สีหน้าของชายหนุ่มเป็นกังวลเล็กน้อย หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเบญจา“ทำไมไม่ชวนให้เธออยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน” โรซี่ไปถามลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ ที่เวลานี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างสวยงามเดวิดใฝ่ฝันอยากเป็นเชฟมาตั้งแต่เด็กๆ และตอนนี้ก็ทำตามความฝันได้สำเร็จ แต่แทนที่จะเป็นเชฟที่ร้านอาหารมีชื่อเสียงในเมืองกลับมาเป็นเชฟที่ฟาร์มของครอบครัวแทน แถมยังเป็นคนริเริ่มทำ farm to table ขึ้นเป็นคนแรกๆ ของที่นี่ สร้างทุกอย่างมาด้วยตัวเองจนมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งเมืองอย่างในปัจจุบัน“เกรงว่าเธอจะปฏิเสธครับแม่” “คู่หมั้นของลูกสวยมาก เป็นผู้หญิงไทยที่มีเสน่ห์” แม้จะเห็นไกลๆ แต่โรซี่ก็มั่นใจว่าคู่หมั้นของลูกชายนั้นสวยไม่น้อยเลย “แต่น่าเสียดายที่เธอมาที่นี่เพื่อขอถอนหมั้นผม” “จริงหรอ” สีหน้าโรซี่บอกบอกว่าประหลาดใจ “ครับ”“แม่นึกว่าเธอมาเพื่อต้องการเห็นหน้าลูกหรือไม่ก็มาเพื่ออยากทำความรู้จักให้มากขึ้นเสียอีก” “เธอแน่วแน่มากทีเดียว อาจเพราะเธอมีคนรักอยู่แล้ว”“หากเป็นแบบนั้นเธอเองก็ไม่ผิดที่จะแน่วแน่ แล้วนี่ลูกตอบเธอไปว่ายังไง”“ผมยังไม่ได้ให้คำตอบอะไรเธอไปครับ” นอกจากยังไม่ให้คำตอบแล้วเดวิสยังวางแผนเ
สีหน้าของเดวิสเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มเดินลงไปยังห้องใต้ดินเพื่อหยิบปืนคู่ใจจากนั้นก็กลับขึ้นมาข้างบน“เกิดอะไรขึ้น” เพราะเห็นลูกชายเดินถือปืนขึ้นมาจากห้องใต้ดินทำให้โรซี่เอ่ยถาม“คุณหลิวประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ ผมกำลังจะไปรับเธอ” “รีบไปก่อนที่จะมืดมากกว่านี้” โรซี่เข้าใจสภาพแวดล้อมของพื้นที่แถวนี้ดีว่ามันมีอันตรายแฝงอยู่มาก ถนนบางเส้นแทบไม่มีผู้คนสัญจรไปมาหรือถ้ามีใครหลงเข้าไปก็มักจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเสมอ การที่เดวิสจะพกปืนไปด้วยจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเดวิสขับรถออกจากฟาร์มด้วยความเร็ว เพราะอยู่ที่นี่มานานเขาจึงค่อนข้างรู้ว่าถนนเส้นไหนจะทำให้เขาทะลุไปหาเบญจาได้เร็วที่สุด ส่วนคนที่กำลังรอความช่วยเหลือก็ไม่ได้อยู่เฉยเพราะกำลังพยายามปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลาเช่นกัน ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะกระจกทำให้เบญจาสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อเพ่งสายตามองจึงเห็นว่าเป็นชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านนอกและเขาก็ทำให้เธอก็ต้องตกใจและรู้สึกไม่ปลอดภัยอีกครั้งด้วยการพยายามเปิดประตูรถ แต่โชคดีที่เธอได้ล็อคประตูตามคำบอกของเดวิส“เฮ! เปิดประตูสิ ฉันมาช่วยเธอนะ” ด้วยท่าทางที่ไม่น่าไว้ใจทำ
แต่จู่ๆ ชายคนนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง“ปล่อยเธอ” เสียงทุ้มที่เบญจารู้สึกคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล แต่เธอหันไปมองไม่ได้จึงต้องยืนอยู่นิ่งๆ เท่านั้น ในขณะที่ชายแปลกหน้าก็รับรู้ได้ทันทีว่าเวลานี้มีบางสิ่งบางอย่างจ่อศีรษะตนอยู่ แม้จะมีตัวประกันแต่มันคงไม่คุ้มหากจะเสี่ยงทำอะไรที่เกินตัว เพราะแบบนั้นเขาจึงยอมลดมือที่มีดลงพร้อมกับผลักเบญจาไปข้างหน้า“ฉันเป็นพลเมืองดี มาเพื่อช่วยเธอ ไม่ได้คิดจะทำร้าย” ทั้งๆ ที่หลักฐานยังอยู่ในมือแต่ชายแปลกหน้าคนนั้นก็ยังแก้ตัวได้น้ำขุ่นๆ พร้อมกับค่อยๆ หันกลับมามองคนข้างหลังนั่นทำให้ปากกระบอกปืนที่อยู่ในมือของเดวิสย้ายตำแหน่งจากด้านหลังของชายแปลกหน้ามาอยู่กลางหน้าผาก แม้จะมีปืนจ่อหน้าผากแต่แววตาของชายคนนั้นกลับยังคงแข็งกร้าว เขาตัวสูงใหญ่กว่ารวมถึงความแข็งแรงก็น่าจะมีมากกว่าเช่นกัน ทว่าความสูงใหญ่รวมถึงความแข็งแรงที่มีมันจะสู้กระสุนปืนได้ไหม นั่นจึงทำให้ไม่กล้าบุ่มบ่าม“สามีเธอเหรอ”“ใช่”“พวกคุณเหมือนไม่ใช่คนที่นี่”“เราคือคนที่นี่หรือถ้านายสงสัย ไปคุยกับตำรวจได้”“ไม่ดีกว่า พอดีฉันไม่ค่อยชอบตำรวจ” ชายตรงหน้ายิ้มออกมาตรงมุมปากแต่สายตากลับยังคงจับจ้องไปที่ผ
เพราะยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การจะข่มตาให้หลับจึงเป็นเรื่องยาก เบญจาตาค้างกระทั่งถึงเช้าของอีกวัน จังหวะที่กำลังจะเปิดประตูออกไปจากห้องเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ซึ่งสายที่โทรมานั้นเป็นสายที่เธอรอทั้งคืนก็ว่าได้“ขอโทษที่ผมไม่ได้รับสายคุณ” อังกูรรีบขอโทษแต่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าเพราะอะไรเขาถึงรับสายเบญจาไม่ได้ ทั้งๆ ที่เห็นว่าเธอโทรหาแต่กลับเลือกที่จะทำอะไรๆ ตรงหน้าให้เสร็จลุล่วงเพราะมันจวนเจียนใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้วนั่นเอง หลังจากนั้นเขาก็ลืมเธอไปเสียสนิท “ไม่เป็นไรค่ะ พอดีว่าเมื่อวานเกิดเรื่องนิดหน่อย ฉันเลยโทรหา” เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มเป็นกังวลใจเบญจาจึงบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน “ผู้ชายคนนั้นทำอะไรคุณหรือเปล่า” เพราะอคติทำให้อังกูรมองคู่หมั้นของเบญจาในแง่ร้าย “เปล่าค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น”“แต่เสียงคุณไม่โอเคเลย”“เหรอคะ แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”“คุณได้คุยเรื่องขอถอนหมั้นแล้วใช่ไหม” ถ้าเลือกได้อังกูรอยากให้เบญจากลับมาวันนี้ด้วยซ้ำไป “คุยแล้วค่ะ”“เขาจะถอนหมั้นให้เร็วๆ นี้หรือเปล่า” น้ำเสียงของอังกูรเต็มไปด้วยความหวัง “ค่ะ แต่ทุกอย่างยังไม่เรียบร้อยเพราะแบบนั
“ค่ะ” เบญจาเอ่ยรับอย่างเกรงใจ เธอเป็นแขกที่จู่ๆ ก็บุ่มบ่ามมาถึงที่นี่แถมยังไปก่อเรื่องให้เดวิสต้องไปช่วยอีก แต่ทั้งเขาและแม่กลับดีต่อเธอจนยิ่งรู้สึกเกรงใจและไม่กล้าทำอะไรให้เสียน้ำใจเบญจาเดินออกจากห้องครัวเป้าหมายคือจะออกไปเดินเล่นรอเวลามื้อเช้า เมื่อวานเธอยังสำรวจฟาร์มไม่ครบทุกซอกทุกมุมแถยยังเดินหลงอีกด้วย วันนี้จึงตั้งใจจะไม่ไปไกลเพราะกลัวเหตุการณ์ซ้ำรอย ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของเดวิสดังขึ้นจากด้านหลัง“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”“ค่ะ”“ลงมาทำอะไรตรงนี้”“คุณป้าให้ฉันออกมาเดินเล่นแล้วค่อยกลับไปกินมื้อเช้านะคะ” คำพูดของเบญจาทำให้เดวิสยิ้มกริ่ม ต่อให้เขาเป็นเชฟแต่เวลามารดาทำอาหารท่านก็ไม่ค่อยชอบให้เขาหรือใครเข้าไปช่วยเท่าไหร่ครัวในบ้านเป็นของท่านที่แม้แต่อุปกรณ์ก็ต้องวางไว้จุดเดิมห้ามย้าย โดยเขาเองก็มีครัวส่วนตัวที่แยกออกไปเพื่อรังสรรค์อาหารให้แขกในฟาร์ม ซึ่งในนั้นก็คือพื้นที่ส่วนตัวของเขาที่หากไม่ได้รับอนุญาตก็จะไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเช่นกัน “งั้นช่วยตัดมะเขือเทศให้ผมหน่อย นี่ครับอุปกรณ์” เอ่ยจบเดวิสก็ยื่นตะกร้าให้เบญจาซึ่งเธอก็รับมันไปถือไว้อย่างงุนงง“ฉันต้องเก็บลูกสีอะไร” เพราะไ
ทั้งคู่อยู่ในโรงนาพร้อมกับคนงานหญิงท้องถิ่นอีกหนึ่งคน กระทั่งใกล้ได้เวลาอาหารเช้าจึงหยุดมือแล้วเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมกันซึ่งขณะนั้นโรซี่เตรียมมื้อเช้าไว้รอเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีอาหารไทยง่ายๆ เพื่อให้แขกอย่างเบญจาได้กินอีกด้วย“วันนี้แม่ทำอาหารไทยด้วยเหรอครับ”“ใช่ แต่ไม่รู้ว่ารสชาติมันจะถูกปากไหมนะ” โรซี่ออกตัวแต่เดวิสรู้ว่ารสมือของมารดานั้นไม่เป็นรองใคร เขารู้ว่าแม่ชื่นชอบการทำอาหารมากและท่านก็เรียนรู้ทุกอย่างผ่านคลิปยูทูป บางวันเขาก็ได้กินอาหารจีนอร่อยๆ อีกอาทิตย์ก็อาจเป็นอาหารอิตาเลียนหรือเวียดนาม “แม่นั่งเถอะ ผมตักข้าวให้” เดวิสเอ่ยบอกก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้มารดาจากนั้นก็ตักข้าวใส่จานให้โดยไม่ลืมตักให้เบญจาเช่นกัน “ขอบคุณ” เบญจาเอ่ยขอบคุณชายหนุ่ม เมนูอาหารที่เห็นทำให้น้ำย่อยของเธอทำงานทันที โชคดีหน่อยที่มันไม่ส่งเสียงดังจนทำให้เธออายทั้งสามคนนั่งกินมื้อเช้าด้วยกันแม้เบญจาจะมีอาการประหม่าบ้างแต่ก็แค่ช่วงแรกเท่านั้น เมื่ออิ่มเธอก็อาสาขอล้างจาน จากนั้นก็มานั่งตรงโซฟาเพื่อให้โรซี่ทำแผลให้ แม้ขนาดแผลจะยาวแต่ไม่ได้ลึก ทายาอีกวันสองวันก็คงดีขึ้น เบญจายกมือไหว้ขอบคุณโรซี่ซึ่งเธอก็ส่งยิ
“คุณเอามันไปวางไว้ตรงไหน”“บนฟาง” นั่นคือจุดที่น่าจะดีที่สุดแต่โอกาสน้อยมากที่ลูกหนูตัวนั้นจะรอดชีวิต “มันจะตายไหม”“ถ้าแม่มันไม่มารับก็คงตาย”“ขอให้แม่หนูมารับลูกไปด้วยเถอะ” แม้จะกลัวแต่เบญจาก็ไม่ต้องการให้ลูกหนูตัวนั้นตาย เพราะเธอรื้อกองฟางทำให้มันหล่นตุ๊บลงมาอยู่ในมือ นอกจากเธอแล้วทั้งมันและแม่ก็คงตกใจมากเหมือนกัน“ฟางพอแล้ว เรากลับกันเถอะ” “ค่ะ” เบญจาเอ่ยรับแล้วเดินตรงมายังรถที่ตอนนี้ท้ายกระบะเต็มไปด้วยฟาง เมื่อมาถึงบ้านเธอก็ถูกไล่ให้ขึ้นไปอาบน้ำเพราะถ้าปล่อยไว้จะคันเอาได้ เสื้อผ้าก็ชุดใหม่โดยโรซี่เป็นคนจัดแจงมาให้ ส่วนเดวิสยังคงง่วนกับงานในมือเพราะวันหยุดยาวที่จะมาถึงลูกค้าจะมาเป็นกรุ๊ปใหญ่เขาจึงต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็กลับเข้าบ้านก่อนมื้อเย็น เสียงโทรศัพท์มือถือของเบญจาดังขึ้นก่อนเวลาเริ่มทานอาหารเย็นพอสมควร หญิงสาวจึงปลีกตัวไปรับสายซึ่งเป็นสายจากอังกูรที่โทรมาถามไถ่รวมถึงบอกรักบอกคิดถึงเธออย่างเคย พอวางสายจากเขาเบญจาก็โทรไปหาคุณปู่ถามสารทุกข์สุขดิบกันไปมาแล้วค่อยบอกว่าเธอต้องอยู่ที่นี่สักระยะ แต่ก็เลือกที่จะไม่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ท่านฟ
วันรุ่งขึ้นเดวิสพาเบญจาไปทำเอกสารในตัวเมือง จากนั้นก็พาเธอไปเก็บของใช้ส่วนตัวที่โรงแรมรวมถึงแจ้งเช็กเอาท์ แวะหาอะไรกินจากนั้นก็กลับเข้าฟาร์ม แต่ทางกลับจู่ๆ เบญจาก็มองเห็นป้ายที่เขียนว่าสวนลำไย“ลำไย” เธอพึมพำออกมาเบาๆ ทว่าเดวิสกลับได้ยิน“แถวนี้มีสวนลำไย เจ้าของเป็นคนจีน สนใจไปเก็บไหม”“ไปได้หรือคะ”“ได้ ผมกับแม่มักจะไปที่สวนลำไยทุกปีอยู่แล้ว แต่ปีนี้พาคุณไปก่อนคงไม่เป็นไร”“ค่ะ” เบญจาเอ่ยรับพร้อมส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม อันที่จริงถ้าเดวิสไม่สะดวกพาไปเธอก็เข้าใจแต่พอรู้ว่าเขาสะดวกจู่ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้น ทั้งๆ ที่จะได้ไปสวนลำไย อยากรู้ว่ารสชาติของมันจะหวานหอมเหมือนที่ไทยไหม แม้เบญจาได้คอนเทนท์แต่สถานการณ์ในตอนนี้เธอไม่สะดวกถ่ายอะไรทั้งนั้นรอยยิ้มของเบญจาทำให้เดวิสหวั่นไหว เขาเฝ้ามองคู่หมั้นมาหลายปีแต่ก็เลือกที่จะไม่เร่งรัดเรื่องแต่งงาน เพราะไม่อยากให้เธอเกลียดทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าหรือได้รู้จัก ทว่าสุดท้ายการแต่งงานก็ถูกผู้ใหญ่เร่งจนเบญจาต้องบินมาหาเขาถึงที่นี่เพื่อขอถอนหมั้น เธอมีคำตอบอันแน่วแน่ซึ่งแตกต่างกับเขาเดวิสขับรถมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงทางเข้าสวนลำไย ทันทีที่เลี้ยวเข้าไปเบญจาก็มองเห็น
เบญจาและนพพลอยู่ที่ฟาร์มเกือบสองอาทิตย์กระทั่งได้เวลากลับเมืองไทย การมาพบเดวิสของเบญจาครั้งนี้ความรู้สึกช่างต่างจากครั้งแรก เธอมาหาเขาด้วยความคิดถึงไม่ได้มาหาด้วยความชังหน้าและอยากถอนหมั้น เวลานี้นอกจากไม่ถอนหมั้นแล้วเธอกับเขายังวางแผนเรื่องแต่งงานอีกด้วยค่ำคืนก่อนวันเดินทางกลับเมืองไทย เบญจานอนอยู่ในอ้อมกอดของเดวิส ทั้งคู่ออกมานั่งดื่มไวน์และมองดาวด้วยกันบนกองฟาง กระทั่งเห็นว่าดึกมากแล้วรวมถึงพรุ่งนี้เธอต้องเดินทางไกลจึงเอ่ยชวนกลับ ซึ่งเบญจาก็ทำตามที่เขาบอกทั้งๆ ที่มีบางอย่างในใจแย้“หลิวคงนอนไม่หลับ”“ผมก็ด้วย” เสียงทุ้มที่ฟังดูจะแหบพร่าของเดวิสเอ่ยบอก เบญจาเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างขบคิด เธอยังไม่อยากกลับไปนอนจริงๆแต่ถึงอย่างนั้น เบญจาก็เดินตามเดวิสมาเงียบๆ กระทั่งถึงหน้าประตูห้องจากนั้นทั้งคู่ก็เอ่ยราตรีสวัสดิ์กันและกัน เดวิสส่งยิ้มให้คนรักแล้วเดินกลับไปที่ห้องนอนตัวเองโดยที่เบญจาเองก็มองตามเขาตลอด ทว่าจังหวะที่จะเอื้อมมือไปเปิดประตูเขาก็เปลี่ยนใจแล้วเดินย้อนกลับไปที่ห้องของเบญจา เม
อังกูรต้องเดินทางไปเวียดนามเร็วกว่ากำหนดเพราะที่นั่นมีปัญหารอให้ชายหนุ่มต้องสะสาง โดยปัญหาทั้งหมดช้องมาศเป็นคนสร้างขึ้นทั้งสิ้น นั่นก็เพื่อให้ดึงให้ลูกชายออกห่างจากแสงจันทร์เร็วที่สุด พอไปถึงอังกูรก็จะยุ่งจนหัวหมุนจะไม่มีเวลาติดต่อกับแสงจันทร์แน่นอนซึ่งแผนของช้องมาศก็กำลังไปได้สวยทีเดียว ความรักของอังกูลและแสงจันทร์กำลังส่อแววล่มเพราะระยะทางที่ไกลกัน เวลาไม่ตรงกัน รวมถึงผู้ใหญ่ไม่ปลื้มแถมคอยสร้างเรื่องบั่นทอนความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เรื่อยๆ ส่วนแสงจันทร์ก็แพ้ท้องอย่างหนักแพ้จนหงุดหงิดไปเสียทุกอย่างสำหรับช้องมาศแล้วในเมื่อไม่ชอบว่าที่สะใภ้อย่างแสงจันทร์ก็พร้อมกำจัด ขณะนั้นก็เสาะแสวงหาว่าที่ลูกสะใภ้คนใหม่ ผู้หญิงที่คู่ควรกับอังกูรทุกระเบียบนิ้ว ผู้หญิงที่โปรไฟล์ดี ครอบครัวดี ฐานะดี การศึกษาดี ทุกอย่างเพอร์เฟค ผู้หญิงแบบนั้นต่างหากถึงจะคู่ควรกับลูกชายของเธอ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าหวังมาแค่เกาะสูบเลือดสูบเนื้อโดยไม่รู้ว่าระหว่างนั้นอายุครรภ์ของแสงจันทร์ก็ค่อยๆ มากขึ้น เธอแบกหน้าไปฝากครรภ์ไม่ใช่เพราะรักหรือเป็นห่วงลูกในท้องแต่เพราะผลประโยชน์บางอย่างในใจมากก
“ยังครับ”“เอ้า! ลูกคนนี้นี่” โรซี่ส่ายหน้าให้ลูกชายที่ใจเย็นเป็นน้ำแข็ง ได้แต่ภาวนาขอให้ความรักของเดวิสและเบญจาสวยงามเหมือนแสงแดดยามเช้า ทั้งคู่รับรู้เรื่องการหมั้นหมายอย่างกะทันหันอาจต้องการเวลาเพื่อศึกษาอีกฝ่าย หากมั่นใจมากพอความรักก็คงงอกงามส่วนอีกคู่ก็พยายามเปิดตัวสุดฤทธิ์ แม้จะพึ่งคบหากันได้แค่ไม่กี่เดือนแต่แสงจันทร์ก็ออกหน้าออกตา รบเร้าอังกูรให้พาเธอไปพบครอบครัวและก็ทำได้สำเร็จ เพราะชายหนุ่มรับปากกว่าพรุ่งนี้จะพาไป นั่นทำให้แสงจันทร์ชวนคนรักออกไปฉลองล่วงหน้า“คุณแม่” อังกูรอุทานออกมานั่นเพราะไม่คิดว่าจะบังเอิญพบมารดาที่ร้านอาหาร“มากินข้าวเหรอหนึ่ง”“ครับ”“แล้วนั่นมากับใคร หน้าไม่คุ้นไม่ใช่หนูหลิวนี่” ช้องมาศมองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ลูกชายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้จะไม่พอใจแต่แสงจันทร์ก็ยังคงยิ้มแย้มก่อนจะยกมือไหว้ทักทายพร้อมแนะนำตัว“สวัสดีค่ะคุณแม่ หนูชื่อแสงจันทร์ค่ะ”“ใครถามหล่อน” น้ำเสียงและประโยคดุดันของ  
“อ้อ…เชิญเข้าบ้านก่อนค่ะ” เบญจาผายมือเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มเข้าบ้าน แม้ไม่ทันตั้งตัวที่จู่ๆ เดวิสก็มาหาถึงที่บ้านเช่นนี้แต่เบญจาก็เก็บอาการได้เป็นอย่างดี“คุณสบายดีหรือเปล่า”“สบายขึ้นค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้คุยด้วยหลายวัน พอดีฉันยุ่งๆ กับงาน” ตอนนี้เบญจาทำใจเรื่องอังกูรและ แสงจันทร์ได้มากแล้ว เรื่องงานแม้จะมีปัญหาแต่ก็ผ่านมันไปได้ส่วนเรื่องเขาเธอยอมรับว่ายังไม่รู้วิธีรับมือ เพราะแบบนั้นจึงเลี่ยงที่จะพูดคุยหรือเจอหน้าแม้จะมั่นใจว่าไม่ได้คิดอะไรกับเดวิส แต่มื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงก็อดที่จะสับสนไม่ได้ พอสับสนสมองก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องที่เขาบอกรักลามไปจนถึงจูบแรก ก่อนจะปัดตกความคิดเหล่านั้นแล้วบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าเธอยังไม่พร้อมจะรักใครในตอนนี้ ความรักของเธอมันห่วยมันแย่ เธอไม่ต้องการเจอเหตุการณ์เลวร้ายอย่างที่อังกูรและ แสงจันทร์ทำไว้อีก“ผมจะมาบอกว่าพรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว” ประโยคที่ได้ยินทำเอาเบญจาอึ้งไปอีกหน ทั้งๆ ที่ไม่พ
“คำว่าเพื่อนของเรามันคืออะไร”“นี่ๆ ฟังแล้วก็ช่วยตาสว่างได้แล้วนะจ๊ะ เมื่อก่อนฉันคิดกับเธอแบบเพื่อนจริงๆ เป็นห่วงเป็นใยเพื่อนที่แสนดีของเธอไง แต่พอเธอมีแฟนฉันก็อิจฉาจนอยากได้”“บ้า ตรรกะวิบัติ ว่างๆ ก็ช่วยไปเช็กประสาทหน่อยนะ ฉันสงสารคนที่อยู่รอบๆ ตัวเธอ” พูดจบเบญจาก็สะบัดหน้าใส่แสงจันทร์ ไม่เท่านั้นยังปิดประตูรั้วใส่ดังปังก่อนจะเดินเข้าบ้านอย่างไม่สนใจส่วนแสงจันทร์ยืนกัดฟันกรอดๆ ของพวกนี้เธอไม่ต้องกลับมาเอาก็ยังได้แต่ที่ยอมเสียเวลาแวะมาก็เพราะอยากมาเยาะเย้ยเบญจา ไม่คิดว่าเธอจะถูกเบญจาสวนกลับ น่าโมโหชะมัดเบญจาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องรับแขกแล้วยกมือขึ้นคลึงระหว่างคิ้วที่เวลานี้ปวดตุบๆ เมื่อไหร่เรื่องบ้าๆ พวกนี้จะจบลงเสียที เธอเหนื่อยและเบื่อจนอยากหนีไปให้ไกล แต่จะไปไหนได้ในเมื่อมีงานต้องรับผิดชอบ พอตั้งสติได้เบญจาก็เข้าออฟฟิศแวะไปโกดังเลี้ยงข้าวลูกน้องแม้เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอทำร้ายเธอจนเจ็บปางตาย แต่พนักงานทุกคนกลับส่งยิ้มให้เธอ ภาพที่เห็นท
“อ้อ…เมื่อกี้เหมือนฉันจะเห็นร้านบะหมี่อยู่ข้างๆ ร้านสะดวกซื้อ เราไปกินกันไหมคะ เพราะตอนนี้ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน” เอ่ยบอกเสร็จก็ส่งยิ้มให้เขา แม้จะยิ้มไม่สดใสเหมือนเดิมอย่างน้อยรอยยิ้มนี้ก็สลัดความทุกข์ออกไปจากความรู้สึกของเบญจาได้พอสมควร“ครับ” เดวิสเอ่ยรับ ทั้งคู่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวกันคนละชามก่อนที่เดวิดจะอาสาไปส่งเธอที่บ้านซึ่งเบญจาก็บอกเส้นทางให้ ขณะนั่งรถอยู่นั้นเธอก็อดที่จะทึ่งกับทักษะการขับรถที่ดีเยี่ยมเกินคาดของอีกคนมาก ออกเดินทางมาได้ครู่ใหญ่ก็ถึงบ้านของเบญจา“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ขอบคุณความบังเอิญที่คุณไปเจอฉันแล้วช่วยดึงสติไว้” เบญจาคิดว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับเดวิสคือความบังเอิญเท่านั้น แต่ชายหนุ่มรู้ว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญเขาตั้งใจตามหาเธอต่างหาก“ครับ”“ว่าแต่คืนนี้คุณพักที่ไหน” เบญจามีคำถามในหัวมากมายแต่ถ้าถามออกไปอีกฝ่ายจะคิดว่าเธอก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาหรือเปล่า เพราะคิดแบบนั้นเธอจึงได้แต่เก็บคำถามไว้“โรงแรม...ครับ”“จากบ้านฉันไปก
เสียงแตรรถที่พร้อมใจกับบีบดังสนั่นก้องไปทั่วถนน เมื่อจู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินฝ่าสัญญาณไฟจราจรตัดหน้ารถที่กำลังขับอยู่บนถนนเสียดื้อๆ ไม่ว่าใครจะบีบแตรเป็นสัญญาณเตือนเท่าไหร่หญิงสาวก็ไม่มีท่าทีสนใจแต่กลับเดินต่อไปเรื่อยๆ ตัดหน้ารถคันแล้วคันเล่ากระทั่งถึงเลนในสุดที่รถส่วนใหญ่ขับมาด้วยความเร็วแต่ก่อนที่เท้าของเบญจาจะก้าวไปถึงเลนนั้น กลับมีใครคนหนึ่งเข้ามารวบตัวเธอไว้แล้วพาออกไปจากกลางถนน เพราะดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อเธอจึงมองไม่เห็นว่าเขาเป็นใครกระทั่งได้ยินเสียง“ทำบ้าอะไร”“คุณซัน” น้ำเสียงของเบญจาสั่นเครือ ชายหนุ่มรีบเดินพาเธอออกจากกลางถนนมายังรถยนต์ส่วนตัว น้ำตาที่มันเอ่อมานานในที่สุดก็ไหลอาบแก้มของเบญจาแม้จะไม่มีเสียงสะอื้นทว่าน้ำตาของเธอกลับทำให้เดวิสเจ็บปวดเช่นเดียวกัน หลังจากยืนมองเครื่องบินลำที่จะพาเธอกลับเมืองไทยอยู่นานเขาก็ตัดสินใจได้ว่าควรต้องทำอะไรสักอย่าง พอกลับไปถึงบ้านแม่ก็เตรียมกระเป๋าและหนังสือเดินทางไว้รอ ราวกับรู้ว่าเขาจะทำอะไรโชคดีที่ช่วงนี้เข้าหน้าฝนตกการจองคิวเพื่อมานั่งทานอาหารที่ฟาร์มจึงถูกเลื่
โรซี่ที่ยืนฟังทั้งคู่พูดคุยกันถึงกับถอนหายใจออกมาหนักๆ ทำไมลูกชายเธอถึงยังไม่ยอมพูดความในใจออกมาสักที หรือไม่ก็พูดยื้อให้เบญจาอยู่ด้วยกันที่นี่อีกสักหน่อย ทำไมถึงชอบได้ใจร้ายกับความรู้สึกของตัวเองแบบนั้นนะข่าวลือที่เกิดขึ้นกับหลานสาวถึงหูของนพพลเช่นกัน เพราะรู้ว่ามันไม่มีเรื่องไหนจริงนพพลจึงไม่ได้ร้อนอกร้อนใจกลับคิดว่าดีเสียอีก เพราะข่าวนี้อาจพิสูจน์ใจคนได้โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวบางคนที่ทำร้ายเบญจาได้อย่างเลือดเย็นคืนก่อนเดินทางเบญจายังคงไปนั่งคุยกับเจ้าไก่ซิลค์กี้แต่คราวนี้เธอไม่กล้าแตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะกลัวเหตุการณ์ในคืนนั้นเกิดขึ้นซ้ำ เพียงแค่คิดถึงมันใจเธอก็เอาแต่เต้นโครมครามไม่หยุดรวมถึงความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนคนเป็นไข้นี่ก็ด้วย“เอากลับไปเลี้ยงที่ไทยด้วยไหม ผมยกให้”“อยากเอามันกลับไปด้วยอยู่เหมือนกัน แต่ฉันกลัวทำมันตายนะสิ”“งั้นผมจะเลี้ยงให้”“เลี้ยงดีๆ นะคะ อย่าจับมันลงหม้อตุ๋นเชียว”“ตัวเท่านี้ไม่น่าจะอิ่มท้องเท่าไหร่” เดวิสมองไปยังเป้าหมาย ซึ่งคำพูดของชายหนุ
“คุณซัน”“เห็นข่าวหรือยัง”“เห็นแล้วค่ะ ฉัน…” ก่อนที่เบญจาจะได้พูดอะไรเดวิสก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“ผมสั่งให้ทีมกฎหมายที่เมืองไทยช่วยตามสืบแล้วว่าใครปล่อยข่าวพวกนั้น รู้ตัวเมื่อไหร่ผมจะยื่นฟ้องให้” เชฟหนุ่มเอ่ยบอก ทันทีที่รู้เรื่องเขาก็รีบจัดการทุกอย่างทันที เพราะเรื่องแบบนี้ต้องจบให้เร็วเนื่องจากมันกระทบหลายฝ่ายโดยเฉพาะกับเบญจา“ทีมกฎหมาย” คนฟังกะพริบตาปริบๆ “คุณซันมีทีมกฎหมายที่เมืองไทยด้วยหรือคะ”“มีครับ นอกจากที่นี่ผมยังมีธุรกิจเล็กๆ ที่เมืองไทย ของคุณพ่อนะครับ” เบญจาไม่แน่ใจว่าเธอจะเชื่อคำว่าธุรกิจเล็กๆ ของเดวิสได้ไหม ถ้าเล็กจริงชายหนุ่มคงไม่ใช้คำว่าทีมกฎหมายหรอก“ขอบคุณนะคะ บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ฉันยังคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ว่าจะเริ่มต้นจัดการกับปัญหานี้ยังไง”“ค่อยๆ คิด ว่าแต่คนรักของคุณว่ายังไงบ้าง”“ฉันโทรหาเขาแล้ว แต่เขาไม่สบายเลยไม่อยากกวน”“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอก ผมยินดี”“ค่ะ&r