สิ่งที่ทำให้พลิกผันก็คือลั่วจิ่วหลีขณะนี้ สิ่งพลิกผันของเซียวหมิงเสวียนอย่างลั่วจิ่วหลี ลงจากรถม้าเข้ามาในจวนแล้วเมื่อเข้ามาภายในเรือน จึงเห็นสองนายบ่าวยืนอยู่ใต้โคมไฟหลิวหลีภายใต้แสงสว่างจากโคมหลิวหลี ทำให้ทั่วทั้งตัวของเซียวหมิงเสวียนมีชั้นแสงสีทองเปล่งประกาย งดงามราวเทพเซียนสูงส่ง ลั่วจิ่วหลีทอดมองเขาแต่ไกล ดวงตาล้ำลึก คิ้วยาวได้รูป ริมฝีปากบางสีกลีบกุมหลาบเม้มเข้าหากันเล็กน้อย องค์ประกอบใบหน้าราวรูปสลัก ให้ความรู้สึกเยือกเย็นโดดเดี่ยว พยศดื้อดึง ทว่ากลับแฝงด้วยความสูงส่งตั้งแต่เกิดเมื่อมองจากมุมมองนี้ รูปงามจนทำให้หัวใจนางเต้นตึกตักกะทันหันลั่วจิ่วหลีรีบกดหน้าอกตัวเอง แล้วแอบด่าทอตัวเอง“เอาเวลามาบ้าผู้ชายอย่างนี้ ไม่สู้รีบสืบหาความจริงให้กระจ่าง หาหนทางทำเงิน อย่าทำตัวเอ้อระเหยอยู่ในจวนอี้กั๋วกง”“คุณหนูรองตระกูลลั่ว ท่านเป็นอะไรหรือขอรับ?”ฉินอู่ตามอยู่ด้านหลังลั่วจิ่วหลี เห็นนางหยุดฝีเท้ากะทันหันแล้วกุมหน้าอกตัวเอง จึงนึกสงสัย“ไม่มีอะไร”ลั่วจิ่วหลีก้าวยาว ๆ ไปด้านหน้า“ท่านอ๋อง”นางเดินมาตรงหน้าเซียวหมิงเสวียน แล้วเรียกขาน“มาแล้วหรือ”เซียวหมิงเสวียนเอามื
“ข้อสอง ฮ่องเต้ลงโทษอ๋องเจา กักบริเวณเขาในจวนอ๋องเจา แต่ทำไมยังต้องให้คนคอยเฝ้าอยู่นอกจวน ซ้ำยังจับตาดูทั้งกลางวันและกลางคืน บอกว่าจับตาดูไม่สู้บอกว่าปกป้องดีกว่า ทำไมต้องปกป้องอ๋องเจา? ป้องกันใครเข้าใกล้อ๋องเจาหรือเพคะ?”“ข้อสาม เยียนทิงเหลียนแหกคุก ทั่วกรมอาญาแทบจะเฝ้าระวังในระดับสูงสุด ทหารทุกคนออกค้นหาไปทั่วเมือง ทว่าจนกระทั่งตอนนี้ กลับไม่พบแม้แต่เงาของเยียนทิงเหลียน หากนางเป็นเพียงหญิงบอบบาง คงหนีไม่พ้นการค้นหาในสามวันนี้แน่ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า หากไม่ใช่เพราะเยียนทิงเหลียนฐานะไม่ธรรมดา ภายในเมืองคงมีคนรู้เห็นกับนางเพคะ”“ข้อสี่ คือท่าทีของหูกุ้ยเฟย หลังจากหม่อมฉันกลับไปถึงจวน ได้แต่ขบคิดมาตลอด หม่อมฉันเผาจวนอ๋องเจา อาละวาดที่ตำหนักไท่เหอ หย่าร้างกับอ๋องเจา ทำให้เขาถูกโบย เสียทรัพย์สิน ถูกกักบริเวณ แต่นอกจากที่กุ้ยเฟยเหยียดหยามหม่อมฉันทางวาจาแล้ว ก็ไม่ได้ทำสิ่งใดอีกเลย”“จากข้อที่สี่ ความสงสัยของหม่อมฉันตั้งข้อสังเกตได้ว่า เยียนทิงเหลียนไม่ได้เป็นเพียงพระชายารองของอ๋องเจา? ใช่หรือไม่เพคะ?”เซียวหมิงเสวียนนึกไม่ถึงว่าลั่วจิ่วหลีจะมีเหตุผลชัดเจนขนาดนี้ พูดจามีเหตุมีผล แม้แต่
“โดยมากบุรุษแคว้นซางหนานเรียนวิชาหนอนกู่ สตรีเรียนมนตร์เสน่ห์ เยียนทิงเหลียนผู้นี้ ข้าสงสัยว่านางคือสตรีที่เรียนมนตร์เสน่ห์ แต่ไม่ได้ตัดข้อสงสัยเรื่องที่ตัวนางมีพิษกู่”“ลองคิดถึงวันนั้น ภายในตำหนักไท่เหอ อ๋องเจาคลุ้มคลั่งกะทันหัน จนเกือบบีบคอเจ้าตาย กระทั่งกล้าลงมือกับกั๋วกงฮูหยิน ดูผิดวิสัยเกินไปหรือไม่?”ลั่วจิ่วหลีที่อยู่ข้างกันเข้าใจทันที แม้นางจะไม่ค่อยเข้าใจว่ามนตร์เสน่ห์คือสิ่งใด แต่นางรู้จักวิชาหนอนกู่ชาติก่อน ในชั้นเรียนวิจัยของนางมีการศึกษาวิจัยหนอนกู่เผ่าแม้วเซียงซีโดยเฉพาะทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่คิดว่า พิษกู่ในหนอนกู่เผ่าแม้วเซียงซี ความจริงเป็นพิษบางชนิดที่มีผลต่อสมอง หรือจำพวกโรคพิษสุนัขบ้า หรืออาจเป็นโรคเกี่ยวกับพยาธิต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อสมองโดยตรงแต่นางไม่เคยสัมผัสวิชาหนอนกู่อย่างจริงจัง ยิ่งไม่รู้ว่าวิชาหนอนกู่ในยุคสมัยนี้กับหนอนกู่เผ่าแม้วเซียงซีจะแตกต่างกันหรือไม่“ดูท่า อ๋องเจาไม่เพียงลุ่มหลงในวิชามนตร์เสน่ห์ของเยียนทิงเหลียน น่าจะถูกวางพิษกู่ด้วย?”ดวงตาลั่วจิ่วหลีกลอกไปมาสีหน้าเซียวหมิงเสวียนหมองลงเล็กน้อย นึกว่านางยังสนใจอ๋องเจาอยู่ แต่นึกไม่ถึงว่านางเอ่ย
เมื่อลั่วจิ่วหลีพูดจบ เซียวหมิงเสวียนได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ เห็นเพียงวังเสี่ยวลิ่วที่กำลังหลับตา วางมือไว้บนที่พักแขนของเก้าอี้อย่างเชื่อฟังวังเสี่ยวลิ่วปล่อยกายเต็มที่ ร่างกายของเขาอยู่ในสภาวะผ่อนคลายทั่วร่าง“ตอนนี้เจ้ากลับไปที่เรือนจำกรมอาญา เจ้าเห็นเยียนทิงเหลียน นางกวักมือให้เจ้า เรียกให้เจ้าไปหา...”วังเสี่ยวลิ่วหลับตา การสะกดจิตสัมฤทธิ์ผลแล้ว ในสมองของเขาเริ่มมีใบหน้าของหญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้น เขากลับไปในวันที่อยู่เรือนจำกรมอาญาอีกครั้ง“นาง?”สีหน้าลั่วจิ่วหลีตะลึง“นางคือใคร? นางสวมเสื้อผ้าอย่างไร?”วังเสี่ยวลิ่วพยายามเบิกตากว้างจ้องมองหญิงสาวที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ“พระชายารองเยียน สวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน ดวงตาหวานล้ำ งดงามยิ่งกว่าดอกท้อ ดวงตาของนางกำลังหมุน”ลั่วจิ่วหลีที่ได้ยินคำพูดของวังเสี่ยวลิ่ว รีบตั้งสติทันที“จ้องดวงตาของนาง”วังเสี่ยวลิ่วที่ถูกสะกดจิต ดวงตายิ่งจ้องเขม็งท่ามกลางความฝัน“ดวงตาของนางเหมือนสิ่งใด?”ลั่วจิ่วหลีเอ่ยถาม“ดั่งน้ำวนที่มีไอน้ำชั้นบางปกคลุม งดงามมาก”วังเสี่ยวลิ่วยังหัวเราะออกมา“มองดวงตานางต่อไป นางพูดอะไรกับเจ้า”นิ้วมือที่วาง
ชุนหรง “คุณหนู”ฉินอิ่น “นายท่าน”“ส่งคนมาเฝ้าวังเสี่ยวลิ่ว”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นขานรับเซียวหมิงเสวียนก้าวลงบันได ลั่วจิ่วหลียื่นกล่องยาให้ชุนหรง ก้าวลงบันไดตามไปด้วยชุนหรงไม่วางใจ อยากตามหลังไปด้วย แต่ถูกฉินอิ่นขัดขวาง“นายท่านของข้าจะคุยธุระกับคุณหนูของเจ้า ทางที่ดีเจ้ายืนอยู่ตรงนี้อย่าขยับ”ชุนหรงมองเห็นดาบตรงเอวฉินอิ่น ได้แต่หดคอ แล้วถือกล่องยายืนอยู่ที่เดิมลั่วจิ่วหลีเดินตามเซียวหมิงเสวียนมาถึงหน้าห้องหนังสือ ทันใดนั้นหยุดฝีเท้าลง“นี่คือห้องหนังสือของท่านอ๋องหรือเพคะ?”อีกนัยหนึ่ง คนนอกอย่างนางไม่เข้าไปดีกว่าเซียวหมิงเสวียนหันมองนางแวบหนึ่ง“เข้ามาสิ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”น้ำเสียงไม่อนุญาตให้สงสัยลั่วจิ่วหลีเลิกคิ้วอย่างแผ่วเบา คิดในใจว่า เข้าก็เข้าสิ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลยขณะที่คิดอย่างนี้ ก็เดินตามเข้าไปในห้องหนังสือภายในห้องหนังสือสว่างมาก สิ่งที่ส่องสว่างไม่ใช่โคมไฟหลิวหลี แต่เป็นไข่มุกราตรีสองเม็ดที่มีขนาดเท่ากำปั้น“โอ้! ไข่มุกราตรีหรือ?”ลั่วจิ่วหลีเพิ่งได้เห็นไข่มุกราตรีในตำนานเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความเป็นเศรษฐีบ้านนอกของเซียว
“การสะกดจิตหรือ?”เซียวหมิงเสวียนไม่เคยได้ยินเรื่องสะกดจิตมาก่อน สายตาที่มองลั่วจิ่วหลียิ่งทวีความเหลือเชื่อเขานึกถึงยอดฝีมือเร้นกายที่นางเคยกล่าว นึกถึงสิ่งที่นางบอกว่าทุกคนล้วนมีความลับ แล้วไฉนท่านอ๋องจึงต้องถามจนถึงที่สุดให้ได้? จึงควบคุมความใคร่รู้ที่มีต่อนางเอาไว้ใช่อยู่ที่นางคือบุตรีคนรองสายตรงของจวนอี้กั๋วกง และเป็นพระชายาอ๋องเจาที่หย่าร้างกับอ๋องเจาแล้วทว่าทั้งที่มีใบหน้าเหมือนกัน เหตุใดนิสัยใจคอและการกระทำจึงแตกต่างกันยิ่งนัก ราวกับถูกเปลี่ยนไส้ในอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเซียวหมิงเสวียนนึกถึงเรื่องเปลี่ยนไส้ใน จู่ ๆ ภายในสมองราวกับมีดอกไม้ไฟแตกระเบิดเขาเงยหน้าขึ้นทันที หันมองลั่วจิ่วหลีด้วยแววตาต่าง ๆ ที่พรรณนาความรู้สึกไม่ถูกลั่วจิ่วหลีถูกเขาจ้อง ในใจรู้สึกขนลุก นางมองแววตาค้นหาของเขา ตัวนางเองคล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง“ท่านอ๋อง ใช้คนอย่าสงสัย หากสงสัยอย่าใช้เพคะ”น้ำเสียงนางราบเรียบ ใบหน้างดงามบริสุทธิ์รายล้อมด้วยความเย็นชาชั้นบางที่ยากจะเข้าถึงเซียวหมิงเสวียนถูกนางเตือนสติ จึงละสายตากลับไปเมื่อเห็นนางที่สดใส เปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชากะทันหัน ในใจเขาเองก็ขุ่น
“ขออภัยเพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะไม่พูดอีกแล้ว”“ท่านอ๋อง นี่ก็ค่ำแล้ว พรุ่งนี้หม่อมฉันต้องเข้าวังไปตรวจอาการของเฟิงเต๋อฮูหยิน หม่อมฉันขอทูลลานะเพคะ”ระหว่างที่พูด นางย่อตัวทำความเคารพ“ได้ ให้ฉินอู่ไปส่งเจ้า”“เพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง”ขณะนั่งอยู่บนรถม้าระหว่างกลับจวน ใจที่เป็นกังวลของลั่วจิ่วหลีกลับมาสงบอีกครั้ง “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ? มีเรื่องไม่สบายใจหรือ?”“เปล่า”ลั่วจิ่วหลีรีบพูดขัดนางที่กำลังสอบถามคำพูดที่ว่าลบหลู่อำนาจราชวงศ์ คนในราชวงศ์เหล่านั้นแล้งน้ำใจ ละโมบเห็นแก่ตัว ไม่มีความผูกพันธ์ทางสายเลือด ขณะนั้นสมองนางเป็นตะคริวหรือ? ถึงได้พูดจารนหาที่ตายอย่างนั้นโชคดีที่ท่านอ๋องเก้าไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองนาง ลั่วจิ่วหลีถอนหายใจแผ่วเบาตอนกลับมาถึงเรือนฝูชวี ลั่วจิ่วหลีเห็นมารดารอนางอยู่ในโถงรับแขก จึงรีบวิ่งไปหลายก้าว“ท่านแม่ ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมท่านยังไม่พักผ่อนเจ้าคะ?”สวีหมัวมัวที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้น“ฮูหยินเป็นห่วงคุณหนู จะมารอคุณหนูให้ได้เจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีจับมือของมารดา“ทำให้ท่านแม่เป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ”อี้กั๋วกงฮูหยินส่ายหน้า“แม่มารอเจ้าอยู่ที่นี่ หนึ่งเพ
แต่อย่างไรฐานะก็ต่างกันในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับสถานะมาก ลั่วจิ่วหลีจึงรู้สึกว่าภายในนี้ต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอนยิ่งไปกว่านั้น หากนางไม่ทำความเข้าใจแล้วเข้าวังโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หากถูกคนอื่นหลอกใช้ ยังไม่รู้ต้องตายอย่างไรด้วยซ้ำอี้กั๋วกงฮูหยินพยักหน้า“สำหรับเรื่องนี้ แม่เองก็รู้ไม่มาก รู้เพียงแค่ว่าไทเฮาในตอนนี้ไม่ใช่แม้แท้ ๆ ของฮ่องเต้”“ไทเฮาไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของฮ่องเต้หรือเจ้าคะ?”คนใจเย็นอย่างลั่วจิ่วหลี ยังอดเบิกตากว้างไม่ได้อี้กั๋วกงฮูหยินพยักหน้า“ไทเฮาในตอนนี้กับเต๋อเฟยแม่แท้ ๆ ของฮ่องเต้มีความสัมพันธ์ฉันท์ลูกพี่ลูกน้อง ไทเฮาเป็นญาติผู้พี่ เต๋อเฟยเป็นญาติผู้น้อง พี่น้องคู่นี้ไม่เพียงรูปโฉมงดงาม ยังต่างคลอดองค์ชายสามและองค์ชายสี่ให้ฮ่องเต้ ถือว่าเป็นที่โปรดปรานในขณะนั้นมาก”“แต่น่าเสียดาย ชีวิตไม่เที่ยง คนไม่สมหวัง องค์ชายสามของไทเฮาติดโรคร้ายตอนอายุสิบสี่ปี จากไปกะทันหัน ไทเฮาที่เป็นมารดา แค่คิดก็รู้แล้วว่าจะเจ็บปวดขนาดไหน”“แต่ภายในวังไม่ได้มีเรื่องเจ็บปวดเพียงเรื่องเดียว เดือนสิบเอ็ดในปีถัดมา เต๋อเฟยโชคไม่ดีติดโรคร้ายจากไปอีกคน ฮ่องเต้ในตอนนั้นเป็นเพียงองค์
“เพคะ นี่คือยาเม็ดที่หม่อมฉันทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินโดยเฉพาะ”“งั้นหรือ?”ฮ่องเต้มองที่ใบหน้าสงบนิ่งของลั่วจิ่วหลี เห็นว่านางไม่ลนลานแม้แต่น้อย และไม่มีทีท่าว่าโกหกเช่นกันก้มหัวลงดูของสิ่งนี้ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนหากบอกว่านี่คือขวด วัสดุกลับไม่เหมือน หากพูดว่านี่ไม่ใช่ขวด แต่ยาเม็ดเล็ก ๆ เหล่านั้นกลับใส่อยู่ในนี้จริง ๆ“ในเมื่อเป็นยาเม็ดที่ทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินโดยเฉพาะ เหตุใดจึงทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินไม่ได้สติเล่า?”ฮ่องเต้น้ำเสียงเคร่งเครียด สายตาเย็นชาโกรธขึ้งที่ด้านข้าง ฮองเฮาโบกมือไปทางองครักษ์เหล่านั้นบรรดาองครักษ์ก็ถอยออกไปอย่างหงุดหงิด“ลั่วจิ่วหลี เฟิงเต๋อฮูหยินก็กินยาในขวดนี้นี่ล่ะ แล้วก็หมดสติไป”ฮองเฮาเสียงเบามาก จ้องลั่วจิ่วหลีตาไม่กะพริบลั่วจิ่วหลีส่ายหัว น้ำเสียงหนักแน่น เผชิญหน้ากับสายตาที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเพ่งพินิจนางโดยปราศจากความกลัวใด ๆ“เป็นไปไม่ได้เพคะ นี่คือยารักษาอาการหัวใจวายของเฟิงเต๋อฮูหยิน ไม่ใช่ยาพิษอะไรแน่นอน?”“ยาพิษ?” ที่ด้านข้าง หูกุ้ยเฟยร้องหึอย่างเย็นชาหนึ่งที เดินเข้ามา“ลั่วจิ่วหลี ที่นี่ไม่มีคนบอกว่าเฟิงเต๋อฮูหยินถูกวางยาพิษเสียหน่อย กลับ
เพียงไม่นาน รถม้าก็มาถึงประตูจวนที่นอกรถม้า สวีหมัวมัวเปิดม่านขึ้น“ฮูหยิน คุณหนูรอง ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ”สองแม่ลูกทยอยลุกขึ้นตามกันไป ลงจากรถม้ายังไม่ทันได้เข้าจวน ก็เห็นพ่อบ้านวิ่งตรงออกมาอย่างรวดเร็ว“ฮูหยิน คุณหนูรอง ในวังมีจดหมายมา เชิญให้คุณหนูไปที่พระตำหนักกานเฉวียนทันทีหลังกลับถึงจวนขอรับ”ลั่วจิ่วหลีตะลึง อี้กั๋วกงฮูหยินหนังตากระตุก“เกิดอะไรขึ้น?”พ่อบ้านส่ายหัว“ขันทีที่เชิญพระราชโองการไม่ยอมบอก บอกแค่ว่า ให้คุณหนูรองเข้าวังได้ทันที”“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง คงให้ข้าเข้าวังไปตรวจร่างกายเฟิงเต๋อฮูหยินอีกครั้ง”ลั่วจิ่วหลีพูดปลอบประโลมแล้ว เวลานี้ สาวใช้เรือนฝูชวีก็นำกล่องยาออกมาแล้วลั่วจิ่วหลีรับกล่องยามา“สวีหมัวมัว ดูแลท่านแม่ให้ดี ข้าไปไม่นานก็กลับ”“เจ้าค่ะ คุณหนูรอง”สวีหมัวมัวประคองอี้กั๋วกงฮูหยิน มองดูลั่วจิ่วหลีขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปทางประตูวัง“พ่อบ้านจาง”อี้กั๋วกงฮูหยินเห็นรถม้าที่ค่อย ๆ ห่างออกไปแล้ว ก็ขมวดคิ้ว“ฮูหยิน”พ่อบ้านจางก้าวขึ้นมา“เอาเงินตำลึงไปเพิ่มหน่อยสิ ไปสืบข่าวมาที”“ขอรับ”พ่อบ้านจางไหนเลยจะกล้าชักช้า จากไปอย่างรีบร้อนตามความร้อนใ
อี้กั๋วกงฮูหยินมองที่นาง“เจ้าฟังออกหรือ?”“ในเมื่อเจ้ายังเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องเก้าก็คงจะเข้าใจได้เช่นกัน”“ท่านแม่ นี่ท่าน...”“จิ่วเอ๋อร์”อี้กั๋วกงฮูหยินคว้ามือลูกสาวตัวเองไว้“แม้แม่จะอยู่ในเรือนหลังมานาน แต่เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รู้ คราวที่แล้วกุ้ยเฟยเรียกเจ้าเข้าวัง ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพราะเรื่องที่เจ้าหย่าร้างกับอ๋องเจา เรื่องที่สองพี่น้องตระกูลหูนั่นใส่ร้ายเจ้า แม่ฟังแล้วเหมือนถูกมีดกรีดหัวใจ”ลั่วจิ่วหลีตะลึง เรื่องคราวก่อน นางปิดบังไว้ไม่น้อย แต่นึกไม่ถึงว่าแม่ก็ยังไปสืบรู้เรื่องนี้มาจนได้“ท่านแม่ ท่านรู้หมดแล้วหรือ?”อี้กั๋วกงฮูหยินพยักหน้าเบา ๆ“ได้รับความอยุติธรรมขนาดนั้น เจ้าไม่บอกแม่ได้อย่างไรกัน?”ลั่วจิ่วหลียิ้มอย่างสบาย ๆ“ก็ไม่ถือว่าได้รับความอยุติธรรมนะเจ้าคะ สองพี่น้องตระกูลหูนั่นก็ไม่ได้รับผลประโยชน์”“เฮ้อ! เจ้านี่นะ”อี้กั๋วกงฮูหยินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“ท่านอ๋องเก้านั้นเป็นยอดคนก็จริง แต่จะว่าอย่างไรท่านก็เป็นเสด็จอาของอ๋องเจา ต่อไปเจ้าอย่าเข้าใกล้มากเกินไปจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกนินทา”ลั่วจิ่วหลีได้ยินแล้ว ก็หัวเราะเย้
“แขก?”เช้าตรู่เช่นนี้ ใครกันมาที่จวนอ๋องเก้า แล้วยังส่งจดหมายคารวะมาด้วย?“ใครหรือ?”เซียวหมิงเสวียนน้ำเสียงเรียบเฉย ยื่นมือไปรับจดหมายคารวะ เมื่อเห็นแล้วก็สีหน้าเคร่งขรึมทันที “จวนอี้กั๋วกง?”“ไป เชิญแขกเข้าไปห้องโถงรับแขก”“พ่ะย่ะค่ะ”คนผู้นั้นออกไปที่ด้านข้าง ฉินอิ่นก้าวขึ้นมา“นายท่าน เป็นอี้อั๋วกงฮูหยินกับคุณหนูรองหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“อืม”เซียวหมิงเสวียนสีหน้าดูไร้อารมณ์ แต่กลับลุกขึ้นกลับห้องไปเปลี่ยนชุดฉินอิ่นยืนอยู่นอกห้อง ลูบจมูกไปมา รู้สึกว่าวันนี้นายท่านของเขาแปลกไปไม่น้อย นายท่านเปลี่ยนชุดเป็นพิเศษเพื่อเจอคนนอกตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่จะว่าไปแล้ว คุณหนูรองตระกูลลั่วก็ไม่ถือว่าเป็นคนนอกถึงนอกเรือนรับแขกแล้ว เซียวหมิงเสวียนก็เห็นสองแม่ลูกกำลังนั่งดื่มชาอยู่วันนี้ลั่วจิ่วหลีสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน ผิวขาวราวกับหิมะ เรียวคิ้วดูเหมือนทิวเขาที่อยู่ไกล ๆ ผัดหน้าเบา ๆ ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากเขารู้สึกว่าลั่วจิ่วหลีในแบบนี้ดูเย็นชา เฉียบคมน้อยกว่าปกติ และดูอ่อนโยนอบอุ่นมากขึ้นลั่วจิ่วหลีเหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีสายตาจ้องมองนางอยู่ จึงเงยหน้ามองไปทางนอกประตูเห็นเซียวหม
สวีหมัวมัวค้อมตัวคำนับ“บ่าวขอขอบพระคุณความห่วงใยจากคุณหนูแทนชุนหรงเจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีรู้สึกอึดอัดไม่น้อย นี่ก็คือระบบชนชั้นสมัยโบราณ แม้บ่าวจะรับมีดแทนนายจนได้รับบาดเจ็บ ก็ยังต้องขอบคุณ แสดงความซาบซึ้งต่อความเมตตาจากนาย “จิ่วเอ๋อร์ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เยียนทิงเหลียนนั่นแหกคุกไม่ใช่หรือ? ถูกจับอีกได้อย่างไร? ได้ยินว่า นางถูกเปลื้องผ้าแล้วไปแขวนไว้บนหอประตูเมืองชั้นนอก เฮ้อ! ช่างเสื่อมเสียจารีตประเพณีบ้านเมืองเสียจริง”ลั่วจิ่วหลีนวดขมับไปมาอย่างจนใจ เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน วันนี้นั่งรถม้ามาทั้งวันก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่อีก แต่แม่ถาม นางก็ได้แต่อดทน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองให้แม่ฟัง แน่นอนว่า เรื่องบางอย่างที่ต้องปิดบัง นางก็ไม่ได้ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว“เจ้าว่าอะไรนะ? อ๋องเก้าเพราะช่วยเจ้า ก็ถูกเยียนทิงเหลียนทำร้ายบาดเจ็บหรือ?”“เจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีพยักหน้าเบา ๆ“เยียนทิงเหลียนนั่นไม่ใช่หญิงธรรมดาเลย นางเป็นสายลับของแคว้นซางหนาน ข้าเผลอไปครู่หนึ่ง ยังดีที่มีชุนหรงกับอ๋องเก้า ไม่เช่นนั้น ขณะนี้คนที่นอนปางตายอยู่บนเตียงก็คงเป็นข้าแล้ว”แม้ว่าชุนหรงกับอ๋องเก้าจะไม่ได
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา”เซียวหมิงเสวียนถวายบังคม ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษรออกจากประตูวังแล้ว ระหว่างทางกลับจวน เซียวหมิงเสวียนมองฉินอิ่นแวบหนึ่ง“ส่งข่าวไปยังหอหลิงเซียว ให้พวกเขาไปสืบหาเบื้องหลังของเยียนทิงเหลียนที่แคว้นซางหนาน”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นพยักหน้า จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก“นายท่าน ข้าน้อยส่งฉินลิ่วไปเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่หอประตูเมืองชั้นนอกแล้ว ฉินลิ่วรายงานกลับมา บอกว่า... อะแฮ่ม”“บอกว่าเยียนทิงเหลียนถูกแขวนตัวเปลือยเปล่าอยู่บนหอประตูเมืองชั้นนอก ทำให้เกิดความโกลาหลไม่น้อย มีคนเร่ร่อนหื่นกามคิดไม่ดี...”ส่วนคิดไม่ดีว่าอะไร ไม่ต้องให้ฉินอิ่นพูดให้ชัดเจน เซียวหมิงเสวียนก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร“หึ!”เซียวหมิงเสวียนยิ้มอย่างเย็นชา“เช่นนั้นแล้วก็เปิดช่องโหว่ให้พวกเขาเสีย ให้เยียนทิงเหลียนลองสัมผัสดูว่าตอนนั้นนางวางแผนทำร้ายลั่วจิ่วหลีอย่างไร”ฉินอิ่นได้ยินแล้ว ในใจก็แอบสวดมนต์ภาวนาให้เยียนทิงเหลียนดูท่า เยียนทิงเหลียนจนตายก็ไม่มีทางรู้ว่า ตอนนั้นที่นางวางแผนจะทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูรองตระกูลลั่ว แต่คนที่มีความสัมพันธ์กับคุณหนูรองตระ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยียนทิงเหลียนเดิมทีก็เป็นหญิงงามชั้นยอด เอวบางร่างน้อยราวกับต้นหลิว หน้าอกและบั้นท้ายโค้งเว้าชัดเจน หากใช้คำของอ๋องเจามาอธิบาย นี่คือผู้หญิงที่มอบความสุขให้เขาได้แม้แต่องค์ชายแห่งอาณาจักรหนึ่งยังยอมรับในความงามอันเย้ายวนของเยียนทิงเหลียน นับประสาอะไรกับบรรดาบุรุษธรรมดา ๆเพียงแค่เห็นภาพที่เย้ายวนชวนลุ่มหลงนี้แวบเดียว ก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดยิ่งดูยิ่งตื่นเต้น ยิ่งดูยิ่งมีผู้ชายเข้ามารวมตัวกันมากขึ้นมีคนตะโกนว่านี่ช่างเสียของจริง ๆ มีคนป่าวร้องว่าสาวสวยเช่นนี้ถ้าได้ซุกอยู่ในผ้าห่มอุ่น ๆ ด้วยจะมีความสุขขนาดไหนมีคนมือบอนเข้าไปใกล้ ๆ อยากเอานางลงมาใจจะขาด หาความสำราญให้เต็มที่ ก็ถูกทหารที่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ ถีบกระเด็นไปอยู่ที่พื้นและยังมีหญิงอารมณ์ร้ายที่เมื่อรู้ว่าสามีตนเองมาจ้องมองดูผู้หญิงเปลือยจนตาแทบออกมานอกเบ้า ก็วิ่งถือไม้นวดแป้งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด มาบิดหูสามีตัวเอง ด่าว่ายกใหญ่ ด่าสามีตัวเองเสร็จยังไม่พอ ยังหยิบทุกอย่างที่หยิบติดมือมาได้ ปาไปที่ตัวเยียนทิงเหลียนอย่างเอาเป็นเอาตายชาวบ้านร้านตลาดหรือ? เพียงแค่มีคนหนึ่งเริ่มต้น คนที่เหลือก็พากันทำตา
“ลงมือ”เซียวหมิงเสวียนไม่แม้แต่จะสนใจดูเยียนทิงเหลียนที่กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสน“พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฉินอิ่นผลักเยียนทิงเหลียนไปข้างหน้า ทั้งร่างของเยียนทิงเหลียนก็ทรุดลงไปกองกับพื้นเมื่อหัวหน้าทหารยามทั้งสองโบกมือให้สัญญาณอย่างสุดแรง ด้านหลังก็มีทหารเฝ้าเมืองก้าวขึ้นมาข้างหน้าทีละก้าว ๆ“อื้อ! อื้อ! อื้อ!”เยียนทิงเหลียนถอยหลังโดยใช้ทั้งมือและเท้าหากเวลานี้นางพูดได้ เสียงขอความเมตตาอย่างน่าเวทนาและเสียงร้องโหยหวนก็คงจะทำให้เกิดความสงสารอันเล็กน้อยจนแทบจะไม่มีอยู่เลยขึ้นมาบ้างน่าเสียดาย ตัวนางในขณะนี้วรยุทธ์ถูกทำลาย ลิ้นก็ถูกตัด ได้แต่ทนรับความอัปยศนี้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ร้องเรียกต่อฟ้าก็ไร้ผล อ้อนวอนต่อดินก็สิ้นหนทาง ทนทุกข์ทรมานแต่เพียงผู้เดียว ดิ้นรนอย่างขมขื่นทันใดนั้นเอง นางก็เห็นว่าบนรถม้าที่อยู่ด้านหลังนั้น ลั่วจิ่วหลีทอดสายตามาที่นางลั่วจิ่วหลี คนชั้นต่ำ นางชั้นต่ำนี่ ต้องเป็นความคิดของเจ้าแน่ ๆ ต้องใช่อย่างแน่นอนเยียนทิงเหลียนหลบทหารเฝ้าเมืองสองคนนั้นที่ไล่ตามมาประชิดตัว โหม่งหัวชนคนหนึ่งจนล้มลง ฝืนทนความเจ็บปวดอย่างรุนแรงบนร่างกาย วิ่งพุ่งตรงไปทางลั่วจิ่วหลี
เมืองชั้นนอกนั้นหลัก ๆ เป็นที่อยู่ของประชาชนทั่วไป และคนมากหน้าหลายตาจากทุกกลุ่มในสังคม เมืองชั้นในล้วนเป็นที่พำนักของขุนนางชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ ส่วนวังหลวงเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ ฮองเฮา เหล่าสนมวังหลัง และบรรดาองค์ชายองค์หญิง จวนอี้กั๋วกงกับจวนอ๋องเก้านั้นอยู่ในเมืองชั้นในทั้งคู่ รถม้ากลับหยุดที่เมืองชั้นนอก ลั่วจิ่วหลีประหลาดใจไม่น้อย“ไปกัน ออกไปดูหน่อยกว่าเกิดอะไรขึ้น?”นางพูดพลางผลักประตูรถม้าออก ก็เห็นเซียวหมิงเสวียนที่อยู่ข้างหน้ายืนอยู่บนรถม้าอย่างสง่างามน่าเกรงขามพอดีผู้คนสองข้างทางเมื่อเห็นท่านอ๋องเก้า ก็พากันคุกเข่าลงที่พื้นไม่ไกลจากนั้น มีหัวหน้าทหารยามสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองชั้นนอกรีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งด่วน“กระหม่อมถวายบังคมท่านอ๋องเก้า”“อืม ลุกขึ้นเถอะ”เซียวหมิงเสวียนน้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉย“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเก้า”หัวหน้าทหารยามทั้งสองลุกขึ้น“ฉินอิ่น”เซียวหมิงเสวียนโบกมือให้สัญญาณไปทางด้านหลัง“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นขานรับ จากนั้นก็คุมตัวคนคนหนึ่งเดินไปที่หน้าหัวหน้าทหารยามสองคนนั้น เมื่อลั่วจิ่วหลีมองให้ดี ๆ คนที่ถูกคุมตัวมาไม่ใช่เ