กล่าวมาถึงตรงนี้ ลั่วจิ่วหลีก็ย่อมตระหนักได้ว่า การไขปริศนาแห่งแหวนโบราณวงนี้ให้กระจ่างคงเป็นเพียงความฝันที่อยู่ไกลเกินเอื้อมเว้นแต่นางจะหาหนทางหวนคืนกลับไปยังยุคสมัยของนาง กลับไปพบกับนักโบราณคดีคนนั้นครั้นคิดถึงนักโบราณคดีคนนั้น หัวใจของลั่วจิ่วหลีพลันปวดหนึบในชาติก่อน นางเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไร้ซึ่งญาติพี่น้องช่วงมหาวิทยาลัย วันหนึ่งนางช่วยชีวิตปู่ของนักโบราณคดีที่เกือบประสบอุบัติเหตุบนถนน นางกับนักโบราณคดีคนนั้นจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ยิ่งไปกว่านั้น ปู่ของนักโบราณคดียังเป็นถึงอดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การทหาร ผู้เกษียณอายุและใช้ชีวิตสงบสุขอยู่ที่บ้าน พ่อเป็นประธานบริษัทใหญ่ ส่วนแม่ก็เป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งที่มีชื่อเสียงในประเทศด้วยครอบครัวที่เหนือชั้นและเป็นที่อิจฉายิ่งนักของผู้คน ทำให้นักโบราณคดีสามารถเลือกเส้นทางชีวิตได้ตามใจชอบ นางจึงไม่ลังเลที่จะลงชื่อในสาขาวิชาโบราณคดีที่ตนหลงใหลที่สุดแต่ถึงกระนั้น เรื่องที่ว่าเหตุใดนักโบราณคดีคนนั้นจึงส่งแหวนโบราณวงนี้มาให้นางนั้นเกรงว่าหากนางไม่สามารถกลับไปได้ นางก็ไม่มีวันรู้คำตอบเมื่อคิดถึงชีวิตในชาติภพก่อน
อย่างน้อยมันก็พอจะบอกได้ว่า เขาเองก็หาใช่บุรุษหนุ่มไร้เดียงสา แต่เหตุใดวันนี้กลับถูกการกระทำโดยไม่ตั้งใจของลั่วจิ่วหลีจุดไฟในหัวใจให้รุ่มร้อน ราวกับไฟลามที่มิอาจดับได้ที่นอกเรือน พ่อบ้านเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ“ท่านฉิน นายท่านยังไม่มีทีท่าว่าจะกินข้าวเลยหรือ?”ฉินอิ่นส่ายศีรษะ ด้วยใบหน้าไร้สีเลือด ไม่ส่งเสียงใด ๆใบหน้าแก่ชราของพ่อบ้านขมวดคิ้ว“จะทำอย่างไรดีล่ะนี่ อาหารก็อุ่นแล้วอุ่นอีก ข้าว่าท่านฉินลองเข้าไปถามนายท่านดูหน่อยเถิด”ฉินอิ่นกดมือลงบนท้องที่เริ่มปวด ใจของเขาก็กระวนกระวายไม่แพ้กัน เขาหยิบของบางอย่างจากในอกเสื้อใส่ปากเคี้ยวเพื่อบรรเทาอาการไม่สบายของกระเพาะอาหาร“งั้นก็อุ่นต่อไป”พ่อบ้านคิดในใจ หากอุ่นอีกครั้ง เกรงว่าอาหารเหล่านี้คงเละจนติดก้นหม้อแล้วกระมังก่อนที่คำพูดจะสิ้นสุด เด็กหนุ่มรับใช้จากเรือนข้างที่คอยดูแลพัศดีผู้นั้น ก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว“ท่านฉิน พ่อบ้านหวัง พัศดีคนนั้นฟื้นแล้วขอรับ ฟื้นขึ้นมาแล้ว”นี่ถือเป็นข่าวดี ฉินอิ่นพลันหมุนตัวเดินไปเคาะประตูห้องหนังสือทันที“เข้ามา”เสียงอันเย็นชาและเคร่งขรึมดังลอดออกมาจากในห้องหนังสือ“นายท่าน”ฉินอิ่น
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เหล่าผู้คนคุกเข่าก้มกราบรับของพระราชทานด้วยความขอบคุณฉีจุ้ยกงกงหันไปมองลั่วจิ่วหลีที่คุกเข่าอยู่“คุณหนูรองลั่ว ฝ่าบาทมีพระราชกระแสรับสั่ง ให้คุณหนูรองลั่วเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้เช้า ณ ตำหนักกานเฉวียน เพื่อดูแลเฟิงเต๋อฮูหยิน จนกว่าเฟิงเต๋อฮูหยินจะหายดี”“เพคะ”กินของเขาต้องพูดน้อย รับของเขาต้องก้มหน้า คนที่อยู่ใต้ชายคาเขาย่อมต้องก้มศีรษะให้ต่ำ!ยิ่งไปกว่านั้น พระราชกระแสรับสั่งย่อมไม่อาจขัดขืนเมื่อลั่วจิ่วหลีน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเสร็จสิ้นแล้ว จึงประคองมารดาลุกขึ้น จากนั้นจึงขยับไปยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีเคารพนอบน้อมแม้ในใจของอี้กั๋วกงฮูหยินจะมีความสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงพระราชทานรางวัลให้กับจวนอี้กั๋วกง นางแอบส่งสายตาให้สวีหมัวมัว อีกฝ่ายก็เข้าใจทันทีสวีหมัวมัวหยิบถุงเงินที่เตรียมไว้แล้วออกมา แล้วเดินขึ้นไปข้างหน้า ยื่นส่งให้ด้วยสองมือฉีจุ้ยกงกงรีบปฏิเสธด้วยท่าทีสุภาพ“ข้าเป็นข้าราชบริพารรับใช้ฝ่าบาท อี้กั๋วกงฮูหยินไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้”“กงกงกล่าวเกินไปแล้ว ท้องฟ้าใกล้ค
บางที บุตรสาวอาจไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของลูกสาวตัวเอง ในใจอี้กั๋วกงฮูหยินก็ยิ่งรู้สึกผิดหากนางบุกเข้าไปหาบุตรสาวตัวเองที่จวนอ๋องเจาเร็วกว่านี้ หากตอนนั้นนางไม่รับปากเรื่องการแต่งงานนี้โชคดี ที่บุตรสาวของนางยังมีชีวิตอยู่ ดีที่พวกนางสองแม่ลูกยังได้พบหน้ากันลั่วจิ่วหลีโล่งอก จากนั้นควงแขนของมารดา“เอาล่ะเจ้าค่ะ เรื่องที่ไม่สบายใจเหล่านั้น ไม่ต้องไปคิดถึงอีกแล้ว ตอนนี้ข้าก็มาอยู่ข้างกายท่านแม่อย่างดีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”อี้กั๋วกงฮูหยินพยักหน้า“อาจารย์ของเจ้าคือผู้ใด? วันหน้าเรียนเชิญให้มาเที่ยวจวน แม่จะขอบคุณด้วยตัวเอง ขอบคุณบุญคุณที่เขาช่วยชีวิตเจ้า”ลั่วจิ่วหลีส่ายหน้า“อาจารย์มีนามว่าหลิงซวีจื่อ เขาออกจากแคว้นฉางหนิงไปแล้วเจ้าค่ะ”กั๋วกงฮูหยินชะงัก ความตะลึงบนใบหน้ายากจะพรรณนา“เจ้าว่าอะไรนะ? อาจารย์ของเจ้าชื่อหลิงจื่อซวีหรือ?”“เจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีพยักหน้ากั๋วกงฮูหยินเอามือป้องปาก“หลิงจื่อซวี? ก็คือหมอเทวดาในยุทธภพที่ยากจะพบตัวผู้นั้นหรือ?”“อาจารย์ของเจ้าคือหลิงจื่อซวีหรือ แม่ควรบอกว่าเจ้าได้ลาภเพราะทุกข์ เสียไปอย่างย่อมได้มาอีกอย่าง
ฉินอู่ส่ายหน้า“พัศดีฟื้นแล้ว ท่านอ๋องให้ข้าน้อยมารับคุณหนูรองไปที่จวนขอรับ”เมื่อได้ยินว่าพัศดีฟื้นแล้ว ลั่วจิ่วหลีก็ยิ้มอย่างหาได้ยาก“ฟื้นแล้วหรือ? ฟื้นแล้วก็ดี”“เจ้ารอก่อน ข้าจะกลับไปเอากล่องยา”ลั่วจิ่วหลีหันหลังวิ่งไปที่เรือนหลัง“ขอรับ”ฉินอู่เงยหน้ายืดอก ยืนอยู่ด้านข้าง รอคอยอย่างเงียบเชียบเขาไม่ได้บอกลั่วจิ่วหลีถึงสาเหตุที่นายท่านของเขาสั่งให้เขามาจวนกั๋วกงนายท่านบอกเพียงว่า ขอเพียงคุณหนูรองตระกูลลั่วรู้ว่าพัศดีฟื้นแล้ว จะต้องมาแน่นอนเรือนฝูชวี ลั่วจิ่วหลีสั่งให้ชุนหรงถือกล่องยา แล้วตามนางออกจากจวนจากนั้นสั่งพ่อบ้านให้ไปแจ้งมารดาสักคำ ต่อมาจึงตามฉินอู่นั่งรถม้าของจวนอ๋องเก้าออกไป......ครึ่งชั่วยามก่อน ภายในจวนอ๋องเก้าพัศดีที่ฟื้นได้ไม่นานกินโจ๊กเข้าไปเล็กน้อย ทำให้ร่างกายพอมีแรงขึ้นมาบ้าง แม้ตรงบาดแผลจะเจ็บปวด แต่สามารถรอดชีวิตมาได้ก็ถือว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายแล้วดูเหมือนเขาลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนจำกลางกรมอาญาไปแล้ว เขาในยามนี้ จ้องมองท่านอ๋องเก้าตรงหน้า สับสนและทำอะไรไม่ถูก“บ่าว...บ่าวคารวะท่านอ๋องเก้า”พัศดีรีบลงจากเตียง คุกเข่าลงบนพื้น ทำให้รั้ง
“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู่หันหลังจากไป“นายท่าน”ฉินอิ่นยืนอยู่หลังเซียวหมิงเสวียน“วังเสี่ยวลิ่วแกล้งทำหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? หรือจะให้ข้าน้อยเข้าไปทรมานสอบสวน ข้าน้อยไม่เชื่อว่าหลังจากถูกทรมานอย่างหนักเขาจะยังไม่สารภาพอีก”“ไม่ต้อง”เซียวหมิงเสวียนยกมือห้ามเขา“บางทีเขาอาจไม่ได้เสแสร้ง ข้าเคยติดต่อกับคนของแคว้นซางหนาน”“ข้ารู้ว่าขณะที่หญิงสาวแคว้นซางหนานใช้วิชามนตร์เสน่ห์เป็น ภายในวิชามนตร์เสน่ห์เหล่านั้นยังมีวิธีสลายความทรงจำของคนเราได้”“หากข้าทายไม่ผิด ก่อนวังเสี่ยวลิ่วจะฆ่าตัวตาย คงถูกเยียนทิงเหลียนลบความทรงจำไปแล้ว”ฉินอิ่นชะงัก พลันตกใจจนอ้าปากค้าง“ลบความทรงจำหรือ?”ฟังดูช่างเหมือนเรื่องเพ้อเจ้อเซียวหมิงเสวียนพยักหน้าเงียบเชียบเยียนทิงเหลียนรัดกุมมาก ทั้งที่รู้ว่าวังเสี่ยวลิ่วต้องตายแน่นอน แต่ก็ชิงลบความทรงจำของเขาไปก่อน ปล่อยให้เขาต้องตายเป็นผีเลอะเลือนทว่าเพราะความรัดกุมเช่นนี้ของเยียนทิงเหลียน ทำให้การสืบหาของเขาชะงัก“บางที คงต้องรอให้ลั่วจิ่วหลีมาถึงก่อน”เซียวหมิงเสวียนลูบไล้แหวนตรงหัวแม่มือเขาไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมถึงได้เชื่อใจลั่วจิ่วหลีซ้ำแล้วซ้ำเล่ายิ่งไปกว่
สิ่งที่ทำให้พลิกผันก็คือลั่วจิ่วหลีขณะนี้ สิ่งพลิกผันของเซียวหมิงเสวียนอย่างลั่วจิ่วหลี ลงจากรถม้าเข้ามาในจวนแล้วเมื่อเข้ามาภายในเรือน จึงเห็นสองนายบ่าวยืนอยู่ใต้โคมไฟหลิวหลีภายใต้แสงสว่างจากโคมหลิวหลี ทำให้ทั่วทั้งตัวของเซียวหมิงเสวียนมีชั้นแสงสีทองเปล่งประกาย งดงามราวเทพเซียนสูงส่ง ลั่วจิ่วหลีทอดมองเขาแต่ไกล ดวงตาล้ำลึก คิ้วยาวได้รูป ริมฝีปากบางสีกลีบกุมหลาบเม้มเข้าหากันเล็กน้อย องค์ประกอบใบหน้าราวรูปสลัก ให้ความรู้สึกเยือกเย็นโดดเดี่ยว พยศดื้อดึง ทว่ากลับแฝงด้วยความสูงส่งตั้งแต่เกิดเมื่อมองจากมุมมองนี้ รูปงามจนทำให้หัวใจนางเต้นตึกตักกะทันหันลั่วจิ่วหลีรีบกดหน้าอกตัวเอง แล้วแอบด่าทอตัวเอง“เอาเวลามาบ้าผู้ชายอย่างนี้ ไม่สู้รีบสืบหาความจริงให้กระจ่าง หาหนทางทำเงิน อย่าทำตัวเอ้อระเหยอยู่ในจวนอี้กั๋วกง”“คุณหนูรองตระกูลลั่ว ท่านเป็นอะไรหรือขอรับ?”ฉินอู่ตามอยู่ด้านหลังลั่วจิ่วหลี เห็นนางหยุดฝีเท้ากะทันหันแล้วกุมหน้าอกตัวเอง จึงนึกสงสัย“ไม่มีอะไร”ลั่วจิ่วหลีก้าวยาว ๆ ไปด้านหน้า“ท่านอ๋อง”นางเดินมาตรงหน้าเซียวหมิงเสวียน แล้วเรียกขาน“มาแล้วหรือ”เซียวหมิงเสวียนเอามื
“ข้อสอง ฮ่องเต้ลงโทษอ๋องเจา กักบริเวณเขาในจวนอ๋องเจา แต่ทำไมยังต้องให้คนคอยเฝ้าอยู่นอกจวน ซ้ำยังจับตาดูทั้งกลางวันและกลางคืน บอกว่าจับตาดูไม่สู้บอกว่าปกป้องดีกว่า ทำไมต้องปกป้องอ๋องเจา? ป้องกันใครเข้าใกล้อ๋องเจาหรือเพคะ?”“ข้อสาม เยียนทิงเหลียนแหกคุก ทั่วกรมอาญาแทบจะเฝ้าระวังในระดับสูงสุด ทหารทุกคนออกค้นหาไปทั่วเมือง ทว่าจนกระทั่งตอนนี้ กลับไม่พบแม้แต่เงาของเยียนทิงเหลียน หากนางเป็นเพียงหญิงบอบบาง คงหนีไม่พ้นการค้นหาในสามวันนี้แน่ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า หากไม่ใช่เพราะเยียนทิงเหลียนฐานะไม่ธรรมดา ภายในเมืองคงมีคนรู้เห็นกับนางเพคะ”“ข้อสี่ คือท่าทีของหูกุ้ยเฟย หลังจากหม่อมฉันกลับไปถึงจวน ได้แต่ขบคิดมาตลอด หม่อมฉันเผาจวนอ๋องเจา อาละวาดที่ตำหนักไท่เหอ หย่าร้างกับอ๋องเจา ทำให้เขาถูกโบย เสียทรัพย์สิน ถูกกักบริเวณ แต่นอกจากที่กุ้ยเฟยเหยียดหยามหม่อมฉันทางวาจาแล้ว ก็ไม่ได้ทำสิ่งใดอีกเลย”“จากข้อที่สี่ ความสงสัยของหม่อมฉันตั้งข้อสังเกตได้ว่า เยียนทิงเหลียนไม่ได้เป็นเพียงพระชายารองของอ๋องเจา? ใช่หรือไม่เพคะ?”เซียวหมิงเสวียนนึกไม่ถึงว่าลั่วจิ่วหลีจะมีเหตุผลชัดเจนขนาดนี้ พูดจามีเหตุมีผล แม้แต่
“เพคะ นี่คือยาเม็ดที่หม่อมฉันทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินโดยเฉพาะ”“งั้นหรือ?”ฮ่องเต้มองที่ใบหน้าสงบนิ่งของลั่วจิ่วหลี เห็นว่านางไม่ลนลานแม้แต่น้อย และไม่มีทีท่าว่าโกหกเช่นกันก้มหัวลงดูของสิ่งนี้ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนหากบอกว่านี่คือขวด วัสดุกลับไม่เหมือน หากพูดว่านี่ไม่ใช่ขวด แต่ยาเม็ดเล็ก ๆ เหล่านั้นกลับใส่อยู่ในนี้จริง ๆ“ในเมื่อเป็นยาเม็ดที่ทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินโดยเฉพาะ เหตุใดจึงทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินไม่ได้สติเล่า?”ฮ่องเต้น้ำเสียงเคร่งเครียด สายตาเย็นชาโกรธขึ้งที่ด้านข้าง ฮองเฮาโบกมือไปทางองครักษ์เหล่านั้นบรรดาองครักษ์ก็ถอยออกไปอย่างหงุดหงิด“ลั่วจิ่วหลี เฟิงเต๋อฮูหยินก็กินยาในขวดนี้นี่ล่ะ แล้วก็หมดสติไป”ฮองเฮาเสียงเบามาก จ้องลั่วจิ่วหลีตาไม่กะพริบลั่วจิ่วหลีส่ายหัว น้ำเสียงหนักแน่น เผชิญหน้ากับสายตาที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเพ่งพินิจนางโดยปราศจากความกลัวใด ๆ“เป็นไปไม่ได้เพคะ นี่คือยารักษาอาการหัวใจวายของเฟิงเต๋อฮูหยิน ไม่ใช่ยาพิษอะไรแน่นอน?”“ยาพิษ?” ที่ด้านข้าง หูกุ้ยเฟยร้องหึอย่างเย็นชาหนึ่งที เดินเข้ามา“ลั่วจิ่วหลี ที่นี่ไม่มีคนบอกว่าเฟิงเต๋อฮูหยินถูกวางยาพิษเสียหน่อย กลับ
เพียงไม่นาน รถม้าก็มาถึงประตูจวนที่นอกรถม้า สวีหมัวมัวเปิดม่านขึ้น“ฮูหยิน คุณหนูรอง ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ”สองแม่ลูกทยอยลุกขึ้นตามกันไป ลงจากรถม้ายังไม่ทันได้เข้าจวน ก็เห็นพ่อบ้านวิ่งตรงออกมาอย่างรวดเร็ว“ฮูหยิน คุณหนูรอง ในวังมีจดหมายมา เชิญให้คุณหนูไปที่พระตำหนักกานเฉวียนทันทีหลังกลับถึงจวนขอรับ”ลั่วจิ่วหลีตะลึง อี้กั๋วกงฮูหยินหนังตากระตุก“เกิดอะไรขึ้น?”พ่อบ้านส่ายหัว“ขันทีที่เชิญพระราชโองการไม่ยอมบอก บอกแค่ว่า ให้คุณหนูรองเข้าวังได้ทันที”“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง คงให้ข้าเข้าวังไปตรวจร่างกายเฟิงเต๋อฮูหยินอีกครั้ง”ลั่วจิ่วหลีพูดปลอบประโลมแล้ว เวลานี้ สาวใช้เรือนฝูชวีก็นำกล่องยาออกมาแล้วลั่วจิ่วหลีรับกล่องยามา“สวีหมัวมัว ดูแลท่านแม่ให้ดี ข้าไปไม่นานก็กลับ”“เจ้าค่ะ คุณหนูรอง”สวีหมัวมัวประคองอี้กั๋วกงฮูหยิน มองดูลั่วจิ่วหลีขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปทางประตูวัง“พ่อบ้านจาง”อี้กั๋วกงฮูหยินเห็นรถม้าที่ค่อย ๆ ห่างออกไปแล้ว ก็ขมวดคิ้ว“ฮูหยิน”พ่อบ้านจางก้าวขึ้นมา“เอาเงินตำลึงไปเพิ่มหน่อยสิ ไปสืบข่าวมาที”“ขอรับ”พ่อบ้านจางไหนเลยจะกล้าชักช้า จากไปอย่างรีบร้อนตามความร้อนใ
อี้กั๋วกงฮูหยินมองที่นาง“เจ้าฟังออกหรือ?”“ในเมื่อเจ้ายังเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องเก้าก็คงจะเข้าใจได้เช่นกัน”“ท่านแม่ นี่ท่าน...”“จิ่วเอ๋อร์”อี้กั๋วกงฮูหยินคว้ามือลูกสาวตัวเองไว้“แม้แม่จะอยู่ในเรือนหลังมานาน แต่เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รู้ คราวที่แล้วกุ้ยเฟยเรียกเจ้าเข้าวัง ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพราะเรื่องที่เจ้าหย่าร้างกับอ๋องเจา เรื่องที่สองพี่น้องตระกูลหูนั่นใส่ร้ายเจ้า แม่ฟังแล้วเหมือนถูกมีดกรีดหัวใจ”ลั่วจิ่วหลีตะลึง เรื่องคราวก่อน นางปิดบังไว้ไม่น้อย แต่นึกไม่ถึงว่าแม่ก็ยังไปสืบรู้เรื่องนี้มาจนได้“ท่านแม่ ท่านรู้หมดแล้วหรือ?”อี้กั๋วกงฮูหยินพยักหน้าเบา ๆ“ได้รับความอยุติธรรมขนาดนั้น เจ้าไม่บอกแม่ได้อย่างไรกัน?”ลั่วจิ่วหลียิ้มอย่างสบาย ๆ“ก็ไม่ถือว่าได้รับความอยุติธรรมนะเจ้าคะ สองพี่น้องตระกูลหูนั่นก็ไม่ได้รับผลประโยชน์”“เฮ้อ! เจ้านี่นะ”อี้กั๋วกงฮูหยินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“ท่านอ๋องเก้านั้นเป็นยอดคนก็จริง แต่จะว่าอย่างไรท่านก็เป็นเสด็จอาของอ๋องเจา ต่อไปเจ้าอย่าเข้าใกล้มากเกินไปจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกนินทา”ลั่วจิ่วหลีได้ยินแล้ว ก็หัวเราะเย้
“แขก?”เช้าตรู่เช่นนี้ ใครกันมาที่จวนอ๋องเก้า แล้วยังส่งจดหมายคารวะมาด้วย?“ใครหรือ?”เซียวหมิงเสวียนน้ำเสียงเรียบเฉย ยื่นมือไปรับจดหมายคารวะ เมื่อเห็นแล้วก็สีหน้าเคร่งขรึมทันที “จวนอี้กั๋วกง?”“ไป เชิญแขกเข้าไปห้องโถงรับแขก”“พ่ะย่ะค่ะ”คนผู้นั้นออกไปที่ด้านข้าง ฉินอิ่นก้าวขึ้นมา“นายท่าน เป็นอี้อั๋วกงฮูหยินกับคุณหนูรองหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“อืม”เซียวหมิงเสวียนสีหน้าดูไร้อารมณ์ แต่กลับลุกขึ้นกลับห้องไปเปลี่ยนชุดฉินอิ่นยืนอยู่นอกห้อง ลูบจมูกไปมา รู้สึกว่าวันนี้นายท่านของเขาแปลกไปไม่น้อย นายท่านเปลี่ยนชุดเป็นพิเศษเพื่อเจอคนนอกตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่จะว่าไปแล้ว คุณหนูรองตระกูลลั่วก็ไม่ถือว่าเป็นคนนอกถึงนอกเรือนรับแขกแล้ว เซียวหมิงเสวียนก็เห็นสองแม่ลูกกำลังนั่งดื่มชาอยู่วันนี้ลั่วจิ่วหลีสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน ผิวขาวราวกับหิมะ เรียวคิ้วดูเหมือนทิวเขาที่อยู่ไกล ๆ ผัดหน้าเบา ๆ ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากเขารู้สึกว่าลั่วจิ่วหลีในแบบนี้ดูเย็นชา เฉียบคมน้อยกว่าปกติ และดูอ่อนโยนอบอุ่นมากขึ้นลั่วจิ่วหลีเหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีสายตาจ้องมองนางอยู่ จึงเงยหน้ามองไปทางนอกประตูเห็นเซียวหม
สวีหมัวมัวค้อมตัวคำนับ“บ่าวขอขอบพระคุณความห่วงใยจากคุณหนูแทนชุนหรงเจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีรู้สึกอึดอัดไม่น้อย นี่ก็คือระบบชนชั้นสมัยโบราณ แม้บ่าวจะรับมีดแทนนายจนได้รับบาดเจ็บ ก็ยังต้องขอบคุณ แสดงความซาบซึ้งต่อความเมตตาจากนาย “จิ่วเอ๋อร์ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เยียนทิงเหลียนนั่นแหกคุกไม่ใช่หรือ? ถูกจับอีกได้อย่างไร? ได้ยินว่า นางถูกเปลื้องผ้าแล้วไปแขวนไว้บนหอประตูเมืองชั้นนอก เฮ้อ! ช่างเสื่อมเสียจารีตประเพณีบ้านเมืองเสียจริง”ลั่วจิ่วหลีนวดขมับไปมาอย่างจนใจ เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน วันนี้นั่งรถม้ามาทั้งวันก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่อีก แต่แม่ถาม นางก็ได้แต่อดทน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองให้แม่ฟัง แน่นอนว่า เรื่องบางอย่างที่ต้องปิดบัง นางก็ไม่ได้ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว“เจ้าว่าอะไรนะ? อ๋องเก้าเพราะช่วยเจ้า ก็ถูกเยียนทิงเหลียนทำร้ายบาดเจ็บหรือ?”“เจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีพยักหน้าเบา ๆ“เยียนทิงเหลียนนั่นไม่ใช่หญิงธรรมดาเลย นางเป็นสายลับของแคว้นซางหนาน ข้าเผลอไปครู่หนึ่ง ยังดีที่มีชุนหรงกับอ๋องเก้า ไม่เช่นนั้น ขณะนี้คนที่นอนปางตายอยู่บนเตียงก็คงเป็นข้าแล้ว”แม้ว่าชุนหรงกับอ๋องเก้าจะไม่ได
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา”เซียวหมิงเสวียนถวายบังคม ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษรออกจากประตูวังแล้ว ระหว่างทางกลับจวน เซียวหมิงเสวียนมองฉินอิ่นแวบหนึ่ง“ส่งข่าวไปยังหอหลิงเซียว ให้พวกเขาไปสืบหาเบื้องหลังของเยียนทิงเหลียนที่แคว้นซางหนาน”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นพยักหน้า จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก“นายท่าน ข้าน้อยส่งฉินลิ่วไปเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่หอประตูเมืองชั้นนอกแล้ว ฉินลิ่วรายงานกลับมา บอกว่า... อะแฮ่ม”“บอกว่าเยียนทิงเหลียนถูกแขวนตัวเปลือยเปล่าอยู่บนหอประตูเมืองชั้นนอก ทำให้เกิดความโกลาหลไม่น้อย มีคนเร่ร่อนหื่นกามคิดไม่ดี...”ส่วนคิดไม่ดีว่าอะไร ไม่ต้องให้ฉินอิ่นพูดให้ชัดเจน เซียวหมิงเสวียนก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร“หึ!”เซียวหมิงเสวียนยิ้มอย่างเย็นชา“เช่นนั้นแล้วก็เปิดช่องโหว่ให้พวกเขาเสีย ให้เยียนทิงเหลียนลองสัมผัสดูว่าตอนนั้นนางวางแผนทำร้ายลั่วจิ่วหลีอย่างไร”ฉินอิ่นได้ยินแล้ว ในใจก็แอบสวดมนต์ภาวนาให้เยียนทิงเหลียนดูท่า เยียนทิงเหลียนจนตายก็ไม่มีทางรู้ว่า ตอนนั้นที่นางวางแผนจะทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูรองตระกูลลั่ว แต่คนที่มีความสัมพันธ์กับคุณหนูรองตระ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยียนทิงเหลียนเดิมทีก็เป็นหญิงงามชั้นยอด เอวบางร่างน้อยราวกับต้นหลิว หน้าอกและบั้นท้ายโค้งเว้าชัดเจน หากใช้คำของอ๋องเจามาอธิบาย นี่คือผู้หญิงที่มอบความสุขให้เขาได้แม้แต่องค์ชายแห่งอาณาจักรหนึ่งยังยอมรับในความงามอันเย้ายวนของเยียนทิงเหลียน นับประสาอะไรกับบรรดาบุรุษธรรมดา ๆเพียงแค่เห็นภาพที่เย้ายวนชวนลุ่มหลงนี้แวบเดียว ก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดยิ่งดูยิ่งตื่นเต้น ยิ่งดูยิ่งมีผู้ชายเข้ามารวมตัวกันมากขึ้นมีคนตะโกนว่านี่ช่างเสียของจริง ๆ มีคนป่าวร้องว่าสาวสวยเช่นนี้ถ้าได้ซุกอยู่ในผ้าห่มอุ่น ๆ ด้วยจะมีความสุขขนาดไหนมีคนมือบอนเข้าไปใกล้ ๆ อยากเอานางลงมาใจจะขาด หาความสำราญให้เต็มที่ ก็ถูกทหารที่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ ถีบกระเด็นไปอยู่ที่พื้นและยังมีหญิงอารมณ์ร้ายที่เมื่อรู้ว่าสามีตนเองมาจ้องมองดูผู้หญิงเปลือยจนตาแทบออกมานอกเบ้า ก็วิ่งถือไม้นวดแป้งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด มาบิดหูสามีตัวเอง ด่าว่ายกใหญ่ ด่าสามีตัวเองเสร็จยังไม่พอ ยังหยิบทุกอย่างที่หยิบติดมือมาได้ ปาไปที่ตัวเยียนทิงเหลียนอย่างเอาเป็นเอาตายชาวบ้านร้านตลาดหรือ? เพียงแค่มีคนหนึ่งเริ่มต้น คนที่เหลือก็พากันทำตา
“ลงมือ”เซียวหมิงเสวียนไม่แม้แต่จะสนใจดูเยียนทิงเหลียนที่กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสน“พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฉินอิ่นผลักเยียนทิงเหลียนไปข้างหน้า ทั้งร่างของเยียนทิงเหลียนก็ทรุดลงไปกองกับพื้นเมื่อหัวหน้าทหารยามทั้งสองโบกมือให้สัญญาณอย่างสุดแรง ด้านหลังก็มีทหารเฝ้าเมืองก้าวขึ้นมาข้างหน้าทีละก้าว ๆ“อื้อ! อื้อ! อื้อ!”เยียนทิงเหลียนถอยหลังโดยใช้ทั้งมือและเท้าหากเวลานี้นางพูดได้ เสียงขอความเมตตาอย่างน่าเวทนาและเสียงร้องโหยหวนก็คงจะทำให้เกิดความสงสารอันเล็กน้อยจนแทบจะไม่มีอยู่เลยขึ้นมาบ้างน่าเสียดาย ตัวนางในขณะนี้วรยุทธ์ถูกทำลาย ลิ้นก็ถูกตัด ได้แต่ทนรับความอัปยศนี้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ร้องเรียกต่อฟ้าก็ไร้ผล อ้อนวอนต่อดินก็สิ้นหนทาง ทนทุกข์ทรมานแต่เพียงผู้เดียว ดิ้นรนอย่างขมขื่นทันใดนั้นเอง นางก็เห็นว่าบนรถม้าที่อยู่ด้านหลังนั้น ลั่วจิ่วหลีทอดสายตามาที่นางลั่วจิ่วหลี คนชั้นต่ำ นางชั้นต่ำนี่ ต้องเป็นความคิดของเจ้าแน่ ๆ ต้องใช่อย่างแน่นอนเยียนทิงเหลียนหลบทหารเฝ้าเมืองสองคนนั้นที่ไล่ตามมาประชิดตัว โหม่งหัวชนคนหนึ่งจนล้มลง ฝืนทนความเจ็บปวดอย่างรุนแรงบนร่างกาย วิ่งพุ่งตรงไปทางลั่วจิ่วหลี
เมืองชั้นนอกนั้นหลัก ๆ เป็นที่อยู่ของประชาชนทั่วไป และคนมากหน้าหลายตาจากทุกกลุ่มในสังคม เมืองชั้นในล้วนเป็นที่พำนักของขุนนางชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ ส่วนวังหลวงเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ ฮองเฮา เหล่าสนมวังหลัง และบรรดาองค์ชายองค์หญิง จวนอี้กั๋วกงกับจวนอ๋องเก้านั้นอยู่ในเมืองชั้นในทั้งคู่ รถม้ากลับหยุดที่เมืองชั้นนอก ลั่วจิ่วหลีประหลาดใจไม่น้อย“ไปกัน ออกไปดูหน่อยกว่าเกิดอะไรขึ้น?”นางพูดพลางผลักประตูรถม้าออก ก็เห็นเซียวหมิงเสวียนที่อยู่ข้างหน้ายืนอยู่บนรถม้าอย่างสง่างามน่าเกรงขามพอดีผู้คนสองข้างทางเมื่อเห็นท่านอ๋องเก้า ก็พากันคุกเข่าลงที่พื้นไม่ไกลจากนั้น มีหัวหน้าทหารยามสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองชั้นนอกรีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งด่วน“กระหม่อมถวายบังคมท่านอ๋องเก้า”“อืม ลุกขึ้นเถอะ”เซียวหมิงเสวียนน้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉย“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเก้า”หัวหน้าทหารยามทั้งสองลุกขึ้น“ฉินอิ่น”เซียวหมิงเสวียนโบกมือให้สัญญาณไปทางด้านหลัง“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นขานรับ จากนั้นก็คุมตัวคนคนหนึ่งเดินไปที่หน้าหัวหน้าทหารยามสองคนนั้น เมื่อลั่วจิ่วหลีมองให้ดี ๆ คนที่ถูกคุมตัวมาไม่ใช่เ