แม้จะต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตอยู่ที่ฟาร์มของเดวิสแต่ทุกอย่างก็ค่อยๆ เข้าที่เข้าทาง รักทางไกลของเธอกับอังกูรก็คงราบรื่นแม้ชายหนุ่มจะระแวงเพราะเขามักจะถามทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์ว่าเธอจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ หรือคุยกันอยู่ดีๆ เขาก็ชวนทะเลาะด้วยเรื่องไร้สาระหาว่าเธอไม่รักเขาแล้วบ้าง เลยเถิดหนักถึงขั้นคิดว่าเธอกำลังนอกใจเขา เบญจาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เพราะอยากให้อังกูรเชื่อใจไม่ใช่ระแวงไปเสียทุกเรื่อง แต่เพราะความรู้สึกดีๆ ที่มีให้เขายังคงมากจึงพยายามปัดเรื่องกวนใจทุกอย่างทิ้ง แต่ก็อยากได้คนรับฟังสักคน “นี่ แกน่ะเคยทะเลาะกับแฟนไหม” ประโยคคำถามดังขึ้นจากเบญจา แต่พอไม่ได้รับคำตอบก็หันไปมองเจ้าไก่ซิลค์กี้สีส้มที่จู่ๆ มันก็มาหากินอยู่ข้างๆ เธอ บรรดาสัตว์ของที่นี่ค่อนข้างคุ้นชินกับคนโดยเฉพาะเจ้าไก่“ว่าไง ถามแล้วทำไมไม่ตอบ” อารมณ์คนกำลังเซ็งเริ่มมาก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ เธออยู่ที่นี่ก็เพราะต้องการถอนหมั้นกับเดวิสแล้วจะไปตอบตกลงคำขอแต่งงานกับอังกูร แต่ทำไมตอนนี้เธอถึงไม่มั่นใจว่าจะทำอย่างหลัง “ฉันนะ มีแฟนอยู่คนหนึ่ง เรารักกันมากและเขาก็ขอฉันแต่งงานแล้วด้วย แต่ฉันกลับตอบตกลงไม่ได้ เพราะอะไรน
“ผมไว้ใจคุณหลิว แต่คนที่ผมไม่ไว้ใจคือทางนั้นต่างหาก”“เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกค่ะ ฉันรู้จักหลิวดีว่าไม่มีทางวอกแวกหรือชอบพอผู้ชายคนไหนได้ เพราะไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนในใจของหลิวก็มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้น” แม้จะอยากพูดอีกอย่างทว่าแสงจันทร์กลับทำตรงข้าม เธอยังต้องสวมบทเป็นเพื่อนที่ดีเพื่อปูทาง ก่อนจะย้ำเตือนให้อังกูรมั่นใจในตัวเบญจารวมถึงมั่นใจความรักของพวกเขา “ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ช่วยดึงสติผม”“ด้วยความยินดีค่ะ”“ดื่มครับ ผมเป็นเจ้ามือเอง”“ขอบคุณค่ะ” แอร์โฮสเตสสาวสวยส่งยิ้มให้คนรักของเพื่อนสนิท เมื่อได้คุยพร้อมจิบเหล้าฟังเพลงไปด้วยแบบนี้ ทั้งคู่ก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น พูดคุยและหัวเราะในเรื่องราวที่นำมาเล่าสู่ให้อีกฝ่ายได้ฟังแรกๆ ก็ล้วนเป็นเรื่องของเบญจาทว่าหลังๆ กลับไม่มีวันแรกพวกเขาใช้เวลาด้วยกันนานหลายชั่วโมง ก่อนที่แสงจันทร์จะเปลี่ยนความบังเอิญเป็นตั้งใจ เพราะทุกครั้งที่เธอมีเวลาว่างก็มักจะนัดแนะให้อังกูรออกมาพบโดยใช้เรื่องเบญจามาเป็นข้ออ้างเสมอๆ จากที่ตั้งใจจะให้ชายหนุ่มเป็นพ่อสื่อแนะนำเพื่อนที่ยังโสดให้ สุดท้าย แสงจันทร์ก็เปลี่ยนใจเพราะในความคิดเธอไม่มีใครดีเท่า
ต่อให้ฐานะครอบครัวจะสู้เบญจาไม่ได้แต่ในเรื่องความสวยแสงจันทร์มั่นใจว่าเธอนั้นกินขาด เพราะเธอเป็นถึงแอร์โฮสเตสของสายการบินชื่อดังแถมยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับทางสายการบินถึงสองปีซ้อน งานโฆษณาก็พอจะมีบ้างและในอนาคตอันใกล้เธอก็จะสร้างแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง“วันนี้คุณสวย” ทันทีที่เจอหน้ากันคำชมก็ดังมาจากอังกูรทันที“ขอบคุณค่ะ แต่อย่าชมกันแบบนี้ต่อหน้าหลิวนะคะ ฉันไม่อยากให้เพื่อนเข้าใจผิด”“ครับ” อังกูรยิ้มกริ่มออกมา เรื่องงานชายหนุ่มจัดการได้อย่างดีแต่เรื่องหัวใจกลับยังไม่ลุล่วง เพราะจนถึงตอนนี้เบญจาก็ยังไม่กลับ ยิ่งเธอกลับมาเร็วเท่าไหร่นั่นหมายความว่าการหมั้นหมายของเธอกับเดวิสได้ยุติลงแล้ว แต่นี่…แสงจันทร์อาศัยประโยชน์จากความระแวงของอังกูร เธอก้าวเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเขาในฐานะเพื่อนสนิทของเบญจาและค่อยๆ เปลี่ยนสถานะตัวเอง บางครั้งก็ยุยงสนับสนุนความคิดแง่ลบเพื่อทำให้ความมั่นคงของเขาสั่นคลอน ยิ่งอังกูรดื่มหนักขึ้นแบบนี้ด้วยแล้ว อะไรๆ ก็ดูเข้าทางแสงจันทร์ไปเสียหมด
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองดีกว่า อีกอย่างฉันอยากอยู่คนเดียวด้วย หลังจากนี้เราอย่าเจอกันอีกเลยนะคะ” แสงจันทร์เอ่ยบอกเสียงสั่นเครือก่อนจะก้าวลงจากเตียงพร้อมกับคว้าเสื้อเชิ้ตของอังกูรขึ้นมาสวมปกปิดร่างกายเปลือยเปล่ามือข้างหนึ่งกุมสาบเสื้อเชิ้ตไว้ส่วนอีกข้างค่อยๆ รวบเสื้อผ้าของเธอที่เวลานี้ยังกองอยู่บนพื้นขึ้นมาถือไว้ จากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำทันทีที่ประตูห้องน้ำปิดลงเธอก็ยิ้มออกมา ยิ้มทั้งๆ ที่น้ำตากำลังไหลอาบแก้ม การเล่นละครฉากสำคัญของเธอถือว่าสอบผ่านไม่มีที่ติส่วนอังกูรกลับยังคงนั่งนิ่ง สมองตื้อจนคิดหาทางแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นไม่ตก นั่นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่จะแก้ไขกันได้ง่ายๆ และก่อนที่เขาจะคิดหาทางออกได้ประตูห้องน้ำก็เปิดออก สีหน้าของแสงจันทร์เวลานี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด แม้จะขอไปส่งแต่เธอก็ยังคงยืนกรานจะกลับด้วยตัวเองเพราะแสงจันทร์เป็นคนคุมเกมเธอจึงวางหมากให้อังกูรเดินตาม เธอไม่โวยวายไม่เรียกร้องขอให้เขารับผิดชอบ ยิ่งเธอเฉยอังกูรก็ยิ่งร้อนรนถึงขนาดไม่เป็นอันทำงานและไม่ได้โทรศัพท์หาเบญจาอย่างทุกวัน จู่ๆ เขาก็หายไปบวกกับเบ
“แต่ฉันกลัว ถ้าหลิวรู้แล้วโกรธขึ้นมา ฉันจะทำไง”“ผมจะขอโทษคุณหลิวเองครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณต้องลำบากใจ” เอ่ยจบก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นซึ่งแสงจันทร์ก็ซุกตัวอยู่กับแผงอกของชายหนุ่ม ราวกับว่าเธอคือลูกนกตัวเล็กๆ ที่ต้องการการปกป้องคุ้มภัยอังกูรปรนเปรอแสงจันทร์ด้วยของแบรนด์เนมอีกหลายอย่าง แม้ปากจะบอกว่าไม่อยากได้แต่ลับหลังก็ตาลุกวาวจนเนื้อเต้น ขนาดพึ่งมีอะไรกันเขายังเปย์หนักขนาดนี้ถ้าเธอท้องขึ้นมา เขาคงคุกเข่าขอแต่งงานแน่“ลูกจะปล่อยมือจากหลิวจริงๆ นะเหรอ” โรซี่เอ่ยถามลูกชายอย่างตรงไปตรงมา นั่นเพราะเธอพอจะมองเห็นอะไรในสายตาของเดวิส ต่อให้การหมั้นหมายจะเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เดวิสยังไม่เกิด ทว่าพอรู้ลูกชายคนนี้ของเธอก็นิ่งและขอทำความรู้จักว่าที่เจ้าสาวเงียบๆทุกครั้งที่เบญจาไลฟ์สดหนึ่งในคนดูคือเดวิส เพียงแค่ลูกชายไม่ได้ใช้แอคเคาท์จริงเท่านั้น ที่รู้เพราะเธอเคยเห็นและเคยได้รับกล่องพัสดุที่ส่งมาจากเมืองไทย โดยของในนั้นล้วนเป็นสินค้าของเบญจาทั้งสิ้น แบบนั้นเรียกว่าตกหลุมรักได้หรือเปล่า ยิ่งรู้ว่าเบญจาจะบินมาถอนหมั้นเดวิสก
เดวิสพยายามสื่อด้วยแววตารวมถึงการทำว่าเขานั้นคิดยังไงกับเบญจา ทั้งทำของอร่อยๆ ให้เธอได้กิน รวมถึงสรรหาวัตถุดิบมาทำอาหารไทยให้เธอกินหลายครั้ง หากเป็นวันหยุดก็มักจะพาออกไปเที่ยวเพื่อให้เธอได้ถ่ายรูปถ่ายคลิปหรือพาไปหาที่เงียบๆ ให้เธอได้ทำงานหรือแม้กระทั่งคุยกับคนรักของเธอ แต่ดูเหมือนเขาจะสื่อไปไม่มากพอ เพราะจนถึงตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังไม่รับรู้ นั่นทำให้โรซี่ต้องยื่นมือช่วยลูกชายตัวดีที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์อะไรทำนองนี้มากเท่าไหร่“เอ้…กลิ่นนี้” เบญจาทำจมูกฟุดๆ ฟิตๆ ดมกลิ่นบางอย่างในบ้าน กลิ่นนี้มันคือก้านไม้หอมที่เธอเป็นคนคิดและสั่งผลิตเองไม่ผิดแน่ ก่อนจะเดินหาที่มากระทั่งเห็นมันวางอยู่บนชั้นในห้องรับแขก“หอมว่าไหม”“ค่ะ”“ซันให้ป้ามานานแล้วแต่เพราะมันสวยป้าจะใช้ก็เสียดาย เลยเอาไปเก็บอยู่นาน” โรซี่ไม่ได้กล่าวเกินจริง ก้านไม้หอมแบรนด์ของเบญจานั้นสวยและหอมมากจริงๆ เธอเอาไปฝากเพื่อน ยังเอ่ยชมไม่ขาดปาก“คุณซันให้คุณป้
แต่ถึงอย่างนั้นเดวิสก็ยังคงลังเลที่จะบอกความรู้สึกแท้จริงว่าเขาคิดยังไงกับเบญจา ไม่ใช่ไม่อยากบอกแต่กลัวบอกไปแล้วจะทำให้เธอไม่สบายใจเพราะหญิงสาวเองก็ไม่ได้มีท่าทีหรือแสดงออกว่าคิดอะไรกับเขา เธอยังคงหนักแน่นเรื่องถอนหมั้นรวมถึงมั่นคงในความรักที่ต่ออังกูร นั่นทำให้เขารู้สึกอิจฉายิ่งใกล้ครบกำหนดเวลาที่เขายื้อเพื่อให้เบญจาอยู่ที่นี่มากเท่าไหร่ เวลาในแต่ละวันก็เหมือนจะยิ่งผ่านไปเร็วมากเท่านั้น แต่เบญจากลับไม่เคยรบเร้าให้เขาพูดอะไร เธอยังคงช่วยงานเขาตั้งแต่เช้าถึงเย็น แต่ที่เขาชอบมากที่สุดคือตอนที่เธออยู่กับมารดา“อีกไม่กี่วันเธอก็ต้องกลับเมืองไทยแล้วนะซัน” โรซี่กำชับลูกชายอีกครั้งซึ่งน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน นั่นเพราะตอนนี้เอกสารส่วนตัวที่หายไปของเบญจาได้ครบถ้วนหมดแล้ว รวมถึงตั๋วเครื่องบินก็มีพร้อมออกเดินทางเช่นเดียวกันคำพูดของแม่ทำให้เดวิสถอนหายใจออกมาหนักๆ เขาจะรั้งเธอให้อยู่ด้วยกันที่นี่ได้ยังไง มันไม่มีเหตุผลอะไรไปรั้งด้วยซ้ำ สุดท้ายก็เลือกที่จะทำให้ความต้องการแรกของเบญจาประสบผลสำเร็จเดวิสห
“ครับ เพราะทุกๆ ปีเราจะมีงานสังสรรค์เพื่อพูดคุยว่าปีนั้นๆ เราปลูกอะไรบ้างหรืออะไรที่ปลูกแล้วดีหรือมีปัญหาก็เอาความรู้เหล่านั้นมาแชร์กัน”“ว้าว! ดีจัง” ในความคิดของเบญจามิตรภาพของคนทำฟาร์มที่นี่ช่างน่าทึ่ง แม้ผู้คนจะไม่ได้เฟรนลี่เหมือนเมืองไทยแต่พวกเขาก็พร้อมจะช่วยเหลืออีกฝ่ายเสมอ ที่รู้เพราะเธอสัมผัสมันมาแล้วด้วยตัวเองปริมาณไวน์ในขวดของเบญจาค่อยๆ ลดน้อยลง นั่นเพราะเธอเองก็มีเรื่องให้ฉลอง หญิงสาวนั่งดื่มไวน์อย่างมีความสุขแม้จะกังวลเรื่องปู่แต่เมื่อเห็นคลิปที่เดวิสอัดให้ท่านก็คงเข้าใจคนหนึ่งฉลองให้เรื่องดีๆ ตรงกันข้ามกับอีกคนที่กำลังฉลองให้เรื่องแย่ๆ ทว่าปริมาณไวน์ในขวดของเบญจากลับหายไปมากกว่าของเดวิสเสียอีก เพราะยิ่งมีความสุขเธอก็ยิ่งดื่มรู้ตัวอีกทีไวน์ก็หมดขวดเสียแล้ว“เอ้! ทำไมหมดแล้วละ” น้ำเสียงของคนเริ่มเมาเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับหลับตาส่องเข้าไปในขวดไวน์ คำพูดของเธอทำให้เดวิสหันมามองแล้วส่ายหน้าให้“กลับเข้าบ้านกันดีกว่า”&
เบญจาและนพพลอยู่ที่ฟาร์มเกือบสองอาทิตย์กระทั่งได้เวลากลับเมืองไทย การมาพบเดวิสของเบญจาครั้งนี้ความรู้สึกช่างต่างจากครั้งแรก เธอมาหาเขาด้วยความคิดถึงไม่ได้มาหาด้วยความชังหน้าและอยากถอนหมั้น เวลานี้นอกจากไม่ถอนหมั้นแล้วเธอกับเขายังวางแผนเรื่องแต่งงานอีกด้วยค่ำคืนก่อนวันเดินทางกลับเมืองไทย เบญจานอนอยู่ในอ้อมกอดของเดวิส ทั้งคู่ออกมานั่งดื่มไวน์และมองดาวด้วยกันบนกองฟาง กระทั่งเห็นว่าดึกมากแล้วรวมถึงพรุ่งนี้เธอต้องเดินทางไกลจึงเอ่ยชวนกลับ ซึ่งเบญจาก็ทำตามที่เขาบอกทั้งๆ ที่มีบางอย่างในใจแย้“หลิวคงนอนไม่หลับ”“ผมก็ด้วย” เสียงทุ้มที่ฟังดูจะแหบพร่าของเดวิสเอ่ยบอก เบญจาเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างขบคิด เธอยังไม่อยากกลับไปนอนจริงๆแต่ถึงอย่างนั้น เบญจาก็เดินตามเดวิสมาเงียบๆ กระทั่งถึงหน้าประตูห้องจากนั้นทั้งคู่ก็เอ่ยราตรีสวัสดิ์กันและกัน เดวิสส่งยิ้มให้คนรักแล้วเดินกลับไปที่ห้องนอนตัวเองโดยที่เบญจาเองก็มองตามเขาตลอด ทว่าจังหวะที่จะเอื้อมมือไปเปิดประตูเขาก็เปลี่ยนใจแล้วเดินย้อนกลับไปที่ห้องของเบญจา เม
อังกูรต้องเดินทางไปเวียดนามเร็วกว่ากำหนดเพราะที่นั่นมีปัญหารอให้ชายหนุ่มต้องสะสาง โดยปัญหาทั้งหมดช้องมาศเป็นคนสร้างขึ้นทั้งสิ้น นั่นก็เพื่อให้ดึงให้ลูกชายออกห่างจากแสงจันทร์เร็วที่สุด พอไปถึงอังกูรก็จะยุ่งจนหัวหมุนจะไม่มีเวลาติดต่อกับแสงจันทร์แน่นอนซึ่งแผนของช้องมาศก็กำลังไปได้สวยทีเดียว ความรักของอังกูลและแสงจันทร์กำลังส่อแววล่มเพราะระยะทางที่ไกลกัน เวลาไม่ตรงกัน รวมถึงผู้ใหญ่ไม่ปลื้มแถมคอยสร้างเรื่องบั่นทอนความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เรื่อยๆ ส่วนแสงจันทร์ก็แพ้ท้องอย่างหนักแพ้จนหงุดหงิดไปเสียทุกอย่างสำหรับช้องมาศแล้วในเมื่อไม่ชอบว่าที่สะใภ้อย่างแสงจันทร์ก็พร้อมกำจัด ขณะนั้นก็เสาะแสวงหาว่าที่ลูกสะใภ้คนใหม่ ผู้หญิงที่คู่ควรกับอังกูรทุกระเบียบนิ้ว ผู้หญิงที่โปรไฟล์ดี ครอบครัวดี ฐานะดี การศึกษาดี ทุกอย่างเพอร์เฟค ผู้หญิงแบบนั้นต่างหากถึงจะคู่ควรกับลูกชายของเธอ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าหวังมาแค่เกาะสูบเลือดสูบเนื้อโดยไม่รู้ว่าระหว่างนั้นอายุครรภ์ของแสงจันทร์ก็ค่อยๆ มากขึ้น เธอแบกหน้าไปฝากครรภ์ไม่ใช่เพราะรักหรือเป็นห่วงลูกในท้องแต่เพราะผลประโยชน์บางอย่างในใจมากก
“ยังครับ”“เอ้า! ลูกคนนี้นี่” โรซี่ส่ายหน้าให้ลูกชายที่ใจเย็นเป็นน้ำแข็ง ได้แต่ภาวนาขอให้ความรักของเดวิสและเบญจาสวยงามเหมือนแสงแดดยามเช้า ทั้งคู่รับรู้เรื่องการหมั้นหมายอย่างกะทันหันอาจต้องการเวลาเพื่อศึกษาอีกฝ่าย หากมั่นใจมากพอความรักก็คงงอกงามส่วนอีกคู่ก็พยายามเปิดตัวสุดฤทธิ์ แม้จะพึ่งคบหากันได้แค่ไม่กี่เดือนแต่แสงจันทร์ก็ออกหน้าออกตา รบเร้าอังกูรให้พาเธอไปพบครอบครัวและก็ทำได้สำเร็จ เพราะชายหนุ่มรับปากกว่าพรุ่งนี้จะพาไป นั่นทำให้แสงจันทร์ชวนคนรักออกไปฉลองล่วงหน้า“คุณแม่” อังกูรอุทานออกมานั่นเพราะไม่คิดว่าจะบังเอิญพบมารดาที่ร้านอาหาร“มากินข้าวเหรอหนึ่ง”“ครับ”“แล้วนั่นมากับใคร หน้าไม่คุ้นไม่ใช่หนูหลิวนี่” ช้องมาศมองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ลูกชายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้จะไม่พอใจแต่แสงจันทร์ก็ยังคงยิ้มแย้มก่อนจะยกมือไหว้ทักทายพร้อมแนะนำตัว“สวัสดีค่ะคุณแม่ หนูชื่อแสงจันทร์ค่ะ”“ใครถามหล่อน” น้ำเสียงและประโยคดุดันของ  
“อ้อ…เชิญเข้าบ้านก่อนค่ะ” เบญจาผายมือเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มเข้าบ้าน แม้ไม่ทันตั้งตัวที่จู่ๆ เดวิสก็มาหาถึงที่บ้านเช่นนี้แต่เบญจาก็เก็บอาการได้เป็นอย่างดี“คุณสบายดีหรือเปล่า”“สบายขึ้นค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้คุยด้วยหลายวัน พอดีฉันยุ่งๆ กับงาน” ตอนนี้เบญจาทำใจเรื่องอังกูรและ แสงจันทร์ได้มากแล้ว เรื่องงานแม้จะมีปัญหาแต่ก็ผ่านมันไปได้ส่วนเรื่องเขาเธอยอมรับว่ายังไม่รู้วิธีรับมือ เพราะแบบนั้นจึงเลี่ยงที่จะพูดคุยหรือเจอหน้าแม้จะมั่นใจว่าไม่ได้คิดอะไรกับเดวิส แต่มื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงก็อดที่จะสับสนไม่ได้ พอสับสนสมองก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องที่เขาบอกรักลามไปจนถึงจูบแรก ก่อนจะปัดตกความคิดเหล่านั้นแล้วบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าเธอยังไม่พร้อมจะรักใครในตอนนี้ ความรักของเธอมันห่วยมันแย่ เธอไม่ต้องการเจอเหตุการณ์เลวร้ายอย่างที่อังกูรและ แสงจันทร์ทำไว้อีก“ผมจะมาบอกว่าพรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว” ประโยคที่ได้ยินทำเอาเบญจาอึ้งไปอีกหน ทั้งๆ ที่ไม่พ
“คำว่าเพื่อนของเรามันคืออะไร”“นี่ๆ ฟังแล้วก็ช่วยตาสว่างได้แล้วนะจ๊ะ เมื่อก่อนฉันคิดกับเธอแบบเพื่อนจริงๆ เป็นห่วงเป็นใยเพื่อนที่แสนดีของเธอไง แต่พอเธอมีแฟนฉันก็อิจฉาจนอยากได้”“บ้า ตรรกะวิบัติ ว่างๆ ก็ช่วยไปเช็กประสาทหน่อยนะ ฉันสงสารคนที่อยู่รอบๆ ตัวเธอ” พูดจบเบญจาก็สะบัดหน้าใส่แสงจันทร์ ไม่เท่านั้นยังปิดประตูรั้วใส่ดังปังก่อนจะเดินเข้าบ้านอย่างไม่สนใจส่วนแสงจันทร์ยืนกัดฟันกรอดๆ ของพวกนี้เธอไม่ต้องกลับมาเอาก็ยังได้แต่ที่ยอมเสียเวลาแวะมาก็เพราะอยากมาเยาะเย้ยเบญจา ไม่คิดว่าเธอจะถูกเบญจาสวนกลับ น่าโมโหชะมัดเบญจาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องรับแขกแล้วยกมือขึ้นคลึงระหว่างคิ้วที่เวลานี้ปวดตุบๆ เมื่อไหร่เรื่องบ้าๆ พวกนี้จะจบลงเสียที เธอเหนื่อยและเบื่อจนอยากหนีไปให้ไกล แต่จะไปไหนได้ในเมื่อมีงานต้องรับผิดชอบ พอตั้งสติได้เบญจาก็เข้าออฟฟิศแวะไปโกดังเลี้ยงข้าวลูกน้องแม้เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอทำร้ายเธอจนเจ็บปางตาย แต่พนักงานทุกคนกลับส่งยิ้มให้เธอ ภาพที่เห็นท
“อ้อ…เมื่อกี้เหมือนฉันจะเห็นร้านบะหมี่อยู่ข้างๆ ร้านสะดวกซื้อ เราไปกินกันไหมคะ เพราะตอนนี้ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน” เอ่ยบอกเสร็จก็ส่งยิ้มให้เขา แม้จะยิ้มไม่สดใสเหมือนเดิมอย่างน้อยรอยยิ้มนี้ก็สลัดความทุกข์ออกไปจากความรู้สึกของเบญจาได้พอสมควร“ครับ” เดวิสเอ่ยรับ ทั้งคู่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวกันคนละชามก่อนที่เดวิดจะอาสาไปส่งเธอที่บ้านซึ่งเบญจาก็บอกเส้นทางให้ ขณะนั่งรถอยู่นั้นเธอก็อดที่จะทึ่งกับทักษะการขับรถที่ดีเยี่ยมเกินคาดของอีกคนมาก ออกเดินทางมาได้ครู่ใหญ่ก็ถึงบ้านของเบญจา“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ขอบคุณความบังเอิญที่คุณไปเจอฉันแล้วช่วยดึงสติไว้” เบญจาคิดว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับเดวิสคือความบังเอิญเท่านั้น แต่ชายหนุ่มรู้ว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญเขาตั้งใจตามหาเธอต่างหาก“ครับ”“ว่าแต่คืนนี้คุณพักที่ไหน” เบญจามีคำถามในหัวมากมายแต่ถ้าถามออกไปอีกฝ่ายจะคิดว่าเธอก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาหรือเปล่า เพราะคิดแบบนั้นเธอจึงได้แต่เก็บคำถามไว้“โรงแรม...ครับ”“จากบ้านฉันไปก
เสียงแตรรถที่พร้อมใจกับบีบดังสนั่นก้องไปทั่วถนน เมื่อจู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินฝ่าสัญญาณไฟจราจรตัดหน้ารถที่กำลังขับอยู่บนถนนเสียดื้อๆ ไม่ว่าใครจะบีบแตรเป็นสัญญาณเตือนเท่าไหร่หญิงสาวก็ไม่มีท่าทีสนใจแต่กลับเดินต่อไปเรื่อยๆ ตัดหน้ารถคันแล้วคันเล่ากระทั่งถึงเลนในสุดที่รถส่วนใหญ่ขับมาด้วยความเร็วแต่ก่อนที่เท้าของเบญจาจะก้าวไปถึงเลนนั้น กลับมีใครคนหนึ่งเข้ามารวบตัวเธอไว้แล้วพาออกไปจากกลางถนน เพราะดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อเธอจึงมองไม่เห็นว่าเขาเป็นใครกระทั่งได้ยินเสียง“ทำบ้าอะไร”“คุณซัน” น้ำเสียงของเบญจาสั่นเครือ ชายหนุ่มรีบเดินพาเธอออกจากกลางถนนมายังรถยนต์ส่วนตัว น้ำตาที่มันเอ่อมานานในที่สุดก็ไหลอาบแก้มของเบญจาแม้จะไม่มีเสียงสะอื้นทว่าน้ำตาของเธอกลับทำให้เดวิสเจ็บปวดเช่นเดียวกัน หลังจากยืนมองเครื่องบินลำที่จะพาเธอกลับเมืองไทยอยู่นานเขาก็ตัดสินใจได้ว่าควรต้องทำอะไรสักอย่าง พอกลับไปถึงบ้านแม่ก็เตรียมกระเป๋าและหนังสือเดินทางไว้รอ ราวกับรู้ว่าเขาจะทำอะไรโชคดีที่ช่วงนี้เข้าหน้าฝนตกการจองคิวเพื่อมานั่งทานอาหารที่ฟาร์มจึงถูกเลื่
โรซี่ที่ยืนฟังทั้งคู่พูดคุยกันถึงกับถอนหายใจออกมาหนักๆ ทำไมลูกชายเธอถึงยังไม่ยอมพูดความในใจออกมาสักที หรือไม่ก็พูดยื้อให้เบญจาอยู่ด้วยกันที่นี่อีกสักหน่อย ทำไมถึงชอบได้ใจร้ายกับความรู้สึกของตัวเองแบบนั้นนะข่าวลือที่เกิดขึ้นกับหลานสาวถึงหูของนพพลเช่นกัน เพราะรู้ว่ามันไม่มีเรื่องไหนจริงนพพลจึงไม่ได้ร้อนอกร้อนใจกลับคิดว่าดีเสียอีก เพราะข่าวนี้อาจพิสูจน์ใจคนได้โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวบางคนที่ทำร้ายเบญจาได้อย่างเลือดเย็นคืนก่อนเดินทางเบญจายังคงไปนั่งคุยกับเจ้าไก่ซิลค์กี้แต่คราวนี้เธอไม่กล้าแตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะกลัวเหตุการณ์ในคืนนั้นเกิดขึ้นซ้ำ เพียงแค่คิดถึงมันใจเธอก็เอาแต่เต้นโครมครามไม่หยุดรวมถึงความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนคนเป็นไข้นี่ก็ด้วย“เอากลับไปเลี้ยงที่ไทยด้วยไหม ผมยกให้”“อยากเอามันกลับไปด้วยอยู่เหมือนกัน แต่ฉันกลัวทำมันตายนะสิ”“งั้นผมจะเลี้ยงให้”“เลี้ยงดีๆ นะคะ อย่าจับมันลงหม้อตุ๋นเชียว”“ตัวเท่านี้ไม่น่าจะอิ่มท้องเท่าไหร่” เดวิสมองไปยังเป้าหมาย ซึ่งคำพูดของชายหนุ
“คุณซัน”“เห็นข่าวหรือยัง”“เห็นแล้วค่ะ ฉัน…” ก่อนที่เบญจาจะได้พูดอะไรเดวิสก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“ผมสั่งให้ทีมกฎหมายที่เมืองไทยช่วยตามสืบแล้วว่าใครปล่อยข่าวพวกนั้น รู้ตัวเมื่อไหร่ผมจะยื่นฟ้องให้” เชฟหนุ่มเอ่ยบอก ทันทีที่รู้เรื่องเขาก็รีบจัดการทุกอย่างทันที เพราะเรื่องแบบนี้ต้องจบให้เร็วเนื่องจากมันกระทบหลายฝ่ายโดยเฉพาะกับเบญจา“ทีมกฎหมาย” คนฟังกะพริบตาปริบๆ “คุณซันมีทีมกฎหมายที่เมืองไทยด้วยหรือคะ”“มีครับ นอกจากที่นี่ผมยังมีธุรกิจเล็กๆ ที่เมืองไทย ของคุณพ่อนะครับ” เบญจาไม่แน่ใจว่าเธอจะเชื่อคำว่าธุรกิจเล็กๆ ของเดวิสได้ไหม ถ้าเล็กจริงชายหนุ่มคงไม่ใช้คำว่าทีมกฎหมายหรอก“ขอบคุณนะคะ บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ฉันยังคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ว่าจะเริ่มต้นจัดการกับปัญหานี้ยังไง”“ค่อยๆ คิด ว่าแต่คนรักของคุณว่ายังไงบ้าง”“ฉันโทรหาเขาแล้ว แต่เขาไม่สบายเลยไม่อยากกวน”“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอก ผมยินดี”“ค่ะ&r