ตอนแรกที่ซูจื่อหังได้ยินเช่นนั้น เขาก็ยังไม่ทันได้ตั้งสติ แต่เมื่อตั้งสติได้แล้ว รอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของเขาทันทีชายหนุ่มเลิกคิ้ว มองหน้าถูซินเยว่อย่างเรียบ ๆ แล้วถามว่า "เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรว่าหากข้าไม่อยู่กับเจ้า เจ้าก็สามารถปกป้องดูแลตัวเองได้?"“ง่ายจะตาย” ถูซินเยว่หัวเราะคิกคักเผยให้เห็นฟันขาว เธอพูดอย่างจริงจังว่า “แค่ข้าเอาชนะเจ้าได้ ก็พิสูจน์ได้แล้วไม่ใช่หรือว่าข้าปกป้องตัวเองได้"พูดจบ จู่ ๆ ถูซินเยว่ก็ยื่นมือออกมาแล้วพูดกับซูจื่อหังราวกับว่าเธอเตรียมตัวมาอย่างดี "เรามางัดข้อกัน หากเจ้าแพ้ก็แสดงว่าข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามข้าขึ้นเขาอีก"ในความคิดของถูซินเยว่ ซูจื่อหังอยู่แต่ในสำนักบัณฑิตตลอดทั้งปี สิ่งที่เขาถือในมือบ่อยที่สุดก็คือพู่กันเขียนหนังสือ คงไม่ค่อยมีแรงแน่นอนไม่เหมือนกับตน ยังไม่นับว่าเมื่อก่อนตอนที่สติไม่ดีนั้น มักจะทะเลาะวิวาทกับคนนั้นทีคนนี้ที และในช่วงนี้งานที่ตนทำก็มีแต่งานที่ต้องใช้แรง ตะกร้าหนักห้าสิบกว่าชั่งก็แบกขึ้นหลังได้อย่างสบาย ๆดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าการเอาชนะซูจื่อหังนั้นช่างเป็นเรื่องง่ายดายซูจื่อหังฉลาดระดับไ
เมื่อถูซินเยว่กำลังสังเกตอีกฝ่ายอยู่นั้น อีกฝ่ายก็กำลังสังเกตถูซินเยว่อยู่เหมือนกัน"นี่คือ..." หนิงอวี้ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ หญิงสาวมีรูปร่างอ้วนกลมราวกับซาลาเปาตรงหน้านี้เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน และดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาซื้อภาพ หรือว่าจะเป็นเพื่อนของจื่อหัง?นับตั้งแต่ที่ถูซินเยว่ได้ลดน้ำหนักอย่างจริงจังนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะไม่อ้วนเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ถูซินเยว่ตอนนี้ดูดีขึ้นมากบางครั้ง คนอ้วนที่ดูสะอาดสะอ้านก็ดูดีไม่น้อยหลังจากได้ยินคำถามของหนิงอวี้แล้ว ซูจื่อหังก็เหลือบมองไปยังถูซินเยว่ และกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ไม่รู้ทำไมถูซินเยว่กลับพูดขึ้นมาทันทีว่า "ข้าเป็นน้องสาวของพี่ซู"ซูจื่อหังกระดกมุมปากใบหน้าของหนิงอวี้เต็มไปด้วยความสับสน และพูดว่า "แปลกจัง ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจื่อหังมีน้องสาว"เขาจำได้ว่าพ่อของซูจื่อหังเสียชีวิตไปนานแล้ว และแม่ของเขาเป็นหม้าย ทำไมอยู่ดี ๆ ก็มีน้องสาวตัวโตขนาดนี้มาปรากฎตัวขึ้น? นอกจากนี้ถูซินเยว่ และซูจื่อหังก็ดูไม่มีที่อะไรเหมือนกันแม้แต่น้อยหนิงอวี้สีหน้าแสดงความสงสัย และถูซินเยว่ก็รีบพูดเสริมว่า "ข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่ซูน่ะ"
ท่าทางของหลางฮุยนั้นลนลานเป็นอย่างมาก ราวกับเห็นศัตรูที่เคียดแค้นอย่างมาก ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันทีหากไม่ใช่ว่าถูกถูซินเยว่ทำร้่ายจนสาหัสและไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แบบนี้ เขาคงจะกระโดดลงจากรถม้าเข้ารัดคอของถูซินเยว่ไปแล้วเขาถูกตัดลิ้นออกไป หลางฮุยก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ และทำได้เพียงเฝ้าดูถูซินเยว่จนละสายตาไปใขขณะนั้นเองถูซินเยว่ที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน จู่ ๆ ก็ดูเหมือนจะรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จู่ ๆ ก็หันกลับไปมองทางรถม้าเมื่อทั้งสองสบตากัน ถูซินเยว่ก็ค่อย ๆ หรี่ตาลง จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินจากไปโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ภายใต้การจ้องมองของหลางฮุยเธอเคยได้ยินคนในหมู่บ้านพูดมาก่อนว่าหลางฮุยมีคนหนุนหลังอยู่ แต่เธอคาดไม่ถึงว่าหลางฮุยจะถึงกับมีเกี้ยวนั่ง สำหรับชาวบ้านที่ยากจน แค่ได้นั่งเกวียนวัวไปตลาดก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยแล้วอย่างเช่นถูซินเยว่ ทำได้เพียงเดินเท้าไปตลาดเท่านั้นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าตอนนี้เธอจะรู้ว่าฐานะของหลางฮุยสูงส่งเพียงใด แต่ถูซินเยว่ก็ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ใครใช้ให้อีกฝ่ายกล้ามารังแกตนก่อน เธอถูซินเยว่ไม่เคยกลัวใคร ต่อให้เป็นอ๋องจากสวรรค์มายั่วโมโห
“เจ้าอย่าลืมนะว่าเป็นเจ้าเองที่กุลีกุจออยากจะแต่งเข้าบ้านตระกูลเหลียงเอง แล้วเจ้าก็อย่าลืมอีกด้วยว่าเจ้าและเหลียงปินสมคบคิดกัน เล่นตลกกับข้าและพี่ซู" ถูซินเยว่ขมวดคิ้วมองดูอีกฝ่าย จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน "ทำไม? ตอนนี้คิดว่าตัวเองเลือกแต่งงานกับคนผิด แล้วอยากจะมาหาเรื่องข้าอย่างนั้นรึ?"ถูซินเยว่รู้สึกงุนงง ตระกูลเหลียงปฏิบัติต่อนางไม่ดี แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตน? ถูหมิงซวนนี่ช่างแปลกคนจริง ๆ คิดจะโยนความผิดทุกอย่างมาให้กับตน ทำไมไม่ไตร่ตรองถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปบ้างเมื่อเห็นถูหมิงซวนยังคงมองตนด้วยแววตาขุ่นเคือง ถูซินเยว่รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นเกินจะเยียวยา เธอไม่อยากจะทนดูอีกฝ่ายอีกต่อไป จึงหันหลังเตรียมตัวจะออกเดินต่อในเวลานี้ ถูหมิงซวนดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่าง จึงรีบเอื้อมมือไปคว้าถุงผ้าที่อยู่ใต้แขนเสื้อของถูซินเยว่ออกมา“นี่คืออะไร?” ถูหมิงซวนยกถุงผ้าขึ้นมาแล้วถามถูซินเยว่อย่างสงสัย เมื่อครู่นางสังเกตเห็นแล้วว่าขณะที่ถูซินเยว่พูดคุยกับตนนั้นก็เอาแต่ก้มหน้าจ้องมองถุงผ้าในมือถูซินเยว่ดูสนอกสนใจสิ่งนี้มาก ดังนั้นตนจึงต้องแย่งมันมาให้ได้ถูหมิงซวนคิดในใจอย่างประสงค์ร้าย
“ด่าเจ้าน่ะสิ!” ถูหมิงซวนตอบโดยไม่ต้องคิดหลังจากได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ถูซินเยว่ก็หัวเราะออกมา ที่ผ่านมาทุกคนต่างก็พูดว่าถูซินเยว่เป็นคนโง่และสติไม่ดี แต่ตอนนี้ในสายตาของถูซินเยว่ คนที่โง่อย่างสมบูรณ์แบบคือถูหมิงซวนนี่ต่างหากหลุมพรางตื้น ๆ แบบนี้ อีกฝ่ายกลับหลับหูหลับตาหลงกลได้ ช่างน่าอนาถใจเสียจริง ๆหญิงสาวปิดปากหัวเราะถูหมิงซวนยังไม่เข้าใจในตอนแรก แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย ก็ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันที นางจ้องมองถูซินเยว่อย่างเดือดดาล กัดฟันพูดขึ้นว่า "เจ้ากล้าเล่นลิ้นกับข้างั้นรึ!"“ข้าเล่นลิ้นกับเจ้างั้นหรือ เจ้ายอมรับเองชัด ๆ ว่าตัวเองคือคนต่ำช้า จะมาหาว่าข้าเล่นลิ้นกับเจ้าได้อย่างไรกัน?" ถูซินเยว่หรี่ตาลง พูดอย่างยิ้มแย้มว่า "เออ นี่แน่ะ มีอีกเรื่องหนึ่ง เกรงว่าเจ้าก็คงยังไม่รู้ล่ะสิ"“เรื่องอะไร?” เมื่อถูซินเยว่พูดเช่นนี้ ถูหมิงซวนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที จ้องมองอีกฝ่ายอย่างสงสัยแต่ถูซินเยว่กลับเดินเข้ามาหานางทีละก้าว ๆ ในขณะที่ถูหมิงซวนยังไม่ทันจะตั้งตัว จู่ ๆ ถูซินเยว่ก็ยกเท้าขึ้นมาถีบเข้าที่ลำตัวของถูหมิงซวนจนอีกฝ่ายตกคันนาลงไปเดิมทีถูหมิงซวนคิดว่าถูซิ
วันนั้นถูหมิงซวนพูดกับเธอต่อหน้าว่าเธอหน้าตาอัปลักษณ์ ไม่คู่ควรกับปิ่นปักผมอันนี้ ถึงแม้ปากจะไม่พูดอะไร แต่ในใจของถูซินเยว่นั้นแท้จริงแล้วก็เก็บเอาคำพูดนั้นมาคิดอยู่เช่นกันโดยเฉพาะเวลาที่เธอส่องกระจกอยู่คนเดียว เมื่อมองดูหน้าตาที่น่าเกลียดที่สะท้อนอยู่ในกระจกนั้น ถูซินเยว่ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้นไปอีกแม้ว่าฝีหนองบนใบหน้าจะหายไปมากแล้ว แต่ก็ยังคงทิ้งรอยดำไว้ ถึงแม้จะมองไม่เห็นจากที่ไกล ๆ แต่หากมองในระยะใกล้ก็ยังสามารถเห็นรอยหลุมต่าง ๆ อยู่มากมายถูซินเยว่ก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน เธอรู้ดีว่าทุกคนต่างก็ชอบสิ่งสวยงามกันทั้งนั้น แม้ว่าซูจื่อหังจะไม่พูดออกมา แต่ในใจก็คงรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าเช่นนี้เธอไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้มาแต่ไหนแต่ไร ในเมื่อใบหน้ามีรอยสิว ถูซินเยว่ก็จะลุกขึ้นสู้ หาครีมและมาสก์มาบำรุงผิว"เจ้าก็แค่ใช้น้ำพุศักดิ์สิทธิ์สิ ทำไมต้องทำให้วุ่นวายด้วย?" เสียงของฉงเป่าดังลอยมาจากในมิติ ช่วงนี้ฉงเป่าเอาแต่นอนหลับอยู่ในมิติ ไม่ได้ส่งเสียงมาเป็นเวลานานแล้วตามที่ฉงเป่ากล่าวก็คือในขณะที่ถูซินเยว่ทำงานหนักในการดูแลพื้นที่ในมิติ ฉงเป่าเองก็ได้รับประโยชน์ไปด้วยพ
ทั้งสามคนมาพร้อมกับท่าทางที่ดุร้าย ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นสีหน้าที่โหดร้ายของพวกเขา ต่อให้ซูจื่อหังจะโง่แค่ไหนก็ต้องรู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาที่ไม่ดีแน่เขาขมวดคิ้วแน่นถามขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาทำลายภาพวาดของข้า?”สถานที่ตั้งแผงขายของของเขานั้นไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมามากนัก และภาพวาดเหล่านี้ก็ไม่ได้กีดขว้างการค้าขายของผู้คนแถวนั้นเลยแม้แต่น้อย ถ้าพูดตามหลักเหตุผลก็ไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้ใครเป็นไปได้ไหมว่านักเลงหัวไม้พวกนี้ ต้องการเรียกเก็บเงินคุ้มครอง?เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ซูจื่อหังก็เหลือบมองทั้งสามคนแต่ไม่คาดคิดว่าหัวหน้าผู้ชายที่หน้าตาบูดบึ้งเดินไปหาซูจื่อหังด้วยท่าทีโอ้อวดแล้วพูดเย้ยหยันว่า "ข้าไม่ชอบขี้หน้าเจ้าว่ะ อยากมีเรื่อง ต้องมีเหตุผลด้วยรึ?”ซูจื่อหังขมวดคิ้วขึ้นและพูดอย่างเย็นชาว่า "มีเรื่องกลางวันแสก ๆ พวกเจ้ารู้ไหมว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ถ้านายอำเภอเห็นเข้าละก็ ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะต้องไปกินข้าวในคุกกันน่ะสิ"แววตาของชายหนุ่มเย็นชาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้คนมากมายที่มาหาเรื่องเขา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจพวกนั้นเลยสักนิด ไม่เพียงเท่านั้น ซูจื่อหังยังก้มลงเก็บ
“เหลียงปิน!” ซูจื่อหังประหลาดใจมาก เพราะเขาไม่มีทางคิดได้ว่าคนที่ส่งคนมาทำร้ายเขาจะเป็นเหลียงปินเมื่อพูดถึงเหลียงปิน จริง ๆ แล้วทั้งสองก็ถือว่ามีความเกี่ยวดองกัน แต่ในเวลานี้เขากลับทำเรื่องนี้ได้ลงคอ ซูจื่อหังก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปอย่างไรก็ตาม ใช้เวลาไม่นานเขาก็นึกขึ้นได้ว่าที่เหลียงปินส่งคนมาทำร้ายตนต้องเป็นเพราะที่ถูซินเยว่ทำร้ายเขาเมื่อครั้งก่อนแน่นอน ด้วยความเคียดแค้น จึงได้มาทำร้ายตนในวันนี้เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ซูจื่อหังก็รู้สึกรังเกียจอยู่ในใจหากอยากจะหาเรื่อง ก็ควรจะทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่มาซ่อนตัวทำตัวเป็นหมาลอบกัดเช่นนี้มันช่างน่ารังเกียจจริง ๆ เขาอยากจะเดินเข้าไปหา แต่เหลียงปินชะงักไปเล็กน้อย รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไรอยู่จึงหันหลังวิ่งหนีไปทันทีซูจื่อหังขมวดคิ้วทันที ชายหนุ่มหมุนตัวหันกลับมามองไปที่จางซานที่อยู่ด้านหน้าและคนอื่น ๆ อีกสองคน“พวกเจ้าไปซะ ครั้งหน้าหากยังมาหาเรื่องข้าอีก ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปอีกแน่" เหลือบมองพวกเขาหนึ่งที เนื่องจากซูจื่อหังต้องกลับไปเรียน จึงขี้เกียจจะเอาเรื่องเอาราวกับพวกเขา ดังนั้นจึงเก็บของของตัวเองและเดินจากไปอย่างเงียบ ๆทิ้งให้จา
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด