หากเป็นไปได้ สี่หนิงเหอมิอยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้ที่อยู่ในวังและเรื่องอันใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับขุนนางราชสำนักเลยสักนิด คนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีเล่ห์เหลี่ยม ลับลมคมในที่ตามมิทัน เบื้องหน้าคือยิ้มแย้มนับถือเป็นพี่น้อง หากภายในคิดอันใดมิมีใครล่วงรู้ได้เลย...น่ากลัวยิ่งนัก หากตอนนี้เมื่อเขาจำต้องเป็นอนุภรรยาของท่านอ๋อง แม้มิปรารถนาหากเขาก็มิอาจลบเลี่ยงได้“แล้วองค์ชายคนอื่นเล่า มีผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นรัชทายาทบ้างหรือไม่”“องค์ชายใหญ่แม้เป็นพี่ชายคนโต หากเพราะประสูติจากมารดาที่มีตำแหน่งเพียงแค่เหม่ยเหริน อีกทั้งสุขภาพร่างกายก็อ่อนแอ ไม่เก่งกล้าและเฉลียวฉลาดเช่นพี่น้องคนอื่น ๆ จึงมิเป็นที่น่าสนใจเป็นทางเลือกของผู้ใด ตัวองค์ชายก็รู้ดี จึงมิได้ดิ้นรนที่จะไขว่คว้า หากพยายามพาตัวเองออกมาจากที่นั่น”“ท่านเคยเจอองค์ชายใหญ่หรืออย่างไร ถึงได้ล่วงรู้เรื่องนี้” มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่าที่องค์ชายผู้นั้นจะมิปรารถนาในอำนาจ กล่าวตามตรงว่า...สี่หนิงเหอมิเชื่อ อย่างน้อยถึงไม่อยากดำรงตำแหน่งหวงตี้...หากก็ย่อมต้องมีอำนาจเพื่อให้ตนเองนั้นอยู่รอดปลอดภัย มิถูกเหล่าพี่น้องหรือผู้คนที่กระหายอยากได้มันเข
“ตั้งแต่ที่เราทานอาหารกัน”นานขนาดนั้น แล้วท่านอ๋องก็ปล่อยให้คอยมองเราอยู่นี่นะ...“ก็เขาอยากจะเฝ้ายามให้เรานอนหลับสบาย แล้วจะไปขัดขวางเขาทำไมกันเล่า”ท่านอ๋องกล่าวแล้วหัวเราะก่อนจะดันตัวเขาลงนอนก่อนจะแนบกายแกร่งตามติดมา แขนหนึ่งทอดยาวให้เขาหนุนอีกแขนก็โอบกอดรอบกายเล็ก พลางแนบใบหน้าลงมาจนปากหนาสัมผัสกับหน้าผากของเขา...ปากอุ่นทำให้สี่หนิงเหอถึงกับตัวสั่นใจสั่น อยากเอ่ยปากห้ามหากก็...กล่าวอันใดมิออก ได้แต่รีบหลับตาหนีจึงมิได้เห็นว่าท่านอ๋องยิ้มก่อนจะจรดปากแนบลงมาบนแก้มก่อนจะปล่อยให้ตัวเขานอนหลับ สี่หนิงเหอมิรู้ด้วยว่านอนฟังเสียงของหัวใจท่านอ๋องแล้วหลับไปตั้งแต่เมื่อใด“ท่านควรจะหยุดกินเต้าหู้ข้าได้แล้วนะขอรับท่านอ๋อง” สี่หนิงเหอกล่าวอย่างสุดทน เดินทางมาทั้งเหนื่อยและเพลีย คิดว่าจะขอตื่นสายสักเล็กน้อย หากเมื่อถึงยามเหม่า[1] กลับต้องตื่นมาเพราะความหื่นของท่านอ๋อง ที่ปลุกเขาด้วย...จุมพิตที่ร้อนแรงเสียจนปากบวมไปหมด ยิ่งห้ามก็เหมือนกับยิ่งยุ ปากหนาคลอเคลียขบกัดลำคอ หยอกเย้าไปถึงอกบางที่มิมีกล้ามเนื้อสักเท่าใด ทิ้งรอยแดงเป็นจ้ำไว้บนผิวของเขาหลายจุด“ท่านอ๋อง!” สี่หนิงเหอมิเรียกเปล่า หากตีลงไ
“ข้าจะให้เจ้าและเสี่ยวฝานเข้าไปรักษาท่านอ๋อง”“ข้านี่นะขอรับ!” สี่หนิงเหอชี้มือเข้าหาตนเอง “ข้ามิมีความรู้เรื่องการแพทย์เลยนะขอรับ แล้วจะไปรักษาท่านอ๋องผู้นั้นได้อย่างไรกันเล่า” บอกตามตรงว่าเขาตามความคิดของท่านอ๋องไม่ทันเลย มิรู้ว่าท่านคิดทำสิ่งใดกันแน่ “มิได้ป่วยแล้วเจ้าจะรักษาได้อย่างไร เสี่ยวฝานรู้ว่าควรจะทำยัง ส่วนเจ้าก็แค่...ไหลตามน้ำไปเท่านั้น หากมีผู้ใดไต่ถามก็บอกว่าเจ้าแค่เคยเรียนรู้มาบ้าง มีความรู้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ทราบข่าวว่าท่านอ๋องถูกพิษร้าย อยากจะขอตรวจดูหน่อย เผื่อความสามารถอันน้อยนิดจะช่วยรักษาได้”หากสี่หนิงเหอก็ยังมิเข้าใจ ท่านอ๋องให้เขาไปรักษาท่านอ๋องตัวปลอมนั่นทำไมกัน สี่หนิงเหอขมวดคิ้วเข้าหากัน“พี่ชายเจ้าจะได้เข้ามาแทนที่ข้าตรงนี้...เป็นเพื่อนเจ้า” นิ้วยาวลากไล้บนแก้มใส “ส่วนตัวข้าต้องรับหน้าที่ของท่านอ๋องประจำจวนนี้ ที่บางวันก็ต้องป่วยหนักจนมิอาจออกจากห้องได้ หากบางวันก็ดีขึ้นจนสามารถออกมาพบหน้าผู้คนได้”อ๋อ...สี่หนิงเหอคิดว่าพอจะเข้าใจสิ่งที่ท่านอ๋องต้องการแล้วล่ะ หากมันก็ทำให้เขารู้สึกใจหายมิใช่น้อย เมื่อคิดว่าข้างกายจะมิมีท่านอ๋องคอยก่อกวนแล้ว“มิต้องห
อา...มิคิดเลยว่าเรือนเขาจะได้รับความสนใจเช่นนี้ เมื่อเช้าก็เด็กน้อยเสี่ยวเป่า มาตอนนี้ก็เป็นสตรีที่ตัวเขาควรจะเป็นฝ่ายไปหาเพื่อคารวะนาง หากสี่หนิงเหอยังมิทันได้ทำสิ่งใด กลับเป็นนางที่มาหาเขาถึงเรือนพำนัก และตอนนี้ก็อยู่ด้วยกันเพียงลำพังเสียด้วยสิ เพราะเขาสั่งการให้เสี่ยวฝานไปเตรียมยาและข้าวของที่จำเป็นที่จะใช้รักษาท่านอ๋อง...ตัวปลอม ถึงแม้มันจะเป็นการรักษาแบบหลอกลวงผู้อื่น หากก็ควรทำให้ทุกคนเชื่อโดยมิสงสัยมิใช่หรืออย่างไรกันสี่หนิงเหอได้แต่เบือนหน้าเบื่อหน่ายและกลอกสายตาไปมาเมื่อเห็นสตรีผู้มีรูปร่างอรชร ใบหน้าของนางช่างงดงามน่ามองและน่า...ปรารถนายิ่งนัก จนเขาอดคิดไม่ได้ ผู้ใดที่ได้ยลโฉมของ...ว่าที่พระชายาหนานเฟยรั่วจะต้องตกหลุมรักนางผู้นี้โดยง่ายดายเป็นแน่เดินมาหา“ข้าน้อยสี่หนิงเหอขอคารวะว่าที่พระชายาหนานเฟยรั่วขอรับ” เมื่อนางมาจวนใกล้จะถึงตัว ตัวเขาซึ่งมีฐานะด้อยกว่าก็รีบน้อมตัวคารวะอย่างนอบน้อมวาจาของเขาผิดไปหรือ นางถึงได้มิกล่าวอันใดกลับมองด้วยแววตาเฉยเมย...ออกจะเย็นยะเยือกที่ทำให้สี่หนิงเหอรู้สึกมิค่อยดีสักเท่าไหร่นางจะมองเขาเป็นศัตรูหรือ...มันก็ได้อยู่นะ เพราะตัวเขาเป็นบุรุษท
“มิจำเป็น เรือนของเจ้าเล็กเช่นนี้ จะให้ข้าและพี่หญิงเข้าไปพำนักได้อย่างไร”ดูเหมือนว่า...ในวาจาที่ค่อนข้างจะร้ายของเจียวชุนลี่จะแฝงอะไรบางอย่างไว้นะ เสียดายจังที่เขายังมิฉลาดพอจะตีความมันออกได้“เป็นข้าที่มิประมาณตน ข้าต้องขออภัยด้วยขอรับ”“เจ้ามั่นใจเพียงใดว่าจะรักษาท่านอ๋องได้”พวกนางมิเข้าใจหรืออย่างไรกัน เขายังมิได้ตรวจเลยนะ แล้วจะตอบได้อย่างไร ถึงเรื่องคราวนี้จะเป็นเพียงแค่การหลอกลวงตบตาผู้คน หากหลายเรื่องหลายราวบางครั้งเราก็คาดเดาสิ่งใดมิได้ หากการครั้งนี้ที่ว่าง่ายดาย เพียงแค่เข้าไปแกล้งทำการรักษาแล้วออกมาบอกว่า...‘ท่านอ๋องมิเป็นอันใด ข้าได้ทำการรักษาและให้ยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มินานก็จะหายดี หากแต่ข้าก็ยังมิแน่ใจว่าพิษที่ท่านอ๋องได้รับไปนั้นนานเท่าใดแล้ว รักษาแล้วจะยังมีผลกระทบกับร่างกายหรือไม่’ ว่ากันตามตรงแล้ว สี่หนิงเหอรู้ว่าตนเองต้องกล่าวแบบนี้ เพราะหากวันหนึ่งวันใดท่านอ๋องและทุกคนคิดนำเรื่องนี้มาใช้อีกครั้ง เขาจะได้มีข้อกล่าวอ้าง หากทำมิได้...พวกนางก็คงจะต้องรีบหาทางกำจัด! เขาออกไปจากจวนแห่งนี้แทบมิทันเชียวล่ะ อ่า...ช่างอยู่ยากเสียจริงเลยนะ“ข้ามิได้จะขับไล่ท่านทั้งสองค
“ท่านจะให้ข้าบอกว่า...พี่ห้าโดนพิษอะไรละขอรับ...ชื่อพิษควรจะแปลกสักหน่อย การรักษาก็ควรจะพิเศษเล็กน้อย” ในเมื่อพวกท่านหลอกลวงกันเช่นนี้ ก็จะต้องถูกเขาเอาคืนบ้าง...ถึงตอนนั้นพวกท่านห้ามโกรธแค้นเคืองกันนะขอรับ สี่หนิงเหอมองพี่สามและพี่เขยตาวาว รวมไปถึงท่านอ๋องที่สมรู้ร่วมคิดด้วย“อย่างไรก็คงจะมิใช่พิษเถิงหลัวเหมยเห่อละกัน”สี่หนิงเหอมองเสี่ยวฝานที่เอ่ยชื่อพิษอันประหลาดขึ้นมา...“พิษชนิดนี้ยังไม่รู้แหล่งที่มา ยังมิค้นพบยาแก้...มันเป็นพิษที่ร้ายแรง ไร้สี ไร้กลิ่น คนที่ถูกพิษแทบมิรู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกพิษชนิดนี้เข้าให้แล้ว เท่าที่ข้าน้อยรู้มา กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อพิษกำเริบ...ต้องทนกับความทรมานราวกับว่าร่างกายถูกไฟเผา เจ็บปวดเหมือนถูกกัดกินเนื้อไปจนถึงกระดูก แม้กระทั่งหายใจก็ยังแทบจะมิมีแรง”วาจาที่เสี่ยวฝานเอ่ยมา...ชั่วขณะหนึ่งมันทำให้สติข้าย้อนกลับไปสู่วันที่เขากำลังจะจากลาลับ หากถูกบางสิ่งบางอย่างดึงกลับมา พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สี่หนิงเหอรู้สึกว่ามันมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี หากสิ่งหนึ่งที่รับรู้...เขาต้องหาทางศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพิษไว้บ้างแล้ว จะได้ป้องกันมิให้ตัวเองพลาดพลั้งได
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”มันคงจะมิเป็นอย่างที่เขาคิดไว้หรอกนะ เพราะถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง...สี่หนิงเหอคิดสภาพตัวเองตอนที่สี่ซูเจียวรู้เรื่องนี้มิออกเลย คิดมิออกด้วยว่านางจะอาละวาดใส่เขาแค่ไหน“เป็นอันใดไปเล่าหนิงเหอ”“ข้าคิดอันใดมิออก คงต้องขอรบกวนพี่สามชี้แนะแล้วขอรับ”นับตั้งแต่ได้เจอกับท่านอ๋อง...เรียกได้ว่าแต่ละวันมิเคยสงบสุขเลย มีแต่เรื่องวุ่นวายและต้องครุ่นคิดตลอดเวลา บางอย่างก็คิดได้ หากก็มีอีกหลายอย่างที่สี่หนิงเหอมิเข้าใจ “ทำไมเจ้าถึงมิอยู่รอข้า”อา...เขายังมิทันจะล่วงรู้สิ่งใดเลยนะ ก็โดนท่านอ๋องขัดจังหวะเสียแล้ว ช่าง...น่าเบื่อหน่ายเสียจริง“เจ้าอยากรู้เรื่องอันใดก็ถามท่านอ๋องนะหนิง พี่มีเรื่องต้องไปทำ...อีกหลายวันกว่าจะได้พบกัน” กล่าวจบพี่สามก็รีบเดินจากไปอย่างว่องไว โดยที่สี่หนิงเหอยังมิทันได้กล่าวทัดทานพี่ชายก็เดินห่างไปไกลเสียแล้ว“พี่สาม”“ข้าเห็นว่าท่านกำลังสนทนากับพระชายา” ดูท่าเรื่องที่สนทนากันจะทำให้ท่านอารมณ์ดีมากด้วย บนใบหน้าถึงได้มีรอยยิ้มอยู่มิคลาย เขาเลยกลัวว่าหากกล่าวอันใดออกไป จะทำให้ท่านอารมณ์ไม่ดีนะขอรับ “ข้าก็เลยมิกล้าที่จะรบกวนนะขอรับ” คิดว่าหากเขากล่า
ท่านอ๋องจับปลายคางพร้อมกับโน้มศีรษะลงมาจูบ...รุกเร้าคลอเคลียริมฝีปากสีแดงสดของคนในอ้อมแขนราวกับว่าหมดความอดทน สี่หนิงเหอส่งเสียงอู้อี้ออกมาพร้อมกับพยายามผลักดันไหล่กว้างให้ถอยห่างไป หากจุมพิตที่แสนอ่อนหวานและอ่อนโยนก็ทำให้เขาคล้อยตามไปในเวลาไม่นานเราทั้งคู่แลกจูบกันอยู่นานมาก นิ้วของท่านอ๋องก็สอดแทรกเข้าไปสัมผัสกับไหล่ มันเคลื่อนเรื่อยลงไปอย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันปากหนาก็คลอเคลียหยอกเย้ากับผิวแก้มนุ่ม ก่อนจะเคลื่อนลงไปขบเม้มลำคอจนสี่หนิงเหอรู้สึกว่าเริ่มหายใจติดขัด ท่านอ๋องจึงเคลื่อนจูบขึ้นมา“ข้าคิดมิออกเลยว่า เมื่อเจ้าอยู่บนเตียงของข้า...เจ้าจะหวานแค่ไหน”จะสายตาหรือนิ้วของท่านอ๋องที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายทำให้สี่หนิงเหอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองยิ่งนัก แล้วท่านอ๋องก็แนบปากลงมาอีกครั้ง ค่อย ๆ ละเลียดลิ้มชิมปากอิ่มหวาน...สอดแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากสลับกับขบกัดริมฝีปากของเขา ทุกสัมผัสมันช่างอ่อนโยนทำให้หัวใจของสี่หนิงเหอเต้นแรง กายก็เริ่มจะอ่อนแรง เขาถูกรังแกเสียจนสติสัมปชัญญะเริ่มพร่าเลือน หากมิมีเสียงบางอย่างดังมา...ทุกอย่างก็คงจะยังดำเนินต่อไปมิอาจหยุดยั้งได้“ท่านพ่อขอรับ”เสี่
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.