิดเลย เจ้าล่ะอาเสี้ยวพอจะรู้เรื่องสมุนไพรบ้างหรือไม่”
“ข้าเคยเห็นสมุดภาพที่โรงหมอมาบ้าง จำได้อยู่สองสามอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าพวกเราจะหาเจอได้ง่าย ๆ นะ”
“นั่นน่ะสิ เป็นอย่างที่เจ้าว่า โอ๊ะ อาเสี้ยวดูนั่นสิ นั่นมันเห็ดผึ้งหวานไม่ใช่หรือ ดอกใหญ่มากเลยล่ะ นานมากแล้วที่ไม่ได้กินเห็ดผึ้งหวาน จิ๊ จิ๊ ภูเขาอู๋หลงนี่ช่างอุดมสมบูรณ์จริง ๆ แม้แต่ขนาดของเห็ดยังใหญ่กว่าภูเขาซิ่วสือมาก”
“ใช่ไหมล่ะ เพราะมีของป่ามากมายให้เก็บน่ะสิ แถมมีขนาดใหญ่กว่าด้วย ถ้าวันนี้กับดักของเจ้ามีไก่ฟ้าหรือว่ากระต่ายมาติดก็คงจะดีไม่น้อย จะได้เอาไปตุ๋นน้ำแกงกับเห็ดให้ท่านแม่กับท่านปู่ท่านย่าได้กิน”
“ท่านวางใจได้ จะต้องมีเหยื่อมาติดกับดักของข้าแน่นอน พวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวตอนขากลับค่อยไปตรวจดูกับดัก”
“ตกลง เรารีบไปกันเถอะ ข้าชักจะตื่นเต้นแล้วสิ ไม่รู้ว่าวันนี้พวกเราจะได้อะไรกลับไป ฝากน้อง ๆ บ้าง”
หยางเสี้ยวเดินนำหยางเชวียนเข้าไปในภูเขาอู๋หลงลึกกว่าเมื่อวาน วันนี้ในใจเด็กชายคาดหวังเอาไว้ว่าจะเจอผลไม้ที่กินได้ เพราะตั้งแต่เข้าป่ามาหลายวันเขายังไม่เจอผลไม้ป่าเลย ถ้ามีองุ่นก็คงจะดี ไม่ว่าจะเป็นลูกท้อ สาลี่อะไรก็ได้ขอให้มีเถอะ ชีวิตความเป็นอยู่ที่บ้านตอนนี้มันช่างแร้นแค้นเสียเหลือเกิน เดินมองนั่นนี้มาตลอดทางในที่สุดก็สมหวังเสียที
“อาเสี้ยว มีอะไรหรือเปล่า เหตุใดเจ้าหยุดเดินกะทันหันเช่นนี้เล่า”
“ข้าเหมือนจะเจอผลไม้ป่าน่ะสิ นั่นท่านดู” หยางเสี้ยวชี้ไปที่เถาองุ่น ที่มีองุ่นลูกสีดำอมม่วงอยู่เต็มไปหมด
“นั่นอะไร นั่นมันผูเถาพิษมันกินได้หรือ มันจะมีพิษหรือไม่”
“พี่ใหญ่เชวียน ท่านไม่รู้จักองุ่นรึ”
“นั่นเรียกองุ่นรึ ไม่ใช่ผูเถาพิษหรือ”
“เอ่อ ก็ผูเถานั่นแหละ แล้วทำไมถึงได้เรียกผูเถาพิษ มันมีพิษ? หรือว่ามีใครกินแล้วตาย? ใครบอกท่านว่ามันเป็นผูเถาพิษ?”
“ทุกคนในหมู่บ้านก็เรียกผูเถาพิษทั้งนั้นล่ะ ต่อให้ไม่มีอะไรจะกินก็ไม่มีใครกล้าเด็ดไปกินหรอก คนเฒ่าคนแก่สอนเอาไว้ว่าผลไม้อะไรที่มีสีเข้ม ๆ แบบนี้ล้วนแล้วแต่มีพิษทั้งนั้น มีครั้งหนึ่งมีคนเด็กในหมู่บ้านวิ่งไปเล่นในป่า พบผลไม้ลูกเล็กเรียวยาวตอนยังไม่สุกจะมีสีเขียวพอตอนสุกแล้วจะมีสีแดง เด็กคนนั้นเห็นว่ามันน่าอร่อย ด้วยความหิวจึงได้เก็บมากิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเขา”
“เกิดอะไรขึ้นกับเขายังงั้นหรือ”
“เด็กคนนั้น ปากบวมเป่ง แล้วมือที่สัมผัสโดนผลไม้นั่นก็แสบร้อน กินเข้าไปก็แสบร้อนในคอ หน้าตาดูไม่ได้เลย โชคดีที่เขาไม่ตาย ตั้งแต่นั้นมาผลไม้ที่มีสีสันสดใสสวยงามล้วนไม่มีผู้ใดกล้ากินอีก ผูเถานี่ก็เหมือนกัน มันดำอมม่วงขนาดนี้ย่อมมีพิษมาก”
หลังจากได้ฟังที่หยางเชวียนเล่า ผลไม้สีแดงลูกเรียวยาวนั่นน่าจะเป็นพริก การมาเกิดใหม่ในที่ห่างไกลเช่นนี้ทำให้หยางเสี้ยวได้รู้ว่าพืชผักผลไม้บางชนิดยังไม่มีใครรู้ว่ามันสามารถกินได้ เขาคงต้องเริ่มต้นปฏิวัติอาหารขึ้นมาใหม่เสียแล้ว อย่างองุ่นม่วงที่อยู่ตรงหน้านี้กลับถูกเรียกว่าองุ่นพิษ นี่ถ้าเจอแตงโมเปลือกข้างนอกเขียวแต่ข้างในสีแดง ชาวบ้านคงคิดว่ามันเป็นผลไม้พิษอีกแน่นอน
“พี่ใหญ่เชวียน นั่นมันไม่ได้เรียกว่าผูเถาสีม่วงหรอกหรือ ท่านเชื่อข้าหรือไม่ว่ามันไม่มีพิษ”
“เจ้าเคยกินแล้วหรือ อาเสี้ยว กินได้แน่รึ”
“ข้าย่อมต้องเคยกินมาแล้วสิ ถ้ามันมีพิษข้าจะยังมายืนอยู่ตรงนี้ได้อีกรึ ท่านตามข้ามาก็พอ ขอข้าชิมดูก่อนหวานหรือไม่ บางครั้งก็เปรี้ยวไม่อร่อย ลูกไหนที่ยังไม่สุกก็จะมีรสฝาด”
หยางเสี้ยวเดินไปเด็ดองุ่นใส่ปาก รสชาติหวานกรอบอมเปรี้ยวนิด ๆ อร่อยมากเลย วันนี้มีพวงที่สุกแล้วอยู่ 7-8 พวง ส่วนที่ยังไม่สุกเหลืออีกมาก วันหลังค่อยมาเก็บกลับไปก็แล้วกัน เด็กชายแบ่งองุ่นที่เก็บมาให้หยางเชวียนลองชิมดู เมื่อเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องของตัวเองกินแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นเขาถึงได้กล้าเอาองุ่นใส่ปากเคี้ยว
“นี่มัน อร่อยมากเลยอาเสี้ยว ข้าไม่เคยกินผลไม้ที่อร่อยขนาดนี้เลย”
“ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่า ใครกันที่บอกว่ามันมีพิษ”
“ก็คนบ้านผู้ใหญ่บ้านเรียกประชุมเตือนว่ามันมีพิษน่ะสิ ตั้งแต่นั้นมา คนที่พบเห็นผูเถาในป่าก็ไม่กล้าเก็บแล้ว”
“ข้าว่าพวกเขาจะต้องโกหกชาวบ้าน ข้าว่าถ้าเอาไปขายในเมืองน่าจะเป็นผลไม้หายากราคาแพง ข้ารู้สึกว่าผู้ใหญ่บ้านนี่ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ใช่ว่าบอกชาวบ้านว่ามีพิษ แต่ตัวเองเก็บไปขายเสียเองหรอกนะ มิน่าเล่า ในหมู่บ้านของเราครอบครัวผู้ใหญ่บ้านถึงได้ร่ำรวยปานนั้น”
“จริงอย่างที่เจ้าพูดนะอาเสี้ยว พอมาคิด ๆ ดูแล้วเหมือนอย่างที่เจ้าพูดมาจริง ๆ ในหมู่บ้านของเราบ้านผู้ใหญ่บ้านร่ำรวยมากจริง ๆ”
“แล้วท่านลุงฟู่กุ้ยล่ะ ไม่รู้หรือว่าผูเถานี่ไม่มีพิษ ถ้าผู้ใหญ่บ้านออกมาบอกชาวบ้านว่ามันมีพิษ ท่านลุงฟู่กุ้ยน่าจะรู้ว่าผู้ใหญ่บ้านโกหกนะ ท่านลุงฟู่กุ้ยเองก็รับของจากชาวบ้านเข้าไปขายในเมือง”
“ข้าว่าท่านลุงฟู่กุ้ยไม่รู้หรอก เจ้าจำไม่ได้หรือว่าท่านลุงฟู่กุ้ยเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านของเราเมื่อไม่นานมานี้ ยังไม่ถึงสองปีเลย เรื่องผูเถาพิษนี่ มันก่อนหน้านี้แล้ว ท่านปู่ยังเตือนพวกเราทุกครั้งที่เข้าป่าว่าอย่าได้เด็ดผลไม้ที่ไม่รู้จักมากินน่ะ เรื่องนี้มันตั้งแต่ข้าอายุ 6 ขวบแล้ว”
“ถ้าตอนนั้นท่าน 6 ขวบข้าเองก็เพิ่ง 4 ขวบ เรื่องสมัย 4 ขวบใครจะไปจำได้กันล่ะ”
“เสียดายที่มันยังไม่สุกอีกเยอะเลยนะอาเสี้ยว”
“จะเสียดายทำไม วันหลังค่อยมาเก็บกลับไป เรื่องนี้ท่านพี่เชวียนอย่าได้พูดออกไปเด็ดขาด เก็บไว้เป็นความลับของบ้านเรา เข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้ว รอท่านพ่อกับอารองกลับมา เราค่อยพาทั้งสองคนมาเก็บแล้วเอาไปขายในเมืองดีกว่า”
“ตกลง ตอนนี้พวกเราไปกันเถอะ นอกจากเห็ดกับผูเถาแล้ว เรายังต้องหาของกินอย่างอื่นด้วยนะ”
หยางเสี้ยวเดินเข้าไปในป่าด้วยความเบิกบานใจ ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านนี่มันเห็นแก่ตัวจริง ๆ เด็กชายคิดว่าน่าจะมีหลายอย่างที่ครอบครัวนี้กุเรื่องหลอกชาวบ้าน ภูเขาอู๋หลงอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ การอาศัยพึ่งพาป่าเพื่อดำรงชีพมันก็ถูกต้องแล้ว แต่คนพวกนี้กลับเห็นแก่ตัวเอง สักวันเขาจะต้องหาทางเปิดโปงครอบครัวผู้ใหญ่บ้านให้ได้ คนแบบนี้ไม่สมควรเป็นผู้นำ แต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถทำแบบนั้นได้ คงต้องรอให้ฐานะทางครอบครัวดีขึ้นและมั่นคงมากกว่านี้เสียก่อน ค่อยว่ากันอีกที