สายตาของแขกที่อยู่ร่วมในงานคล้ายจะสนใจการมาของเขา ตั้งแต่รถเลี้ยวเข้ามาจอดด้านข้างศาลา เพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่าผู้วายชนม์หรือเจ้าภาพของงานจะมีผู้มาร่วมงานในฐานะเทียบเท่ากับเขา ก็แน่ละ เพราะตั้งแต่รถเขาเคลื่อนเข้ามาในอำเภอแห่งนี้ ทั้งบ้านเรือนสองฝั่งข้างทาง ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นนี้ และทั้งสิ่งที่แม่บอก ก็พอคาดเดาได้ว่าบั้นปลายชีวิตของเธอคนนั้นคงไม่ได้สบายสักเท่าไร แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เธอเลือกเอง เมื่อเลือกผิดก็ต้องยอมรับผลจนตัวตาย
“เอ่อ...บอสจะลงไปเลยมั้ยครับ” เลขาฯ คู่ใจที่ควบตำแหน่งคนขับรถจำเป็นหันไปถามเจ้านายที่นั่งหน้านิ่ง ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่เดินทางออกมาจากกรุงเทพฯ และเขาก็ไม่ถามด้วย เพราะนายหญิงสั่งไว้ว่าถ้าฝ่ายนั้นไม่พูดออกมาก่อน เขาก็อย่าได้สะเออะเอ่ยปากก่อนเด็ดขาด ถ้ายังอยากมีอวัยวะครบอาการ 32 กลับไปกรุงเทพฯ แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องฝืนคำสั่ง เพราะภาพบรรยากาศตรงหน้าแสดงให้เห็นว่าพิธีกรรมกำลังเริ่มขึ้นแล้ว
อารัญ แอนโทนี แฟรงเกนส์ ตวัดดวงตาคมเข้มที่สะท้อนลูกแก้วสีน้ำตาลขึ้นมอง ใช้สายตาปราม กาย เลขาฯ ส่วนตัวผ่านกระจกมองหลัง ย้ำเตือนว่าอย่าตั้งคำถามกับเขาในขณะที่อารมณ์ไม่ปกติ เพราะไม่อย่างนั้นคำเตือนจากแม่อาจเป็นจริง
ดวงตาคมเข้มกร้าวขึ้นอีกเมื่อเสียงจากเครื่องขยายเสียงดังชัด ชายไทยสูงวัยกำลังบอกวาระของพิธีการ สิ่งที่มองเห็น เสียงที่ได้ยิน ล้วนตอกย้ำว่าสิ่งที่เขากำลังจะเผชิญหน้าอยู่นี้คือความจริง ‘ลูกหนี้’ ของเขาชิงตายไปเสียก่อนที่เขาจะได้ชำระความ แล้วหนี้แค้นที่เขารอคอยให้พรหมลิขิตนำทางมาพบล่ะ ใครจะเป็นคนชดใช้ เขาต้องอโหสิกรรมให้เธอตามที่แม่บอกจริงๆ ใช่ไหม
แรกเริ่มเขาบอกตัวเองว่าหากแม่ไม่ขอให้มาเพื่ออโหสิกรรมต่อกันเป็นครั้งสุดท้าย ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะมา เพราะความคาดหวังว่าจะได้รับการชำระหนี้แค้นในวันใดวันหนึ่งสลายไปในทันทีที่รู้ว่าเธอไม่อยู่แล้ว ทั้งที่หัวใจเขายังฝังแน่นกับสิ่งนั้น
แต่ที่ตัดสินใจมาในครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไรเหมือนกัน หรือเขาแค่อยากมาเห็นหน้าคนที่ทิ้งเขาไปกระมัง อยากเห็นความแร้นแค้นของเธอตามคำบอกเล่าของแม่ และเขาก็ไม่คิดว่าแม่จะรู้ทุกความเป็นไปของเธอด้วย เรื่องเหล่านั้นอาจเป็นแค่มารยาที่เธอใช้มาร้องขอความเห็นใจ
แต่ในยามนี้เมื่อได้เห็นโลงไม้ที่คลุมผ้าขาวเคลื่อนออกจากศาลาด้านข้าง ก่อนจะถูกนำมาวางไว้บนรถเข็นที่ประดับประดาด้วยดอกไม้สีขาวอยู่รายรอบ เขากลับเกิดอีกหนึ่งความคิด ไม่ใช่ ‘สงสาร’ แต่มันคือ ‘สะใจ’ เขาควรจะเกิดความคิดนั้นกับคนที่ไร้ลมหายใจไปแล้วเหรอ นั่นคือคำถามที่ถามตัวเอง แต่แล้วเขาก็ได้คำตอบ
อารัญแค่นยิ้มอย่างไม่ยี่หระความคิดของตนเอง เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจจะมาตั้งแต่แรก ความแค้นที่สุมลึกอยู่ในใจตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ไม่ได้ลดทอนลงเลย และไม่มีทางที่เขาจะอโหสิกรรมให้เธอดั่งที่แม่ขอ เพราะเขาไม่รู้หรอกว่าตัว ‘อโหสิกรรม’ เป็นอย่างไร มีหน้าตาแบบไหน รู้แต่ว่าสุดสายตาที่มองเห็นใบหน้ายิ้มละไมจากกรอบรูปที่ใครบางคนถือไว้แนบอกนั้น ‘ความโกรธ’ ‘ความเกลียด’ และ ‘ความคั่งแค้น’ จากหัวใจ ไม่ได้ลดน้อยลง เพราะภาพที่เห็นคือเธอยังคงยิ้มได้อย่างไม่สลด
ภาพรอยยิ้มพิมพ์ใจที่เห็นฉุดดึงเขาให้ดำดิ่งไปในอดีตอีกครั้ง ในยามที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นเป็นครั้งแรกช่างเป็นวันเวลาที่มีความสุขมากที่สุด เพราะเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้หัวใจเด็กหนุ่มอย่างเขาเต้นระรัว ด้วยจังหวะแห่งความประหม่า จังหวะแห่งความเก้อเขิน และจังหวะแห่งความเบิกบานราวกับเขายืนอยู่กลางทุ่งหญ้าเขียวสด ที่มีดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่งอยู่เต็มทุ่ง
‘ไม้! แวะมาทางนี้หน่อยลูก มารู้จักพี่เขาสิ’
เสียงของแม่ที่ร้องเรียกก่อนที่เขาจะเดินเลยห้องรับแขกไปไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ เพราะนางฟ้าที่เขาเห็นนั่งอยู่ด้านข้างของแม่กำลังส่งรอยยิ้มแสนหวานและสวยที่สุดมาให้
‘นี่พี่เดือนนะไม้ พี่เขาจะมาเป็นครูสอนพิเศษคณิตศาสตร์ให้ไม้นะ พี่เดือนเขาเรียนเก่ง ไม้ต้องสอบได้แน่’
‘ครับแม่’
นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้พบกับเธอ และรอยยิ้มของรัชนีกรก็ติดตรึงอยู่ในหัวใจเขานับตั้งแต่บัดนั้น เขาบอกไม่ได้ว่าเริ่มหลงรักเธอตั้งแต่เมื่อใด รู้แต่ว่าทุกๆ วันเขาจะเฝ้ารอให้ถึงเวลาที่คุณครูสาวสวยจะมาเยือน รอที่จะได้ยินเสียงหวานๆ ของเธอ รอที่จะได้เห็นรอยยิ้มระบายบนใบหน้าสวย และรอที่จะได้มองใบหน้าใสไร้เครื่องสำอางนั้น
‘คุณไม้ มองอะไรอยู่คะ! เข้าใจที่พี่สอนหรือเปล่าเนี่ย’
‘เข้า...เข้าใจครับ แต่...’
‘แต่อะไรคะ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามพี่นะ อย่าเก็บเอาไว้ พี่จะได้อธิบายให้ถูกต้อง คุณไม้จะได้สอบได้ไง’
‘เอ่อ...ผม... ผมอยากรู้ว่า...’
‘อยากรู้อะไรคะ’ เธอถามพร้อมจ้องมองมา ทว่าดวงตาคู่สวยที่หวานและสุกสกาวไม่ต่างจากดวงดาวบนฟากฟ้ากลับทำให้เขาติดอ่างขึ้นมาดื้อๆ ใครจะคิดกันว่าคุณชายแฟรงเกนสไตน์อย่างเขาที่เพื่อนๆ ตั้งฉายานามว่า ‘คุณชายผีดิบ’ ตามนามสกุล ‘แฟรงเกนส์’ จะเกิดอาการประหม่า สั่น พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะแอบหลงรักคุณครูสอนพิเศษของตัวเอง
‘คุณไม้คะ คุณไม้อยากรู้อะไรคะ หรือไม่เข้าใจตรงไหน ถามพี่สิคะ’ ใบหน้าเธอเอียงน้อยๆ อย่างต้องการคำตอบ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน แต่ริมฝีปากอมยิ้มน้อยๆ คล้ายกับจะเอ็นดูเขาอยู่มาก หรือนั่นคือเธอกำลังเอียงอายกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เขาประหม่ามากขึ้นไปอีก แต่ถ้าไม่พูดออกไปเขาคงอัดอั้นจนไม่มีสมาธิฟังในสิ่งที่เธอสอนแน่ ‘ผม...เอ่อ... ผมอยากรู้ว่า...ว่า... เอ่อ...พี่เดือน...พี่เดือนมีแฟนหรือยังครับ’ นั่นคือคำถามที่โพล่งออกไปตามใจคิด และหัวใจของเขาก็พองโตมากขึ้น เพราะระยะที่ใกล้กันเพียงโต๊ะกั้นทำให้เขามองเห็นริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันน้อยๆ ดวงตาสวยหวานหลุบมองลงต่ำ รวมทั้งแก้มสีขาวนวลที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ อาการที่เห็นนี้แปลว่า ‘มี’ หรือ ‘ยังไม่มี’ กันนะ ดังนั้นคำถามรุกเร้าจึงเดินหน้าต่อ ‘ว่ายังไงล่ะครับ พี่เดือนมีแฟนแล้วหรือยัง’ ‘เอ่อ...พี่ว่ามันไม่เกี่ยวกับการเรียนของเรานะคะ คุณไม้ถามเฉพาะเรื่องเรียนดีกว่า อย่าสนใจเรื่องของพี่เลย ตั้งใจเรียนจะได้สอบได้คะแนนเยอะๆ คุณแม่ของคุณไม้จะได้ไม่ตำหนิพี่ด้วย มาเถอะค่ะ สงสัยข้อไหนบอกพี่ม
“ผมไม่เชื่อ! เดือนไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ แม่โกหกผม!” เด็กหนุ่มแผดเสียงลั่นต่อว่าแม่ตนเอง ทั้งยังยืนจังก้ากำมือแน่น ไม่ยอมรับรู้ในสิ่งที่แม่กำลังบอกกล่าวเลยสักนิด ใบหน้าหล่อจัดสไตล์หนุ่มลูกครึ่งยุโรปออกสีแดงก่ำด้วยความโมโห ปะปนกับความผิดหวังและรับไม่ได้กับสิ่งที่แม่กล่าวหาเธอคนนั้น แม่กล่าวหาว่าผู้หญิงที่เขารักจากไปแล้ว จากไปพร้อมกับเงินก้อนโต “ไม้! นี่ลูกจะบ้าไปแล้วหรือไง แม่เป็นแม่ของลูกนะ แม่จะโกหกลูกไปทำไม” “ก็แม่เกลียดเดือนน่ะสิ ผมรู้นะว่าแม่ไม่อยากให้ผมกับเดือนรักกัน แม่กีดกันผม แม่ไล่เธอไปใช่มั้ย!” น้ำเสียงที่เค้นออกมาคือความขื่นขม ความผิดหวังที่แม่กีดกันความรักของเขา จนถึงกับระเบิดอารมณ์ใส่ผู้ให้กำเนิด “ไม้ เอาละ เอาละ ในเมื่อลูกอยากฟังความจริง แม่ก็จะบอก ลูกจะได้ตาสว่างเสียที ผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้เลือกลูก แต่เขาเลือกเงิน เขาไม่ได้รักลูก ลูกได้ยินที่แม่พูดมั้ยไม้ เธอเลือกเงิน ไม่ใช่ลูก!” “ไม่...ผมไม่เชื่อแม่ ไม่มีวันเชื่อ แม่โกหกผม” คำพูดพึมพำติดอยู่ที่ริมฝีปาก เพราะสิ่งที่แม่พูดนั้นไม่เคยอยู่ในค
นิ้วมือยกขึ้นแตะซับที่หน้าผากด้านซ้ายภายใต้ไรผมปกปิด ความรู้สึกวาบลึกวิ่งเร้าอยู่ภายใต้ร่องรอยแผลเป็นจางๆ เพราะเสียงร่ำร้องในหัวใจบอกว่าบาดแผลนี้ไม่มีวันหายขาด แม้ด้านนอกจะแทบไม่เห็นรอย แต่ใครจะรู้เล่าว่าความเจ็บปวดนั้นหยั่งรากลงลึกจนถึงหัวใจ เปรี๊ยะ! แก้ววิสกี้เนื้อดีถูกบีบจนแตกคามือ เลือดสีแดงสดซึมออกมาตามร่องนิ้ว ทว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่ได้แสดงความเจ็บปวดเลยสักนิด มีเพียงดวงตาคมเข้มเท่านั้นที่กร้าวขึ้นแลดูเจ็บปวดอยู่ลึกๆ เขาแค่นยิ้มที่มุมปาก บาดแผลแค่นี้ไม่ทำให้เจ็บได้หรอก เพราะสิ่งที่เจ็บอยู่นี้มากมายเกินกว่าแล้ว ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ในโลกที่เขาจะทนไม่ได้อีก เพราะความเจ็บจากการโดนกระชากหัวใจออกจากร่างทั้งที่ยังมีชีวิตเกินกว่าที่คนจะทนไหว แต่ที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะมี ‘ความแค้น’ และ ‘ความอดสู’ ที่ถูกทอดทิ้ง เป็นเหมือนเชื้อเพลิงให้ร่างกายยังหายใจ และไม่บ้าบอคิดตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปก่อน ดวงตาคมกร้าวขึ้นตวัดมองภาพเคลื่อนไหวนั้นต่อ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของคนทั้งคู่ยังดังต่อเนื่อง เด็กหนุ่มทำโจทย์ข้อยากๆ ได้โดยง่าย เขาตั้งใจเรีย
เสียงพระสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุลดังผ่านเครื่องขยายเสียงของทางวัด ทำให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานรู้โดยอัตโนมัติว่า ร่างอันไร้วิญญาณในศาลาใดกำลังจะถูกฌาปนกิจ ณ เวลา 16:00 น. ของวันนี้ เนื่องจากวัดในสมัยใหม่นิยมสร้างศาลาสวดศพให้อยู่รายรอบเมรุ เพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนย้ายร่างไร้วิญญาณขึ้นสู่สถานที่อันจะทำให้ร่างนั้นกลับคืนสู่ธรรมชาติได้อย่างแท้จริง ดังนั้นการตั้งศพเพื่อสวดพระอภิธรรมจึงอาจมีมากกว่าหนึ่งร่างในแต่ละค่ำคืน ทว่าจะมีเพียงร่างเดียวเท่านั้นที่จะทำการฌาปนกิจในแต่ละวัน เพราะพิธีการแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาและต้องทำให้ถูกต้อง กว่าจะส่งร่างนั้นไปสู่เส้นทางอันสุคติได้สำเร็จ ย่อมกินเวลาตั้งแต่ช่วงเช้าไปจนถึงค่อนดึก ผ้าลูกไม้สีขาวผืนบางคลุมทับโลงไม้ไว้อีกชั้นนั้น เพื่อให้ลวดลายอ่อนหวานช่วยลดทอนความโศกเศร้าจากผู้พบเห็น และเพื่อแสดงออกว่าผู้วายชนม์เดินทางไปสู่สถานที่ที่มีความสุขแล้ว ทว่าเมื่อมาอยู่รวมกับดอกไม้ช่อยาวสีขาวที่นำมาประดับโดยรอบแล้วนั้น กลิ่นหอมจัดจนฉุนกลับทำให้บรรยากาศอวมงคลเด่นชัดมากขึ้น เพราะนั่นคือ ‘ซ่อนกลิ่น’ ดอกไม้ที่ใช้ซ่อนร่างไร้วิญญาณ ท่วงทำ
‘คุณไม้คะ คุณไม้อยากรู้อะไรคะ หรือไม่เข้าใจตรงไหน ถามพี่สิคะ’ ใบหน้าเธอเอียงน้อยๆ อย่างต้องการคำตอบ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน แต่ริมฝีปากอมยิ้มน้อยๆ คล้ายกับจะเอ็นดูเขาอยู่มาก หรือนั่นคือเธอกำลังเอียงอายกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เขาประหม่ามากขึ้นไปอีก แต่ถ้าไม่พูดออกไปเขาคงอัดอั้นจนไม่มีสมาธิฟังในสิ่งที่เธอสอนแน่ ‘ผม...เอ่อ... ผมอยากรู้ว่า...ว่า... เอ่อ...พี่เดือน...พี่เดือนมีแฟนหรือยังครับ’ นั่นคือคำถามที่โพล่งออกไปตามใจคิด และหัวใจของเขาก็พองโตมากขึ้น เพราะระยะที่ใกล้กันเพียงโต๊ะกั้นทำให้เขามองเห็นริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันน้อยๆ ดวงตาสวยหวานหลุบมองลงต่ำ รวมทั้งแก้มสีขาวนวลที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ อาการที่เห็นนี้แปลว่า ‘มี’ หรือ ‘ยังไม่มี’ กันนะ ดังนั้นคำถามรุกเร้าจึงเดินหน้าต่อ ‘ว่ายังไงล่ะครับ พี่เดือนมีแฟนแล้วหรือยัง’ ‘เอ่อ...พี่ว่ามันไม่เกี่ยวกับการเรียนของเรานะคะ คุณไม้ถามเฉพาะเรื่องเรียนดีกว่า อย่าสนใจเรื่องของพี่เลย ตั้งใจเรียนจะได้สอบได้คะแนนเยอะๆ คุณแม่ของคุณไม้จะได้ไม่ตำหนิพี่ด้วย มาเถอะค่ะ สงสัยข้อไหนบอกพี่ม
สายตาของแขกที่อยู่ร่วมในงานคล้ายจะสนใจการมาของเขา ตั้งแต่รถเลี้ยวเข้ามาจอดด้านข้างศาลา เพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่าผู้วายชนม์หรือเจ้าภาพของงานจะมีผู้มาร่วมงานในฐานะเทียบเท่ากับเขา ก็แน่ละ เพราะตั้งแต่รถเขาเคลื่อนเข้ามาในอำเภอแห่งนี้ ทั้งบ้านเรือนสองฝั่งข้างทาง ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นนี้ และทั้งสิ่งที่แม่บอก ก็พอคาดเดาได้ว่าบั้นปลายชีวิตของเธอคนนั้นคงไม่ได้สบายสักเท่าไร แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เธอเลือกเอง เมื่อเลือกผิดก็ต้องยอมรับผลจนตัวตาย “เอ่อ...บอสจะลงไปเลยมั้ยครับ” เลขาฯ คู่ใจที่ควบตำแหน่งคนขับรถจำเป็นหันไปถามเจ้านายที่นั่งหน้านิ่ง ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่เดินทางออกมาจากกรุงเทพฯ และเขาก็ไม่ถามด้วย เพราะนายหญิงสั่งไว้ว่าถ้าฝ่ายนั้นไม่พูดออกมาก่อน เขาก็อย่าได้สะเออะเอ่ยปากก่อนเด็ดขาด ถ้ายังอยากมีอวัยวะครบอาการ 32 กลับไปกรุงเทพฯ แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องฝืนคำสั่ง เพราะภาพบรรยากาศตรงหน้าแสดงให้เห็นว่าพิธีกรรมกำลังเริ่มขึ้นแล้ว อารัญ แอนโทนี แฟรงเกนส์ ตวัดดวงตาคมเข้มที่สะท้อนลูกแก้วสีน้ำตาลขึ้นมอง ใช้สายตาปราม กาย เลขาฯ ส่วนตัวผ่านกระจกมองหลัง ย้ำเตือนว่าอย่าตั้งคำถ
เสียงพระสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุลดังผ่านเครื่องขยายเสียงของทางวัด ทำให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานรู้โดยอัตโนมัติว่า ร่างอันไร้วิญญาณในศาลาใดกำลังจะถูกฌาปนกิจ ณ เวลา 16:00 น. ของวันนี้ เนื่องจากวัดในสมัยใหม่นิยมสร้างศาลาสวดศพให้อยู่รายรอบเมรุ เพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนย้ายร่างไร้วิญญาณขึ้นสู่สถานที่อันจะทำให้ร่างนั้นกลับคืนสู่ธรรมชาติได้อย่างแท้จริง ดังนั้นการตั้งศพเพื่อสวดพระอภิธรรมจึงอาจมีมากกว่าหนึ่งร่างในแต่ละค่ำคืน ทว่าจะมีเพียงร่างเดียวเท่านั้นที่จะทำการฌาปนกิจในแต่ละวัน เพราะพิธีการแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาและต้องทำให้ถูกต้อง กว่าจะส่งร่างนั้นไปสู่เส้นทางอันสุคติได้สำเร็จ ย่อมกินเวลาตั้งแต่ช่วงเช้าไปจนถึงค่อนดึก ผ้าลูกไม้สีขาวผืนบางคลุมทับโลงไม้ไว้อีกชั้นนั้น เพื่อให้ลวดลายอ่อนหวานช่วยลดทอนความโศกเศร้าจากผู้พบเห็น และเพื่อแสดงออกว่าผู้วายชนม์เดินทางไปสู่สถานที่ที่มีความสุขแล้ว ทว่าเมื่อมาอยู่รวมกับดอกไม้ช่อยาวสีขาวที่นำมาประดับโดยรอบแล้วนั้น กลิ่นหอมจัดจนฉุนกลับทำให้บรรยากาศอวมงคลเด่นชัดมากขึ้น เพราะนั่นคือ ‘ซ่อนกลิ่น’ ดอกไม้ที่ใช้ซ่อนร่างไร้วิญญาณ ท่วงทำ
นิ้วมือยกขึ้นแตะซับที่หน้าผากด้านซ้ายภายใต้ไรผมปกปิด ความรู้สึกวาบลึกวิ่งเร้าอยู่ภายใต้ร่องรอยแผลเป็นจางๆ เพราะเสียงร่ำร้องในหัวใจบอกว่าบาดแผลนี้ไม่มีวันหายขาด แม้ด้านนอกจะแทบไม่เห็นรอย แต่ใครจะรู้เล่าว่าความเจ็บปวดนั้นหยั่งรากลงลึกจนถึงหัวใจ เปรี๊ยะ! แก้ววิสกี้เนื้อดีถูกบีบจนแตกคามือ เลือดสีแดงสดซึมออกมาตามร่องนิ้ว ทว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่ได้แสดงความเจ็บปวดเลยสักนิด มีเพียงดวงตาคมเข้มเท่านั้นที่กร้าวขึ้นแลดูเจ็บปวดอยู่ลึกๆ เขาแค่นยิ้มที่มุมปาก บาดแผลแค่นี้ไม่ทำให้เจ็บได้หรอก เพราะสิ่งที่เจ็บอยู่นี้มากมายเกินกว่าแล้ว ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ในโลกที่เขาจะทนไม่ได้อีก เพราะความเจ็บจากการโดนกระชากหัวใจออกจากร่างทั้งที่ยังมีชีวิตเกินกว่าที่คนจะทนไหว แต่ที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะมี ‘ความแค้น’ และ ‘ความอดสู’ ที่ถูกทอดทิ้ง เป็นเหมือนเชื้อเพลิงให้ร่างกายยังหายใจ และไม่บ้าบอคิดตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปก่อน ดวงตาคมกร้าวขึ้นตวัดมองภาพเคลื่อนไหวนั้นต่อ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของคนทั้งคู่ยังดังต่อเนื่อง เด็กหนุ่มทำโจทย์ข้อยากๆ ได้โดยง่าย เขาตั้งใจเรีย
“ผมไม่เชื่อ! เดือนไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ แม่โกหกผม!” เด็กหนุ่มแผดเสียงลั่นต่อว่าแม่ตนเอง ทั้งยังยืนจังก้ากำมือแน่น ไม่ยอมรับรู้ในสิ่งที่แม่กำลังบอกกล่าวเลยสักนิด ใบหน้าหล่อจัดสไตล์หนุ่มลูกครึ่งยุโรปออกสีแดงก่ำด้วยความโมโห ปะปนกับความผิดหวังและรับไม่ได้กับสิ่งที่แม่กล่าวหาเธอคนนั้น แม่กล่าวหาว่าผู้หญิงที่เขารักจากไปแล้ว จากไปพร้อมกับเงินก้อนโต “ไม้! นี่ลูกจะบ้าไปแล้วหรือไง แม่เป็นแม่ของลูกนะ แม่จะโกหกลูกไปทำไม” “ก็แม่เกลียดเดือนน่ะสิ ผมรู้นะว่าแม่ไม่อยากให้ผมกับเดือนรักกัน แม่กีดกันผม แม่ไล่เธอไปใช่มั้ย!” น้ำเสียงที่เค้นออกมาคือความขื่นขม ความผิดหวังที่แม่กีดกันความรักของเขา จนถึงกับระเบิดอารมณ์ใส่ผู้ให้กำเนิด “ไม้ เอาละ เอาละ ในเมื่อลูกอยากฟังความจริง แม่ก็จะบอก ลูกจะได้ตาสว่างเสียที ผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้เลือกลูก แต่เขาเลือกเงิน เขาไม่ได้รักลูก ลูกได้ยินที่แม่พูดมั้ยไม้ เธอเลือกเงิน ไม่ใช่ลูก!” “ไม่...ผมไม่เชื่อแม่ ไม่มีวันเชื่อ แม่โกหกผม” คำพูดพึมพำติดอยู่ที่ริมฝีปาก เพราะสิ่งที่แม่พูดนั้นไม่เคยอยู่ในค