บทที่3
“นี่คือหลีซูเหยานางเป็นสหายของข้า เจ้าก็จัดหาที่อยู่ให้นางด้วย เรือนอวี้ฟางก็แล้วกัน” หวงอิ่งจื่อมองคนตรงหน้าพลางกะพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้จะรับคำหรือจะพูดว่าอย่างไรดี
แทนที่เขาจะถามว่านางเป็นอย่างไร หรือบอกเรื่องของตนเองที่ผ่านมาบ้าง กลับให้นางดูแลคนที่เพิ่งมาเสียอย่างนั้น ทุกการกระทำของฟ่านเฉิงเฉิงทำให้หวงอิ่งจื่อพูดไม่ออกแม้เพียงคำ
“เรือนอวี้ฟานงั้นหรือ” แม้จะเพิ่งเข้ามาอยู่ในตระกูลฟ่านได้เพียงแค่สองปี แต่ก็แทบไม่เคยได้ก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น เพราะท่านแม่บอกว่าฟ่านเฉิงเฉิงหวงแหนที่แห่งนั้นมากกว่าทุกที่ในจวน แม้จะสงสัยว่ามากยิ่งกว่าห้องนอนของตัวเองอีกหรือ แต่ก็ได้รับคำยืนยันจากท่านย่าจึงทำให้หวงอิ๋งจื่อไม่สงสัยอีกต่อไป แต่วันนี้
“แต่ว่าเรือนนั้น” หวงอิ่งจื่อกำลังจะเอ่ยถามสามี แต่ก็เป็นมารดาของเขาที่เร่งให้ฟ่านเฉิงเฉิงไปไหว้ป้ายบรรพบุรุษและบิดา
“หากเจ้าทำไม่ได้ก็ให้สาวใช้ทำ” คำพูดราวกับไม่ใส่ใจก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับสตรีที่มาใหม่ สตรีผู้นั้นเดินตามติดเข้าไปในเรือนชั้นในทำให้หวงอิ่งจื่อรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก
“ฮูหยินเล็ก ท่านได้ยินนายท่านสั่งแล้ว ไปช่วยกันจัดการสิเจ้าคะ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฟ่านเฉิงเฉิงกลับมาแล้วหรือไม่ สาวใช้ถึงได้พูดเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นบางทีการจัดการที่อยู่ให้สตรีที่มาใหม่คนนั้นอาจจะต้องเป็นนางคนเดียวที่ต้องทำทั้งหมด
“ฮูหยินเล็ก” อู่เฟยที่เพิ่งวิ่งมาจากเรือนด้านหลังรีบมาดูแลเจ้านายของตนเอง
“ฮูหยินเล็กเข้าไปต้อนรับนายท่านเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้ากับคนอื่นจะไปจัดการเอง”
สาวใช้คนอื่นครางหึในลำคอ
“เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไรอู่เฟย นายท่านบอกให้เจ้านายเจ้าเป็นคนจัดการ เรื่องด้านในนั่นมีอะไรต้องให้นายเจ้าเข้าไปจัดการด้วยหรือ”
“ช่างเถอะอู่เฟย” หวงอิ่งจื่อไม่ต้องการต่อความยาว สาวใช้คนนี้เป็นคนสนิทของท่านแม่เถียงกับนางไป ทั้งนางและอู่เฟยที่แทบจะไม่ได้อยู่ข้างกายอู่เฟยจะบาดเจ็บและถูกลงโทษเสียเปล่า ๆ
และแม้ว่าเรื่องที่หน้าประตูใหญ่ตอนที่ฟ่านเฉิงเฉิงกลับมาจะทำให้หวงอิ่งจื่อรู้สึกว่าตนอยู่ผิดที่ผิดทางอยู่แล้ว แต่เหมือนว่าเหตุการณ์ตอนนี้จะทำให้นางรู้สึกเช่นนั้นมากกว่าเดิม
“มาแล้วก็นั่งสิหวงอิ๋งจื่อ” เป็นท่านย่าที่เอ่ยออกมา ยามนี้ ทั้งสองข้างของสามีด้านหนึ่งเป็นมารดาของฟ่านเฉิงเฉิง อีกด้านเป็นสตรีที่ชื่อว่าหลีซูเหยานั่งขนาบอยู่ หวงอิ่งจื่อนั่งลงระหว่างสตรีที่มาใหม่กับท่านย่า
ใช้เวลาสักพักกว่าหวงอิ่งจื่อจะดูสาวใช้จัดการเรือนที่พักของคนมาใหม่ แต่มันช้าขนาดทำให้ท่านแม่กับสตรีที่มาใหม่สนิทกันถึงเพียงนี้เลยหรือ
“ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าเจ้าคือเหยาเอ๋อร์” เสียงของแม่สามีทำให้คนมาใหม่อย่างหวงอิ่งจื่อมีสีหน้าสงสัย
“พี่สาวคงยังไม่รู้ ข้ากับท่านพี่เฉิงนั้นเคยรู้จักกันมาก่อน”
หวงอิ่งจื่อไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
พี่สาวอย่างนั้นหรือ
สตรีผู้นี้เรียกนางเช่นนี้คงไม่ได้หมายความว่าจะเข้ามาเป็นภรรยาอีกคนจริง ๆ ใช่หรือไม่ แล้วคำว่าท่านพี่เฉิงนั่น นางไม่เคยกล้าเรียกฟ่านเฉิงเฉิงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เช่นนั้นหรือ” ความรู้สึกราวกับเป็นคนนอกของตนทำให้อาหารตรงหน้ายิ่งดูไม่น่ากินเข้าไปใหญ่ แต่จะให้ลุกไปตอนนี้ก็คงจะทำไม่ได้
หวงอิ่งจื่อจำต้องทนอยู่กับบรรยากาศที่อึดอัดบนโต๊ะอาหาร แม่สามีพูดคุยกับทุกคนบนโต๊ะยกเว้นนาง ราวกับนางไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้
มิเท่านั้น
“เฉิงเอ๋อร์ลูก น้องลำบากขนาดนี้เจ้าก็รับนางมาดูแลไม่ดีหรือ ข้าเองก็ไม่เคยมีลูกสาว รับเจ้าเป็นลูกอีกคนจะมีปัญหาอะไรกัน” หวงอิ่งจื่อมองหลีซูเหยาที่ลุกขึ้นอย่างกะทันหันก่อนจะไปนั่งอยู่ข้าง ๆ กับแม่สามีพลางอิงซบไปที่ตักราวกับออดอ้อนด้วยความไม่เข้าใจและน้อยใจ นางไม่เคยได้รับความเอ็นดูแม้เพียงหางตาแลจากแม่ของสามีเลยสักครั้ง
หวงอิ่งจื่อมาอยู่ตั้งนานแต่แม่สามีไม่เคยพูดจาราวกับตอนรับ ดวงตาของหวงอิ่งจื่อสั่นไหวน้อย ๆ และมือขยับจากภาพของสตรีแปลกหน้าที่กำลังมีแม่สามีของนางลูบหลังลูบไหล่ก็เจอเข้ากับสายตาเย็นชาของสามีของตน
“เดี๋ยวเจ้าก็พานางไปที่เรือนพักด้วย” คำสั่งของฟ่านเฉิงเฉิงทำให้หวงอิ่งจื่อทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับคำสั่งนั่นก็เท่านั้น
“กลับไปนั่งที่เถอะลูก”
ลูก
เสียงของแม่สามีทำให้หวงอิ่งจื่อกำมือแน่น
“พี่สาวข้านั่งตรงนี้ท่านคงจะไม่คิดมากใช่หรือไม่” หวงอิ๋งจื่อทำได้แค่พยักหน้าตอบคำของหลีซูเหยาที่ทำท่าตกใจเมื่อเพิ่งจะสังเกตุว่านางนั้นนั่งคั่นระหว่างสามีภรรยา
“ไม่เป็นอะไรหรอก” เสียงหวานตอบกลับไปหวงอิ่งจื่อฝืนยิ้มแย้ม
“ก็ถูกแล้วเจ้าดูแลท่านแม่ก็นั่งกับท่านแม่ไปน่ะดีแล้ว” คำพูดของแม่สามีเหมือนจะเป็นการย้ำเตือนหน้าที่ที่หวงอิ่งจื่อต้องทำอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ”
หลังจากกินอาหารเย็นกันเสร็จแล้วบุรุษหนุ่มเพียงคนเดียวบนโต๊ะก็เอ่ยบอกกับภรรยา เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยกับนางถึงเรื่องระหว่างเขาและอีกฝ่าย
”เสร็จแล้วรีบกลับมาที่เรือนด้วย”
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเขาเอ่ยเช่นนี้เพราะอะไร แต่หวงอิ่งจื่อก็ยกยิ้มน้อย ๆ และเร่งเดินไปส่งหลีซูเหยาที่เรือนอวี้ฟางชักสีหน้าทันทีที่ได้ยินคำนั้นเช่นเดียวกัน แต่คงไม่มีใครทันสังเกตุ
บทที่4“เจ้าขาดเหลืออะไรก็บอกนางนะลูก” ทันทีที่ฟ่านเฉิงเฉิงเดินไปยังทิศทางเรือนนอนของตัวเองที่อยู่ร่วมกับหวงอิ่งจื่อ แม่สามีก็เร่งมาบอกสำทับสิ่งที่ควรกระทำในการอยู่ที่ตระกูลนี้กับแม่นางหลีซูเหยาในทันทีหวงอิ่งจื่อได้แต่ยืนนิ่ง แน่นอนว่าการต้อนรับแขกของสามีควรเป็นเรื่องของฮูหยินอย่างนาง เพียงแต่ปกตินางได้รับสิทธิขนาดนั้นเสียทีไหนกัน นางมีชีวิตดีกว่าสาวใช้ในจวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น“พี่สาวพาข้าไปที่พักเถอะ” หวงอิ่งจื่อเดินพาหลีซูเหยามุ่งไปยังเรือนอวี้ฟางด้วยใจที่เย็นเยือก“ข้าลำบากมาพี่สาวคงไม่รังเกียจให้ข้าอยู่ร่วมเรือนกับท่านพี่เฉิงหรอกนะเจ้าคะ” “ข้าเข้าใจ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก” คำตอบนั้นไม่ได้ตรงกับนางใจแม้แต่นิด แต่จะให้นางตอบว่าไม่พอใจงั้นหรือ นางทำได้หรือเปล่าเล่า“ข้าก็แค่กังวลกลัวพี่สาวจะคิดมาก” ไม่รู้ว่าหวงอิ่งจื่อคิดไปเองหรือเปล่าเหมือนว่าหญิงสาวแปลกหน้าอย่างหลีซูเหยาต้องการเน้นย้ำบางอย่างกับนาง แม้จะคิดเช่นนั้น แต่หากแท้จริงแล้วทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันมากกว่าคนรู้จักจริง ๆ นางก็คงจะทำอะไรไม่ได้ อย่างไรนางก็เป็นเพียงแค่สะใภ้ที่ไม่ได้รับการต้อนรับ“เจ้าไปทำอะไรอยู่ที่ไหนเสียน
บทที่5หวงอิ่งจื่อทำทุกสิ่งที่ภรรยาควรทำ แต่ดูเหมือนความห่างไกลอีกทั้งระยะทางและเวลาทำให้หญิงสาวกับสามีดูเหินห่างและเย็นชาต่อกันมากขึ้นทุกวันเทียนทุกเล่มในเรือนถูกดับลงไปแล้ว และตอนนี้หวงอิ่งจื่อก็นอนอยู่เคียงข้างคนที่เรียกได้ว่าสามีแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น จึงทำให้ยามนี้ที่ต้องมานอนอยู่เคียงข้างบนฟูกเดียวกันมันช่างเป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจของหญิงสาวตื่นตระหนกไม่ใช่น้อย“หากเจ้ายังไม่หยุดขยับตัว ข้าจะนอนไม่หลับ” เสียงแหบห้าวของชายหนุ่มทำให้หวงอิ่งจื่อนอนตัวแข็งทื่อ“ข้าขอโทษ ท่านพักเถอะเจ้าคะ” นางตอบเสียงตะกุกตะกัก แต่การพูดออกไปเช่นนั้นทำให้เกิดสิ่งที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะเกิด“ท่าน! คำเรียกขานเช่นนี้มิฟังดูห่างเหินไปหน่อยหรือ หึ! ระหว่างที่ข้าไปรบเจ้าคงมีเป้าหมายอื่นแล้วสินะ ถึงได้ทำตัวห่างเหินกับสามีเช่นนี้” ร่างของชายหนุ่มที่หันมาคร่อมอย่างกะทันหันทำให้หวงอิ่งจื่อพูดอะไรไม่ออกนางและเขาไม่เคยได้ใกล้ชิดแบบนี้เลยสักครั้ง แน่นอนว่านางได้ดื่มสุรามงคลและนอนบนเตียงของเขามาตลอดแต่เพราะยามนั้นท่านพ่อของนางเพิ่งสิ้นอีกฝ่ายบอกว่ารอให้ถึงวันที่นางจะทำใจได้ แต่ก็ไม่นึกว่าจู่ๆ เขาจะถูกดึ
บทที่6“พี่สาวข้าต้องขอบคุณมากเรือนที่ท่านจัดเอาไว้ให้นั้นดีมากเจ้าค่ะ ข้านอนหลับสบายหลังจากไม่ได้หลับอย่างไม่ต้องกังวลเช่นนี้มานาน” หลีซูเหยาที่เดินมาพร้อมกับผู้นำตระกูลอย่างฟ่านเฉิงเฉิงเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม มือเรียวที่จับคล้องอยู่ที่แขนแข็งแรงของชายหนุ่มทำให้ใบหน้าของหวงอิ่งจื่อเปลี่ยนไปและสิ่งเหล่านั้นก็อยู่ในสายตาของหลี่ซูเหยา นางเหยียดยิ้มร้ายก่อนหน้านี้นางแสร้งทำเป็นจะล้มจึงได้เดินเกาะแขนท่านพี่เฉิงเดินเข้ามา มินึกว่านี่จะเป็นเรื่องเหมาะเจาะพอดีราวกับสวรรค์จงใจช่วยเหลือนาง คิดถูกแล้วที่กลับมานั่นจึงทำให้หญิงสาวเอ่ยขอบคุณสะใภ้คนเดียวของตระกูลฟ่าน ต่อหน้าทุกคนที่พร้อมหน้าอยู่ที่โต๊ะอาหารเช้า “ท่านพี่ ขอบคุณมากจริง ๆ นะเจ้าคะ หากไม่ได้ท่านป่านนี้ข้าคงจะแย่แล้ว”ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรกลับคำนั้นเขาเพียงแค่พยักเพยิกไปที่โต๊ะอาหารตรงหน้า “นั่งเถอะจะได้กินข้าวเช้ากัน” และก็เป็นอีกครั้งที่หลีซูเหยาเบียดสตรีผู้เป็นภรรยาหมิงเหยียนออกไปแล้วนั่ง ข้าง ๆ เขาแทนหวงอิ่งจื่อพยายามไม่สนใจเหตุการณ์นั้นและคอยดูแลปรนนิบัติท่านย่าเป็นอย่างดี เพราะอายุที่มากขึ้นจึงทำให้จะหยิบจะจับอะไรก็ยากลำบากไปเสีย
บทที่7ยิ่งเวลาผ่านไปหวงอิ่งจื่อก็รู้สึกได้ถึงความกดดันจากแม่สามี นางทำเหมือนกับหญิงสาวเป็นคนนอกขึ้นทุกที หรือบางทีก็ไม่ใช่คนนอกแต่เหมือนสาวใช้เสียมากกว่า“เจ้าไปเอาของในครัวมาเพิ่มสิ” เสียงนั้นทำให้หวงอิ่งจื่อรีบลุกขึ้นอย่างไม่ต้องมีใครมาบอก แต่ชายหนุ่มเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหารกลับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เจ้าจะไปไหน ลุกขึ้นระหว่างกินข้าวไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ” หวงอิ่งจื่อก้มหน้านิ่ง“ท่านแม่บอกให้ข้าไปนำของมาเพิ่ม”“ข้าได้เอ่ยชื่อเจ้าสักคำหรือ สาวใช้ก็มี ทำไมไม่ใช้เล่า” ฟ่านหลันรีบแก้ตัวคำพูดและท่าทางที่ต่างไปจากยามที่ฟ่านเฉิงเฉิงอยู่ทำให้หวงอิ่งจื่อทรุดตัวนั่งลงที่เดิม และก็เป็นสาวใช้ของแม่สามีที่เดินไปจัดการเรื่องเหล่านั้นแทน แต่ใช่ว่าจะทำได้ถูกใจ อย่างไรทุกอย่างตอนนี้ในตระกูลนางล้วนเป็นคนทำและดูแลทั้งหมด“อะไรกันอาหารนี่ทำไมไม่เห็นเหมือนจานก่อนหน้าเลย เจ้าไปหยิบอะไรมากันแน่” ฟ่านหลันตวาดใส่สายใช้ที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจตนเองหวงอิ่งจื่อถอนหายใจหนักก่อนจะบอกว่านางจะไปจัดการให้เอง แน่นอนว่าเรื่องผิดใจกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้มีขึ้นทุกวัน“ทั้ง ๆ ที่เจ้าบอกแล้วว่าไม่ควรลุกออกไปแต่นางก็ยั
บทที่8สถานการณ์ที่หลีซูเหยาออกรับแทนหวงอิ่งจื่อเกิดขึ้นอีกหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น ทั้งห้ามไม่ให้ท่านแม่ตำหนิและว่ากล่าวยามทำไม่ถูกใจ นางเอ่ยเรียกแม่ของฟ่านเฉิงเฉิงว่า ท่านแม่ อย่างชัดเจนจนท่านย่ากระตุกขมวดคิ้ว แต่ในเมื่อไม่มีใครเอ่ยว่าอะไรจึงต้องปล่อยไปอย่างนั้น เหมือนทุกเรื่องที่คนในตระกูลนี้ปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ“เรื่องแค่นี้ทำไมเจ้าไม่รู้” ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อสารสำคัญที่แม่ทัพอีกหน่วยส่งมาให้เขาหายไป “ข้า...” หวงอิ่งจื่อไม่รู้จะตอบเช่นไร เพราะวันนี้นางยังไม่ได้รับอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่คนที่นำเอกสารมาบอกว่านำมาให้กับฮูหยินของแม่ทัพฟ่านเรียบร้อยแล้ว“ท่านพี่อย่าว่ากล่าวพี่สาวเลยนะเจ้าค่ะ ลองถามดูกับคนอื่น ๆ บ้างทีคนที่นำสารสำคัญมาส่งอาจจะเข้าใจผิดก็เป็นได้” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่หลีซูเหยารู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่นางอาจจะไม่รู้ว่าเรื่องที่ตนทำใหญ่กว่าที่คิดเพราะนางอ่านหนังสือไม่ออกนางเป็นคนรับสารสำคัญนั่นมาเอง และตอนนี้มันก็ถูกเผาไปแล้ว หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจที่เห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกของหวงอิ่งจื่อ“ข้าจะออกไปข้างนอก” ทันทีที่ชายหนุ่มไปหลีซูเหยาก็เร่งเข้ามาแสดงท่าทางเป็นห
บทนำสตรีในชุดมงคลสีแดง นั่งเหม่อมองแสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านสีแดง ดวงตากลมโตแดงรื้อบอบช้ำ เนื่องจากผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน งานมงคลสมรสที่ควรจะมีเจ้าบ่าวร่วมหอ แต่กลับมีเพียงเจ้าสาวในชุดแดงนั่งอยู่ในห้องหอเพียงลำพัง นางเฝ้ารอบุรุษที่นางกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกันเมื่อช่วงเช้าอย่างใจจดจ่อ แต่แล้วจนตะวันของอีกวันใหม่โผล่พ้นขอบฟ้า คนที่นางเฝ้ารอก็ยังไม่มา “คุณหนู” แม่สื่อที่นั่งเฝ้าเจ้าสาวมาตลอดทั้งคืน เอ่ยเรียกเจ้าสาวในความรับผิดชอบของตนเองเสียงแผ่วเบา นางเองก็นั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูทั้งคืน รอให้ว่าที่สามีของคุณหนูผู้นี้มายังเรือนหอแห่งนี้ทั้งคืน แต่ก็ไร้เงาบุรุษที่สวมชุดแดงมงคล นางแอบไปเรียบๆ เคียงๆ ในงานเลี้ยงอยู่หลายหน จนสุดท้ายถึงได้รู้ว่า เจ้าบ่าวถูกแขกในงานรั้งเอาไว้จนดึกดื่น อีกทั้งขนาดดื่มสุราจนเมามายยังไม่มีทีท่าว่าจะมายังเรือนหอที่มีเจ้าสาวอยู่ พอรุ่งเช้ากลับมีข่าวร้ายมากกว่าเดิม นางจะบอกคุณหนูผู้นี้เช่นไรดี แค่เห็นขอบตาแดงก่ำของเจ้าสาวคนใหม่ใจของนางก็ตกไปอยู่ตาตุ่มเสียแล้ว“เช้าแล้ว เขาคงไม่มาแล้ว ท่านมาช่วยข้าถอดชุดเจ้าสาวทีสิ”หวงอิ่งจื่อเอี้ยวตัวหันไปตามเสียงเ
บทที่1หมึกที่ถูกฝนอย่างใจเย็นและพู่กันอันเก่าที่ถูกหยิบเอาขึ้นอย่างมั่นคงแสดงให้เห็นว่ายามนี้มือที่กำลังจรดพู่กันลงบนหนังสือสำคัญแผ่นตรงหน้าได้คิดมาอย่างดีและถี่ถ้วนแล้ว นางตัดสินใจดีแล้วอันที่จริงนางควรจะรู้ตั้งแต่ที่สตรีผู้นั้นเข้ามาพักอยู่ที่จวนแห่งนี้แล้ว และก็ควรมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองได้ตั้งนานแล้ว การที่สตรีผู้นั้นได้เข้าไปอยู่ในที่ที่นางไม่เคยได้เข้าไปนั่นก็เป็นสิ่งที่บอกชัดแล้ว ว่ากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในจวนแห่งนี้มิรู้ว่าหวงอิ่งจื่อทนให้คนตระกูลฟ่านกระทำหมิ่นเกียรติและดูแคลนอยู่เช่นนี้ทำไม ทำดีไม่มีใครเห็นนั่นก็ปวดใจมากพออยู่แล้ว แต่หนักหนากว่านั้นคือการไม่ได้ทำอะไรสักอย่างก็ยังโดนกลั่นแกล้งและใส่ร้าย นางอยู่นางไม่สู้ก็ยิ่งทำให้พวกเขาเหล่านั้นได้ใจ“เฮ้อ” ริมฝีปากซีดเซียวถอนลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว ไม่มีจริง ๆ ต่อให้พยายามมากมายแค่ไหน ในเมื่อไม่มีใครสนใจจะมองหรือสังเกตุเห็นความพยายามทั้งหมดของนางก็ไร้ประโยชน์ ช่างเสียเวลายิ่งนัก“ทั้งเรือนอวี้ฟาน และหัวใจของท่านมันไม่เคยเป็นที่สำหรับข้าเลย” หวงอิ่งจื่อลงชื่อขอ
บทที่2“ไปตลาดมาได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับชายแดนบ้างหรือไม่” น้ำเสียงที่เพียงแค่เอ่ยก็ฟังรู้แล้วว่าไม่พอใจของแม่สามีทำให้หวงอิ๋งจื่อเอ่ยตอบกลับไปเบา ๆ “ไม่มีเจ้าค่ะ” เสียงพ่นลมหายใจแรงราวกับไม่พอใจดังมาจากคนที่เอ่ยถาม“หากเป็นบุตรสาวของนายทหารสักคนก็คงจะตอบคำถามนี้ได้ ส่วนบุตรชายของข้าก็คงจะไม่ว่างเพราะจะต้องรบทัพจับศึกจนไม่มีเวลาเขียนจดหมาย ช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก” ฟ่านหลันส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย สะใภ้ที่บุตรชายคนเดียวแต่งเข้าจวน ฐานะต้อยต่ำช่วยเหลือผลักดันบุตรชายคนเดียวของนางไม่ได้สักนิด ใช้งานอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง หากนางได้เลือกสะใภ้ด้วยตนเองคงดีกว่านี้หวงอิ่งจื่อออยากจะอธิบายให้แม่สามีได้ฟังว่าต่อให้เป็นแม่ทัพบางทีก็ไม่ใช่ว่าจะส่งจดหมายออกมาจากค่ายทหารได้ง่าย ๆถึงนางจะไม่ใช่บุตรสาวของขุนนางสูงส่งแต่ก็ใช่ว่าจะไร้ความรู้ น่าเสียดายนางไม่สามารถอธิบายให้แม่สามีเข้าใจได้ เพราะแค่นี้แม่สามีก็ด่านางเช้าด่านางเย็นแล้ว หายใจเสียงดังนางยังผิด เอาเถอะก้มหน้าทนๆไป อย่างไรนั่นก็แม่สามี“จะมานั่งอยู่ทำไมอีกเล่า เข้าไปทำกับข้าวในครัวสิ ไร้ประโยชน์ ไม่รู้จะแต่งเข้ามาทำไม” เสี
บทที่8สถานการณ์ที่หลีซูเหยาออกรับแทนหวงอิ่งจื่อเกิดขึ้นอีกหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น ทั้งห้ามไม่ให้ท่านแม่ตำหนิและว่ากล่าวยามทำไม่ถูกใจ นางเอ่ยเรียกแม่ของฟ่านเฉิงเฉิงว่า ท่านแม่ อย่างชัดเจนจนท่านย่ากระตุกขมวดคิ้ว แต่ในเมื่อไม่มีใครเอ่ยว่าอะไรจึงต้องปล่อยไปอย่างนั้น เหมือนทุกเรื่องที่คนในตระกูลนี้ปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ“เรื่องแค่นี้ทำไมเจ้าไม่รู้” ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อสารสำคัญที่แม่ทัพอีกหน่วยส่งมาให้เขาหายไป “ข้า...” หวงอิ่งจื่อไม่รู้จะตอบเช่นไร เพราะวันนี้นางยังไม่ได้รับอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่คนที่นำเอกสารมาบอกว่านำมาให้กับฮูหยินของแม่ทัพฟ่านเรียบร้อยแล้ว“ท่านพี่อย่าว่ากล่าวพี่สาวเลยนะเจ้าค่ะ ลองถามดูกับคนอื่น ๆ บ้างทีคนที่นำสารสำคัญมาส่งอาจจะเข้าใจผิดก็เป็นได้” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่หลีซูเหยารู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่นางอาจจะไม่รู้ว่าเรื่องที่ตนทำใหญ่กว่าที่คิดเพราะนางอ่านหนังสือไม่ออกนางเป็นคนรับสารสำคัญนั่นมาเอง และตอนนี้มันก็ถูกเผาไปแล้ว หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจที่เห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกของหวงอิ่งจื่อ“ข้าจะออกไปข้างนอก” ทันทีที่ชายหนุ่มไปหลีซูเหยาก็เร่งเข้ามาแสดงท่าทางเป็นห
บทที่7ยิ่งเวลาผ่านไปหวงอิ่งจื่อก็รู้สึกได้ถึงความกดดันจากแม่สามี นางทำเหมือนกับหญิงสาวเป็นคนนอกขึ้นทุกที หรือบางทีก็ไม่ใช่คนนอกแต่เหมือนสาวใช้เสียมากกว่า“เจ้าไปเอาของในครัวมาเพิ่มสิ” เสียงนั้นทำให้หวงอิ่งจื่อรีบลุกขึ้นอย่างไม่ต้องมีใครมาบอก แต่ชายหนุ่มเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหารกลับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เจ้าจะไปไหน ลุกขึ้นระหว่างกินข้าวไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ” หวงอิ่งจื่อก้มหน้านิ่ง“ท่านแม่บอกให้ข้าไปนำของมาเพิ่ม”“ข้าได้เอ่ยชื่อเจ้าสักคำหรือ สาวใช้ก็มี ทำไมไม่ใช้เล่า” ฟ่านหลันรีบแก้ตัวคำพูดและท่าทางที่ต่างไปจากยามที่ฟ่านเฉิงเฉิงอยู่ทำให้หวงอิ่งจื่อทรุดตัวนั่งลงที่เดิม และก็เป็นสาวใช้ของแม่สามีที่เดินไปจัดการเรื่องเหล่านั้นแทน แต่ใช่ว่าจะทำได้ถูกใจ อย่างไรทุกอย่างตอนนี้ในตระกูลนางล้วนเป็นคนทำและดูแลทั้งหมด“อะไรกันอาหารนี่ทำไมไม่เห็นเหมือนจานก่อนหน้าเลย เจ้าไปหยิบอะไรมากันแน่” ฟ่านหลันตวาดใส่สายใช้ที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจตนเองหวงอิ่งจื่อถอนหายใจหนักก่อนจะบอกว่านางจะไปจัดการให้เอง แน่นอนว่าเรื่องผิดใจกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้มีขึ้นทุกวัน“ทั้ง ๆ ที่เจ้าบอกแล้วว่าไม่ควรลุกออกไปแต่นางก็ยั
บทที่6“พี่สาวข้าต้องขอบคุณมากเรือนที่ท่านจัดเอาไว้ให้นั้นดีมากเจ้าค่ะ ข้านอนหลับสบายหลังจากไม่ได้หลับอย่างไม่ต้องกังวลเช่นนี้มานาน” หลีซูเหยาที่เดินมาพร้อมกับผู้นำตระกูลอย่างฟ่านเฉิงเฉิงเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม มือเรียวที่จับคล้องอยู่ที่แขนแข็งแรงของชายหนุ่มทำให้ใบหน้าของหวงอิ่งจื่อเปลี่ยนไปและสิ่งเหล่านั้นก็อยู่ในสายตาของหลี่ซูเหยา นางเหยียดยิ้มร้ายก่อนหน้านี้นางแสร้งทำเป็นจะล้มจึงได้เดินเกาะแขนท่านพี่เฉิงเดินเข้ามา มินึกว่านี่จะเป็นเรื่องเหมาะเจาะพอดีราวกับสวรรค์จงใจช่วยเหลือนาง คิดถูกแล้วที่กลับมานั่นจึงทำให้หญิงสาวเอ่ยขอบคุณสะใภ้คนเดียวของตระกูลฟ่าน ต่อหน้าทุกคนที่พร้อมหน้าอยู่ที่โต๊ะอาหารเช้า “ท่านพี่ ขอบคุณมากจริง ๆ นะเจ้าคะ หากไม่ได้ท่านป่านนี้ข้าคงจะแย่แล้ว”ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรกลับคำนั้นเขาเพียงแค่พยักเพยิกไปที่โต๊ะอาหารตรงหน้า “นั่งเถอะจะได้กินข้าวเช้ากัน” และก็เป็นอีกครั้งที่หลีซูเหยาเบียดสตรีผู้เป็นภรรยาหมิงเหยียนออกไปแล้วนั่ง ข้าง ๆ เขาแทนหวงอิ่งจื่อพยายามไม่สนใจเหตุการณ์นั้นและคอยดูแลปรนนิบัติท่านย่าเป็นอย่างดี เพราะอายุที่มากขึ้นจึงทำให้จะหยิบจะจับอะไรก็ยากลำบากไปเสีย
บทที่5หวงอิ่งจื่อทำทุกสิ่งที่ภรรยาควรทำ แต่ดูเหมือนความห่างไกลอีกทั้งระยะทางและเวลาทำให้หญิงสาวกับสามีดูเหินห่างและเย็นชาต่อกันมากขึ้นทุกวันเทียนทุกเล่มในเรือนถูกดับลงไปแล้ว และตอนนี้หวงอิ่งจื่อก็นอนอยู่เคียงข้างคนที่เรียกได้ว่าสามีแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น จึงทำให้ยามนี้ที่ต้องมานอนอยู่เคียงข้างบนฟูกเดียวกันมันช่างเป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจของหญิงสาวตื่นตระหนกไม่ใช่น้อย“หากเจ้ายังไม่หยุดขยับตัว ข้าจะนอนไม่หลับ” เสียงแหบห้าวของชายหนุ่มทำให้หวงอิ่งจื่อนอนตัวแข็งทื่อ“ข้าขอโทษ ท่านพักเถอะเจ้าคะ” นางตอบเสียงตะกุกตะกัก แต่การพูดออกไปเช่นนั้นทำให้เกิดสิ่งที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะเกิด“ท่าน! คำเรียกขานเช่นนี้มิฟังดูห่างเหินไปหน่อยหรือ หึ! ระหว่างที่ข้าไปรบเจ้าคงมีเป้าหมายอื่นแล้วสินะ ถึงได้ทำตัวห่างเหินกับสามีเช่นนี้” ร่างของชายหนุ่มที่หันมาคร่อมอย่างกะทันหันทำให้หวงอิ่งจื่อพูดอะไรไม่ออกนางและเขาไม่เคยได้ใกล้ชิดแบบนี้เลยสักครั้ง แน่นอนว่านางได้ดื่มสุรามงคลและนอนบนเตียงของเขามาตลอดแต่เพราะยามนั้นท่านพ่อของนางเพิ่งสิ้นอีกฝ่ายบอกว่ารอให้ถึงวันที่นางจะทำใจได้ แต่ก็ไม่นึกว่าจู่ๆ เขาจะถูกดึ
บทที่4“เจ้าขาดเหลืออะไรก็บอกนางนะลูก” ทันทีที่ฟ่านเฉิงเฉิงเดินไปยังทิศทางเรือนนอนของตัวเองที่อยู่ร่วมกับหวงอิ่งจื่อ แม่สามีก็เร่งมาบอกสำทับสิ่งที่ควรกระทำในการอยู่ที่ตระกูลนี้กับแม่นางหลีซูเหยาในทันทีหวงอิ่งจื่อได้แต่ยืนนิ่ง แน่นอนว่าการต้อนรับแขกของสามีควรเป็นเรื่องของฮูหยินอย่างนาง เพียงแต่ปกตินางได้รับสิทธิขนาดนั้นเสียทีไหนกัน นางมีชีวิตดีกว่าสาวใช้ในจวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น“พี่สาวพาข้าไปที่พักเถอะ” หวงอิ่งจื่อเดินพาหลีซูเหยามุ่งไปยังเรือนอวี้ฟางด้วยใจที่เย็นเยือก“ข้าลำบากมาพี่สาวคงไม่รังเกียจให้ข้าอยู่ร่วมเรือนกับท่านพี่เฉิงหรอกนะเจ้าคะ” “ข้าเข้าใจ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก” คำตอบนั้นไม่ได้ตรงกับนางใจแม้แต่นิด แต่จะให้นางตอบว่าไม่พอใจงั้นหรือ นางทำได้หรือเปล่าเล่า“ข้าก็แค่กังวลกลัวพี่สาวจะคิดมาก” ไม่รู้ว่าหวงอิ่งจื่อคิดไปเองหรือเปล่าเหมือนว่าหญิงสาวแปลกหน้าอย่างหลีซูเหยาต้องการเน้นย้ำบางอย่างกับนาง แม้จะคิดเช่นนั้น แต่หากแท้จริงแล้วทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันมากกว่าคนรู้จักจริง ๆ นางก็คงจะทำอะไรไม่ได้ อย่างไรนางก็เป็นเพียงแค่สะใภ้ที่ไม่ได้รับการต้อนรับ“เจ้าไปทำอะไรอยู่ที่ไหนเสียน
บทที่3“นี่คือหลีซูเหยานางเป็นสหายของข้า เจ้าก็จัดหาที่อยู่ให้นางด้วย เรือนอวี้ฟางก็แล้วกัน” หวงอิ่งจื่อมองคนตรงหน้าพลางกะพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้จะรับคำหรือจะพูดว่าอย่างไรดีแทนที่เขาจะถามว่านางเป็นอย่างไร หรือบอกเรื่องของตนเองที่ผ่านมาบ้าง กลับให้นางดูแลคนที่เพิ่งมาเสียอย่างนั้น ทุกการกระทำของฟ่านเฉิงเฉิงทำให้หวงอิ่งจื่อพูดไม่ออกแม้เพียงคำ“เรือนอวี้ฟานงั้นหรือ” แม้จะเพิ่งเข้ามาอยู่ในตระกูลฟ่านได้เพียงแค่สองปี แต่ก็แทบไม่เคยได้ก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น เพราะท่านแม่บอกว่าฟ่านเฉิงเฉิงหวงแหนที่แห่งนั้นมากกว่าทุกที่ในจวน แม้จะสงสัยว่ามากยิ่งกว่าห้องนอนของตัวเองอีกหรือ แต่ก็ได้รับคำยืนยันจากท่านย่าจึงทำให้หวงอิ๋งจื่อไม่สงสัยอีกต่อไป แต่วันนี้“แต่ว่าเรือนนั้น” หวงอิ่งจื่อกำลังจะเอ่ยถามสามี แต่ก็เป็นมารดาของเขาที่เร่งให้ฟ่านเฉิงเฉิงไปไหว้ป้ายบรรพบุรุษและบิดา “หากเจ้าทำไม่ได้ก็ให้สาวใช้ทำ” คำพูดราวกับไม่ใส่ใจก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับสตรีที่มาใหม่ สตรีผู้นั้นเดินตามติดเข้าไปในเรือนชั้นในทำให้หวงอิ่งจื่อรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก“ฮูหยินเล็ก ท่านได้ยินนายท่านสั่งแล้ว ไปช่วยกันจัดการสิเจ้าคะ” ไม่รู้
บทที่2“ไปตลาดมาได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับชายแดนบ้างหรือไม่” น้ำเสียงที่เพียงแค่เอ่ยก็ฟังรู้แล้วว่าไม่พอใจของแม่สามีทำให้หวงอิ๋งจื่อเอ่ยตอบกลับไปเบา ๆ “ไม่มีเจ้าค่ะ” เสียงพ่นลมหายใจแรงราวกับไม่พอใจดังมาจากคนที่เอ่ยถาม“หากเป็นบุตรสาวของนายทหารสักคนก็คงจะตอบคำถามนี้ได้ ส่วนบุตรชายของข้าก็คงจะไม่ว่างเพราะจะต้องรบทัพจับศึกจนไม่มีเวลาเขียนจดหมาย ช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก” ฟ่านหลันส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย สะใภ้ที่บุตรชายคนเดียวแต่งเข้าจวน ฐานะต้อยต่ำช่วยเหลือผลักดันบุตรชายคนเดียวของนางไม่ได้สักนิด ใช้งานอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง หากนางได้เลือกสะใภ้ด้วยตนเองคงดีกว่านี้หวงอิ่งจื่อออยากจะอธิบายให้แม่สามีได้ฟังว่าต่อให้เป็นแม่ทัพบางทีก็ไม่ใช่ว่าจะส่งจดหมายออกมาจากค่ายทหารได้ง่าย ๆถึงนางจะไม่ใช่บุตรสาวของขุนนางสูงส่งแต่ก็ใช่ว่าจะไร้ความรู้ น่าเสียดายนางไม่สามารถอธิบายให้แม่สามีเข้าใจได้ เพราะแค่นี้แม่สามีก็ด่านางเช้าด่านางเย็นแล้ว หายใจเสียงดังนางยังผิด เอาเถอะก้มหน้าทนๆไป อย่างไรนั่นก็แม่สามี“จะมานั่งอยู่ทำไมอีกเล่า เข้าไปทำกับข้าวในครัวสิ ไร้ประโยชน์ ไม่รู้จะแต่งเข้ามาทำไม” เสี
บทที่1หมึกที่ถูกฝนอย่างใจเย็นและพู่กันอันเก่าที่ถูกหยิบเอาขึ้นอย่างมั่นคงแสดงให้เห็นว่ายามนี้มือที่กำลังจรดพู่กันลงบนหนังสือสำคัญแผ่นตรงหน้าได้คิดมาอย่างดีและถี่ถ้วนแล้ว นางตัดสินใจดีแล้วอันที่จริงนางควรจะรู้ตั้งแต่ที่สตรีผู้นั้นเข้ามาพักอยู่ที่จวนแห่งนี้แล้ว และก็ควรมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองได้ตั้งนานแล้ว การที่สตรีผู้นั้นได้เข้าไปอยู่ในที่ที่นางไม่เคยได้เข้าไปนั่นก็เป็นสิ่งที่บอกชัดแล้ว ว่ากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในจวนแห่งนี้มิรู้ว่าหวงอิ่งจื่อทนให้คนตระกูลฟ่านกระทำหมิ่นเกียรติและดูแคลนอยู่เช่นนี้ทำไม ทำดีไม่มีใครเห็นนั่นก็ปวดใจมากพออยู่แล้ว แต่หนักหนากว่านั้นคือการไม่ได้ทำอะไรสักอย่างก็ยังโดนกลั่นแกล้งและใส่ร้าย นางอยู่นางไม่สู้ก็ยิ่งทำให้พวกเขาเหล่านั้นได้ใจ“เฮ้อ” ริมฝีปากซีดเซียวถอนลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว ไม่มีจริง ๆ ต่อให้พยายามมากมายแค่ไหน ในเมื่อไม่มีใครสนใจจะมองหรือสังเกตุเห็นความพยายามทั้งหมดของนางก็ไร้ประโยชน์ ช่างเสียเวลายิ่งนัก“ทั้งเรือนอวี้ฟาน และหัวใจของท่านมันไม่เคยเป็นที่สำหรับข้าเลย” หวงอิ่งจื่อลงชื่อขอ
บทนำสตรีในชุดมงคลสีแดง นั่งเหม่อมองแสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านสีแดง ดวงตากลมโตแดงรื้อบอบช้ำ เนื่องจากผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน งานมงคลสมรสที่ควรจะมีเจ้าบ่าวร่วมหอ แต่กลับมีเพียงเจ้าสาวในชุดแดงนั่งอยู่ในห้องหอเพียงลำพัง นางเฝ้ารอบุรุษที่นางกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกันเมื่อช่วงเช้าอย่างใจจดจ่อ แต่แล้วจนตะวันของอีกวันใหม่โผล่พ้นขอบฟ้า คนที่นางเฝ้ารอก็ยังไม่มา “คุณหนู” แม่สื่อที่นั่งเฝ้าเจ้าสาวมาตลอดทั้งคืน เอ่ยเรียกเจ้าสาวในความรับผิดชอบของตนเองเสียงแผ่วเบา นางเองก็นั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูทั้งคืน รอให้ว่าที่สามีของคุณหนูผู้นี้มายังเรือนหอแห่งนี้ทั้งคืน แต่ก็ไร้เงาบุรุษที่สวมชุดแดงมงคล นางแอบไปเรียบๆ เคียงๆ ในงานเลี้ยงอยู่หลายหน จนสุดท้ายถึงได้รู้ว่า เจ้าบ่าวถูกแขกในงานรั้งเอาไว้จนดึกดื่น อีกทั้งขนาดดื่มสุราจนเมามายยังไม่มีทีท่าว่าจะมายังเรือนหอที่มีเจ้าสาวอยู่ พอรุ่งเช้ากลับมีข่าวร้ายมากกว่าเดิม นางจะบอกคุณหนูผู้นี้เช่นไรดี แค่เห็นขอบตาแดงก่ำของเจ้าสาวคนใหม่ใจของนางก็ตกไปอยู่ตาตุ่มเสียแล้ว“เช้าแล้ว เขาคงไม่มาแล้ว ท่านมาช่วยข้าถอดชุดเจ้าสาวทีสิ”หวงอิ่งจื่อเอี้ยวตัวหันไปตามเสียงเ