ทั้งสามคนไปที่โรงขายทาสหลวงใกล้กับที่ว่าการอำเภอ เสี่ยวเจียงเป็นคนแจ้งความต้องการว่าอยากได้ทาสไปใช้งานแบบใด เนื่องจากหนิงชิงบอกคุณสมบัติของทาสที่นางต้องการกับเขาก่อนหน้านี้แล้ว นายหน้าพอทราบความต้องการของลูกค้าแล้วก็พาทั้งสามคนเดินเข้าไปด้านในเพื่อเลือกทาสสำหรับใช้งาน
หนิงชิงมองทาสในกรงขังอย่างสงสาร นางไม่คิดว่าการซื้อขายคนในสมัยนี้จะโหดร้ายเช่นนี้ บางคนยังมีรอยแผลจากการถูกทางการลงโทษก่อนขายมาเป็นทาสหลวง คนที่นี่ก็ไม่มีใครคิดจะสงสารหรือหาหมอมาให้คนพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ข้าวน้ำก็คงให้วันละมื้อ ไม่เช่นนั้นคนพวกนี้จะผอมกะหร่องอย่างที่นางเห็นหรือ เพียงแต่นางไม่สามารถช่วยทุกคนได้ นางได้แต่บอกท่านพ่อให้ช่วยเลือกมาสักสามสี่คน
หนิงกวานสอบถามเรื่องราวของทาสก่อนที่จะซื้อว่าพวกเขาทำงานไม้เป็นหรือไม่ ถ้าไม่เป็นเขาก็ไม่เอา หนิงกวานเห็นครอบครัวหนึ่งร้องตะโกนให้ช่วยพวกเขาด้วย &nbs
หนิงกวานพอมาถึงร้านแล้วก็รอสอบถามชื่อเสียงเรียงนามทาสของพวกเขา ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่รู้ว่าจะเรียกกันอย่างไรเป็นแน่ เขาฟังแนวคิดของลูกสาวที่จะให้เหล่าทาสช่วยกันดูคุณสมบัติของสินค้าแต่ละอย่างว่าพวกเขาเข้าใจเพียงใด และท่าทางจะสามารถทำออกมาได้หรือไม่ก็เห็นด้วย ไม่นานหลังทุกคนเปลี่ยนชุดเสร็จก็มาหาหนิงชิง พวกเขาทำความเคารพหนิงกวานด้วยการคำนับแทนการคุกเข่าตามที่หนิงชิงบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ หนิงกวานเห็นพวกเขารู้ความก็ยิ้มให้พร้อมกับสอบถามชื่อเสียงเรียงนามแต่ละคน“ข้าต้าเจียง นี่ภรรยาข้าฮวนอัน บุตรชายข้าชื่อต้าเจิน ส่วนบุตรสาวนางชื่อต้าเป่าขอรับ”“ส่วนพวกข้ายังไม่มีชื่อขอรับ ขอนายท่านประทานชื่อให้ด้วยขอรับ”“อ้าว พวกเจ้าไม่มีชื่อหรอกรึ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า”“พวกข้าเป็นแค่บ่าวทั่วไปขอรับ ส่วนใหญ่จะไม่มีใครตั้งชื่อให้ จะเรียกแค่หนึ่งสองสามไปตามลำดับการเข้าม
เมื่อทั้งเก้าคนมาตักอาหารไปกินแล้ว หนิงชิงยังให้พวกเขายกหม้อไปด้วยเลยเผื่อดึก ๆ จะหิวกัน แล้วตอนเช้าค่อยเอาหม้อมาคืน ทำเอาเหล่าทาสได้แต่อ้าปากค้าง อาหารเยอะขนาดนี้พวกเขาจะกินอย่างไรเล่า แต่นี่เป็นคำสั่งคุณหนู พวกเขาก็ต้องทำตามสินะ เฮ้อ ต้าเจียงได้แต่ปลงอนิจจัง จากเมื่อก่อนไม่มีอันใดกิน ตอนนี้สงสัยจะต้องกินจนเป็นหมูกันเป็นแน่ เจ้านายบ้านนี้ก็ช่างใจดีเสียเหลือเกิน ทั้งเก้าคนได้แต่ช่วยกันยกหม้ออาหารกลับไปสองหม้อพร้อมทั้งข้าวอีกหม้อหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคุณหนูคงไม่ยอมให้พวกเขากลับไปแน่ ๆ หนิงชิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มอย่างพอใจที่ไม่มีใครขัดใจนาง นางไม่ชอบจริง ๆ นะคนขัดใจ ยิ่งเป็นเรื่องอาหารของนางแล้วล่ะก็ นางยิ่งอยากนำเสนอให้พวกเขาได้กินอาหารอร่อย ๆ วันต่อมาหลังขายอาหารเสร็จแล้ว หนิงชิงกับหนิงกวานก็ไปที่ร้านขายของแปลกเพื่อสอนพวกเขาทำสิ่งของ แต่ก่อนที่จะทำได้ พวกเขาต้องสอบถามความเข้าใจของพวกเขาเสียก
แม่ทัพชายแดนคนใหม่ชื่อเจียงเฉิง เขาไม่เข้าใจว่าแม่นางคนนั้นไม่สนใจเขาจริง ๆ หรืออย่างไร เขาเห็นนางไม่มองแม้แต่หน้าเขา ตอนแรกเขาคิดว่านางอาย แต่กลายเป็นว่านางไม่สนใจหน้าเขาจริง ๆ เขาหรือก็ออกจะหล่อเหลาเอาการ สาว ๆ ในเมืองหลวงต่างอยากแต่งงานกับเขาจนต้องหนีมาชายแดน แต่สาวเจ้าคนนี้เหตุใดไม่สนใจเขาเล่า ฮึ่ม เขาจะลองดูสิว่านางไม่สนใจเขาจริง ๆ หรือแค่เล่นตัว เจียงเฉิงยังสอบถามทหารในพื้นที่ว่านางเป็นใครอีกด้วย จนเขารู้ว่านางมีร้านอาหารเช้าด้วยร้านหนึ่ง แถมอาหารอร่อยและราคาถูกมากด้วย ผู้คนในเมืองมักจะมากินข้าวเช้าที่ร้านนางเป็นประจำ พวกเขาเองก็เพิ่งรู้ว่านางเปิดร้านขายของแปลกอีกร้านหนึ่ง นับว่านางมีความสามารถมากจริง ๆ พอรู้ว่านางเป็นใครแล้ว เจียงเฉิงตัดสินใจที่จะมากินอาหารเช้าที่ร้านของนางพรุ่งนี้ดูสิว่าจะอร่อยตามที่คนอื่นบอกหรือเปล่า เขาเห็นส่วนใหญ่มีแต่ราคาคุย ถ้าเทียบกับเมืองหลวง อาหารที่นี่จะอร่อยกว่าได้
หลังส่งอาหารเสร็จหนิงกวานก็บอกให้ลูกสาวไปนั่งพักผ่อนก่อนเพื่อให้อารมณ์ดีขึ้น ปกติลูกสาวเขาอารมณ์ดีกับลูกค้าตลอด แต่นี่ดูเหมือนว่านางจะเหนื่อยจากงานทำสิ่งของแล้วเช้ายังต้องมาขายของอีก แถมยังถูกลูกค้าบ่นว่าแต่เช้าทำเอานางโมโหอย่างที่เห็น เจียงเฉิงสอบถามว่าเกิดอันใดขึ้นเหตุใดพวกเขาจึงได้สั่งอาหารมาเสียมากมายจนแทบจะไม่มีที่วางเช่นนี้ ลูกน้องจึงเล่าเรื่องให้เขาฟังอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาเจียงเฉิงได้แต่หน้าบูดที่นางไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด ตอนเดินเข้ามาเขาหันมองนาง ก็ไม่เห็นว่านางจะจำเขาได้สักนิด ฮึ่ม ให้มันได้อย่างนี้สิ เพิ่งเจอกันเมื่อวาน วันนี้ลืมเขาไปเสียแล้ว ผู้หญิงอะไรใจร้ายชะมัด เจียงเฉิงได้แต่กินกระแทกกระทั้นอาหารโดยแทบไม่รู้รสชาติ แต่ลูกน้องสองคนของเขาต่างกินอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมทั้งชมว่าร้านทำอร่อยจริงๆ สมแล้วที่เจ้านายพาพวกเขามากิน นั่นแหละเจียงเฉิงจึงได้ตั้งใจลิ้มรสอาหารว่าอร
หลังสั่งตีเหล็กเสร็จแล้วหนิงกวานก็กลับไปที่ร้านอาหารเช้าเพื่อดูว่าเหลืออาหารอีกมากหรือไม่กว่าจะได้ปิดร้านแล้วไปช่วยพวกที่ร้านขายของแปลก เช้านี้พวกเขามาเอากับข้าวแต่เช้าก่อนที่คนในร้านจะเข้าเสียอีก ทำเอาหนิงชิงดีใจยกใหญ่ที่พวกเขาขยันขันแข็งกันเช่นนี้ หนิงชิงคิดจะให้เงินทุกคนที่ทำงานให้นางแต่แรก นางจึงกำชับต้าเจียงให้เปิดร้านตามปกติ หากสิ่งใดหมดให้ทำรายการเอาไว้ นางว่างเมื่อไหร่จะทำเพิ่มให้เขาเอง ส่วนเรื่องมีดบินนางก็บอกให้ต้าเจียงลงบัญชีเอาไว้ว่าลูกค้าจ่ายมัดจำแล้วห้าร้อยตำลึงหลังจากพ่อนางออกไปสั่งตีเหล็กนางก็วิ่งไปบอกเขาก่อน หนิงชิงยังเดินไปดูที่หลังร้านก็เห็นพี่ชายเจิ้งทั้งห้านั่งทำส่วนประกอบหน้าไม้กันอย่างขยันขันแข็ง นางบอกพวกเขาว่ารอให้นางปิดร้านก่อนจะมาช่วยพวกเขาประกอบและตรวจสอบคุณภาพงานให้ ทั้งห้าคนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ต่างตอบรับคุณหนูของพวกเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขามีหน้าที่แค่ทำส่วนประกอบออกมาให้เหมือนกันหมดเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนจะได้ทำแต่ละชิ้นส่ว
หลังกินข้าวเสร็จ เจียงเฉิงจ่ายเงินแล้วกลับไปที่ค่ายทหาร เขาต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อมากินข้าวที่ร้านของหนิงชิง จึงต้องรีบกลับไปทำงานของเขาต่อ เขาคิดว่าวันนี้นางจำเขาได้แล้วก็จะเว้นระยะการมาสักหน่อย เพราะที่ร้านนางกับค่ายทหารของเขานั้นไม่ได้อยู่ใกล้กันนัก แถมเขายังมีงานมากมายที่ยังต้องทำอยู่ ยิ่งเขาเพิ่งมาจัดระเบียบเวรยามก็ยิ่งรู้ว่าที่นี่มีโจรชุกชุมมากแค่ไหนที่ชอบปล้นคนต่างชาติที่เข้ามาค้าขายที่นี่ ทางการก็จับได้บ้างไม่ได้บ้าง พวกเขาจึงต้องเข้าไปเป็นกำลังเสริมให้กับทางการ หนิงชิงที่อารมณ์ดียังคงยิ้มส่งลูกค้ารายใหญ่ของนางกลับไปอย่างสบายอารมณ์ นางไม่คิดว่าแค่ยิ้มจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่านางสนใจผู้ชายอย่างเจียงเฉิงได้ อีกอย่างนางไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไร ชาติก่อนนางก็อยู่เป็นโสดจนตายไปแล้วมาอยู่ที่นี่ นางจึงไม่ได้คิดมากเรื่องการยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับลูกค้าของนางแม้แต่น้อย ส่วนเจียงเฉิงที่ได้รับรอยยิ้มขอบคุณที่มาทานอ
หลังจากยุ่งกับเรื่องหน้าไม้ห้าพันอันอยู่ หนิงชิงกลับลืมไปเลยว่าปืนไฟที่ส่งให้โรงตีเหล็กทำน่าจะเสร็จแล้ว กระทั่งเสี่ยวเจียงมาหาหนิงชิงแล้วบอกว่าครบกำหนดที่โรงตีเหล็กให้ไปรับของแล้ว ค่าของที่เหลือจากมัดจำหนิงชิงต้องจ่ายอีกร้อยตำลึง นางจึงให้ต้าเจียงเอาเงินออกมาให้พี่ชายเสี่ยวเจียง เสี่ยวเจียงเองก็อายที่ต้องมาขอเงินน้องสาวเช่นนี้ แต่เงินตั้งร้อยตำลึงเขาไม่มีน่ะสิ เขาเงินเดือนแค่ไม่กี่ตำลึงต่อเดือนเท่านั้น ใช้กินอยู่ก็หมดแล้ว นี่เขายังไม่ได้เก็บเงินส่งให้ที่บ้านเลย เขาไม่รู้ว่าพี่ชายทั้งสองนั้นส่งให้ที่บ้านบ้างหรือไม่ หนิงชิงเห็นสีหน้าของเสี่ยวเจียงก็รู้ว่าเขาเกรงใจ นางกับพ่อจึงบอกว่าอย่าได้คิดมาก นี่เป็นสิ่งที่นางกับพ่ออยากให้เป็นของขวัญที่พี่ชายเสี่ยวเจียงสอบผ่านและยังช่วยพวกเขาเสียหลายอย่าง เสี่ยวเจียงเข้าใจดีว่าพวกเขากลัวว่าเขาจะเกรงใจกระมัง เสี่ยวเจียงจึงได้ยิ้มรับของขวัญอย่างเต็มใจ ความจริงเขาเองก็
เสี่ยวเจียงเมื่อได้รับการสอนจากหนิงชิงแล้วเขาก็ฝึกซ้อมยิงตามที่นางสอน แต่เสียวเจียงกลัวว่ากระสุนจะเสียหาย เขาเลยยิงนัดนึงแล้ววิ่งไปแกะออกจากกำแพงเสียอย่างนั้น ไม่นานนักเสี่ยวเจียงก็เลิกซ้อม เขาเล็งได้แล้วเลยไม่อยากทำให้เสียงดังมากมายนักขณะที่คนอื่น ๆ กำลังทำงานอย่างเร่งรีบ เขาบอกลาหนิงชิงกับหนิงกวานและขอบคุณสำหรับของขวัญที่ดีเช่นนี้ และสัญญาว่าถ้าว่างจะมากินข้าวด้วยบ่อย ๆ เป็นเพราะช่วงนี้แม่ทัพชายแดนคนใหม่สั่งให้ทุกคนทำหน้าที่ตรวจตราอย่างเข้มงวด จึงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลามากินข้าวกับหนิงชิงและหนิงกวานเท่าไหร่นัก หลังเสี่ยวเจียงจากไปแล้ว หนิงชิงกับหนิงกวานก็เร่งมือกันทำงานมือเป็นระวิง พวกเขาอยากให้งานเสร็จไว ๆ จะได้ทำงานอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่มัวแต่ทำหน้าไม้อยู่ทุกวันจนของไม่พอขาย หนิงชิงต้องเป็นคนทำของเพิ่มให้กับร้านอยู่คนเดียวเพราะนางชำนาญที่สุด ส่วนหนิงกวานเองก็ประกอบหน้าไม้อย่างขะมักเขม้น เขาตรวจสอบคุณภาพของงานออกมาเหมือนลูก
ก่อนวันแต่งงานหนึ่งวันหลังปิดร้านอาหารเช้าแล้ว ต้าเจียงพาเหล่าบ่าวแซ่เจิ้งมาทำความสะอาดและตกแต่งร้านให้เหมาะสมกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ โดยห้องหอจะอยู่ที่สุดทางของห้องอื่น เพราะห้องของหนิงกุ้ยนั้นติดกับห้องของหนิงชิง พวกเขาจึงกลัวว่าเสียงดังจะทำให้หนิงชิงตกใจเอาได้จึงได้เปลี่ยนห้องให้หนิงกุ้ย กว่าที่ทุกคนจะตกแต่งร้านด้วยสิ่งของสีแดงเสร็จก็เกือบเย็นแล้ว หนิงชิงมองดูผ้าสีแดงด้วยความรู้สึกแปลก ๆ หากตอนนางแต่งงานก็คงจะต้องมีแต่ของสีแดงเช่นนี้หมดสินะ งานแต่งนี้ไม่เหมือนยุคที่นางจากมาที่จะใส่ชุดอันใดก็ได้ รุ่งเช้าวันต่อมาร้านทั้งสามปิดทำการ ด้านหนิงกุ้ยเองถูกแม่ปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางด้วยซ้ำ ส่วนหนิงชิงนั้นปล่อยให้แม่ของนางกับแม่ของต้าเป่าช่วยกันจัดการหนิงกุ้ย เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าต้องแต่งตัวอย่างไร แต่งหน้าอย่างไรในยุคสมัยนี้
ฮุ่ยหลางได้รับจดหมายจากฮ่องเต้ในอีกห้าวันถัดมา เขารีบไปหาแม่สื่อเพื่อให้ไปคุยเรื่องงานแต่งงานของเขากับหนิงกุ้ยทันที โชคดีที่ฝ่าบาทอนุญาต แถมยังสั่งให้เขาอยู่คุ้มครองหนิงกุ้ยให้ดีด้วย ไม่จำเป็นต้องกลับเมืองหลวง เรื่องนี้ทำให้เขาดีใจมากที่จะได้อยู่กับภรรยาและดูแลนาง แม่สื่อได้รับค่าจ้างไม่น้อยจากฮุ่ยหลาง นางพาฮุ่ยหลางไปแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิดตามธรรมเนียม รวมทั้งของหมั้นที่ฮุ่ยหลางแอบซื้อเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาเป็นองครักษ์มาตั้งแต่เด็กทำให้มีเงินสะสมไม่น้อย จึงสามารถจัดการเรื่องพวกนี้เองได้ พ่อแม่ของหนิงกุ้ยพอเห็นของหมั้นก็ได้แต่ตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าเขยแต่งเข้าของบ้านพวกเขาจะมีเงินมากมายขนาดนี้ เฉพาะตั๋วแลกเงินที่ให้มาก็เป็นพันตำลึงแล้ว ไหนจะผ้าไหมชั้นดีพร้อมเครื่องประดับอีกเล่า มูลค่าสิ่งของหมั้นนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเขาส่งวันเดือนปีเกิดของหนิงกุ้ยให้กับแม่สื่อตามธรรมเนียมแล้วจ
หนิงชิงนั่งเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เจียงเฉิงรู้ นางไม่รู้ว่าที่เมืองหูกุ้ยมีพันธมิตรของตระกูลเจียงหรือไม่ นางอยากให้พวกเขาช่วยดูแลคนงานในร้านของนางด้วย เนื่องจากนางไม่รู้จักใครที่เมืองหูกุ้ยเลย หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับคนของนางนางคงรู้สึกผิดเป็นแน่ เมื่อเขียนจดหมายเสร็จแล้วหนิงชิงก็รอทหารที่มักจะมาถามหาจดหมายจากนางในช่วงบ่ายของวันอยู่เป็นประจำ และไม่นานก็มีทหารมาจริง ๆ หนิงชิงจึงยื่นจดหมายให้กับเขา ตอนนี้ร้านข้าวเช้าปิดไปนานแล้ว หนิงชิงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองใช้เวลาเขียนจดหมายนานมากถึงขนาดนี้ อาหารเที่ยงนางก็ลืมออกมากินเสียด้วยซ้ำ เป็นปกติที่แม่ของนางจะไม่มาเรียกเผื่อว่านางกำลังออกแบบงานอยู่จะเสียสมาธิได้ เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันมานานหลายปีแล้ว ทหารที่มาส่งจดหมายและรับจดหมายเห็นหนิงชิงอยู่เสียที เขาส่งจดหมายที่แม่ทัพใหญ่เขียนมาให้นางก่อนที่จะรับจดหมายจากนางเพื่อนำไปส่งให้กับแม่ทัพใหญ่ที่เ
หลังจากหนิงชิงจากไปแล้ว ก้านลู่ก็ช่วยกันดูแลหน้าร้านเพราะคุณหนูใหญ่สั่งว่าสิ่งของพวกนี้เป็นตัวอย่าง หากลูกค้าอยากได้ก็ให้สั่งเอาไว้ก่อนพร้อมกับวางมัดจำแล้วค่อยสั่งให้คนงานสร้างออกมา นี่เป็นเทคนิคที่จะไม่ทำให้ทุนจมของหนิงชิง นางสร้างสิ่งของเยอะก็จริง แต่ก็ไม่ได้สร้างออกมาจำนวนมากนอกจากจะมีคนมาสั่งซื้อ ที่เมืองสือมีคนซื้อมากก็เพราะนางทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน เรื่องประโยชน์ใช้สอยสิ่งของต่าง ๆ เจิ้งหงกับเจิ้งหย่งก็อธิบายให้หูอ้าย หูกวนและก้านลู่ฟังแล้วก่อนที่จะนำออกมาหน้าร้าน พวกเขาจึงไม่กังวลว่าทั้งสามคนจะดูแลหน้าร้านไม่ได้ หากสงสัยสิ่งใดก็สามารถเข้าไปสอบถามพวกเขาให้มาสาธิตวิธีการใช้งานให้ได้เช่นกัน อย่างไรคุณหนูก็ฝากสาขานี้เอาไว้กับพวกเขา อย่างไรพวกเขาต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ด้านหนิงชิงกับต้าเจียงกว่าที่จะเดินทางถึงเมืองกังก็ใช้เวลาเก้าวันเช่นเคย พวกนางมาถึงเมืองกังก็เป็นช่วงบ่ายแล้วเช่นเดียวกับตอนไปที่เมืองหูกุ้ย นับว่าการเดินทางค
หลังจากกินอาหารและทาสใหม่เปลี่ยนชุดกันหมดแล้ว หนิงชิงก็เรียกพวกเขามาคุยกัน“ตอนนี้พวกเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะซื่อสัตย์และตั้งใจทำงาน หากใครทำงานดีก็จะได้เงินดีด้วยเช่นกัน ถึงแม้พวกเจ้าจะเป็นทาส แต่บ่าวทุกคนที่อยู่กับข้าก็ได้รับเงินเดือนไม่น้อยเลยสักคนเดียว หากไม่เชื่อพวกเจ้าค่อยลองสอบถามกับเจิ้งหงหรือเจิ้งหย่งก็ได้ ที่สาขานี้จะมีทั้งสองคนคอยดูแลงานแทนข้า ส่วนพ่อบ้านใหญ่อย่างต้าเจียงจะมาตรวจสอบบัญชีทุก ๆ หนึ่งเดือนและจ่ายค่าจ้างให้พวกเจ้า พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”“พวกเราเข้าใจขอรับ” คนทั้งแปดตอบเสียงดังฟังชัด พวกเขาไม่คิดว่าจะโชคดีได้รับใช้ครอบครัวที่ดีเช่นนี้ ตั้งแต่เป็นทาสมาพวกเขาไม่เคยได้เงินเดือนเลยแม้สักครั้งเดียวในชีวิต ตอนนี้พวกเขามีนายที่ดี มีหรือที่จะคิดเป็นอื่น“พวกเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ทั้งห้าคนที่ทำงานไม้ต้องเรียนรู้และทำงานกับเจิ้งหย่
หลังอาหารเย็นไม่นานนัก ต้าเจียงก็กลับมาถึงร้านค้าพร้อมโฉนดที่ดิน นับว่าเจ้าหน้าที่ทำงานได้รวดเร็วจริง ๆ หนิงชิงให้ต้าเจียงกินข้าวเสียก่อนแล้วค่อยคุยกัน เขาจึงนั่งลงกินข้าวที่เจิ้งหงกับเจิ้งหย่งเหลือเอาไว้ให้ไม่น้อย หนิงชิงคุยกับเจิ้งหงและเจิ้งหย่งเรื่องที่นางจะให้พวกเขาประจำการที่สาขานี้ นางไม่รู้ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่“ได้ขอรับคุณหนู พวกเราจะอยู่ดูแลคนงานที่สาขานี้ให้ขอรับ อย่างไรร้านที่เมืองกังก็มีงานไม่มากนัก พวกเราน่าจะช่วยทางนี้ได้มากกว่าขอรับ”“ขอบใจพวกเจ้ามากนะที่ช่วยกันทำงานและศึกษางานใหม่ ๆ กันมาตลอด ที่นี่ห่างไกลจากเมืองกังไม่น้อย หากต้าเจียงต้องมาตรวจงานก็คงต้องพึ่งพวกเจ้าให้ควบคุมคนงานใหม่ที่ข้าจะซื้อมาให้พวกเจ้าเสียก่อนล่ะนะ”“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกังวลขอรับ พวกเราจะทำงานและดูแลร้านนี้ให้ดีอย่างแน่นอนขอรับ” หนิงชิงค่อยพรูลมหาย
บ่าวทั้งสามฟังที่หนิงชิงพูดแล้วก็ได้แต่นึกขอบคุณนางที่ทำทุกสิ่งเพื่อพวกเขา พวกเขายิ่งเคารพนางมากยิ่งขึ้น หากคุณหนูใหญ่ให้ทำสิ่งใด แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ขัดคำสั่ง กว่าที่หนิงชิงกับพวกจะเดินทางถึงมณฑลหูกุ้ยก็เป็นช่วงบ่ายของวันที่เก้าในการเดินทางแล้ว เนื่องจากระยะทางไกลไม่น้อย รวมทั้งพวกเขาไม่รู้ทางไปที่เมืองหูกุ้ยจึงได้สอบถามคนมาตลอดทางกระทั่งมาถึงได้เสียที ต้าเจียงขับรถม้าพาทุกคนเข้าไปในเมืองอย่างช้า ๆ หนิงชิงสั่งให้ต้าเจียงไปที่ที่ว่าการมณฑลเลยเพื่อหาร้านทันที คืนนี้พวกนางจะได้หาที่พักก่อนหากยังซื้อขายไม่ได้ ต้าเจียงสอบถามคนไปจนถึงที่ว่าการ เขาลงจากรถม้าเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ซื้อขายร้านค้าภายในเมือง ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็ออกมาคุยกับเขา“คารวะท่านเจ้าหน้าที่ขอรับ ข้าเป็นพ่อบ้านตระกูลหนิง มาติดต่อขอซื้อร้านว่างที่เมืองนี
เมื่อตกลงเรื่องการเดินทางกับพ่อแม่ได้แล้ว หนิงชิงก็ขอบคุณพี่ชายเสี่ยวเจียงที่มาเป็นธุระให้นางอีกครั้ง พวกเขาแยกกันหลังจากทานอาหารเสร็จต่างคนต่างไปพักผ่อน ส่วนหนิงชิงยังต้องจัดเตรียมของสำหรับการเดินทางไกลในครั้งนี้ นางจะต้องเอาเงินไปเพิ่มสักสองหมื่นตำลึง เพราะไปเมืองสือครั้งนี้นางหมดเงินไปหลายพันตำลึง จึงต้องหาเงินไปเผื่อเอาไว้สำหรับการจัดตั้งร้านสาขาใหม่ของนาง หนิงชิงนึกถึงพวกพี่ชายเจิ้ง นางจะให้พี่ชายเจิ้งหงกับพี่ชายเจิ้งหย่งไปด้วยในคราวเดียว รอพรุ่งนี้ออกเดินทางสายหน่อยก็คงไม่เป็นไร อย่างไรนางก็ต้องกินข้าวเช้าก่อนอยู่ดี รุ่งเช้าวันต่อมาหนิงชิงมองหนิงกุ้ยกับชายร่างใหญ่ที่ช่วยกันทำอาหารอย่างแปลกใจ เอาไว้นางกลับมาค่อยสอบถามน้องสาวก็ยังไม่สาย หนิงชิงสั่งต้าเจียงให้พาเจิ้งหงกับเจิ้งหย่งไปด้วยเลย ให้พวกเขาเก็บเสื้อผ้าหลังอาหารเช้าให้เรียบร้อยเพื่อไปประจำที่สาขาใหม่เหมือนตอนที่พวกเขาไปสอนคนที่เมืองสือ ต้าเจียงรับคำสั่งคุณหนูใหญ่
รุ่งเช้าหลังอาหารวันต่อมา หนิงชิง หนิงกวานและเสี่ยวชุ่ยไปส่งหนิงหยางที่โรงเรียนใหม่ของเขา พวกนางซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้กับหนิงหยางอีกนับสิบตัวตั้งแต่เมื่อวานนี้ เพราะหนึ่งปีนี้เขาจะได้ตั้งใจทบทวนตำรา ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้าหรืออาหารการกินใด ๆ หนิงชิงยังให้เงินเขาเอาไว้อีกห้าร้อยตำลึงนอกจากเงินสามสิบตำลึงที่เขาจะจ่ายให้กับโรงเรียน นางเห็นว่าน้องชายโตแล้วสามารถพิจารณาได้เองว่าสิ่งใดจำเป็นต้องซื้อ หากเป็นครอบครัวทั่วไปเงินห้าร้อยตำลึงสามารถอยู่ได้ไปจนตลอดชีวิต แต่หนิงชิงนึกถึงราคาหนังสือของหนิงหยางที่เจียงเฉิงเคยพานางไปซื้อ นางจึงให้เงินเผื่อเอาไว้กับน้องชายและสั่งว่าถ้าเงินหมดให้ไปรับที่ร้านแล้วส่งจดหมายมาบอกนาง นางจะชดเชยเงินให้ทางร้านเอง หนิงหยางรับฟังพี่สาวเขา เขาไม่เคยจากครอบครัวไปไหนจึงได้แต่น้ำตารื้น ถึงจะบอกว่าเขาโตแล้วก็เถอะ แต่เขาเป็นน้องชายคนเล็กของบ้านอยู่ดี เขาจึงรู้สึกโหวงเหวงไม่น้อยที่จะต้องจากกับครอบครัว หนิงชิง