หลังจากยุ่งกับเรื่องหน้าไม้ห้าพันอันอยู่ หนิงชิงกลับลืมไปเลยว่าปืนไฟที่ส่งให้โรงตีเหล็กทำน่าจะเสร็จแล้ว กระทั่งเสี่ยวเจียงมาหาหนิงชิงแล้วบอกว่าครบกำหนดที่โรงตีเหล็กให้ไปรับของแล้ว ค่าของที่เหลือจากมัดจำหนิงชิงต้องจ่ายอีกร้อยตำลึง นางจึงให้ต้าเจียงเอาเงินออกมาให้พี่ชายเสี่ยวเจียง เสี่ยวเจียงเองก็อายที่ต้องมาขอเงินน้องสาวเช่นนี้ แต่เงินตั้งร้อยตำลึงเขาไม่มีน่ะสิ เขาเงินเดือนแค่ไม่กี่ตำลึงต่อเดือนเท่านั้น ใช้กินอยู่ก็หมดแล้ว นี่เขายังไม่ได้เก็บเงินส่งให้ที่บ้านเลย เขาไม่รู้ว่าพี่ชายทั้งสองนั้นส่งให้ที่บ้านบ้างหรือไม่
หนิงชิงเห็นสีหน้าของเสี่ยวเจียงก็รู้ว่าเขาเกรงใจ นางกับพ่อจึงบอกว่าอย่าได้คิดมาก นี่เป็นสิ่งที่นางกับพ่ออยากให้เป็นของขวัญที่พี่ชายเสี่ยวเจียงสอบผ่านและยังช่วยพวกเขาเสียหลายอย่าง เสี่ยวเจียงเข้าใจดีว่าพวกเขากลัวว่าเขาจะเกรงใจกระมัง เสี่ยวเจียงจึงได้ยิ้มรับของขวัญอย่างเต็มใจ ความจริงเขาเองก็
เสี่ยวเจียงเมื่อได้รับการสอนจากหนิงชิงแล้วเขาก็ฝึกซ้อมยิงตามที่นางสอน แต่เสียวเจียงกลัวว่ากระสุนจะเสียหาย เขาเลยยิงนัดนึงแล้ววิ่งไปแกะออกจากกำแพงเสียอย่างนั้น ไม่นานนักเสี่ยวเจียงก็เลิกซ้อม เขาเล็งได้แล้วเลยไม่อยากทำให้เสียงดังมากมายนักขณะที่คนอื่น ๆ กำลังทำงานอย่างเร่งรีบ เขาบอกลาหนิงชิงกับหนิงกวานและขอบคุณสำหรับของขวัญที่ดีเช่นนี้ และสัญญาว่าถ้าว่างจะมากินข้าวด้วยบ่อย ๆ เป็นเพราะช่วงนี้แม่ทัพชายแดนคนใหม่สั่งให้ทุกคนทำหน้าที่ตรวจตราอย่างเข้มงวด จึงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลามากินข้าวกับหนิงชิงและหนิงกวานเท่าไหร่นัก หลังเสี่ยวเจียงจากไปแล้ว หนิงชิงกับหนิงกวานก็เร่งมือกันทำงานมือเป็นระวิง พวกเขาอยากให้งานเสร็จไว ๆ จะได้ทำงานอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่มัวแต่ทำหน้าไม้อยู่ทุกวันจนของไม่พอขาย หนิงชิงต้องเป็นคนทำของเพิ่มให้กับร้านอยู่คนเดียวเพราะนางชำนาญที่สุด ส่วนหนิงกวานเองก็ประกอบหน้าไม้อย่างขะมักเขม้น เขาตรวจสอบคุณภาพของงานออกมาเหมือนลูก
รุ่งเช้าหลังปิดร้านอาหารวันต่อมา ขบวนของหนิงชิงที่จะไปส่งของก็ออกเดินทางไปยังค่ายทหารที่อยู่นอกประตูเมืองใกล้กับชายฝั่งทะเล พวกเขาใช้เวลาเดินทางอยู่เกือบสามเค่อถึงเดินทางไปถึงค่ายทหาร นายทหารหน้าประตูค่ายสอบถามเรื่องราวก่อน พอรู้ว่ามาส่งของก็บอกให้พวกเขารอข้างนอกเสียก่อน พวกเขาจะไปรายงานท่านแม่ทัพว่ามีของมาส่ง ไม่นานนักเจียงเฉิงก็ออกมากับคนสนิททั้งสองของเขา เขาให้ขบวนของหนิงชิงขับเกวียนเข้ามาได้เพื่อที่จะได้แจกจ่ายหน้าไม้ให้ทหารในค่ายทั้งห้าพันนายทีหลัง เขาจะให้คนขนของไปเก็บไว้ในคลังของค่ายเสียก่อน ส่วนหนิงชิงก็ถูกเชิญให้เข้าไปรอรับเงินค่าจ้างที่กระโจมของแม่ทัพใหญ่อย่างเป็นธรรมชาติ หนิงกวานได้แต่บอกให้ลูกสาวระวังกิริยา หนิงชิงเข้าใจว่าท่านพ่อเป็นห่วงนางจึงได้รีบรับปาก เพราะพ่อของนางกับคนอื่นๆ ต้องขับเกวียนไปที่คลังกับทหารส่วนหนึ่งเพื่อช่วยกันขนหน้าไม้ลงไว้ทั้งหมดเสียก่อน รวมทั้งการตรวจคุณภาพหน้าไม้ก็จะถูกตรวจที่นั่นด้วย
หลังจากพวกหนิงชิงกลับไปแล้ว เจียงเฉิงได้แต่สอบถามคนสนิทว่าเขาไม่หล่อหรือ เหตุใดนางจึงได้เย็นชานัก“นายน้อยจะไม่หล่อได้อย่างไรขอรับ ในเมื่อสาว ๆ ต่างแย่งกันทิ้งผ้าเช็ดหน้าให้นายน้อยกันแทบจะทุกวัน”“แล้วเหตุใดนางไม่เหมือนหญิงสาวคนอื่นเล่า ที่เห็นข้าแต่งตัวเสียเต็มยศเช่นนี้ นางก็ยังนิ่งได้เสียขนาดนี้ จะไม่ให้ข้าคิดมากได้อย่างไรเล่า แล้วเมื่อไหร่นางจะรู้ว่าข้าสนใจนาง ฮึ่ย”“เอ่อ เรื่องนี้พวกข้าก็ไม่ทราบขอรับ เหตุใดท่านไม่ลองเข้าทางผู้ใหญ่ดูเล่าขอรับ บางทีอาจจะได้ผลบ้างก็ได้นะขอรับ”“เจ้าจะให้ข้าเข้าทางพ่อนางอย่างนั้นเหรอ เจ้าไม่เห็นเหรอว่าพ่อของนางระวังข้าขนาดไหนน่ะ แล้วแบบนี้ข้าจะเข้าทางเขาได้เช่นไร”“เข้าทางพ่อไม่ได้ก็เข้าทางแม่สิขอรับ แม่ของนางดูท่าทางจะคุยง่ายกว่าท่านพ่อของนางมากนะขอรับ ข้าสังเกตหลายหนแล้ว”“เจ้าคิดว่าแผนนี้จะได้ผลหรือ? อย่าง
ด้านเสี่ยวเจียงที่ไปส่งเจียงเฉิงก็ได้รับเชิญให้นั่งดื่มเป็นเพื่อนเขา เขายังบอกว่าให้ค้างที่ค่ายทหารได้คืนนี้ สาเหตุที่เจียงเฉิงต้องการให้เสี่ยวเจียงค้างที่นี่ก็เพราะเขาอยากรู้จักหนิงชิงให้มากกว่านี้ การที่เขาจะรู้จักนิสัยใจคอของนางได้ก็ต้องสอบถามคนใกล้ตัวนางเช่นนี้แล เสี่ยวเจียงไม่คิดว่าเจียงเฉิงจะให้ความเป็นกันเองกับเขามากขนาดนี้ เขามีหรือจะกล้าปฏิเสธแม่ทัพใหญ่ชายแดนเช่นชายตรงหน้า เขาจึงได้แต่จำใจนั่งดื่มกับเจียงเฉิงพร้อมกับตอบคำถามต่าง ๆ ที่เจียงเฉิงอยากรู้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของหนิงชิง จนทำให้เสี่ยวเจียงคิดว่าหรือว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะสนใจน้องสาวเขาจริง ๆ กันหนอ แต่เสี่ยวเจียงคิดว่าเรื่องนี้เกินที่เขาจะเข้าใจและตัดสินใจ เขาอาจบอกได้ว่าน้องสาวเป็นคนอย่างไร แต่เขาไม่สามารถช่วยเรื่องการเข้าหาน้องสาวของเขาได้จริง ๆ ในเมื่อบ้านเขามีแต่ลูกชาย ท่านพ่อท่านแม่เองจึงรักหนิงชิงกับหนิงกุ้ยมากจนพวกเขาต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าบ่อย ๆ เวลาอยู่กับน้อง
เสี่ยวเจียงที่เช้านี้มากินข้าวที่ร้านรีบบอกท่านอาเขยของเขาว่าท่านแม่ทัพใหญ่อยากมางานปักปิ่นของหนิงชิงด้วย เขาจึงได้แต่เชิญมาอย่างจำใจ ทำเอาหนิงกวานได้แต่ตกตะลึงที่ท่านแม่ทัพขอหลานชายเขาเอาดื้อ ๆ แบบนี้ เขารู้ดีว่าหลานชายทำดีที่สุดแล้วจึงได้แต่จำใจพยักหน้ารับรู้ว่าจะต้องเตรียมงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมเพราะมีคนใหญ่คนโตอย่างท่านแม่ทัพใหญ่จะมางานด้วยนั่นเอง ส่วนเสี่ยวชุ่ยเองก็แปลกใจไม่น้อยที่ท่านแม่ทัพใหญ่อยากมางานปักปิ่นของลูกสาวนางด้วยตนเอง นางพอจะมองออกว่าท่านแม่ทัพใหญ่คนนี้ดูจะสนใจลูกสาวของนางอยู่ไม่น้อย หากเขาจริงใจกับลูกสาวนางจริง ๆ นางเองก็ไม่ขัดข้องที่จะให้พวกเขาทำความรู้จักกันสักหน่อย แต่หนิงกวานที่หวงลูกสาวเล่าเขาจะยอมรับได้อย่างไร เสี่ยวชุ่ยคิดว่าคงต้องหาเวลาคุยกับสามีเรื่องนี้สักหน่อยแล้ว เท่าที่นางดูท่านแม่ทัพก็ไม่เคยทำกิริยาไม่ดีกับพวกนางหรือหนิงชิงเลยแม้แต่น้อย หากว่าเขายังคงมีใจมั่นคงกับลูกสาวนางจริง ๆ เขาก็ต้องทำตามเงื่อนไขของพวกนางได้เช่นเดียวกัน
ช่วงนี้หนิงชิงกับหนิงกวานยุ่งอยู่กับงานที่ร้านขายของแปลกเสียเป็นส่วนใหญ่ ทุกวันหลังจากปิดร้านอาหารเช้าแล้วก็จะพากันไปที่ร้านขายของแปลกทันที กระทั่งมีดบินที่สั่งทำออกมาเสร็จภายในเวลาสามสัปดาห์ตามที่หนิงชิงตกลงเอาไว้ นางกับทุกคนก็เอาสินค้าไปส่งเหมือนครั้งก่อน โดยครั้งนี้มีเสี่ยวเจียงมาด้วยเพื่ออยู่เป็นเพื่อนหนิงชิงระหว่างรอขนของลงที่คลังเสบียงของกองทัพ ด้วยว่าหนิงกวานไม่ไว้ใจแม่ทัพใหญ่ผู้นี้เท่าใดนัก เพราะช่วงหลังมานี้เขาหมั่นไปที่ร้านอาหารเช้าและร้านขายของแปลกตอนเย็นโดยอ้างว่ามาซ้อมยิงปืนกับเสี่ยวเจียง แต่กลับเอาแต่มองลูกสาวเขาตาเป็นมันเสียนี่ ใครมีตาก็คงเห็นเหมือนกันหมดนั่นแหละ ส่วนแบบปืนของหนิงชิงก็เสร็จแล้วเช่นเดียวกัน นางจึงนำมาส่งให้เขาด้วยในวันนี้ ที่นางทำช้าเพราะต้องพักผ่อนเช่นกัน ช่วงนี้นางทำงานหลายอย่างจนหัวหมุนไปหมด จึงต้องการเวลาพักผ่อน วันไหนไม่เหนื่อยมากนางจึงจะทำแบบต่อจึงทำให้ล่าช้าเช่นนี้
พิธีการปักปิ่นเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงแม่ของหนิงชิงเท่านั้นที่สางผมให้นางก่อนการปักปิ่น หลังจากสวมปิ่นที่แม่กับพ่อเลือกซื้อมาให้นางแล้วก็ใส่เสื้อคลุมก่อนที่จะดื่่มเหล้าเป็นอันเสร็จพิธีการ ส่วนคนอื่น ๆ เองก็นำปิ่นมาให้กับนายหญิงน้อยของพวกเขาด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่ของราคาแพงแต่พวกเขาก็เต็มใจหามาให้ด้วยใจ หนิงชิงขอบคุณทุกคนที่ให้ปิ่นนาง ส่วนเจียงเฉิงเป็นคนสุดท้ายที่นำปิ่นมาปักให้นางเองกับมือ เขาบอกนางว่าปิ่นนี้เขาตั้งใจซื้อมาให้นางโดยเฉพาะ เขาอยากเห็นนางปักปิ่นของเขาบ่อย ๆ นางจะได้คิดถึงเขาบ้าง หนิงชิงได้แต่อึ้งไปเลยกับคำพูดของเจียงเฉิง นางทำตัวไม่ถูกที่จู่ ๆ ถูกจู่โจมอย่างกระทันหัน นางได้แต่ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่านางมีปิ่นมากมายเสียขนาดนี้ก็คงจะสลับสับเปลี่ยนใส่มากกว่าที่จะปักปิ่นของเขาเพียงคนเดียว คนอื่น ๆ ที่ได้ยินต่างพากันอมยิ้มที่เจียงเฉิงถูกตอบกลับมาเช่นนี้ พวกเขารู้ดีว่าหนิงชิงเป็นคนอย่างไร นางเป็นคนพูดตรงจนน่ากลัวจริง
กว่าที่งานเลี้ยงจะจบลงก็เกือบเย็นแล้ว บ่าวทุกคนช่วยกันเก็บข้าวของไปล้างให้หนิงชิง พวกเขาไม่ได้ดื่มมากเหมือนท่านแม่ทัพใหญ่กับเสี่ยวเจียงจึงไม่ได้เมานัก แต่เสี่ยวเจียงถึงกับหลับคาวงเหล้าทำเอาหนิงกวานได้แต่อ่อนใจกับหลานชายตนเองที่คออ่อนเสียเหลือเกิน ไม่แปลกใจว่าเหตุใดท่านแม่ทัพใหญ่จึงได้เทียวตามเสี่ยวเจียงไปดื่มบ่อย ๆ ก็เขาจะได้สอบถามเรื่องลูกสาวเขาได้อย่างไรเล่าเวลาที่เสี่ยวเจียงเมา แม่ทัพใหญ่ไปบอกลาหนิงชิงและบอกว่าเขาจะมากินอาหารเช้าพรุ่งนี้แน่นอน เขาอยากเห็นนางปักปิ่นของเขาในวันพรุ่งนี้ ทำเอาหนิงชิงแทบไม่อยากปักปิ่นของเขาเอาเสียเลย แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อเจ้าตัวด้านหน้ามาขอเช่นนี้หากนางไม่ปักปิ่นของเขาเขาคงต้องงอแงอีกเป็นแน่ นางล่ะไม่เข้าใจคนตัวโตตรงหน้านางเลยว่าเขามาติดอกติดใจอันใดนางนักหนา ทั้งที่นางก็ไม่เคยแสดงท่าทางว่าจะสนใจเขาสักนิด เพื่อให้เขารีบกลับไป หนิงชิงได้แต่รับปากว่านางจะปักปิ่นของเขาพรุ่งนี้ก็แล้วกัน
ก่อนวันแต่งงานหนึ่งวันหลังปิดร้านอาหารเช้าแล้ว ต้าเจียงพาเหล่าบ่าวแซ่เจิ้งมาทำความสะอาดและตกแต่งร้านให้เหมาะสมกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ โดยห้องหอจะอยู่ที่สุดทางของห้องอื่น เพราะห้องของหนิงกุ้ยนั้นติดกับห้องของหนิงชิง พวกเขาจึงกลัวว่าเสียงดังจะทำให้หนิงชิงตกใจเอาได้จึงได้เปลี่ยนห้องให้หนิงกุ้ย กว่าที่ทุกคนจะตกแต่งร้านด้วยสิ่งของสีแดงเสร็จก็เกือบเย็นแล้ว หนิงชิงมองดูผ้าสีแดงด้วยความรู้สึกแปลก ๆ หากตอนนางแต่งงานก็คงจะต้องมีแต่ของสีแดงเช่นนี้หมดสินะ งานแต่งนี้ไม่เหมือนยุคที่นางจากมาที่จะใส่ชุดอันใดก็ได้ รุ่งเช้าวันต่อมาร้านทั้งสามปิดทำการ ด้านหนิงกุ้ยเองถูกแม่ปลุกให้ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางด้วยซ้ำ ส่วนหนิงชิงนั้นปล่อยให้แม่ของนางกับแม่ของต้าเป่าช่วยกันจัดการหนิงกุ้ย เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าต้องแต่งตัวอย่างไร แต่งหน้าอย่างไรในยุคสมัยนี้
ฮุ่ยหลางได้รับจดหมายจากฮ่องเต้ในอีกห้าวันถัดมา เขารีบไปหาแม่สื่อเพื่อให้ไปคุยเรื่องงานแต่งงานของเขากับหนิงกุ้ยทันที โชคดีที่ฝ่าบาทอนุญาต แถมยังสั่งให้เขาอยู่คุ้มครองหนิงกุ้ยให้ดีด้วย ไม่จำเป็นต้องกลับเมืองหลวง เรื่องนี้ทำให้เขาดีใจมากที่จะได้อยู่กับภรรยาและดูแลนาง แม่สื่อได้รับค่าจ้างไม่น้อยจากฮุ่ยหลาง นางพาฮุ่ยหลางไปแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิดตามธรรมเนียม รวมทั้งของหมั้นที่ฮุ่ยหลางแอบซื้อเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาเป็นองครักษ์มาตั้งแต่เด็กทำให้มีเงินสะสมไม่น้อย จึงสามารถจัดการเรื่องพวกนี้เองได้ พ่อแม่ของหนิงกุ้ยพอเห็นของหมั้นก็ได้แต่ตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าเขยแต่งเข้าของบ้านพวกเขาจะมีเงินมากมายขนาดนี้ เฉพาะตั๋วแลกเงินที่ให้มาก็เป็นพันตำลึงแล้ว ไหนจะผ้าไหมชั้นดีพร้อมเครื่องประดับอีกเล่า มูลค่าสิ่งของหมั้นนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเขาส่งวันเดือนปีเกิดของหนิงกุ้ยให้กับแม่สื่อตามธรรมเนียมแล้วจ
หนิงชิงนั่งเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เจียงเฉิงรู้ นางไม่รู้ว่าที่เมืองหูกุ้ยมีพันธมิตรของตระกูลเจียงหรือไม่ นางอยากให้พวกเขาช่วยดูแลคนงานในร้านของนางด้วย เนื่องจากนางไม่รู้จักใครที่เมืองหูกุ้ยเลย หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับคนของนางนางคงรู้สึกผิดเป็นแน่ เมื่อเขียนจดหมายเสร็จแล้วหนิงชิงก็รอทหารที่มักจะมาถามหาจดหมายจากนางในช่วงบ่ายของวันอยู่เป็นประจำ และไม่นานก็มีทหารมาจริง ๆ หนิงชิงจึงยื่นจดหมายให้กับเขา ตอนนี้ร้านข้าวเช้าปิดไปนานแล้ว หนิงชิงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองใช้เวลาเขียนจดหมายนานมากถึงขนาดนี้ อาหารเที่ยงนางก็ลืมออกมากินเสียด้วยซ้ำ เป็นปกติที่แม่ของนางจะไม่มาเรียกเผื่อว่านางกำลังออกแบบงานอยู่จะเสียสมาธิได้ เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันมานานหลายปีแล้ว ทหารที่มาส่งจดหมายและรับจดหมายเห็นหนิงชิงอยู่เสียที เขาส่งจดหมายที่แม่ทัพใหญ่เขียนมาให้นางก่อนที่จะรับจดหมายจากนางเพื่อนำไปส่งให้กับแม่ทัพใหญ่ที่เ
หลังจากหนิงชิงจากไปแล้ว ก้านลู่ก็ช่วยกันดูแลหน้าร้านเพราะคุณหนูใหญ่สั่งว่าสิ่งของพวกนี้เป็นตัวอย่าง หากลูกค้าอยากได้ก็ให้สั่งเอาไว้ก่อนพร้อมกับวางมัดจำแล้วค่อยสั่งให้คนงานสร้างออกมา นี่เป็นเทคนิคที่จะไม่ทำให้ทุนจมของหนิงชิง นางสร้างสิ่งของเยอะก็จริง แต่ก็ไม่ได้สร้างออกมาจำนวนมากนอกจากจะมีคนมาสั่งซื้อ ที่เมืองสือมีคนซื้อมากก็เพราะนางทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน เรื่องประโยชน์ใช้สอยสิ่งของต่าง ๆ เจิ้งหงกับเจิ้งหย่งก็อธิบายให้หูอ้าย หูกวนและก้านลู่ฟังแล้วก่อนที่จะนำออกมาหน้าร้าน พวกเขาจึงไม่กังวลว่าทั้งสามคนจะดูแลหน้าร้านไม่ได้ หากสงสัยสิ่งใดก็สามารถเข้าไปสอบถามพวกเขาให้มาสาธิตวิธีการใช้งานให้ได้เช่นกัน อย่างไรคุณหนูก็ฝากสาขานี้เอาไว้กับพวกเขา อย่างไรพวกเขาต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ด้านหนิงชิงกับต้าเจียงกว่าที่จะเดินทางถึงเมืองกังก็ใช้เวลาเก้าวันเช่นเคย พวกนางมาถึงเมืองกังก็เป็นช่วงบ่ายแล้วเช่นเดียวกับตอนไปที่เมืองหูกุ้ย นับว่าการเดินทางค
หลังจากกินอาหารและทาสใหม่เปลี่ยนชุดกันหมดแล้ว หนิงชิงก็เรียกพวกเขามาคุยกัน“ตอนนี้พวกเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะซื่อสัตย์และตั้งใจทำงาน หากใครทำงานดีก็จะได้เงินดีด้วยเช่นกัน ถึงแม้พวกเจ้าจะเป็นทาส แต่บ่าวทุกคนที่อยู่กับข้าก็ได้รับเงินเดือนไม่น้อยเลยสักคนเดียว หากไม่เชื่อพวกเจ้าค่อยลองสอบถามกับเจิ้งหงหรือเจิ้งหย่งก็ได้ ที่สาขานี้จะมีทั้งสองคนคอยดูแลงานแทนข้า ส่วนพ่อบ้านใหญ่อย่างต้าเจียงจะมาตรวจสอบบัญชีทุก ๆ หนึ่งเดือนและจ่ายค่าจ้างให้พวกเจ้า พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”“พวกเราเข้าใจขอรับ” คนทั้งแปดตอบเสียงดังฟังชัด พวกเขาไม่คิดว่าจะโชคดีได้รับใช้ครอบครัวที่ดีเช่นนี้ ตั้งแต่เป็นทาสมาพวกเขาไม่เคยได้เงินเดือนเลยแม้สักครั้งเดียวในชีวิต ตอนนี้พวกเขามีนายที่ดี มีหรือที่จะคิดเป็นอื่น“พวกเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ทั้งห้าคนที่ทำงานไม้ต้องเรียนรู้และทำงานกับเจิ้งหย่
หลังอาหารเย็นไม่นานนัก ต้าเจียงก็กลับมาถึงร้านค้าพร้อมโฉนดที่ดิน นับว่าเจ้าหน้าที่ทำงานได้รวดเร็วจริง ๆ หนิงชิงให้ต้าเจียงกินข้าวเสียก่อนแล้วค่อยคุยกัน เขาจึงนั่งลงกินข้าวที่เจิ้งหงกับเจิ้งหย่งเหลือเอาไว้ให้ไม่น้อย หนิงชิงคุยกับเจิ้งหงและเจิ้งหย่งเรื่องที่นางจะให้พวกเขาประจำการที่สาขานี้ นางไม่รู้ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่“ได้ขอรับคุณหนู พวกเราจะอยู่ดูแลคนงานที่สาขานี้ให้ขอรับ อย่างไรร้านที่เมืองกังก็มีงานไม่มากนัก พวกเราน่าจะช่วยทางนี้ได้มากกว่าขอรับ”“ขอบใจพวกเจ้ามากนะที่ช่วยกันทำงานและศึกษางานใหม่ ๆ กันมาตลอด ที่นี่ห่างไกลจากเมืองกังไม่น้อย หากต้าเจียงต้องมาตรวจงานก็คงต้องพึ่งพวกเจ้าให้ควบคุมคนงานใหม่ที่ข้าจะซื้อมาให้พวกเจ้าเสียก่อนล่ะนะ”“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกังวลขอรับ พวกเราจะทำงานและดูแลร้านนี้ให้ดีอย่างแน่นอนขอรับ” หนิงชิงค่อยพรูลมหาย
บ่าวทั้งสามฟังที่หนิงชิงพูดแล้วก็ได้แต่นึกขอบคุณนางที่ทำทุกสิ่งเพื่อพวกเขา พวกเขายิ่งเคารพนางมากยิ่งขึ้น หากคุณหนูใหญ่ให้ทำสิ่งใด แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ขัดคำสั่ง กว่าที่หนิงชิงกับพวกจะเดินทางถึงมณฑลหูกุ้ยก็เป็นช่วงบ่ายของวันที่เก้าในการเดินทางแล้ว เนื่องจากระยะทางไกลไม่น้อย รวมทั้งพวกเขาไม่รู้ทางไปที่เมืองหูกุ้ยจึงได้สอบถามคนมาตลอดทางกระทั่งมาถึงได้เสียที ต้าเจียงขับรถม้าพาทุกคนเข้าไปในเมืองอย่างช้า ๆ หนิงชิงสั่งให้ต้าเจียงไปที่ที่ว่าการมณฑลเลยเพื่อหาร้านทันที คืนนี้พวกนางจะได้หาที่พักก่อนหากยังซื้อขายไม่ได้ ต้าเจียงสอบถามคนไปจนถึงที่ว่าการ เขาลงจากรถม้าเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ซื้อขายร้านค้าภายในเมือง ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็ออกมาคุยกับเขา“คารวะท่านเจ้าหน้าที่ขอรับ ข้าเป็นพ่อบ้านตระกูลหนิง มาติดต่อขอซื้อร้านว่างที่เมืองนี
เมื่อตกลงเรื่องการเดินทางกับพ่อแม่ได้แล้ว หนิงชิงก็ขอบคุณพี่ชายเสี่ยวเจียงที่มาเป็นธุระให้นางอีกครั้ง พวกเขาแยกกันหลังจากทานอาหารเสร็จต่างคนต่างไปพักผ่อน ส่วนหนิงชิงยังต้องจัดเตรียมของสำหรับการเดินทางไกลในครั้งนี้ นางจะต้องเอาเงินไปเพิ่มสักสองหมื่นตำลึง เพราะไปเมืองสือครั้งนี้นางหมดเงินไปหลายพันตำลึง จึงต้องหาเงินไปเผื่อเอาไว้สำหรับการจัดตั้งร้านสาขาใหม่ของนาง หนิงชิงนึกถึงพวกพี่ชายเจิ้ง นางจะให้พี่ชายเจิ้งหงกับพี่ชายเจิ้งหย่งไปด้วยในคราวเดียว รอพรุ่งนี้ออกเดินทางสายหน่อยก็คงไม่เป็นไร อย่างไรนางก็ต้องกินข้าวเช้าก่อนอยู่ดี รุ่งเช้าวันต่อมาหนิงชิงมองหนิงกุ้ยกับชายร่างใหญ่ที่ช่วยกันทำอาหารอย่างแปลกใจ เอาไว้นางกลับมาค่อยสอบถามน้องสาวก็ยังไม่สาย หนิงชิงสั่งต้าเจียงให้พาเจิ้งหงกับเจิ้งหย่งไปด้วยเลย ให้พวกเขาเก็บเสื้อผ้าหลังอาหารเช้าให้เรียบร้อยเพื่อไปประจำที่สาขาใหม่เหมือนตอนที่พวกเขาไปสอนคนที่เมืองสือ ต้าเจียงรับคำสั่งคุณหนูใหญ่
รุ่งเช้าหลังอาหารวันต่อมา หนิงชิง หนิงกวานและเสี่ยวชุ่ยไปส่งหนิงหยางที่โรงเรียนใหม่ของเขา พวกนางซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้กับหนิงหยางอีกนับสิบตัวตั้งแต่เมื่อวานนี้ เพราะหนึ่งปีนี้เขาจะได้ตั้งใจทบทวนตำรา ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้าหรืออาหารการกินใด ๆ หนิงชิงยังให้เงินเขาเอาไว้อีกห้าร้อยตำลึงนอกจากเงินสามสิบตำลึงที่เขาจะจ่ายให้กับโรงเรียน นางเห็นว่าน้องชายโตแล้วสามารถพิจารณาได้เองว่าสิ่งใดจำเป็นต้องซื้อ หากเป็นครอบครัวทั่วไปเงินห้าร้อยตำลึงสามารถอยู่ได้ไปจนตลอดชีวิต แต่หนิงชิงนึกถึงราคาหนังสือของหนิงหยางที่เจียงเฉิงเคยพานางไปซื้อ นางจึงให้เงินเผื่อเอาไว้กับน้องชายและสั่งว่าถ้าเงินหมดให้ไปรับที่ร้านแล้วส่งจดหมายมาบอกนาง นางจะชดเชยเงินให้ทางร้านเอง หนิงหยางรับฟังพี่สาวเขา เขาไม่เคยจากครอบครัวไปไหนจึงได้แต่น้ำตารื้น ถึงจะบอกว่าเขาโตแล้วก็เถอะ แต่เขาเป็นน้องชายคนเล็กของบ้านอยู่ดี เขาจึงรู้สึกโหวงเหวงไม่น้อยที่จะต้องจากกับครอบครัว หนิงชิง