แม้ว่าเรื่องนี้ได้ตกลงไว้แต่เมื่อเช้าแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังต้องไปด้วยตนเอง ทำให้นางหยูรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยนางกัดริมฝีปากล่างของตนเอง และกล่าวอย่างจนปัญญาว่า "ซินเยว่ ถึงเวลาถ้าอาสามของเจ้าไม่มาละก้อ งั้นเรา...""อาสามไม่ลืมแน่นอน" ถูซินเยว่ส่ายหน้า ใช้สายตาปลอบโยนนางหยูและกล่าวว่า "แต่ว่า ท่านต้องจำไว้อย่างหนึ่ง อย่าให้พวกอาสามรู้ว่าข้าก็อยู่บ้านด้วย มิฉะนั้น อาสามอาจไม่ยอมมาจริง ๆ"พูดจบ ถูซินเยว่ก็หยิบตะกร้าผักที่เตรียมไว้แล้วและกล่าวว่า "ท่านเอาตะกร้าผักไปด้วย และบอกท่านย่า""ก็ได้" ถ้านางเอาแต่หลบเลี่ยง ก็ไม่อาจแก้ปัญหาอะไรได้ตอนนี้ซินเยว่อยู่บ้านยอมมาช่วยนาง หากซินเยว่ไปแล้วจริง ๆ ต่อไปคงไม่มีใครช่วยนางได้อีก เมื่อคิดได้ดังนี้ แววตานางหยูก็เกิดความแน่วแน่ รีบถือตะกร้าผักแล้วเดินออกไปจนมาถึงนอกบ้านตระกูลซู ประตูไม่ได้ปิด นางหยูเคาะประตูแล้วจึงเดินเข้าไปแม่เฒ่าตระกูลซูกำลังสานที่โกยขยะอยู่กลางลานบ้าน เมื่อเห็นนางหยูเดินมา จึงรีบโยนแถบไม้ไผ่ใส่ทันทีแถบไม้ไผ่โดนหน้าของนางหยูเข้า แม่เฒ่าตระกูลซูขมวดคิ้วและกล่าว่า "เจ้ามานี่ทำไม? นังคนอกตัญญู ปีใหม่ทั้งทีไม่เคยมาเยี่ยมเยือน
หลังจากเข้าห้องแล้ว ซูฟาเสียงก็แทบอดใจไม่ไหวที่จะโผเข้าหานางหยูทันทีนางหยูรีบหลบเลี่ยงไปข้าง ๆ กัดฟันถามว่า "แล้วเสื้อบังทรงล่ะ คืนมาให้ข้าก่อน!"ผู้หญิงคนนี้ มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะห่วงเสื้อบังทรงอีก ซูฟาเสียงอดไม่ได้ที่จะแสดงความหงุดหงิด แต่ตอนนี้เขาอยู่กับนางหยูเพียงสองคน ถึงเอาเสื้อออกมาก็คงไม่เป็นไร อย่างมากเดี๋ยวพอเสร็จกิจแล้ว ตนเปลี่ยนเสื้อบังทรงอีกตัวแล้วนำกลับไปก็ได้สรุปก็คือ นางหยูต้องการหลักฐานที่อยู่ในมือเขาทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ซูฟาเสียงยังหวังจะได้นางมาเชยชมอีกหลายรอบอยู่เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซูฟาเสียงจึงได้ดึงเสื้อบังทรงสีแดงออกจากอกเสื้อ พร้อมกับกวัดแกว่งในมือ ยักคิ้วและกล่าวว่า "เสื้อบังทรงอยู่นี่แล้ว เจ้าก็ควรทำตามคำพูดบ้าง รีบถอดเสื้อออกเร็ว ๆ แล้วมาปรนนิบัติข้าดี ๆ"นางหยูเห็นเสื้อบังทรงของตัวเองก็ตาโตขึ้น พร้อมหันไปมองตู้เสื้อผ้า เพราะถูซินเยว่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น และพวกนางได้ตกลงกันไว้ รอให้ซูฟาเสียงเอาเสื้อบังทรงออกมา ถูซินเยว่จะออกมาจากตู้เสื้อผ้า แย่งเอาเสื้อบังทรงไป จากนั้นค่อยเล่นงานซูฟาเสียงและต่อไปนี้ นางก็ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของซูฟาเสียงอีกถูซินเยว่ซึ่งแอบอยุ่ใ
ไม่เพียงตบนางแต่ยังตีจนนางเลือดออกมุมปากเลยด้วยเจิ้งหมานหม่านแทบจะโมโหจนอาละวาด นางแทบอยากวิ่งไปหน้าถูซินเยว่ เด็ดศีรษะของถูซินเยว่ออกมาและกระแทกลงพื้นพร้อมย่ำเหยียบแรงๆ ด้วยสองฝ่าเท้าเพียงแต่เจิ้งหมานหม่านเพิ่งเงยหน้าขึ้นก็สบตาเข้ากับแววตาคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มของถูซินเยว่หญิงสาวมองนางอย่างเย็นชา ในแววตาแฝงความเย็นยะเยือกเอาไว้ขณะถามเสียงเรียบว่า "เจ้าคิดจะทำอะไร จะเอาคืน?"ไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นแววตาเช่นนี้ของถูซินเยว่แล้ว เจิ้งหมานหม่านกลับขี้ขลาดไม่กล้าเสียแล้วผ่านไปสักพัก นางถึงค่อยเค้นประโยคหนึ่งออกมาจากไรฟัน "เจ้า เจ้าถือดีอะไรมาตบข้า?""แม่ข้าคือผู้อาวุโสของเจ้า เจ้ากล้าไม่เคารพผู้อาวุโส ข้าแค่สอนเจ้าว่าควรประพฤติเช่นไรผิดตรงไหน?" ถูซินเยว่มองนางอย่างเย็นชาผาดหนึ่ง ก่อนจะเดินไปหน้าแม่เฒ่าตระกูลซู พูดว่า "ยังมีท่านอีกคน ทางที่ดีท่านถามก่อนดีกว่าว่าใครทำเรื่องที่หน้าอายออกไปกันแน่ ถ้าท่านโวยวายไปถึงหัวหน้าหมู่บ้านจริง ก็ได้ ท่านดูสิว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะเชื่อท่านหรือว่าเชื่อข้า"ประโยคนี้ของถูซินเยว่กล่าวได้หามิได้ไม่เป็นการโอ้อวดแต่อย่างใดเพียงแต่ประโยคนี้ของนางก็เป็นการ
มุมปากถูซินเยว่กระตุก เจิ้งหมานหม่านผู้นี้ถูกตนตบฉาดหนึ่งยังไม่พอ ตอนนี้ยังกล้ามายั่วยวนท่านพี่ของตนอีกหรือ?"จื่อหัง" นางหยูเดินไปหน้าซูจื่อหัง พอเห็นบุตรชายตนหน้าดำคร่ำเครียด สีหน้าย่ำแย่จนเหมือนจะบีบเค้นให้น้ำหยดลงมาได้ นางก็รู้แล้วว่าเรื่องที่ตนไม่อยากให้ซูจื่อหังทราบมาโดยตลอด อีกฝ่ายยังคงทราบอยู่ดี"ซินเยว่ เจ้าพยุงแม่ไว้" น้ำเสียงของซูจื่อหังอ่อนลงขณะเหลือบมองถูซินเยว่แวบหนึ่งเขารู้ว่านางหยูคิดยังไง วันนี้ตั้งใจไล่ตนไปก็แค่เพราะไม่อยากให้ตนเป็นกังวลก็เท่านั้น เพียงแต่พอเขารู้เรื่องนี้ รู้ว่าแม่ของตนถูกอาสามรังแกเช่นนี้และยังถูกคนตระกูลซูหยามเกียรติเช่นนี้อีก หากเขายังนิ่งเฉยอยู่ยังจะมีสิทธิ์อันใดเป็นลูกของนางหยูกัน?ผู้เป็นแม่อ่อนแอ ตนได้รับความอดสูยังไม่กล้าทวงความยุติธรรมเขาที่เป็นบุตรชาย หากยังไม่ปกป้องมารดาตนอีก แล้วความถูกต้องจะอยู่ที่ใด?เรื่องวันนี้ไม่ว่ายังไงซูฟาเสียงก็ต้องให้คำอธิบายกับเขา กับแม่เขาและกับบิดาที่ตายไปของเขา"ท่านพี่ ท่านระวังหน่อยนะ"ท่าที่สามีของตนถือมีดหั่นฟืนยืนอยู่หน้าประตู อย่าให้พูดเลยว่าหล่อเหลาเพียงใด ทว่าถูซินเยว่ยังคงเป็นกังวลว่าซูจื่อ
เดิมคิดว่าย้ายออกจากตระกูลซูแล้วครอบครัวสามคนจะมีชีวิตสงบสุข แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าการมีญาติประหลาดเช่นนี้ ถึงครานั้นเขากับซินเยว่ไม่อยู่บ้าน ก็ไม่รู้ว่านางหยูจะถูกรังแกอย่างไร!ครั้งนี้ยังดีที่ซินเยว่อยู่ข้างกาย หากว่านางไม่อยู่ ซูจื่อหังไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่านางหยูจะประสบกับอะไรไม่แน่ว่าอาจจะถูกแม่เฒ่าตระกูลถูตบจนตายก็ได้"จื่อหัง เจ้าเรียนหนังสือก็เหนื่อยพอแล้ว แม่ไม่เห็นด้วยหรอกนะ""ข้าตัดสินใจแล้วแม่" ซูจื่อหังโบกมือเพื่อสื่อว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องพูดอีก ตนพยุงนางหยูเข้าไปในห้อง ถูซินเยว่รินน้ำให้ทั้งสองคนละแก้ว นางหยูประคองน้ำอุ่นดื่มสองคำ น้ำตาในดวงตาก็หยุดหลั่งออกมาได้แล้วตอนกลางวันได้รับความตื่นตระหนก ตกเย็นนางหยูจึงเข้านอนเร็วมากถูซินเยว่และซูจื่อหังสองคนนอนอยู่บนเตียง แม้จะห่มผ้าห่มผืนเดียวกัน กายเองก็นอนข้างกันแต่หัวใจของคนทั้งสองไม่เคยมีความใคร่อะไรพวกเขาต่างก็คิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน"ซินเยว่ วันนี้โชคดีที่มีเจ้า ข้าต้องขอบคุณเจ้าแล้ว"ผ่านไปสักพัก เสียงของฝ่ายชายก็ดังขึ้นในความมืดถูซินเยว่ส่ายศีรษะ พูดยิ้มแย้ม "กับข้ายังจะเกรงใจอะไร ข้าแต่งให้ท่าน แม
ถูซินเยว่ได้ยินดังนั้นก็ยกมือกุมขมับ ในที่สุดผู้ชายคนนี้ก็รู้สึกตัวสักที โชคดีที่ยังไม่ถือว่าโง่มากปีนี้ตนเองอายุสิบห้าปีแล้ว ร่างกายส่วนที่ควรเติบโตก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ถ้าตามปกติประจำเดือนครั้งแรกควรจะมาตั้งนานแล้ว แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววเลยก่อนหน้านี้ฉงเป่าเคยบอกไว้ว่า ในร่างกายของตนนั้นมีพิษ ที่อ้วนและซื่อบื้อก็เป็นเพราะเหตุนี้เพียงแต่ก่อนหน้านี้เอาแต่ทำงานหาเงินเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นถูซินเยว่จึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ ตั้งใจว่าจะหาเวลาไปหาหมอตรวจอาการ แต่ดูจากสถานกาณ์ตอนนี้ คงรอต่อไปไม่ได้แล้ว"เดิมทีข้าตั้งใจว่ารอเจ้ากลับสำนักบัณฑิตแล้ว ข้าก็จะไปหาหมอ" ถูซินเยว่พยักหน้าเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนี้ ซูจื่อหังก็เข้าใจทันทีในเมื่อต้องไปหาหมอ ก็หมายความว่าถ้าไม่ป่วยเป็นโรค ก็คงสุขภาพไม่ดี"ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้ พรุ่งนี้ข้าไปหาหมอเป็นเพื่อนเจ้า" เมื่อรู้ว่าถูซินเยว่ไม่สบาย ซูจื่อหังก็ร้อนใจมากกว่าใครๆ ซึ่งแม้แต่ตนเองก็ไม่ทันสังเกตุว่าตอนที่กำลังพูดอยู่นั้น เส้นเลือดข้างขมับเต้นแรงจนแทบระเบิดออกมา ยิ่งกว่านั้นในสายตายังเต็มไปด้วยความห่วงใย และเสียงพูดก็ดังสูง
"ท่านพี่ซู ข้าน้อยอกน้อยใจยิ่งนัก ตั้งแต่ที่ข้าแต่งงานกับเหลียงปิน ชีวิตในตระกูลเหลียงก็เหมือนดั่งตายทั้งเป็นมาตลอด"ซูจื่อหังขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ตอนนั้นเจ้าขึ้นเกวียนวัวของเหลียงปินก็คงคิดว่าตระกูลเหลียงคงจะเป็นที่ๆ ดี ในเมื่อเป็นหนทางที่เจ้าเลือก เช่นนั้นก็จงเดินด้วยตัวเองต่อไป"ถูหมิงซวนชะงัก อ้าปากและถามอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า "ท่านพี่ซู ท่านกำลังโทษข้าอยู่หรือ? ตอนนั้นคนที่จัดเตรียมเกวียนวัวเป็นแม่กับยายข้า ข้ากับซินเยว่ขึ้นเกวียนวัวที่เหมือนกันทั้งคู่ ข้าที่นั่งอยู่บนเกวียนวัวมีผ้าคลุมหัวปิดหน้าอยู่ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่เมื่อเข้าเรือนหอถึงได้รู้ว่าข้าแต่งกับสามีผิดคน"ซูจื่อหังไม่ได้พูดกล่าว เรื่องในตอนนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่คิด แต่เป็นสิ่งที่บ้านตระกูลถูจงใจจัดเตรียมเอาไว้แต่ตอนนี้เขาต้องขอบคุณในความตั้งใจนี้จริงๆ มิเช่นนั้นเขาคงยังไม่รู้จักซินเยว่เมื่อเห็นซูจื่อหังไม่พูดจา ถูหมิงซวนก็คิดว่าอีกฝ่ายฟังคำพูดของตนเองแล้วเกิดความหวั่นไหวในใจ นางจึงได้คืบเอาศอกยื่นมือมาคล้องแขนของซูจื่อหัง และพูดอย่างออดอ้อนว่า "ท่านพี่ซู ที่จริงในใจของหมิงซวนนั้นลื
ด้วยสถานการณ์ที่บังคับ ซูจื่อหังจึงต้องหยุดเดินและติดกระดุมเสื้อที่เปิดออกของตนเองให้เรียบร้อยก่อนเพียงแต่แค่ช่วงเวลาเพียงครู่เดียวที่เขาติดกระดุม ถูซินเยว่ก็เดินจ้ำอ้าวไปไกลแล้ว และทิ้งซูจื่อหังไว้ข้างหลังเมื่อเห็นแผ่นหลังที่เย็นชาของถูซินเยว่ ซูจื่อหังก็ไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรไปชั่วขณะ เขารีบไล่ตามไปหญิงสาวตัวเตี้ยกว่าตนเอง ขาก็ไม่ยาวเท่าตนเอง แต่กลับเดินเร็วมาก จนกระทั่งถึงหน้าบ้าน ซูจื่อหังก็ยังไล่ถูซินเยว่ที่อยู่ข้างหน้าไม่ทันทันทีที่ถูซินเยว่เดินเข้าบ้านก็ตรงปรี่ไปที่ห้องครัว หยิบปลาแห้งที่เผาอยู่บนถ่านขึ้นมาไปวางตากไว้ข้างนอกนางหยูเห็นว่าลูกสะใภ้กลับมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง และกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นซูจื่อหังเดินเข้ามาจากข้างนอก ตรงเข้าไปหาถูซินเยว่ และพูดด้วยใบหน้าเซ็งๆ ว่า "ซินเยว่ เจ้าฟังข้าอธิบาย""เจ้ากินข้าวก่อนเถอะ" ถูซินเยว่มองไปที่เขาทีหนึ่ง และใช้สายตาบอกอีกฝ่ายว่าไม่ให้เข้ามาใกล้ ส่วนตนเองนั้นถือปลาแห้งเดินไปที่กลางลานบ้าน แล้วนำปลาแห้งวางเรียงบนกระจาดไม้ไผ่เพื่อตากแห้งเมื่อเห็นท่าทีเย็นชาของหญิงสาว ซูจื่อหังก็ขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะไล่ตามไป นางหยูที่
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด