บทที่ 30 : ลูบคมสกุลชิงภายในจวนสกุลชิง เสียงลมพัดผ่านต้นไผ่ที่ปลูกอยู่รอบบริเวณทำให้เกิดเสียงซู่ซ่าที่สงบเงียบ แต่บรรยากาศภายในกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด ในห้องโถงใหญ่ชิงหยวนเปาเดินกระสับกระส่ายวนไปวนมาอย่างใช้ความคิด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาคมกล้าจ้องมองลูกชายทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านข้าง"ข้าไม่อาจทนเห็นสกุลชิงถูกหยามเกียรติเช่นนี้อีกต่อไป" ชิงหยวนเปากล่าวเสียงดัง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาล "ข่าวลือเรื่องชิงอี้หรานถูกละเลยและถูกหยามเกียรติแพร่สะพัดออกมาอย่างไม่ขาดสาย หนิงซีโย่วไม่เห็นหัวสกุลชิงเลยสักนิด"ชิงหยางยืนกอดอก ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียด "ท่านพ่อ ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรนิ่งเฉย สกุลชิงไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้" ชิงหยางกล่าว ด้วยความที่ตัวเขาเป็นถึงรองแม่ทัพ ความดุดันมุทะลุจึงทำให้เขามิอาจอดทนได้"ถูกต้อง ข้าก็ไม่อาจทนเห็นอี้หรานต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดเช่นนี้อีกต่อไป หนิงซีโย่วทำเช่นนี้มันเกินไปแล้วจริง ๆ" ชิงเฟยเสริมออกมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ชายหนุ่มที่มีบุคลิกร่าเริง ใจดีและห่วงใยน้องสาว ด้วยความที่เขาเป็นบุตรชายคนเล็ก ทำให้ค่อนข้างใก
บทที่ 31 : หนี้แค้นที่ต้องสะสางณ ท้องพระโรงอันโอ่อ่าและสง่างามของราชสำนัก บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เสียงขุนนางต่างๆ ที่พูดคุยกันบ้างเบาราวกับกระซิบ บ้างดังก้องราวกับต้องการให้ทั่วทั้งห้องโถงได้รับรู้ เมื่อหนิงซีโย่วนั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาของเขากวาดมองไปยังขุนนางทั้งหลายที่ยืนเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ขุนนางที่นำโดยชิงหยวนเปาได้เร่งรัดในการเอาผิดแก่ขุนนางข้างหนิงซีโย่วอย่างหนัก"ฝ่าบาท ความผิดของใต้เท้าเสิ่น และใต้เท้าหวัง บัดนี้หลักฐานครบถ้วนยากแก่การหลีกเลี่ยง ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางคนหนึ่งยื่นฎีการ้องเรียนพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น"ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาปลดพวกเขาออกจากตำแหน่งและลงโทษสถานหนักด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางอีกคนหนึ่งเสริมทัพด้วยเสียงที่กังวานหนิงซีโย่วทำท่าเคร่งเครียด ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังขุนนางทั้งสองที่กล่าวรายงานก่อนจะปรายตามองไปยังชิงหยวนเปา ใบหน้าของเขาตึงเครียดและเปี่ยมไปด้วยความคิดครุ่นคิด แต่ทันใดนั้น สีหน้าของเขากลับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างอำมหิต และหัวเราะออกมาเบาๆ"ในเมื่อพวกท่านกล่าวอ้างว่าใต้เท้าทั้งสองมีความผิดเช่นนี้ ง
บทที่ 32 : สายฟ้าผ่ากลางใจณ ตำหนักฮองเฮา ชิงอี้หรานที่ยังคงนั่งเหม่อลอย สายตาทอดมองออกไปเบื้องนอกด้วยความรู้สึกชอกช้ำและเศร้าโศกเสียใจ ความว่างเปล่าที่ได้รับในแต่ละวันยิ่งทำให้ร่างกายหญิงสาวค่อย ๆ อ่อนแอลงไปทุกวันความรู้สึกดังกล่าวยังไม่ทันจางหาย ชิงอี้หรานกลับได้รับข่าวร้ายใหญ่ที่ทำให้หัวใจของนางพังทลายลงไปอย่างสิ้นเชิง“ฮองเฮา...ฮองเฮา หม่อมฉันได้ยินข่าวร้าย ฮองเฮา...ฮองเฮาเพคะ” ซิวเอ๋อวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายังห้องบรรทมด้วยท่าทีร้อนรน สีหน้าขาวซีดกลับดูแตกตื่นยิ่งนัก“ข่าวร้าย...ยังมีข่าวร้ายอันใดกันอีกรึ” ชิงอี้หรานหันหน้ากลับมามองสาวใช้ตรงหน้า ถามออกไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก“ใต้เท้าชิงเพคะ ใต้เท้าชิงและคนในตระกูลถูกจับเพคะ บัดนี้ฮ่องเต้รับสั่งขังคุกหลวงเตรียมรอวันประหารเพคะ” ซิวเอ๋อยังคงรีบรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกชิงอี้หรานรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านในใจ นางกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับหัวเราะและร้องไห้ออกมาอย่างเสียสติ“ข้าไม่เชื่อ...ข้าไม่เชื่อ ท่านพ่อ...ท่านพี่...ทุกคนในตระกูลชิง... ข้าไม่เชื่อ” ชิงอี้หรานร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลนองอาบแก้มไม่หยุดนางคร่ำคร
บทที่ 33 : ทางแยกหลังจากเหตุการณ์ในท้องพระโรง หนิงซีโย่วไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ชายหนุ่มเดินทางไปยังคุกหลวงทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น เมื่อถึงที่นั่น ชายหนุ่มสั่งให้ทุกคนออกจากที่นั่นให้หมด ทหารและผู้คุมต่างพากันหลีกทางให้เขา ชายหนุ่มก้าวเข้าไปยังห้องขังของชิงหยวนเปาชิงหยวนเปามองหน้าหนิงซีโย่วด้วยความแค้นเคือง "เจ้า... เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน เจ้าหลอกลวงอี้หราน หลอกลวงพวกข้า บัดนี้ข้าหมดประโยชน์ เจ้ากลับเนรคุณเช่นนี้" ชายชรากล่าวอย่างมาดร้าย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชังหนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยแววตาเย็นชา "ท่านว่าข้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วท่านล่ะใต้เท้าชิง ข้าก็เพียงตอบแทนท่านกลับไปก็เท่านั้นเอง"ชิงหยวนเปาตะโกนถามด้วยเสียงแหบพร่า "ข้าทำอันใด...ข้าทำผิดอันใด"หลังจากพินิจดวงหน้าและชายหนุ่มอย่างจริงจัง ชายชราถึงกับผงะถอยหลังไปสองก้าว ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแววตาของหนิงซีโย่วเริ่มเปิดเผยให้เห็น "เจ้า...เจ้ารู้... เจ้ารู้เรื่องงั้นรึ"หนิงซีโย่วหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ความเงียบที่ตามมาเต็มไปด้วยความกดดันและความหวาดหวั่น ชิงหยวนเปาทรุด
บทที่ 34 : แผนร้ายสนมเสิ่นชิงอี้หรานเฝ้ารอคอยข่าวคราวจากหลีซานเกี่ยวกับครอบครัวของตนอย่างร้อนรน ในใจของนางเต็มไปด้วยความกังวลและความหวังที่ยังไม่รู้จะเป็นจริงหรือไม่ วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความหวังที่หลีซานจะนำข่าวดีมาให้นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นางยังคงมีแรงสู้ต่อไปจู่ ๆ ขันทีตำหนักสนมเสิ่นก็เข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุภาพและเคารพ “ฮองเฮา สนมเสิ่นเชิญพระองค์ไปชิมน้ำชาที่ได้รับพระราชทานมาใหม่พ่ะย่ะค่ะ”หญิงสาวปรายตามองเล็กน้อย ความรู้สึกในใจนางเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนไม่พอใจ แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้าเพียงเบา ๆหลังจากขันทีจากไปแล้ว ซิวเอ๋อเข้ามาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ฮองเฮาเพคะ สนมเสิ่นไว้ใจไม่ได้ พระองค์อย่าไปเลยเพคะ”แต่ชิงอี้หรานหาได้สนใจไม่ นางอยากรู้ว่าสนมเสิ่นมีจุดประสงค์อะไร นางจึงกล่าว “ข้าจะไปดูสักหน่อยว่านางต้องการอะไรกันแน่” ว่าแล้วก็ให้ซิวเอ๋อแต่งตัวให้นางและเดินไปตำหนักสนมเสิ่นตำหนักของเสิ่นเซียวเหยาได้รับการตกแต่งอย่างงดงามด้วยพรรณไม้และดอกไม้หลากสีสัน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ในอากาศ เสิ่นเซียวเหยากำลังนั่งรอนางอยู่ในห้องรับแขก ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็
บทที่ 35 : เจ้าควรรู้ไว้ว่าผู้ใดที่เจ้าไม่อาจล่วงเกินการเจ็บป่วยเจียนตายของชิงอี้หรานทำให้หนิงซีโย่วร้อนใจเป็นอันมาก หลังจากชายหนุ่มเห็นนางยังคงหลับสนิท เขาก็เร่งเท้าไปยังตำหนักสนมเสิ่น เมื่อไปถึงก็ขับไล่ทุกคนออกจากห้องบรรทม พระสนมเห็นฮ่องเต้ก็ทำท่าทางป่วยกระเสาะกระแสะ ท่าทางออดอ้อนเพื่อให้ชายหนุ่มเห็นใจ"ฝ่าบาท ฮองเฮามิได้ตั้งใจทำร้ายหม่อมฉัน เป็นหม่อมฉันที่ผิดเองที่ไม่ระมัดระวังตัวเพคะ" พระสนมกล่าวเสียงอ่อนโยน พร้อมแสร้งทำท่าทางเจ็บป่วย แม้นางจะพยายามพูดจาอ้อนวอนว่าไม่ใช่ความผิดของชิงอี้หราน หากแต่ในใจกลับสุมไฟริษยาต้องการให้แผนการนี้ทำให้ฮ่องเต้มีโทสะและสั่งปลดนางจากตำแหน่ง เมื่อตำแหน่งฮองเฮาว่างลง ไฉนเลยตำแหน่งนี้จะไม่ตกเป็นของนางที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดเวลานี้หนิงซีโย่วทอดตามองด้วยสายตาเรียบเฉย รอยยิ้มเหยียดแม้เพียงชั่วครู่ ไม่อาจหลุดพ้นสายตาชายหนุ่ม "ข้าไม่เคยเข้าใจอันใดผิด และข้าย่อมเชื่อมั่นในตัวฮองเฮา หากแต่เป็นเจ้าที่คิดหวังการใหญ่เกินตัวไป" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเสิ่นเซียวเหยาถึงขั้นสะดุ้ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตระหนก "ฝ่าบาท หม่อมฉัน...หม่อมฉันถูกใส่ร้าย ฝ่าบาทต้
บทที่ 36: ไม่มีอีกแล้ว ชิงอี้หรานคนเดิมชิงอี้หรานตื่นขึ้นมาในเวลาเช้า แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องบรรทม สายลมเย็นอ่อนพัดผ่านทำให้ม่านผ้าบางโบกสะบัดเบาๆ หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้น พลันนางรู้สึกถึงไออุ่นที่กอบกุมมือบางของตนไว้แน่นชิงอี้หรานหันหน้ามามองหนิงซีโย่ว ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังนั่งฟุบหลับอยู่ข้างเตียงนาง ใบหน้าของเขาที่นางเคยรักปักดวงใจ คนที่นางเคยทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างเขา คนที่นางเคยเอ่ยวาจาว่าจะไม่มีวันเสียใจที่ได้รักเขา หนิงซีโย่วที่ยังคงนอนหลับตาพริ้ม ใบหน้าเคร่งขรึมของเขาดูอ่อนโยนลงยามหลับ มือใหญ่ยังคงกอบกุมมือบางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยชิงอี้หรานแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ พลางนึกขบขันตัวเองในความโง่เขลาที่มี นางเคยคิดมาเสมอว่าหนิงซีโย่วก็รักนางเช่นเดียวกับที่นางรัก แม้ภายหลังชายหนุ่มจะแปรเปลี่ยนไป แต่นางก็ยังคงเชื่อมันมาตลอดว่าความรักของนางจะสามารถทำให้หนิงซีโย่วกลับมารักตนเองอีกครั้ง แต่ความจริงแล้วทุกอย่างกลับไม่เป็นเช่นนั้น ชิงอี้หรานหันกลับมามองเพดานเบื้องบน ดวงตาที่เคยหม่นแสงบัดนี้แปรเปลี่ยนไปเป็นความมาดมั่น ชิงอี้หรานคนเดิมได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว ไม่มีหญิงสาว
บทที่ 37 : สำนึกในรักที่มีให้เจ้าหลังจากเสร็จสิ้นราชกิจที่หนักอึ้ง หนิงซีโย่วไม่แม้จะหยุดพักผ่อน ชายหนุ่มรีบเร่งเดินตรงไปยังตำหนักฮองเฮา ภายในหัวใจเขาเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและร้อนรน ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของชิงอี้หรานทำให้เขารู้สึกเจ็บแน่นในอก ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขารักหญิงสาวมากมายยิ่งนัก ยิ่งเมื่อเขาเกือบต้องสูญเสียนางไปยิ่งทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่อาจสูญเสียนางอันเป็นที่รักยิ่งไปได้ แต่เดิมที่ชายหนุ่มทำเย็นชาใส่นางและคอยหลบหน้านางเสมอก็เพราะเขากลัวเหลือเกินว่าตนเองจะใจอ่อนยอมละทิ้งความแค้นในใจเพื่อนาง ที่เขาโปรดปรานสนมเสิ่นก็เพราะยามเมื่อพบครั้งแรกสนมเสิ่นมีส่วนคล้ายชิงอี้หรานอยู่หลายส่วน ทั้งสนมเสิ่นก็เคยได้กล่าววาจาเช่นเดียวกับที่ชิงอี้หรานเคยกล่าวกับตนเอง ความคิดถึงที่ชายหนุ่มมีให้กับชิงอี้หรานจนแทบจะแผดเผาเขาให้ตายทั้งเป็น ทำให้เขาเห็นสนมเสิ่นเป็นเสมือนตัวแทนของนางไปในที่สุดเมื่อมาถึงตำหนักของฮองเฮา หนิงซีโย่วพบว่าตำหนักกลับเงียบสงบราวกับไม่มีชีวิตชีวา ชายหนุ่มก้าวเข้าไปข้างในห้องบรรทมของชิงอี้หราน ภายในห้องตกแต่งด้วยผ้าม่านสีขาวและแดง มีตะเกียงน้ำมันเล็ก ๆ ใ
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล
บทที่ 58 : หนี้ระหว่างท่านและข้า ปล่อยให้มันพัวพันเช่นนี้ไปเถิด ชิงอี้หรานยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เสียงลมหายใจเบา ๆ ของนางเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิต หนิงซีโย่วที่ยังนั่งเฝ้าอาการหญิงสาวไม่ห่าง เขาไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่บัดนี้ยังคงซีดเซียว ใบหน้าที่เคยงดงามและเปล่งปลั่งกลับกลายเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกปวดใจยิ่งนักตลอดชีวิตชายหนุ่มทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับมารดาของเขา ความแค้นที่ก่อตัวอยู่ในใจเขามาตลอด ทำให้เขามุ่งมั่นสู่เป้าหมายไม่ยอมถอย แต่ทว่าเวลานี้ที่เขาได้แก้แค้นสำเร็จ ใจเขากลับมิได้รู้สึกยินดีหรือโล่งใจ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของเขาก็มีเพียงความรู้สึกผิดและความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ เขาต้องสูญเสียลูก เขาต้องสูญเสียหัวใจรักของชิงอี้หราน ความคิดมากมายวกวนในหัวจนหัวใจเขาปวดหนึบ หากเขามีโอกาสอีกสักครั้ง ขอเพียงอีกสักครั้งหนึ่ง ผลลัพธ์จะเป็นเฉกเช่นนี้หรือไม่น้ำตาของหนิงซีโย่วไหลรินอย่างเงียบงัน เขาหวังว่าชิงอี้หรานจะตื่นขึ้นมา สบตากับเขาและรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้เธอ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ เขายังคงหวังว่าเสียงของเขา เสียงที
บทที่ 57 : ความสูญเสียในระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ชิงหยวนเปาก็ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยมีชิงหลงประคองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของเขา ชายชราเห็นภาพตรงหน้าเขาเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ชิงหยวนเปารีบปรี่เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงซีโย่ว “ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตบุตรชายของข้าด้วย ทั้งหมดเป็นข้าที่ผิดเอง ทั้งหมดเป็นหนี้ที่ข้าต้องชดใช้”หนิงซีโย่วมองหน้าชิงหยวนเปาด้วยสายตาเคียดแค้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในใจเขา“ท่านพ่อ ท่านจะไปขอร้องคนอย่างมันทำไมกันเล่า ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้” ชิงหยางร้องออกมา“หุบปากของเจ้าซะ” ชิงหยวนเปาหันมาตวาดใส่ลูกชายคนโต เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง“ฝ่าบาท เป็นเพราะหม่อมฉันเอง เป็นหม่อมฉันที่ปิดบังความผิดของตน บุตรชายบุตรสาวของข้าจึงได้กระทำเรื่องราวที่โง่เขลาเช่นนี้ออกไป ฝ่าบาท หม่อมฉันขอร้องสักครั้งเถิด ได้โปรดละเว้นบุตรชายของข้าด้วย” ชิงหยวนเปากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคุกเข่าลงต่ำกว่าที่เคย โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมทิ้งศักดิ์ศรีและความมีเกียรติทั้งหมดเพื่อขอความเมตตาหนิงซีโย่วมองด้วยแวว
บทที่ 56 : จุดพลิกผันของแผนการ ขณะเดียวกันในวังหลวง ชิงหยางและชิงเฟยนำกำลังทหารมุ่งตรงไปยังตำหนักของหนิงซีโย่ว เสียงฝีเท้าของทหารดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความกังวล องครักษ์ต่างมองหน้ากันพากันรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อชิงหยางชูป้ายคำสั่งของชิงอี้หรานขึ้นแสดง องครักษ์ต่างพากันนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือขัดขืนพวกเขา“พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งของฮองเฮาเพื่อปกป้องฝ่าบาท” ชิงหยางกล่าวเสียงแข็ง พยายามสร้างความน่าเชื่อถือในคำพูดของตนองครักษ์หลายคนลังเล แต่ด้วยป้ายคำสั่งที่พวกเขาชูอยู่นั้น ทำให้พวกเขาจึงเลือกเปิดทางให้ชิงหยางและชิงเฟยนำทหารเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทั้งสองบุกเข้าไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้สำเร็จ ทหารฝั่งสกุลชิงบางส่วนต่างกรูกันเข้ามาในห้องนอนของหนิงซีโย่ว บางส่วนปิดล้อมตำหนักของหนิงซีโย่วไว้จากด้านนอกเมื่อเข้าไปในห้องนอนของหนิงซีโย่ว ชิงหยางและชิงเฟยมองเห็นหนิงซีโย่วนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและมีผ้าพันแผลที่หน้าอก พวกเขายิ้มเยาะกันในใจ คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาสามารถล้างแค้นและทวงศักดิ์ศรีของสกุลชิงกลับมา