ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ที่ประดับประดาด้วยผ้าแพรแดง บุรุษรูปงามในชุดเกราะสีเงินยืนตรงอย่างสง่างามประดุจต้นสนอยู่เบื้องหน้านาง“จิ่วหลี เสด็จพ่อทรงตกลงพระราชทานสมรสให้พวกเราแล้ว รอข้ากลับมาจากสนามรบ จะจัดขบวนรับเจ้าสาวสิบลี้มารับเจ้าเป็นภรรยา”สตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาคู่งามดุจสายน้ำใสแฝงความสะเทิ้นอาย“พระชายา พระชายาเพคะ”เสียงใครบางคนดังแว่วข้างหู ลั่วจิ่วหลีอยากตื่นขึ้นมา ทว่าความเจ็บปวดราวถูกลงทัณฑ์แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทำให้นางไม่อาจลืมตาได้เลยทันใดนั้น ภาพหนึ่งแวบผ่านเข้ามา ชายหนุ่มในชุดเกราะเงินขี่ม้าศึกตัวใหญ่กลับมาจากการทำศึกพร้อมชัยชนะ แต่ในอ้อมแขนของเขากลับมีสตรีงามแปลกหน้าผู้หนึ่งเทียนแดง อักษรมงคล และเกี้ยวเจ้าสาวสองคันถูกยกเข้าจวนอ๋องเจาโดยคันหนึ่งอยู่หน้า อีกคันตามหลัง จู่ ๆ ภาพก็เปลี่ยนเป็นเบื้องหน้ากรอบหน้าต่างไม้แกะสลักบานหนึ่งชายหนุ่มสวมอาภรณ์หลวมหลุดลุ่ย บนแผ่นหลังเต็มไปด้วยรอยข่วน ใต้ร่างของเขา สตรีนางหนึ่งมีเพียงผ้าผืนบางคลุมร่างกายเพียงสามจุด แทบไม่อาจปกปิดเรือนร่าง“ชายโฉดหญิงชั่ว ข้าจะฆ่าพวกเจ้า!”สตรีผู้หนึ่งแบกท้องที่ตั้งครรภ์ มือกำกระบี่ยาวไว้มั่
ลั่วจิ่วหลีเกาะคอพญาอินทรีแน่น ร่างของนางเกือบจะร่วงลงไป นางต้องรีบหาทางจัดการ ไม่เช่นนั้นหากไม่ถูกพญาอินทรีตะปบตายก็คงต้องตกลงไปตายเป็นแน่“ยาสลบ ยาสลบชนิดรุนแรง”ลั่วจิ่วหลีพยายามหาทางรอดแม้ความหวังริบหรี่ นางกดแหวนโบราณลงบนบาดแผลที่มีเลือดซึมออกมาบนไหล่ นิ้วมือพลันร้อนวาบ ชั่วเวลาไม่ถึงห้าวินาที ยาสลบก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของนางนางยิ้มออกมาด้วยความดีใจก่อนจะฉีดยาสลบเข้าไปในร่างของพญาอินทรีอย่างแรง เมื่อความเร็วของพญาอินทรีเริ่มลดลง ลั่วจิ่วหลีก็ตัดสินใจฉับพลัน กลั้นใจหลับตากระโดดลงจากหลังพญาอินทรีลงสู่แอ่งน้ำใต้ผาน้ำตกตูม!แอ่งน้ำนุ่มนวลกว่าที่คิด ลั่วจิ่วหลีลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว แผงอกกว้างสะท้อนเข้าสู่คลองจักษุนางเงยหน้าขึ้นมองสวรรค์ นี่นางเห็นอะไรเป็นบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษที่ร่างท่อนบนเปลือยเปล่ากำลังอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนชั่วขณะนั้น บุรุษผู้นั้นพลันลืมตาขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาลึกล้ำ คิ้วเรียวยาว ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อเม้มเข้าหากันน้อย ๆ โครงหน้าที่ประหนึ่งแกะสลักจากหยก แม้จะใช้คำว่างามล้ำก็ยังไม่พอจะบรรยายรูปโฉมที่งามเหนือสามัญของเขาลั่วจิ่วหลีถือว่าผ่านโลกมาไม่น้อย ดา
เนื่องจากการตัดสินใจครั้งนี้ของนาง ทำให้คนที่มาตามหาคลาดกับนางพอดีราตรีนี้ลั่วจิ่วหลีนอนหลับไม่สนิท ในความฝัน บางครั้งนางเห็นภาพตอนที่ตนเองอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในชาติก่อน บางครั้งเป็นภาพเจ้าของร่างเดิมกอดร่างไร้ลมหายใจของทารกจ้องมองนางด้วยความอาฆาตระคนโศกเศร้าขอให้ช่วยล้างแค้น บางครั้งเป็นดวงตาลึกล้ำของชายผู้นั้นที่จ้องนางพลางถามคาดคั้นว่านางเป็นคนฆ่าพญาอินทรีหิมะใช่หรือไม่“ข้าไม่ได้ฆ่ามัน!”ลั่วจิ่วหลีสะดุ้งลืมตาตื่นภายนอกถ้ำเวลานี้ดวงตะวันทอประกายสว่างไสวนางนวดคลึงหว่างคิ้วที่ปวดตุบ พอได้สติกลับคืนมาก็นึกถึงบุรุษที่ใต้ผาน้ำตกขึ้นมา เกรงว่าคงกำลังรักษาแผลอยู่ นางทำแบบนั้นไป ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง?“ไม่คิดแล้ว เขาไม่รู้อยู่ดีว่าข้าเป็นใคร ทางใครทางมันแล้วกัน ต่อไปคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก”ลั่วจิ่วหลีลุกขึ้นยืน เสื้อคลุมยาวเกินไป นางจึงใช้มีดผ่าตัดกรีดออกส่วนหนึ่งแล้วมัดไว้ที่เอว จากนั้นก็เดินก้าวยาว ๆ ลงจากภูเขาเดินไปได้สักพัก นางค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเซียวจูมั่วถึงโยนเจ้าของร่างเดิมไปไว้ที่เรือนรับรองหลังนั้นให้ตายเถอะ อยู่ห่างจากเมืองหลวงชะมัด จนกระทั่งแสงอาทิ
ลั่วจิ่วหลีคลายมือออกจากคอซุนหมัวมัว มีดผ่าตัดยังคงจ่ออยู่ใกล้ดวงตาของนาง แววตาเหี้ยมเกรียมเย็นชาราวกับจะฉีกนางเป็นชิ้น ๆ“ชายารองเหลียนบอกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บถึงรากฐานตอนที่ช่วยท่านอ๋องในสนามรบ ต้องใช้รกและเนื้อทารกอายุหกเดือนมาปรุงยา หลังกินเข้าไป นางจึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้”จี๊ด!ลั่วจิ่วหลีสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดรุนแรงที่ซ่านออกมาจากในหัวใจ นางรู้ว่านั่นไม่ใช่ความเจ็บปวดของนาง แต่เป็นวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมที่เจ็บปวดเจียนขาดใจ เจ้าของร่างเดิมตายไปแล้ว ลูกของนางยังถูกศัตรูนำไปปรุงยาความเสื่อมทรามของมนุษยธรรมในจิตใจกำลังแผ่ขยายออกไปทีละน้อยทำให้ลั่วจิ่วหลีที่มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งร่างนางไม่เข้าใจ เจ้าของร่างเดิมนั้นเป็นถึงบุตรีคนรองสายตรงของอี้กั๋วกง ฐานะไม่ต่ำต้อย เหตุใดจึงถูกทารุณเช่นนี้?เซียวจูมั่วถูกความหลงใหลครอบงำจนไม่อาจแยกแยะ โปรดอนุทำร้ายภรรยาเอก แต่เหตุใดเขาถึงได้ลงมืออำมหิตกับลูกในไส้ของตนเองเช่นนี้?นางอยากถามให้แน่ชัด แต่ซุนหมัวมัวดูคงสังเกตเห็นว่านางวอกแวกจึงใช้สองมือผลักนางออกอย่างแรง และเงยหน้าขึ้นเตรียมจะตะโกนลั่วจิ่วหลีมีสีหน้าเ
ในรถม้า ลั่วจิ่วหลีได้ยินเสียงด่าทอด้วยโทสะนั้นก็จำได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของอ๋องเจา เซียวจูมั่ว ดวงตาสาดประกายเย็นชากว่าเดิมเพลิงรุนแรงขนาดนี้กลับไม่อาจเผาคนเลวผู้นี้ให้ตายได้เจ้าของร่างเดิมตายไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าผู้ชายชาติชั่วที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตผิดมนุษย์ยังคิดจะถลกหนัง เลาะเส้นเอ็นและเฆี่ยนศพนางสามวัน แล้วแขวนร่างไว้เหนือประตูเมืองสังหารคนโดยไม่หลั่งเลือดคงเป็นเช่นนี้เองกระมัง“ดูเหมือนว่าข้าต้องเริ่มแผนการขั้นต่อไปแล้ว”ลั่วจิ่วหลีพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย หันไปมองชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ความคิดไม่เคยเยือกเย็นถึงเพียงนี้มาก่อน“ท่านพอจะคลายจุดให้ข้าได้หรือไม่?”ชายผู้นั้นเหลือบมองนาง ดวงตาคู่นั้นแฝงประกายอันตราย แต่ยังคงยกมือขึ้นคลายจุดให้ ลั่วจิ่วหลีพลันรู้สึกถึงความผ่อนคลายทั่วร่างนางขยับแขนเล็กน้อย ทว่าสายตากลับไม่ละไปจากใบหน้าของชายผู้นั้นตอนนี้ นางยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าชายลึกลับผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศและตัวตนยังคงเป็นปริศนาผู้นี้ไม่ได้คิดร้ายกับนาง“ท่านจะปล่อยให้เซียวจูมั่วฆ่าข้าหรือไม่?”นางถามออกไปอย่างลองเชิงเวลานี้ ศักดิ์ศรีและหน้าตาอะไรเทือกนั้นไม่มีความสำคัญอีก
พูดแทงใจนัก! ท่านอ๋องผู้สง่างามถูกเรียกเป็น ‘สวะ’ หยามกันเช่นนี้ไหนเลยจะทนได้ไหวภายในรถม้า บุรุษผู้มีสีหน้าเย่อหยิ่งได้ยินคำพูดของลั่วจิ่วหลีแล้ว มุมปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างแทบสังเกตไม่เห็นลั่วจิ่วหลีรู้สึกว่าคำพูดยังไม่แรงพอ นางต้องการยั่วยุให้เซียวจูมั่วขาดสติอย่างสมบูรณ์และลงมือทำร้ายนาง “เซียวจูมั่ว ท่านจำไว้เลย ฆาตกรก็เป็นฆาตกรอยู่วันยังค่ำ”“ท่านฆ่าลั่วจิ่วหลีคนเก่าและยังฆ่าลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองเพื่อเยียนทิงเหลียน เอาลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองไปทำเป็นยาให้อนุชั้นต่ำของท่าน” “เหนือศีรษะสามฉื่อ[1]มีเทพเทวาคอยสอดส่องตรวจตรา ผลกรรมจะตามสนอง” “ท่านน่ะกิเลสหนา สวรรค์จะลงทัณฑ์หญิงร้ายชายเลวอย่างพวกท่าน บาปกรรมนี้จะตกใส่หัวพวกท่าน...”“นางชั้นต่ำ เจ้ารนหาที่ตาย! ทันใดนั้นเซียวจูมั่วที่บันดาลโทสะปราดมาถึงตรงหน้าประหนึ่งพายุ บีบคอลั่วจิ่วหลีไว้แน่น นัยน์ตาสีดำนั้นประหนึ่งมีหมอกปกคลุม เพลิงพิโรธพวยพุ่ง แทบจะกลืนกินลั่วจิ่วหลีทั้งเป็น “เจ้ามันขี้อิจฉา คิดว่าข้ายอมแต่งงานกับเจ้าเพราะอะไร? หากมิใช่เพราะอำนาจในราชสำนักของจวนอี้กั๋วกง คิดว่าเจ้าคู่ควรได้รับจริงหรือ? กล้าส
เวลานั้น ทุกคนเคร่งเครียดจนเส้นประสาทตึงเปรี๊ยะทั่วร่างประหนึ่งเชือกที่ถูกยืดจนตึง เสื้อผ้าตรงแผ่นหลังเปียกชุ่มด้วยเหงื่อเย็น เซียวจูมั่วก็มีสภาพไม่ต่างกัน แม้ว่าเขาก็เป็นองค์ชาย เป็นท่านอ๋อง แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ได้แต่งตั้งรัชทายาท องค์ชายอย่างพวกเขาทุกคนล้วนพยายามอย่างหนักเพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท ด้วยเหตุนี้ เขาจึงแต่งงานกับลั่วจิ่วหลีเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากจวนอี้กั๋วกง แต่เขาตระหนักดีว่าไม่ว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางมากแค่ไหนก็ยังมิอาจเทียบวาจาประโยคเดียวของเสด็จอาเก้า ขอเพียงเสด็จอาเก้าช่วยพูดคำดี ๆ ต่อหน้าฮ่องเต้ เขาก็จะเข้าใกล้การเป็นรัชทายาทเข้าไปอีกก้าว ทว่าคืนนี้เสด็จอาเก้าลงเขา เขากลับไม่ได้รับแจ้งข่าวใด ๆ ก่อนเลย “เสด็จอาเก้า โปรดอภัยที่หลานชายหยาบคายด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เซียวจูมั่วทรุดลงบนพื้น สภาพชวนสมเพชเวทนา ทว่าสายตาที่มองลั่วจิ่วหลีกลับคมกริบราวมีดดาบ หากสายตาสามารถสังหารคนได้ คาดว่าลั่วจิ่วหลีคงถูกเซียวจูมั่วสังหารตั้งนานแล้ว เซียวหมิงเสวียนปรายตามองเซียวจูมั่วที่อยู่บนพื้น ดึงสายตากลับมาอย่างเฉยชา นัยน์ตามืดครึ้ม
น่าสนใจ น่าสนใจมากลั่วจิ่วหลีเพิกเฉยต่อเซียวจูมั่วที่ตกตะลึงเหมือนคนโง่ ก้มลงดึงหยกห้อยเอวชิ้นหนึ่งของเขาออกมา เป็นหยกห้อยเอวคุณภาพไม่เลวจริง ๆ นางถือหยกห้อยเอวไว้ในมือ หันกลับมามองมั่วหานด้วยสีหน้าคาดเดาไม่ถูก “คุณชายท่านนี้ ในเมืองนี้จะซื้อโลงได้ที่ไหน” มั่วหานชะงัก ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าจะใช้หยกห้อยเอวของอ๋องเจาเพื่อซื้อโลง แค่ไม่รู้ว่าโลงศพนี้สำหรับอ๋องเจา หรือ... “เมืองชั้นนอก ตรอกเฉาฉ่าง เต็มไปด้วยร้านขายโลง” “ขอบคุณมาก” ลั่วจิ่วหลีกำหมัดคารวะแล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้า ในฐานะแพทย์ทหาร การขี่ม้าเป็นหลักสูตรภาคบังคับจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย มั่วหาน : นั่นเหมือนว่าจะเป็นม้าของข้า แต่จะทำอย่างไรได้? ตอนนี้เขาไม่กล้าหาเรื่องนางจริง ๆ เพราะจากนี้ นางยังต้องช่วยคลายคำสาปให้นายท่าน สี่ขาวิ่งเร็วกว่าสองขา ในเวลาเพียงครึ่งเค่อ[1] ลั่วจิ่วหลีก็ไปถึงร้านขายโลงร้านหนึ่งที่เมืองชั้นนอก นางแลกหยกห้อยเอวกับโลกศพขนาดเล็กหนึ่งโลง จากนั้นห้อตะบึงม้าไม่หยุดจนถึงนอกประตูวัง เวลานั้นแสงอรุณปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้ว...... ห้องเก้าเสนาบดี เป็นสถานที่ให้เหล่าขุนนางพักผ่อ